วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2567

หลักคิด 41

 อย่าซื้อหุ้นของบริษัทที่ผู้บริหาร มองเห็นรายย่อยเป็นแหล่งหาเงิน มากกว่าการทำธุรกิจ




เวลาพูดถึงหุ้นขนาดขนาดใหญ่ขนาดกลางและขนาดขนาดเล็ก หลายหลายคนอาจจะสงสัยว่าแบ่งกันอย่างไร ปกติจะดูที่ขนาดมาร์เก็ตแคป โดย

Large Cap

Market Cap > 50,000 ล้านบาท

Mid Cap

10,000 ล้านบาท < Market Cap. < 50,000 ล้านบาท

Small Cap

Market Cap < 10,000 MB



#############################



Gold 

นับจากต้มยำกุ้งเป็นต้นมา ปี 2009-2024 ทองมี max drawdown -45% โดยกินช่วงระยะเวลานานประมาณ 1552 วัน (ประมาณ 5 ปี)

และกว่าราคาทองจะกลับมาที่เดิมได้ กินเวลายาวนานประมาณ 3226 วัน (ประมาณ 10 ปี)

แต่ผลตอบแทนตั้งแต่ ต้มยำกุ้งถึงปัจจุบัน 2019-2024 คิดเป็นอัตราทบต้นต่อปี ปีละ 6.19%

MDD และระยะเวลาเวลาต่างๆพอๆกับหุ้น แต่ผลตอบแทนทบต่อปีน้อยกว่าหุ้นค่อนข้างมากทีเดียว 

“”“”“”“”“”“”“”“”“”“”“”“”“”“”“”

แต่ถ้าย้อนไปดูช่วง ทศวรรษ 70-80 (1970-1980) จะพบว่ามี MDD สูงถึง -67%

โดยหลังจากที่ ราคาย่อลงมา -67% กว่าจะกลับมาทำราคาเท่าเดิมได้นั้น ต้องใช้เวลาถึงประมาณ หนึ่งหมื่นวัน (ประมาณเกือบ 30 ปี)

ทอง

#############################


ถามตัวเองว่าถ้ามีคนมาชวนคุณร่วมทุนทำธุรกิจ จากพฤติกรรมของเขา และผลตอบแทนจากธุรกิจ คุณอยากร่วมทำธุรกิจด้วยหรือไม่ 


ถ้าตอบว่าใช่ก็แสดงว่าพฤติกรรมของผู้บริหารน่าจะมุ่งไปในทางทำธุรกิจ 


แต่ถ้าตอบว่าไม่ก็ไม่ควรที่จะซื้อหุ้นแม้แต่หุ้นเดียว 


ใส่ใจพฤติกรรมของผู้บริหารให้มากกว่าราคาหุ้น


แล้วหลังจากนั้นก็อย่าลืมพิจรณา ราคาที่จ่ายกับผลตอบแทนที่จะได้จากธุรกิจด้วย ไม่ใช่มองแค่ราคาหุ้นแต่เพียงอย่างเดียว

#############################


คนที่ไม่มีความคิดที่แจ่มชัด ในการเปรียบเทียบรายได้แต่ละทาง จะเป็นคนที่มองไม่ออก ว่าควรจะนำเงินไปลงทุนทางไหน เพื่อจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า

#############################


ระหว่างเส้นทางการลงทุน จะเต็มไปด้วยจุดต่างๆ ที่พร้อมให้นักลงทุนทำผิดพลาดด้วยความเต็มใจของนักลงทุนเองเต็มไปหมด


เปรียบเสมือนการเดินในซอยที่เต็มไปด้วย “อึสุนัข” ถ้าสุ่มสี่สุ่มห้าเดิน โดยไม่ดูตาม้าตาเรือ โอกาสเหยียบอึหมาก็จะมีสูงมาก 


โดยเฉพาะคนที่ใจร้อนอยากรีบเดินไวๆหรือวิ่งเร็วๆ ในซอยที่เต็มไปด้วยอึหมาท่ามกลางเวลาโพล้เพล้ จะยิ่งมีโอกาสสูงมากที่จะเหยียบอึหมา


(คำว่าเวลาโพล้เพล้ในที่นี้ หมายถึงไม่สามารถมองเห็นข้อมูลที่สำคัญต่อการประกอบการตัดสินใจอย่างเด่นชัด)


############################


ใครๆก็ต้องการหุ้นของบริษัทที่มีการเติบโตสูงๆ แต่จริงๆแล้ว การเติบโตปานกลางแบบต่อเนื่อง “สำคัญกว่าการเติบโตสูงๆแบบประเดี๋ยว ประด๋าว”


#####################


ซื้อหุ้นที่มีการเติบโต ในราคาที่เหมาะสม มีผู้บริหารที่เก่ง แล้วเกาะติดกับบริษัทไว้ให้นานที่สุด


###############


ทำไมบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ถึงมีรายได้และกำไรสุทธิที่สม่ำเสมอตลอดช่วง เป็นสิบปีได้ ???


เพราะ

- มีการเปิดโครงการหลายระดับราคา เช่น จับกลุ่มลูกค้า ตั้งแต่ราคาเกือบสองล้านบาทไปจนถึงหลาย 10 ล้านบาท ทำให้มีกลุ่มลูกค้ากว้างอยู่ในมือ


- มีการเปิดโครงการในหลายทำเล เรียกว่าถ้าลูกค้าต้องการทำเลไหนก็จะจะมีโครงการไว้รองรับ นั่นทำให้ฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้นมาก 


- มีการกระจายการลงทุนไปเปิดโครงการตามต่างจังหวัดทั้งหัวเมืองใหญ่และหัวเมืองรอง คนที่อยู่ต่างจังหวัดที่ต้องการหมู่บ้านที่มีความปลอดภัยสูงก็มีอยู่ไม่น้อย 


- เมื่อจำนวนเปิดโครงการ มีจำนวนมากพอทั้งการกระจายแนวกว้าง (หมายถึงจำนวนโครงการที่มาก) และแนวดิ่ง (หมายถึงหลายระดับราคา) นั่นส่งผลให้ เกิด การประหยัดก่อขนาดมากขึ้นมาก 


ทำให้สามารถคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ได้คุ้มค่าขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรมนุษย์ หรือทรัพยากรวัตถุดิบรวมไปถึงการทำโฆษณาต่างๆก็จะได้ความคุ้มค่าที่มากขึ้น


AP ตอนนี้เป็นเจ้าตลาดอสังหา จุดแข็งคือ เน้นเจาะกลุ่ม real demand และเป็นบริษัทที่มีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำ สินค้าส่วนใหญ่จะเน้นที่ราคา 3 ลบ ขึ้นไป


SC เป็นเจ้าตลาด ในสินค้าที่ราคา ตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป และเนื่องด้วยลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มบน ทำให้ยอดปฏิเสธสินเชื่อจากธนาคารมีค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับ ค่าเฉลี่ยของกลุ่ม มีการใช้ Leverage เพื่อช่วยในการสร้างผลตอบแทนให้สูงขึ้น และผู้บริหารก็มีคุม ตัวเลขหนี้สินไม่ให้เกินสัดส่วนที่ตั้งไว้ มีการกระจายไปทำ Hotels Warehouse เพื่อสร้างรายได้ประจำ 


ORI เน้นคอนโดเป็นหลักมีการกระจายไปทำ Hotels Warehouse และธุรกิจอื่นๆอีกหลายอย่าง เพื่อสร้างรายได้ประจำ ในด้านการใช้ leverage นับว่าเป็นบริษัทที่ใช้ leverage สูงที่สุดเท่าที่เกณฑ์ส่วนตัวของเราจะยอมรับได้ (ยังอยู่ในเกณฑ์แต่เต็มลิมิต)


ซึ่งจะเป็นบริษัทที่น่าจะได้ประโยชน์สูงที่สุดในกลุ่มหากมีการลดดอกเบี้ย หมายถึงภาระดอกเบี้ยจ่าย “จะลดลงมาก” ตามปริมาณหนี้สิน นั่นหมายถึง จะส่งผลลงไปยังบรรทัดกำไรสุทธิโดยตรง


Spali เป็นบริษัทที่มีความมั่นคงสูง เนื่องจากหนี้สินมีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนผู้ถือหุ้นนั้นอยู่ในระดับต่ำมาก มีการกระจายการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ (ออสเตรเลีย) สัดส่วนสินค้าทั้งบ้านและคอนโด ต่างกันไม่มากนัก 


ส่วนอสังหาตัวอื่นที่เราไม่ได้พูดถึงนั้น จะมีจุดอ่อนแต่ละด้านแตกต่างกันไป ที่ทำให้ไม่ได้เอา

เข้าอยู่ใน list ของเรา


😀😀😀😀😀😀😀😀😀😀😀


อย่าต้อนตัวเองเข้ามุมอับของชีวิต ด้วยการเล่นพนัน 


พอเล่นเสียหนึ่งครั้งก็อยากจะเอาคืน พอเล่นต่อก็เสียหนัก


พอเสียหนักก็ทำให้ต้องไปกู้หนี้ยืมสิน เอามาเล่นต่อเพื่อที่จะเอาคืน 


สุดท้ายชีวิตก็จะพัง 


ตัดวงจรความพังแต่ต้น ด้วยการไม่เล่นพนันตั้งแต่ต้น


คนที่เสียบอลอย่างหนัก ก็เริ่มต้นด้วยเล่นสนุกสนุกกันทุกคน 


พอเสียครั้งแรกก็อยากจะได้คืน ยิ่งเล่นก็ยิ่งหนัก สุดท้ายก็หมดตัว เป็นหนี้เป็นสิน


ความฝันอันสวยหรูที่จะสร้างอนาคตจะพังทะลายลงหมดทุกอย่าง เมื่อเข้าไปยุ่งกับการพนัน


😀😀😀😀😀😀😀😀😀


บริษัทที่เติบโตได้อย่างต่อเนื่องต่อเนื่อง ต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญ คือ ความสามารถในการจัดสรรเงินทุนของผู้บริหาร หากผู้บริหารนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ได้ผลตอบแทนต่ำ มันคือการทำลายมูลค่าของบริษัท


เช่น หากนำเงินทุน ไปลงทุน ไปซื้อหุ้น ของบริษัทที่หนี้สินล้นพ้นตัวและผลประกอบการขาดทุน นั่นคือ ผบห กำลังทำลายผลตอบแทนของเงินทุนนั้น


😀😀😀😀😀😀😀😀😀😀😀


การลงทุนระยะยาว เป็นการลดความเสี่ยงในการลงทุนที่ดีที่สุด


😀😀😀😀😀😀😀😀


คนที่ค้าขายล้วนมองหาทำเลที่มีโอกาสที่จะขายของได้มาก 


คนทำธุรกิจล้วนมองหาโอกาสในการทำธุรกิจที่ดีที่สามารถทำเงินได้ 


โอกาสที่มองหากันเหล่านี้ เรียกว่า ”อัตราต่อรอง“ (odds) ถ้าไปอยู่ในจุดที่มีอัตราต่อรองที่ได้เปรียบก็มีโอกาสทำเงินได้มากกว่า จะไปอยู่ในจุดที่มีอัตราต่อรองที่เสียเปรียบ


การลงทุน ในตลาดหุ้นก็เช่นกัน ก่อนที่จะทำดีล (ก่อนที่จะตกลงซื้อขาย) จะต้องมองหาอัตราต่อรองที่ได้เปรียบ ซึ่งอาจจะใช้วิธีที่แตกต่างกันในการหา บางคนใช้ เทคนิคเคิล บางคนใช้งบการเงินใช้ปัจจัยพื้นฐาน บางคนใช้ภาพใหญ่ของเศรษฐกิจ Macro economic บางคนใช้ข่าววงใน บางคนใช้ charisma


ถ้าลงทุนในจุดที่มีอัตราต่อรองที่ได้เปรียบซ้ำๆ ซ้ำๆเป็นระยะเวลาที่นานพอ แม้ว่าบางดีล จะขาดทุนบ้างแต่ภาพรวมแล้วคุณจะได้กำไร


ทุกดีลในตลาดหุ้น ทุกการซื้อขายล้วนแต่แย่งชิงกัน มองหา odds ที่ได้เปรียบ ทั้ง buyer และ seller 


แต่เนื่องจากผู้ซื้อและผู้ขายต้องมาดีลกัน 


ดังนั้น หากบน Time frame เดียวกันแปลว่าจะต้องมีคนหนึ่งถูกและคนหนึ่งผิด ดังนั้นคนที่คิดน้อยกว่า คนที่เผลอเรอมากกว่า คนที่ใช้อารมณ์ ในการตัดสินใจมากกว่า เป็นคนที่เสียเปรียบเสมอ


ส่วนคนที่เห็นตลาดหุ้นเป็นบ่อน เข้ามาในตลาดหุ้นเพื่อการพนัน ก็จะไม่หาข้อมูลอะไรที่ ทำให้ได้ไปยืนอยู่ในจุดที่ Odds มีโอกาสที่ดี แต่จะพึ่งดวง พึ่งโชคเป็นหลัก


###########################


คนส่วนใหญ่ที่ไม่ซื้อบ้าน ลืมคิดไปว่า แท้จริงแล้วการซื้อที่อยู่อาศัย & การทยอยผ่อนที่อยู่อาศัย 


มันคือการเก็บออมอย่างหนึ่ง  


ในคนที่ไม่ได้มุ่งเน้นไปกับการลงทุนมากนัก ในคนทั่วๆไปที่ทำงานมีรายได้จากการทำงาน หากผ่อนบ้าน สุดท้ายแล้วก็คือได้เป็นทรัพย์สินเป็นเงินก้อนขึ้นมา


แต่หากไม่ได้ซื้อบ้านหรือผ่อนบ้าน หลายคนคิดว่าจะมีเงินเหลือ แต่จริงๆแล้วเงินก้อนนั้นก็มักจะไม่เหลือ 


มันก็เหมือนกับเวลาคุณซื้อกาแฟสตาร์บัคส์ทุกวัน ถ้าคุณไม่ซื้อ โดยการคำนวณแล้วน่าจะมีเงินเหลือ แต่จริงๆแล้วก็มักจะไม่เหลือเพราะนำไปใช้จ่ายอย่างอื่นอยู่ดี 


แต่กาแฟสตาร์บัคส์กินหลายหลายปีแล้ว มันสะสมเป็นเงินก้อนกลับคืนมาไม่ได้ ไม่เหมือนบ้าน


ไม่ได้บอกว่าวิธีคิดแบบนี้จะเหมาะสมกับทุกๆคน  


แต่ มันดีกับคนส่วนมาก


สำหรับนักลงทุนที่มีทางเลือกในการลงทุนอื่นที่ดีกว่า และเก็บออมเงินได้เก่ง ก็อาจจะมีช่องทางอื่นที่เหนือกว่า ซึ่งผมก็คงไม่ต้องพูดถึงเพราะ คนที่เก็บออมเก่งและเป็นนักลงทุน จะรู้ดีอยู่แล้ว ว่าอะไรดีสำหรับเขา เหมาะสมสำหรับเขาแบบเฉพาะรายบุคคล


##############

หลักในการขายหุ้น

1. เมื่อพื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวร จากที่ได้คาดการณ์ไว้แต่ต้น

2. เมื่อเจอหุ้นของบริษัทอื่นที่มีโอกาสมากกว่า และความเสี่ยงต่ำกว่า


ถ้าไม่เข้าทั้ง 2 ข้อนี้ก็ถือไปก่อน ไม่รีบร้อนขายหุ้น


การขายหุ้นเพราะได้กำไรมาก ไม่ใช่เหตุผลที่ดีในการขาย


##############

หุ้นเล็กมาร์เก็ตแคปเล็กโตง่ายก็จริง แต่ต้องไม่ลืมว่าบริษัทเล็กต้นทุนทางการเงินต่ำพอที่จะสู้กับบริษัทใหญ่ได้หรือไม่ มีเงินพอที่จะวิจัยพัฒนาสินค้าสู้กับบริษัทใหญ่ได้หรือไม่ และหากโดนบริษัทใหญ่ใช้สงครามราคา ใช้การตัดราคา บริษัทเล็กจะเอาตัวรอดได้หรือไม่ 


ถ้าทำได้หมดอย่างที่ว่าบริษัทเล็กย่อมดีกว่าแต่ถ้าไม่ แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าบริษัทจะอยู่รอดได้ในระยะยาว 

@@@@@@@@@@@


ที่ต้องทำคือ เตรียมพอร์ตการลงทุนให้พร้อมรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆให้ดีที่สุด

@@@@@@@@@@


เห็นคนพูดถึงพอร์ตปันผลพอร์ตแตกอะไรทำนองนี้ ใน ทวต อ่านละ ขำมากๆ


อย่าว่าแต่การลงทุนที่วางแผนแบบเซฟที่สุดอย่างหุ้นปันผลเลย ต่อให้เทรด forex ถ้ามีมายด์เซ็ทที่คอนเซอร์เวทีฟ ที่คิดอย่างละเอียดรอบคอบ เทรดให้ตายพอร์ตก็ไม่แตก 


Mindset แบบไหน เทรดยังไงพอร์ตไม่แตก 😊


- เลือก asset ที่ไม่มีวันที่มูลค่าจะเป็น 0 หรือ โอกาสเป็นศูนย์ต่ำมากๆๆๆๆ เช่น สกุลเงินหลักๆ Gold Silver 


- ใช้ Leverage เท่าไร เงินสำรองแบบเต็ม 100% เช่น ใช้แบบ 1:1000 ต้องมีเงินสดสำรอง 1000 เอาไว้จริงๆแม้จะเทรดแค่ 1 ก็ตาม 


- เทรดแบบวางโซน แบ่งไม้ซื้อ แบ่งเงินพร้อมซื้อ เมื่อราคาไหลลง วางโซนซื้อจนถึง 0 


- วางโซนขาย ตามไม้ที่ได้กำไร เพื่อสร้างกระแสเงินสดออกมา


- แกว่งลงซื้อ แกว่งขึ้นขาย 


- โดนเรียกมาร์จิ้นเพิ่ม มีเงินเติมตลอด เพราะสำรองเงินครบทั้ง 100%


- วางออเดอร์ แล้วปล่อยให้ราคาแกว่งไป กินกำไรทุกไม้ที่ราคาแกว่งขึ้น ซื้อคืนทุกไม้ที่ราคาแกว่งลง


- อย่าลืมดูเรื่อง swap ว่าได้เปรียบหรือเสียเปรียบ เลือกคู่สกุลเงินที่มี swap ที่ได้เปรียบ ที่เป็นบวก


- เลือกโบรกที่ยอมให้วางออเดอร์จำนวนมากๆได้ เพราะมีบางโบรกไม่ยอมให้วางออเดอร์จำนวนมาก เพราะกลัว Player วางโซน


รายละเอียดต่างๆเพิ่มเติม ต้องสังเกตและปรับปรุงกันเอง ความจำเรื่องนี้ของผม มันเลือนลางเหลือเกิน เล่าฟังกันสนุกๆเท่านั้น


คนเป็นนักลงทุน เป็นวีไอ จะมารู้อะไรกับการเทรด กับ forex 🤣🤣🤣



@@@@@@@@@@


เลือกเลยครับชีวิตคุณคุณอยากได้แบบไหน เลือกได้ตามสบาย ชีวิตของคุณ เงินของคุณ ความสุขสบาย หรือความลำบากตอนแก่ ก็เป็นของคุณเช่นกัน


วงจรแห่งความรุ่งเรือง


ทำงานประหยัดอดออม สะสมหุ้นปันผลที่มั่นคงและมีการเติบโต ต่อมา รับปันผล+ เงินจากการเก็บออมจากรายได้ นำมาสะสมหุ้นปันผลเพิ่ม  


ส่งผลให้ได้เงินปันผลเพิ่มมากขึ้น+ เงินเก็บออมจากรายได้ รวมกันมากขึ้นไปอีก แล้ว นำมาสะสมหุ้นปันผลเพิ่มอีก 


วนลูบ ซ้ำๆไปเรื่อยๆ สุดท้ายคือ กระแสเงินสดไหลเข้าจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นวงจรแห่งความรุ่งเรือง 


*********************


วงจรแห่งความตกต่ำ


มีรายได้เท่าไหร่ใช้ให้หมด มีความสุขในวันนี้ อนาคตช่างหัวมัน  


พอเจ็บป่วยต้องใช้เงินเงินก้อนใหญ่ เงินไม่พอ ก็ไปกู้ยืม ทำยังไงได้ของมันต้องกินต้องใช้ 


มีเงินเหลือนิดหน่อยก็เอามาซื้อหวย แทงบอล เล่นพนัน ปั่นสล็อต หาความสุขชั่วคราว แล้วกลับไปจนกว่าเดิม


เพราะเป็นหนี้หัวโต ยิ่งเวลาผ่านไปยิ่งหัวโตเพราะโดนดอกเบี้ยเงินกู้ฟาดหัวทุกวัน


@@@@@@@@@


ถ้าคุณเป็นนักลงทุน ไม่ใช่นักเก็งกำไร คุณแทบไม่ต้องสนใจเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการลงทุน แล้วทำให้คาดว่าราคาจะขึ้นหรือจะลงเลย 


สิ่งที่คุณต้องรู้ไว้ก็คือ  หลายหลายครั้งกองทุนต้องขายหุ้นออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่ได้เกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานเลย เช่น ขายเมื่อกราฟราคาดูไม่ดี  ขายเมื่อลูกค้ามาขายคืนหน่วยลงทุนเยอะทำให้ต้องการเงินสดไปคืนลูกค้า 


กองทุนต้องรักษาระดับผลงานให้ดูดีแทบจะ  ”ตลอดเวลา“ เพื่อป้องกันลูกค้าถอนหน่วยลงทุน 


ซึ่งการที่ลูกค้าถอนหน่วยลงทุนนั้น ลูกค้าไม่เคยมารู้เลยว่าหุ้นตัวไหนดีไม่ดี  แค่เหตุผลจำเป็นส่วนตัวในการใช้เงิน และลูกค้าก็ไม่เคยรู้เลยว่าเมื่อถอนเงินแล้วกองทุนจะไปขายหุ้นตัวไหน


ดังนั้นราคาที่แกว่งขึ้นลงบ่อยบ่อย หลายๆครั้งเกิดจากกองทุนซื้อซื้อขายขาย  ซึ่งคุณแทบไม่ต้องไปสนใจเลย


ถ้าคุณเป็นนักลงทุน คุณสนใจเฉพาะเหตุผลที่มากระทบกับยอดขายของบริษัท กระทบกับพื้นฐานของบริษัทเท่านั้นก็พอ  


@@@@@@@@


ทุกคนสามารถมีความมุ่งมั่นได้

บางคนมุ่งมั่นได้หลายชั่วโมง  

บางคนมุ่งมั่นได้หลายวัน 

บางคนมุ่งมั่นได้หลายสัปดาห์ 


แต่คนที่ประสบความสำเร็จ 

มุ่งมั่นได้หลายสิบปี

@@@@@@@@@@@


ในระยะยาว มูลค่าเป็นตัวกำหนดราคาหุ้น 


การเก็งกำไรระยะสั้นทำให้ราคาหุ้นผันผวนและมีราคาสูงขึ้นได้ แต่มันก็เป็นเพียงการเก็งกำไรเท่านั้น ไม่ได้มีมูลค่าพื้นฐานรองรับ  นั่นหมายถึงว่าถ้าคุณติดดอยคุณเก่งกำไรที่ไม่มีมูลค่าพื้นฐานรองรับแล้วแล้วก็ โอกาสที่จะได้เงินคืนมานั้นริบหรี่เหลือเกิน 


@@@@@@@


นักลงทุนไม่น้อย ไม่สามารถนั่งทับมืออยู่นิ่งๆได้  พยายามไล่ล่าหาผลตอบแทนเพราะรู้สึกต้องทำอะไรสักอย่าง และเพราะความเบื่อหน่ายถ้าต้องอยู่นิ่งๆ








วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2567

หลักคิด 40

 ไม่มีหุ้นตัวไหนที่มันดีมาก จนสามารถซื้อได้ทุกราคาหรอกนะ

@@@@@@@@@@@


ถ้าคุณไม่ควบคุมใจของคุณ 

ความยากจนจะควบคุมคุณเอง

คุณจะรู้สึกเหมือนต้องดิ้นตลอดเวลาแต่เงินไม่พอใช้ แม้จะหาได้มาก


@@@@@@@@


ลองสังเกตตัวเอง ถือหุ้นหนึ่งตัวมูลค่าเท่าไร ที่จะไมเป็นการ over position เพราะการถือในสัดส่วนที่มากเกินไปจะส่งผลให้ทนความผันผวนได้ต่ำลง  แต่ก็ต้องถือให้มากที่สุดเท่าที่จะมีนัยยะต่อพอร์ตด้วยเช่นกัน


@@@@@@



นักลงทุนจำนวนไม่น้อยทำผิดพลาดแรกด้วยการมองข้ามหุ้นของบริษัทที่ดีตอนราคาต่ำ


แล้วก็ทำผิดพลาดซ้ำสอง ด้วยการไปซื้อหุ้นตัวที่มองข้ามไปในตอนแรก ด้วยราคาที่สูงเกินไปในตอนที่ ทั้งตลาดเห็นพ้องกันแล้วว่ามันเป็นหุ้นที่ดี


@@@@@@@@



อย่าให้ความผันผวนของราคาหุ้น หลอกให้คุณขายธุรกิจที่ดีออกจากพอร์ตลงทุนของคุณ


@@@@@@@@@@



การลงทุนควรกระจายในหลายอุตสาหกรรม 


แต่ถ้าอุตสาหกรรมใดตกต่ำถึงขีดสุดแล้วกำลังฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด 


การโฟกัสเฉพาะอุตสาหกรรมนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่


@@@@@@@@@@



ก่อนจะซื้อหุ้นเพื่อการลงทุน ให้ถามตัวเองก่อนว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้คุณเลือกหุ้นบริษัทนี้ ให้อย่าลืมพิจารณาด้วยว่าเหตุผลที่คุณกล่าวอ้างนั้นมันเป็นเหตุผลของหลักการลงทุน หรือเป็นเหตุผลของการเก็งกำไร


แต่ถ้าคุณแยกไม่ออกว่าอะไรคือ หลักในการลงทุน และอะไรคือหลักในการเกร็งกำไร ก็อย่าเพิ่งซื้อหุ้น ให้ไปศึกษาหลักการให้เข้าใจซะก่อน


@@@@@@@@


ก่อนที่จะประสบความสำเร็จ ต้องผ่านความล้มเหลวอย่างมากมายกันทุกคน 


เมื่อประสบกับความล้มเหลวมากๆ “หมดหวังและเลิกทำต่อ”  นั่นคือสิ่งที่คนส่วนใหญ่เลือก


@@@@@@@@


สิ่งสำคัญในการคัดเลือกหุ้น คือ ต้องเข้าใจว่าบริษัทจะสร้างคุณค่าได้อย่างไรทั้งในปัจจุบันและในอนาคต


@@@@@@@@@


หากจับจังหวะตลาดมากเกินไป จะทำให้พลาดโอกาสในการลงทุน


@@@@@@@


ถ้าคุณเป็นเจ้าของกิจการที่ดีๆ และมันยังดีต่อเนื่องไปอีกหลายหลายปีข้างหน้า 


คุณอยากจะขายมันให้กับคนอื่นจริงๆหรือ ???


@@@@@@@


สิ่งสำคัญที่นักลงทุนควรจะโฟกัส ก็คือตัวธุรกิจ ไม่ใช่ราคาหุ้น


@@@@@@@


ถ้าคุณ ค้นพบบริษัทที่ดี น่าจะมีการเติบโตต่อเนื่องต่อเนื่อง ได้ในระยะยาว และสามารถซื้อได้ในราคาสมเหตุสมผลแล้วแล้วก็สิ่งที่ต้องทำ “แค่ถือมันเอาไว้ให้มั่น”  อย่าให้ความผันผวนของราคาทำให้หุ้นที่ดีหลุดมือไป


@@@@@@@@


คนรวยไม่เคยกังวลว่าจะตายก่อนใช้เงินหมด


ส่วนคนจนกลัวว่าจะใช้เงินไม่หมดก่อนตาย เลยต้องรีบใช้


จะเห็นว่าวิธีคิดของคนจนและคนรวยแตกต่างกัน


ซึ่งมันทำให้คนรวยก็ยังเป็นคนรวย ในขณะที่คนจนก็จนต่อไป


@@@@@@@@


ลองถามตัวเอง ว่ามีความชำนาญหรือจุดเด่นอะไรเป็นพิเศษที่เหนือค่าเฉลี่ย  ถ้าไม่มีแล้วจะหวังให้ได้ผลลัพธ์ที่เหนือค่าเฉลี่ยได้อย่างไร


ดังนั้นสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเองให้มันติดตัวเพื่อให้เป็นจุดเด่นของตนเอง


@@@@@@@


ในตลาดหุ้น Player ส่วนมากมุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์ มากกว่าวิธีการลงทุนที่ถูกต้อง 


หมายถึง คนส่วนมากโฟกัสไปที่ราคาหุ้น มากกว่าจะมุ่งเน้นไปที่หลักการในการเลือกหุ้นที่จะลงทุน


หลักการที่ถูกต้อง จะให้ผลลัพธ์ที่ดีหรือแย่ก็ได้ในระยะสั้น แต่ในระยะยาวแล้วจะเพิ่มโอกาสสูงขึ้นมากในการให้ผลลัพธ์ที่ดี


ส่งนการโฟกัสไปที่ราคานั้น โอกาสเดาถูกจะพอๆกับเดาผิด และไม่ได้เพิ่มโอกาสที่ดีในระยะยาว


@@@@@@@@@@@



การขายหุ้นเติบโต ให้ขายเมื่อเกินมูลค่าไปมากจริงๆเท่านั้น หรือเมื่อ การเติบโตลดลง (หมดการเติบโต อย่างมีนัยยะ)


การขายหุ้นมั่นคง  หุ้นที่เติบโตไม่สูง หุ้นก้นบุหรี่ ควรขายเมื่อมันเต็มมูลค่า หรือเริ่มเกินมูลค่าแล้ว


สังเกต  ไม่มีบอกให้ขายเมื่อได้กำไรมาก


@@@@@@@@@@@



การมีวินัยทางการเงินและการใช้ชีวิตให้ต่ำกว่าฐานะ เป็นทัศนคติที่แบ่งแยกคนรวยออกจากชนชั้นกลางหรือคนจน และมันคือทัศนคติพื้นฐานที่สุดสำหรับความมั่งคั่ง

@@@@@@@@@@


พนักงานคนหนึ่งของ BRK บอกว่า วอร์เรน บัฟเฟตต์ คิดเรื่องเบิร์กไชร์ฮาทาเวย์ วันละ 24 ชั่วโมง 


เพื่อนร่วมงานของ ปีเตอร์ ลินซ์ บอกว่า ปีเตอร์ ลินซ์ เป็นคนที่มีชีวิตหายใจเป็นหุ้น ทั้งเช้า กลางวัน เย็นและกลางคืน 


ทุกลมหายใจ คือ การลงทุน


คนที่ประสบความสำเร็จ ส่วนมากมักจะเสพติดในสิ่งที่ทำจนถอนตัวไม่ขึ้น และให้เวลากับสิ่งนั้นอย่างมาก


@@@@@@@@@



การลงทุนใดๆที่ไม่เข้ากับหลักเกณฑ์ที่มีอยู่ 


การลงทุนนั้นคือความผิดพลาด นักลงทุนที่มากประสบการณ์จะแก้ไขทันที


@@@@@@@@@


การลงทุน คือ การเอาเงินของตนเองไปให้คนอื่นดูแล (คนอื่นที่ว่าก็คือผู้บริหาร) 


ดังนั้นอย่าลืมที่จะดูบุคลิกนิสัยของผู้บริหาร ว่าใช่คนที่คุณจะไว้วางใจให้ดูแลเงินของคุณได้หรือไม่


@@@@@@@@@@@@@@


ถ้าคุณลงทุนระยะยาวด้วยภาพที่ใหญ่กว่าแค่รายไตรมาส คุณจะแทบไม่ต้องพยายามดิ้นรน ขุดคุ้ย หาข้อมูล ของบริษัทที่เป็นภาพเล็กเลย


ทุกวันนี้ร้อยละ 90 พยายามดิ้นรน ขุดคุ้ยหาอะไรบางอย่างที่จะส่งผลเป็น “ตัวเร่ง” เพื่อแค่ทำกำไรรายไตรมาสแบบเร็ว


จริงๆแล้วการลงทุนแนวนี้ มันก็คือการเก็งกำไรอย่างนึงเท่านั้นเอง เป็นการเก็งกำไรรายไตรมาส โดยพยายามหาเหตุการณ์มาเป็นตัวเร่ง (Catalyst)


ถ้าคุณคิดจะลงทุน ในบริษัทหนึ่งยาวนาน 5 ถึง 10 ปี หรือนานกว่านั้น เหตุการณ์ที่เป็นตัวเร่งรายไตรมาส แทบไม่มีความสำคัญอะไรเลย เหตุการณ์เพียงไตรมาสเดียวมีผลกระทบน้อยมากกับการลงทุนระยะยาวจริงๆ


มันไม่ถึงขั้นซื้อแล้วลืม ก็ต้องติดตามอยู่นั่นแหละ แค่เพียงไม่ต้องไล่ล่าหาหุ้นที่มีตัวเร่ง รวมทั้งไม่ให้ผลงานระยะสั้นมีผลต่อการตัดสินใจลงทุนมากเกินกว่าที่ควรจะเป็น หากมันไม่ได้ทำให้ภาพใหญ่เปลี่ยนไปจริงๆ


@@@@@@@@@@


การมองหาการลงทุนจะประกอบไปด้วย การค้นหาหุ้น การประเมินมูลค่าหุ้น การพยายามทำความเข้าใจโมเดลธุรกิจ การทบทวนข้อผิดพลาด การหาจังหวะในการซื้อ การจับตาดูอย่างใกล้ชิด และการขาย


กระบวนการเหล่านี้เป็นสิ่งที่สนุกสำหรับนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ  แต่เป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับนักลงทุนที่เข้ามาในตลาด โดยหวังแต่จะรีบฟันกำไรแต่เพียงอย่างเดียว


คนที่สนุกกับกระบวนการในการลงทุนเหล่านี้ จะยอมทุ่มเทเวลา ใช้พลังงานกับกระบวนการเหล่านี้อย่างไม่รู้สึกเหนื่อย จนทำให้เขาเก่งขึ้นทุกวัน


แน่นอนว่าทุกคนล้วนมีความสุขกับกำไรที่ได้มา  แต่นักลงทุนที่เก่งจะมีความสุขกับกระบวนการในการลงทุนด้วย


@@@@@@@@@@


อย่าปล่อยให้ความคิดเก็งกำไรส่งผลต่อแผนการลงทุน 


และอย่าใช้เงินเกิน 10% ของเงินทั้งหมดที่มีในการเก็งกำไร


@@@@@@@@@



เลือกหุ้นที่น่าจะมีอนาคตที่ดี มีการเติบโตต่อเนื่องสักชุดหนึ่ง 


ซื้อในราคาที่สมเหตุสมผลแล้วถือให้นานพอ  ติดตามตัวธุรกิจไม่ใช่ราคาหุ้น 


อย่าให้ข่าวหรือราคาหุ้นหรือความผันผวนระยะสั้นทำให้คุณตกใจกลัว อย่าให้มันส่งผลต่อจิตใจของคุณมากไปกว่าตัวธุรกิจ


ซื้ออย่างถูกต้อง บนราคาที่สมเหตุสมผล แล้วถือมันให้นาน


@@@@@@@@



สังเกต เนื้อหาการคุยกัน เนื้อหาการเสพสื่อ ทีวี อินเตอร์เนท ในบ้าน ในครอบครัว ถ้า 100% คือเรื่องของปัญหาสังคม อาชญากรรม หรือการนินทา คุยถึงแต่เรื่องของคนอื่น หรือแม้แต่ท่องเที่ยวไปวันๆ มันจะจรรโลงความคิดในการสร้างรายได้ ได้อย่างไร 


เราเชื่อว่าแนวโน้มเนื้อหาของการคุยกันในครอบครัว สามารถสื่อถึงแนวโน้มความสามารถในการหาเงิน สื่อถึงแนวโน้มความมั่งคั่งได้ เพราะมันสื่อถึงความใส่ใจ ความมุ่งมั่นในการสร้างรายได้ 


แน่นอนว่า ไม่ใช่ว่าสนใจมากจะต้องร่ำรวยมาก แต่ถ้าไม่สนใจเลย หนทางสู่ความมั่งคั่งยอมแคบหรือตีบตัน


การเอาแต่กราบไหว้ ขอพร แต่ไม่มุ่งมั่น ความสำเร็จย่อมห่างไกล


@@@@@@@@@@


ถ้าคุณประเมินมูลค่าทั้งบริษัทไปอีก 5 หรือ 10 ปีข้างหน้า โดยอัตราการเติบโตของบริษัทที่มีความคอนเซอร์เวทีฟมากเพียงพอ 


และเมื่อคำนวณแล้วราคาปัจจุบัน ไปถึงมูลค่าที่ประเมินได้มีผลตอบแทนทบต้นอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ 


คุณก็สามารถซื้อหุ้นนั้นได้โดยที่ไม่ต้องดูอัตราส่วนในปัจจุบันก็ได้ 


แต่ต้องไม่ลืมว่า ต้องเป็นบริษัทที่มั่นใจว่ามีรายได้สม่ำเสมอ ซึ่งโดยมากก็ต้องมีประวัติย้อนหลังที่ดีมาก่อน หรือเป็นธุรกิจที่สร้างความมั่นใจได้สูงว่าสามารถ สร้างรายได้ให้มีการ “เติบโตต่อเนื่อง” ได้จริงๆ


และต้องมั่นใจด้วยว่ามูลค่าที่ประเมินได้นั้นเป็นการประเมินด้วยความอนุรักษ์นิยมเพียงพอ 


ถ้าหาบริษัทได้ตามนี้แล้วอัตราส่วนปัจจุบันก็แทบจะโยนทิ้งได้เลย  


แต่ถ้าหาไม่ได้ตามนี้แล้ว หรือไม่สามารถคาดการณ์รายได้ในอนาคตที่จะเพิ่มได้อย่างแน่นอน อย่างมั่นใจ


ถ้าเป็นแบบนั้น อัตราส่วนปัจจุบันนี่แหละ คือสิ่งสำคัญ ที่ต้องดู


@@@@@@@@@@@@@



บริษัทที่เติบโตได้อย่างต่อเนื่องต่อเนื่อง ต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญอย่างไร คือความสามารถในการจัดสรรเงินทุนของผู้บริหาร หากผู้บริหารนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ได้ผลตอบแทนต่ำ มันคือการทำลายมูลค่าของบริษัท


เช่น หากนำเงินทุน ไปลงทุนในบริษัทที่หนี้สินล้นพ้นตัวและผลประกอบการขาดทุน นั่นคือ ผบห กำลังทำลายผลตอบแทนของเงินทุนนั้น


@@@@@@@@@@@@@@



ซื้อหุ้นที่มีการเติบโต ในราคาที่เหมาะสม มีผู้บริหารที่เก่ง แล้วเกาะติดกับบริษัทไว้ให้นานที่สุด


@@@@@@@@@@@@@



ถามตัวเองว่าถ้ามีคนลักษณะแบบนี้มาชวนคุณร่วมทุนทำธุรกิจ จากพฤติกรรมของเขา คุณอยากร่วม ทำธุรกิจด้วย ถ้าตอบว่าใช่ก็แสดงว่าพฤติกรรมของผู้บริหารน่าจะมุ่งไปในทางทำธุรกิจ แต่ถ้าตอบว่าไม่ก็ไม่ควรที่จะซื้อหุ้นแม้แต่หุ้นเดียว 


ใส่ใจพฤติกรรมของผู้บริหารให้มากกว่าราคาหุ้น


@@@@@@@@@@@@@@@


อย่าซื้อหุ้นของบริษัทที่ผู้บริหาร มองเห็นรายย่อยเป็นแหล่งหาเงิน มากกว่าการทำธุรกิจ


@@@@@@@@


หน้าที่หลักของนักลงทุน คือ การจัดสรรเงินทุน ให้ไปอยู่ในจุดที่ได้ผลตอบแทนสูงหลังหักลบความเสี่ยงแล้ว


@@@@@@@@@



การปฎิบัติตามกระบวนการที่ถูกต้อง ในระยะสั้นอาจได้ผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้ 


เพราะกระบวนการหรือหลักการที่ถูกต้อง แม้จะควบคุมได้ในส่วนมาก แต่ก็มีปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้เข้ามาแทรกแซง ทำให้อาจได้ผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ปนเข้ามาด้วย


แต่หากปฏิบัติตามหลักการที่ถูกต้องเป็นระยะเวลาที่นานพอสมควร  สุดท้ายแล้วก็จะได้ผลลัพธ์ส่วนใหญ่ที่ถูกต้อง มากกว่าได้ผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ 


แต่ถ้าหาก ไม่ปฏิบัติตามหลักการที่ถูกต้อง แนวทางหลักก็จะนำไปสู่ความผิดพลาด แต่ก็แน่นอนว่ามีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้เข้ามากระทบซึ่งปัจจัยที่ว่าอาจจะบังเอิญส่งผลดีทำให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ


จุดนี้ต้องระวัง เพราะจะทำให้เข้าใจผิดว่าหลักการที่ไม่ถูกต้องนั้น ถ้าทำตามแล้วจะได้ผลลัพธ์ที่ดี ส่งผลให้เกิดการทำซ้ำ 


และเมื่อทำซ้ำเป็นระยะเวลาที่นานพอ มันก็ย่อมจะได้ผลลัพธ์ส่วนมากที่ไม่พึงประสงค์ตามหลักการที่มันไม่ถูกต้อง


การลงทุนก็เช่นกัน


@@@@@@@@@@@@


การสร้างพอร์ตหุ้นปันผล ข้อดีคือ เมื่อได้เงินปันผลแล้วคุณสามารถนำกลับไปลงทุนใหม่ได้ มันเปิดโอกาสให้คุณนำเงินไปลงทุนในหุ้นตัวใหม่ ในจังหวะใหม่ และอาจจะในความคิด ในหลักการลงทุนใหม่ๆ


เมื่อได้เงินปันผลมาแล้วหากยังไม่เห็นโอกาสในการลงทุนคุณก็เก็บเป็นเงินสดเอาไว้ก่อนได้  เหมือนอย่างที่ปู่บัฟเฟตต์ ถือเงินสดเอาไว้ไม่น้อยเลยทีเดียว


เงินปันผลหนึ่งล้านบาทถ้านำมาเฉลี่ยต่อวันจะเท่ากับวันละประมาณ 2700 บาท  


หรือถ้าเงินปันผลปีละ 7.5 ล้านบาทก็จะเฉลี่ยเท่ากับวันละประมาณ 20,000 บาท  


ความหมายของ “เงินปันผลที่เฉลี่ยต่อวัน”  ก็คือแค่ตอนเช้าตอนเช้าคุณอยู่บนเตียงตื่นมาลืมตาปุ๊บ ก็เสมือรับเงินแล้ว ไม่ว่าวันนั้นจะเป็นวันทำงาน วันหยุด วันพักผ่อน วันที่เกษียณแล้ว หรือแม้แต่วันที่นอนป่วยอยู่บนเตียง ก็เสมือนได้รับเงินทันทีในทุกเช้า ในทุกวัน


@@@@@@@@@@@@



โพสก่อนหน้า พูดถึงเรื่องพอร์ตปันผล โพสนี้เลยทำตัวเลข สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นสร้างพอร์ตปันผล หรือบางคนยังอายุน้อยเพิ่งเริ่มทำงาน 


แนะนำให้ใช้เป้าแรกก่อน คือ สร้างพอร์ตปันผลให้มูลค่าพอร์ตได้ 2 ลบ ก่อน แล้วค่อยๆขยับเป้าหมายขึ้น


พอร์ตมูลค่าสองล้านบาท  สมมติซื้อหุ้นปันผล ได้ปันผลปีละ 5% เงินปันผลต่อปีจะได้ 1 แสนบาท หรือ เฉลี่ยเดือนละ 8300 บาท 


หลังจากนั้นค่อยๆสะสมทั้งจากรายได้และเงินปันผล ค่อยๆเพิ่มมูลค่าพอร์ต ปีหลังๆยิ่งปันผลมาก มูลค่าพอร์ตจะยิ่งเพิ่มไว ส่งผลให้ได้ปันผลเพิ่มมากขึ้นไปอีก


คนอายุน้อยเริ่มต้นพอร์ตเล็กก็จริง แต่มีเวลามาก กว่าจะเกษียณ พอร์ตใหญ่เหลือเฟือ ไม่ต้องเป็นภาระให้ลูกหลาน



@@@@@@@@@@


หุ้นเมกานั้น เท่าที่รู้ คือ บางบริษัทมีแบ่งเป็น Class A และ B  บางบริษัทมี Class C อีกด้วย 


เอาจริงๆเราก็ไม่ค่อยคุ้นเคยกับการแบ่ง Class เพราะในหุ้นไทยไม่มีอะไรแบบนี้ มีแต่ NDVR ไปเลย (ไม่มีสิทธิออกเสียง)


เท่าที่พอรู้คือ จะต่างกันตรงสิทธิในการออกเสียง 


วันนี้พยายามหาข้อมูลเพิ่มเติม (ความรู้หุ้นเมกาจองเรายังน้อย มีอีกหลายจุดที่เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ที่เรายังไม่เข้าใจลึกซึ้งพอ รวมถึงแหล่งในการหาข้อมูล ถึงจะมีแอพต่างๆช่วย แต่ก็ไม่ละเอียดมากพออย่างที่เราต้องการ)


อย่างเช่น รู้ว่าหุ้นสามัญของ META Platforms มีหุ้นประมาณ 2550 ล้านหุ้น (ตัวเลขขยับขึ้นลง เพราะมีซื้อหุ้นคืน และขายหุ้นซื้อคืนด้วย รวมถึงมี ESPP)


แต่บางครั้งก็ งง รายชื่อผู้ถือหุ้นที่เป็นสถาบัน บางแอพคำนวนเป็น % กับยอด amount ทำไม ไม่ตรงกับที่เราลองคำนวน 


เพิ่งจะถึงบางอ้อ ตรงที่ META มีหุ้น Class A ประมาณ 2200 ล้านหุ้น และ Class B ประมาณ 350 ล้านหุ้น 


บางแอพคำนวนอิงจำนวนของ Class A ไม่ได้อิงจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมด (A+B)


เข้าใจว่าที่อิง Class A อย่างเดียวเป็นเพราะหุ้นที่ซื้อขายในตลาดของ META คือ Class A เท่านั้น ส่วน Class B หาข้อมูลไม่มีจึงคิดว่าไม่ได้เอาเข้าตลาด 


แต่ Class B ที่มีประมาณ 350 ล้านหุ้นนั้น Mark Z. ถือหุ้น Class B มากถึง 345 ล้านหุ้น และถือหุ้น Class A 0.04% ก็น่าจะประมาณ 880,000 หุ้น


ที่ Mark ถือหุ้น Class B เกือบ 100% เป็นเพราะ Class A 1 หุ้นต่อ 1 เสียง แต่ Class B 1 หุ้นเท่ากับ 10 เสียงโหวต 


แต่ในสิทธิด้านอื่นจะเท่ากัน เช่น เงินปันผล Class A และ B จะได้เงินปันผลต่อหุ้นเท่ากัน


พอจะอนุมานได้ว่า Class B มีสิทธิทุกอย่างเท่ากับ Class A แต่มีสิทธิเหนือกว่า Class A ในแง่การออกเสียงเพื่อบริหารกิจการ แปลว่า Class B มูลค่า/ราคา จะเท่ากับ หรือมากกว่าหุ้น Class A ที่ซื้อขายกันในตลาด


Mark ถือหุ้น Class B 345 ล้านหุ้น คิดเป็นประมาณ 13% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด (A 2200 + B 350)


ดังนั้น การถือหุ้น Class B ของ Mark น่าจะเป็นการถือแบบ Entrepreneur ส่วนหุ้น Class A ที่ถือเพียง 0.04% หรือประมาณ 880,00 หุ้น น่าจะเป็นการถือแบบลงทุน & Trading


ดังนั้นการที่เห็น Mark ขายหุ้น 1-2 แสนหุ้นออกมาในตลาดนั้น คือหุ้น Class A ที่อยู่ในส่วน 0.04% เรียกว่า สมมติ ถ้าจะขายทั้ง 880,000 หุ้นก็ไม่ได้มีนัยยะอะไรกับการเป็นเจ้าของกิจการ ที่ยังถือหุ้น Class B อย่างเหนียวแน่นถึง 345 ล้านหุ้น


อนึ่ง META มี ESPP โปรแกรมการซื้อหุ้นของพนักงาน ซึ่งแน่นอนว่า Mark Z. เป็น CEO ซึ่งเราเข้าใจว่าก็ย่อมจะมีสิทธิ์ในโปรแกรมนี้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นหุ้น Class A ของ Mark ส่วนหนึ่งก็น่าจะมาจากการ ซื้อตามโปรแกรมนี้ด้วย ถ้าในตลาดราคาดี การจะแบ่งขายออกก็ไม่ใช่เรื่องแปลก อะไร


#META #MARK




@@@@@@@@@


พอดีช่วงนี้พูดถึงหุ้นปันผลค่อนข้างเยอะ เลยเอาโพสเก่า มารีอีกรอบ 

แนวทางสร้างพอร์ตปันผล


- มองหาหุ้นที่มีปันผลอย่างน้อย 3% ขึ้นไป

- มีการเติบโตเฉลี่ยอย่างน้อย มากกว่า 4% ต่อปี

- มี D/E < 1.80 & IBD/E < 1.40

(ยิ่งต่ำยิ่งดี)

- ไม่เอาหุ้นคอมโม เพราะมีรอบวัฎจักร

- ไม่เอากองรีท ไม่เอาโรงไฟฟ้า เพราะมีการหมดเวลาของสัญญา 

- ไม่เอาหุ้นเล็กเพราะความไม่แน่นอนสูง ทำให้มีความเสี่ยงเพิ่ม

- ต้องรู้จักธุรกิจ และเลือก บริษัทที่มั่นใจได้ว่าบริษัทไม่ปิดกิจการในอีกสิบปีข้างหน้า

- พยายามศึกษานิสัยของ ผบห พูดแล้วทำได้อย่างที่เคยพูดไหม

- ซื้อแล้วถืออย่างน้อยสามปี


การซื้อหุ้นเพื่อสร้างพอร์ตปันผลนั้น ไม่จำเป็นต้องทุ่มซื้อรวดเดียว ให้แบ่งซื้อเป็นหลายๆไม้  เช่น ตั้งแนวซื้อที 55 , 50 , 45  ทำนองนี้ จะช่วยทำให้คลายกังวลเวลาราคาหุ้นขึ้นก็มีหุ้นในมือ หรือเวลาราคาหุ้นลงก็ยังมีเงินซื้อเพิ่ม


@@@@@@@@@@


Temporary bad is an opportunity, permanent bad is bad.




เราโฟกัสการลงทุนเฉพาะ asset ที่สามารถผลิตสินค้าและบริการได้เท่านั้น  เพราะสิ่งที่มันผลิตได้ มันงอกเงยและเพิ่มมูลค่า


Asset ที่ผลิตสินค้าและบริการไม่ได้นั้น ทำได้เพียงคาดหวังให้วันนึงจะมีคนให้ราคา asset นั้นสูงขึ้น โดยที่มันไม่ได้ผลิตอะไรออกมา


มันคล้ายกับที่ เราชอบทำงานมากกว่าชอบซื้อหวย 


การเก็งกำไรทำได้  ไม่ผิด  ถ้าไม่มากเกินจนกระทบความมั่งคั่ง


ยกเว้นว่า สามารถสร้างระบบที่เปลี่ยนจากการเก็งกำไรให้เป็นการลงทุนได้  เหมือนที่เคยได้ยินเรื่องราวของคนที่นับไพ่ ใช้สถิติเปลี่ยนการเก็งกำไรให้เป็นการลงทุน





อุปสรรคมันมีอยู่ และรู้อยู่แล้ว หากต้องการจะทำให้สำเร็จ ต้องยอมรับว่าอุปสรรคต่างๆคือความรับผิดชอบของเรา และต้องแก้ไขมันให้ได้


หากใครคิดว่าการเดินทางสู่ความสำเร็จจะเรียบง่ายเหมือนวิ่งอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ แปลว่าโลกสวยและอ่อนประสบการณ์เกินไป




@@@@@@@


ทุกคนสามารถมีความมุ่งมั่นได้

บางคนมุ่งมั่นได้หลายชั่วโมง  

บางคนมุ่งมั่นได้หลายวัน 

บางคนมุ่งมั่นได้หลายสัปดาห์ 


แต่คนที่ประสบความสำเร็จ 

มุ่งมั่นได้หลายสิบปี