ข่าวลือนี้ สมกับเป็นข่าวลือลองมาดูเหตุผลกัน ทำไมข่าวนี้จึงเป็นได้เพียงข่าวลือ
cpall กลยุทธ์ คือการทำกำไรสูงสุด สร้าง NPM สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ในทุกทาง เช่น การขายของราคาตามป้ายโดยไม่มีส่วนลด โดยอาศัยความสะดวกจากการยึดทำเล การเพิ่มยอดขายส่วน Food ที่มี่มาร์จิ้นที่ดีกว่า การสร้าง CPRAM เพื่อผลิตอาหาร chill เอง เพื่อได้ต้นทุนที่ต่ำและได้ NPM ที่สูงที่สุด รวมถึง ที่ตั้งสาขาเน้นไปที่การทำสัญญาเช่า มากกว่าที่จะซื้อขาด กลยุทธ์นี้เพื่อเงินไม่จมไปกับที่ดินทำเล และมีความคล่องตัว ในการย้ายสาขาหากทำเลเปลี่ยน
Makro กลยุทธ์ คือเน้นขายถูกเพราะจับกลุ่มขายส่ง ที่ดินในการตั้งสาขาถ้าจำไม่ผิด เกิน 50% เป็นการซื้อขาด NPM ที่บางแม้ปีที่ผ่านมาจะดูดีขึ้นมากแต่ก็เป็ลผลจาก tax ที่ลดลง ซึ่งเป็นปกติของธุรกิจค้าส่ง P/BV 15เท่า ซึ่ง hidden asset ที่ซ่อนหลักๆคือ มูลค่าที่ดิน สังกเกตได้จากสาขาลาดพร้าว คำนวนคร่าวๆ น่าจะมีมูลค่ามากกว่า bv ประมาณ 12-13 เท่า ส่วนสาขาอื่นๆ ก็ลดหลั่นกันไป ทำให้คาดว่า hidden asset ไม่มีทางถึง 12เท่าของ bv อย่างแน่นอน (ยังไม่รวม intangible asset)
สรุปได้ว่า makro ที่ราคานี้แพงค่อนข้างมาก รวมถึงกลยุทธ์การทำการค้าที่ตรงข้ามกับ cpall โดยสิ้นเชิงในทุกด้าน และมูลค่ากิจการรวมที่มีขนาดใหญ่ บนราคาที่แพงนั้น ทำให้คาดได้ว่า cpall ไม่ตัดสินใจซื้อแน่ เพราะหากซื้อไปควบรวมจะทำให้ NPM ของ cpall ตกต่ำลง เงินไปจมกับที่ดิน เท่ากับเป็นการทำลายมูลค่ากิจการตัวเองชัดเจน
Makro กำไรปี 55 อยู่ที่ 3,555M สมมติให้ปี 56 กำไรโต 30% (ให้โตเว่อร์ๆเลยนะครับ จริงๆไม่น่าจะถึง) จะได้ 4,622M bv ณ ปัจจุบัน อยู่ที่ 163,680M
หาก บ. ไหมไปเทค Makro ก็จะต้องบันทึกเงินลงทุน ตามมูลค่าที่ซื้อ นำมาคำนวนผลตอบแทนที่ได้ 4622/163680 = 2.82% ผลตอบแทนน้อยกว่าบอนด์อีก ถึงแม้จะให้โกรที่ 30% แล้วก็ตาม
ในทางกลับกัน หากเราเป็น ผถห makro เราก็คงคิดว่าหากมีคนมาให้มูลค่ากิจการมากขนาดนี้ เราก็คงอยากจะขาย เพราะ เอาเงินไปซื้อ บอนด์ยังได้ผลตอบแทนสูงกว่าที่เป็นอยู่เกือบ 50% ดังนั้นเป็นไปได้ครับที่ ผถห อยากจะขาย แต่จะมีใครเล่าอยากจะซื้อ ดีล ใหญ่ขนาดนี้ที่ราคาแพงแบบนี้ ถึงแม้จะคำนวนที่ราคา BV 12 เท่าก็ยังแพงนับปรสาอะไรกับ BV 15 เท่า