วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2567

หลักคิด 40

 ไม่มีหุ้นตัวไหนที่มันดีมาก จนสามารถซื้อได้ทุกราคาหรอกนะ

@@@@@@@@@@@


ถ้าคุณไม่ควบคุมใจของคุณ 

ความยากจนจะควบคุมคุณเอง

คุณจะรู้สึกเหมือนต้องดิ้นตลอดเวลาแต่เงินไม่พอใช้ แม้จะหาได้มาก


@@@@@@@@


ลองสังเกตตัวเอง ถือหุ้นหนึ่งตัวมูลค่าเท่าไร ที่จะไมเป็นการ over position เพราะการถือในสัดส่วนที่มากเกินไปจะส่งผลให้ทนความผันผวนได้ต่ำลง  แต่ก็ต้องถือให้มากที่สุดเท่าที่จะมีนัยยะต่อพอร์ตด้วยเช่นกัน


@@@@@@



นักลงทุนจำนวนไม่น้อยทำผิดพลาดแรกด้วยการมองข้ามหุ้นของบริษัทที่ดีตอนราคาต่ำ


แล้วก็ทำผิดพลาดซ้ำสอง ด้วยการไปซื้อหุ้นตัวที่มองข้ามไปในตอนแรก ด้วยราคาที่สูงเกินไปในตอนที่ ทั้งตลาดเห็นพ้องกันแล้วว่ามันเป็นหุ้นที่ดี


@@@@@@@@



อย่าให้ความผันผวนของราคาหุ้น หลอกให้คุณขายธุรกิจที่ดีออกจากพอร์ตลงทุนของคุณ


@@@@@@@@@@



การลงทุนควรกระจายในหลายอุตสาหกรรม 


แต่ถ้าอุตสาหกรรมใดตกต่ำถึงขีดสุดแล้วกำลังฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด 


การโฟกัสเฉพาะอุตสาหกรรมนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่


@@@@@@@@@@



ก่อนจะซื้อหุ้นเพื่อการลงทุน ให้ถามตัวเองก่อนว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้คุณเลือกหุ้นบริษัทนี้ ให้อย่าลืมพิจารณาด้วยว่าเหตุผลที่คุณกล่าวอ้างนั้นมันเป็นเหตุผลของหลักการลงทุน หรือเป็นเหตุผลของการเก็งกำไร


แต่ถ้าคุณแยกไม่ออกว่าอะไรคือ หลักในการลงทุน และอะไรคือหลักในการเกร็งกำไร ก็อย่าเพิ่งซื้อหุ้น ให้ไปศึกษาหลักการให้เข้าใจซะก่อน


@@@@@@@@


ก่อนที่จะประสบความสำเร็จ ต้องผ่านความล้มเหลวอย่างมากมายกันทุกคน 


เมื่อประสบกับความล้มเหลวมากๆ “หมดหวังและเลิกทำต่อ”  นั่นคือสิ่งที่คนส่วนใหญ่เลือก


@@@@@@@@


สิ่งสำคัญในการคัดเลือกหุ้น คือ ต้องเข้าใจว่าบริษัทจะสร้างคุณค่าได้อย่างไรทั้งในปัจจุบันและในอนาคต


@@@@@@@@@


หากจับจังหวะตลาดมากเกินไป จะทำให้พลาดโอกาสในการลงทุน


@@@@@@@


ถ้าคุณเป็นเจ้าของกิจการที่ดีๆ และมันยังดีต่อเนื่องไปอีกหลายหลายปีข้างหน้า 


คุณอยากจะขายมันให้กับคนอื่นจริงๆหรือ ???


@@@@@@@


สิ่งสำคัญที่นักลงทุนควรจะโฟกัส ก็คือตัวธุรกิจ ไม่ใช่ราคาหุ้น


@@@@@@@


ถ้าคุณ ค้นพบบริษัทที่ดี น่าจะมีการเติบโตต่อเนื่องต่อเนื่อง ได้ในระยะยาว และสามารถซื้อได้ในราคาสมเหตุสมผลแล้วแล้วก็สิ่งที่ต้องทำ “แค่ถือมันเอาไว้ให้มั่น”  อย่าให้ความผันผวนของราคาทำให้หุ้นที่ดีหลุดมือไป


@@@@@@@@


คนรวยไม่เคยกังวลว่าจะตายก่อนใช้เงินหมด


ส่วนคนจนกลัวว่าจะใช้เงินไม่หมดก่อนตาย เลยต้องรีบใช้


จะเห็นว่าวิธีคิดของคนจนและคนรวยแตกต่างกัน


ซึ่งมันทำให้คนรวยก็ยังเป็นคนรวย ในขณะที่คนจนก็จนต่อไป


@@@@@@@@


ลองถามตัวเอง ว่ามีความชำนาญหรือจุดเด่นอะไรเป็นพิเศษที่เหนือค่าเฉลี่ย  ถ้าไม่มีแล้วจะหวังให้ได้ผลลัพธ์ที่เหนือค่าเฉลี่ยได้อย่างไร


ดังนั้นสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเองให้มันติดตัวเพื่อให้เป็นจุดเด่นของตนเอง


@@@@@@@


ในตลาดหุ้น Player ส่วนมากมุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์ มากกว่าวิธีการลงทุนที่ถูกต้อง 


หมายถึง คนส่วนมากโฟกัสไปที่ราคาหุ้น มากกว่าจะมุ่งเน้นไปที่หลักการในการเลือกหุ้นที่จะลงทุน


หลักการที่ถูกต้อง จะให้ผลลัพธ์ที่ดีหรือแย่ก็ได้ในระยะสั้น แต่ในระยะยาวแล้วจะเพิ่มโอกาสสูงขึ้นมากในการให้ผลลัพธ์ที่ดี


ส่งนการโฟกัสไปที่ราคานั้น โอกาสเดาถูกจะพอๆกับเดาผิด และไม่ได้เพิ่มโอกาสที่ดีในระยะยาว


@@@@@@@@@@@



การขายหุ้นเติบโต ให้ขายเมื่อเกินมูลค่าไปมากจริงๆเท่านั้น หรือเมื่อ การเติบโตลดลง (หมดการเติบโต อย่างมีนัยยะ)


การขายหุ้นมั่นคง  หุ้นที่เติบโตไม่สูง หุ้นก้นบุหรี่ ควรขายเมื่อมันเต็มมูลค่า หรือเริ่มเกินมูลค่าแล้ว


สังเกต  ไม่มีบอกให้ขายเมื่อได้กำไรมาก


@@@@@@@@@@@










วันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

หลักคิด 39

 การสับเปลี่ยนหุ้นไปยังตัวที่มีอัพไซด์มากกว่าและความเสี่ยงต่ำกว่า แม้ว่าตัวที่สับออกจะขาดทุนอยู่นั้น เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความกล้า ทัศนคติที่ถูกต้อง และ การใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์เป็นอย่างมาก

@@@@@

ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบ หุ้นแนวปันผลดี มีการเติบโตบ้าง ธุรกิจมั่นคงแข็งแรง เข้าใจง่ายเพราะเป็นธุรกิจโลกเก่า และการลงทุนของคุณอยู่ในประเทศไทยคุณมาถูกทางแล้ว


แต่ถ้าคุณต้องการเป็นเจ้าของหุ้นเทคโนโลยีที่มีการเติบโตสูงไม่สนใจปันผล  แล้ว พอร์ตการลงทุนของคุณยังอยู่ในประเทศไทย นั่นคือคุณกำลังพยายามงมเข็มในมหาสมุทร


@@@@@@

หนังสือดีๆคืออาหารของความคิด 


ถ้าคุณอยากมีความคิดดีๆ ความคิดที่เต็มไปด้วยปัญญา  คุณควรให้อาหารชั้นดีกับมันด้วย

@@@@@@


เวลาเห็นหุ้นที่มีรายชื่อขาใหญ่หุ้นชื่อดัง ควรจะหลีกหนี ไม่ใช่เข้าหา เพราะ จาใหญ่ที่ชื่อดังและพอร์ตใหญ่ คือการการันตีแล้ว ว่าเขากินเงินรายย่อยมามากแค่ไหน ดังนั้นควรจะเล่นคนละเวทีกับเค้า หรือ ถ้าบนเวทีเดียวกันต้องมั่นใจว่ามีต้นทุนที่ถูกกว่าเท่านั้น 


เทรดเดอร์หลายคนพอเห็น ขาใหญ่ชื่อดังมีหุ้นตัวไหนก็กระโดดเข้าตาม โดยไม่สนใจเลยว่าต้นทุนของเขาคือเท่าไหร่และของตนเองคือเท่าไหร่


ขาใหญ่พอร์ตใหญ่ได้เพราะ "กินเงินรายย่อย" เป็นหลัก


ส่วนนักลงทุนจะเติบโตตามธุรกิจที่เติบโตเป็นหลัก


รายย่อยที่จะโดนขาใหญ่กินเงินได้  คือ รายย่อยที่เล่นบนเวทีเดียวกับเขาเท่านั้น (ซื้อหุ้นตัวเดียวกับเขา และต้นทุนในมือแพงกว่าเขา) 


ถ้ารายย่อยเล่นคนละเวทีหรือมีต้นทุนถูกกว่า ในาใหญ่จะกินเงินรายย่อยไม่ได้


เทรดเดอร์รายย่อยต้องปรับมุมมองใหม่ ต้องปรับการตีความข่าวให้ถูกต้อง 


จากหุ้นที่มีข่าวาใหญ่ชื่อดังถือ แล้วน่าคิดว่าสนใจ  เป็น หุ้นตัวไหนที่มีความาใหญ่ชื่อดังถือให้ระวังให้มากเป็นพิเศษ


@@@@@


ถ้าคุณรู้จักข้อเสียของคุณ นั่นคือข้อดีของคุณ


ถ้าคุณรู้จักแต่ข้อดีของคุณ นั่นคือข้อเสียของคุณ


@@@@@@

หลายครั้ง คนเรามักหย่อนยานให้กับหลายสิ่งที่ได้ตั้งใจไว้


ดังนั้นสิ่งที่จะช่วยให้สำเร็จได้ตามที่ตั้งใจ คือ อย่ายอมแพ้และพยายามเข้มงวดกับตนเอง

@@@@@

อย่าให้ค่าใช้จ่ายในอดีตที่เรียกคืนไม่ได้ มีผลต่อการตัดสินใจในปัจจุบัน

@@@@@

เมื่อความจริงเปลี่ยนไป เราก็ทบทวนว่าควรจะเปลี่ยนความคิดหรือไม่

@@@@@


โอกาส มาจากสองส่วน ส่วนที่ตัวเราควบคุมได้เพื่อสร้างโอกาส กับส่วนที่เราควบคุมไม่ได้ 


เราควรโฟกัสไปยังจุดที่เราควบคุมได้


อะไรที่เราควบคุมได้เพื่อสร้างโอกาส เช่น 

- การเตรียมพร้อม  

- ความทุ่มเทอย่างต่อเนื่อง  

- การพยายามเรียนรู้เพื่อเพิ่มทักษะต่างๆ  

- การละทิ้งสิ่งที่ดึงให้เราตกต่ำ


@@@@@@


การเลือกลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโตและมีการจ่ายปันผล หากสะสมจนถึงจุดหนึ่งที่เงินปันผลเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายประจำปีแล้ว 


มันจะเสมือนมีการเก็บออมเงินเพิ่มเพื่อการลงทุนโดยอัตโนมัติ นั่นก็คือ เงินกำไรที่บริษัทไม่ได้จ่ายปันผลออกมา มันจะสะสมทบต้นเข้าไปในบริษัท ซึ่งจะเป็นฐานทุนในการสร้างกำไรให้บริษัทเติบโตต่อไปในอนาคต


ทั้งนี้ต้องเลือกบริษัทให้ถูกด้วย และเป็นบริษัทที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง


ซึ่งการจะเห็นพลังของการทบต้นมันต้องใช้เวลา มันจึงต้องเป็นการลงทุนระยะยาว 


(โดยมากบริษัทมักจะจ่ายปันผลอยู่ในช่วง 35 ถึง 45% ของกำไรสุทธิ)


@@@@@@@@@@@@



มีคนเคยเล่าให้ฟังว่า บางบริษัทก่อนจะ IPO ทำบัญชีสองเล่ม (เพื่อที่จะเลี่ยงภาษี)  พอ IPO แล้ว ก็เอาใต้โต๊ะขึ้นมาไว้บนโต๊ะ ทำให้ ดูเหมือนว่าบริษัทมีการเติบโตที่สูงมียอดขายแบบก้าวกระโดด 


เราฟังแล้วก็คิดว่ามีส่วนที่น่าจะจริงอยู่มาก  ก็มีบริษัทอยู่นอกตลาดมาตั้งนาน รายได้ไม่ได้ดีอะไร แต่พอเข้าตลาดหุ้น ไม่ถึงปี รายได้โตแบบก้าวกระโดดผิดหูผิดตาโอเวอร์มากๆ


@@@@@@@@@@


ควรจะรู้จุดอ่อนจุดแข็งของตัวเองให้ได้  ควรต้องรู้ว่าตนเองมี Edge คืออะไร มีความได้เปรียบคนส่วนใหญ่ตรงไหน


ถ้าคุณมีข้อได้เปรียบที่เหนือคนอื่นมากพอคุณก็จะมองเห็นจุดอ่อนของคนอื่นด้วยเช่นกัน  คุณจะมองเห็นว่าใครเป็นหมูที่อยู่ในสนามนั้น 


ถ้าไม่รู้ความได้เปรียบที่ตนเองมี หรือไม่มีความได้เปรียบคนส่วนใหญ่  คุณก็จะมองไม่เห็นหมูที่อยู่ในสนาม เพราะตัวคุณนั่นแหละคือหมูสนาม


@@@@@@@@@


หาวิธีการการประเมินมูลค่าหุ้นที่ตนเองถนัด รู้ลึก รู้มาก รู้ทุกมุมเกี่ยวกับมันให้ได้ 


และต้องรู้ว่าบริษัทประเภทไหนที่มีความเหมาะสมกับการประเมินมูลค่าที่ตนเองถนัด 


ไม่ซื้อหุ้นของบริษัทที่อยู่นอกเหนือความสามารถในการประเมินมูลค่าของตนเอง  จนกว่าจะขยายขีดความสามารถในการประเมินมูลค่าให้ครอบคลุมมูลบริษัทที่ต้องใช้การประเมินมูลค่าแบบอื่น


เล่นอยู่ในกรอบทักษะความสามารถที่ตนเองมี  


เมื่อไหร่ก็ตามที่ความโลภเข้าครอบงำจนออกไปเล่นนอกกรอบทักษะความสามารถที่ตนเองมี  พึงรู้ไว้ว่ากำลังจะกลายเป็นหมูในสนามของคนอื่น


@@@@@@@@@@



การตัดสินใจที่ดี ส่วนใหญ่เป็นพัฒนาการ จากประสบการณ์ที่เคยตัดสินใจแย่ๆมาก่อน 


แต่การตัดสินใจที่แย่นั้น ไม่ได้แปลว่าส่วนใหญ่จะมีพัฒนาการเพื่อการตัดสินใจที่ดีในอนาคตได้


@@@@@@@@


นักลงทุนแทบทุกคนสุดท้ายแล้วเป็นนักลงทุนระยะยาว รวมทั้งเทรดเดอร์ด้วย


ทำไมถึงบอกแบบนั้น ?


เพราะแม้เทรดเดอร์จะเทรดระยะสั้นเพื่อหวังผลกำไร  แต่พอได้กำไรแล้วสุดท้ายเงินก้อนนั้นพร้อมทั้งกำไรก็จะวนกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นซ้ำอยู่ดี 


ดังนั้นทุกคนไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ล้วนแต่ลงทุนระยะยาว 


ประเด็นก็คือ ทำอย่างไรในระยะยาวถึงจะได้ผลกำไรที่ค่อนข้างแน่นอน สเตเบิ้ล มีความเสถียรของการทำกำไรอย่างต่อเนื่องในระยะยาวได้


ไม่ใช่เข้ามาหวังกำไรระยะสั้นพอลงทุนระยะยาวโดนตลาดกินหมดตัว ต้องออกจากตลาดแบบนั้นแบบนั้นมันไม่เกิดประโยชน์อะไรต่อความมั่งคั่ง 


ดังนั้นการมองผลประโยชน์ระยะยาวจึงเป็นสิ่งสำคัญกว่าการจะกินระยะสั้นแบบไวๆ 


ทางนึงที่สามารถได้ผลตอบแทนระยะยาวค่อนข้างมั่นคงและแน่นอนต่อเนื่อง  คือเงินปันผล


ในการลงทุนเพื่อรับเงินปันผลนั้นเราต้องการเงินปันผลที่เป็นอัตราผลตอบแทนเริ่มต้นที่สูงระดับ 3% ถึง 4% ขึ้นไปเป็นอย่างน้อย  


เพราะถ้าหากซื้อหุ้นที่ได้ปันผลเทียบแล้ว 1% หรือ 2% มันก็เป็นการเริ่มต้นที่ต่ำไปมาก 


อย่าลืมว่า 1% ถึง 2% นั้นเมื่อเทียบกับ 3% ถึง 4% แล้วผลต่างกันเป็น 100% 


ดังนั้นการซื้อหุ้นได้ปันผลระดับ 3 ถึง 4% ขึ้นไปนั้นมันจึงขึ้นอยู่กับราคาที่คุณจ่าย 


เมื่อได้จุดเริ่มต้นแล้วเราต้องการปันผลที่สม่ำเสมอและต่อเนื่องมีการเติบโตในระยะยาวด้วย 


ดังนั้นบริษัทที่จะจ่ายปันผลได้สม่ำเสมอแปลว่าต้องสามารถสร้างผลกำไรได้ค่อนข้างสม่ำเสมอ แม้ว่าอาจจะมีรอบขึ้นลงตามช่วงของธุรกิจบ้างแต่ภาพใหญ่จะต้องมีความสม่ำเสมอ 


ในแง่ที่ต้องการเงินปันผลเพิ่มขึ้นเรื่อยเรื่อยนั่นก็หมายถึงว่าบริษัทที่ลงทุนจะต้องสามารถทำกำไรเพิ่มขึ้นได้ทุกปีหรือในภาพใหญ่กำไรมีแนวโน้มเติบโตขึ้นโดยเฉลี่ยแทบทุกปีถึงจะสามารถจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นได้ 


จากผลที่เราต้องการ คือ เริ่มต้นด้วยอัตราปันผลที่คุ้มค่า จ่ายปันผลต่อเนื่อง และ เงินปันผลมีการเติบโต จึงสรุปได้ว่าต้องซื้อหุ้นที่ราคาสมเหตุสมผล มีอัตราการจ่ายปันผลที่ดี บริษัทมีรายได้ค่อนข้างสม่ำเสมอ และมีการเติบโตต่อเนื่อง


คุณลองนึกถึงวันที่เงินปันผลต่อปีมากเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายตลอดทั้งปี  แล้วปีถัดไปเงินปันผลยังเพิ่มมากขึ้นจากปีก่อนไปอีกทำให้คุณมีเงินเหลือจากเงินปันผล และปีถัดไปเงินปันผลก็ยังเพิ่มขึ้นมากขึ้นอีก  


เงินที่เหลือจากเงินปันผล คุณยังสามารถนำไปลงทุนต่อทำให้ได้เงินปันผลเพิ่มจากเงินส่วนที่ลงทุนใหม่


มันจะกลายเป็นวงจรแห่งความรุ่งเรือง 


แน่นอนวงจรแบบนี้มันต้องใช้เวลาในการสร้างแต่สุดท้ายแล้วคุณจะเป็นคนที่มั่งคั่ง  หรืออย่างน้อยที่สุด คุณก็จะไม่ลำบาก


และหากคุณสร้างพอร์ตหุ้นตามนี้ สิ่งสำคัญที่คุณจะโฟกัสก็คือผลการดำเนินงานของบริษัท ว่ายังมีกำไรดีอยู่ไหม ว่าการเติบโตไหม บางปีอาจจะดรอปลงบ้าง เป็นเรื่องปกติของการทำธุรกิจ แต่ภาพใหญ่โดยรวมโดยเฉลี่ยก็ควรมีการเติบโต 


คุณจะโฟกัสไปที่การดำเนินงานของบริษัทและการจ่ายปันผลมากกว่าราคาหุ้น  


คุณจะไม่ต้องมาคอยกังวลราคาหุ้นรายวันอีกเลย 


ตราบใดที่บริษัทมีกำไรสุทธิในเกณฑ์ที่ดีภาพรวมโดยเฉลี่ยจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นทุกปี  คุณจะต้องแคร์ไหมหากราคาหุ้นจะไหลลงเพราะเกิดวิกฤตนั้นวิกฤตนี้ 


ใจความใหญ่ในการลงทุนที่มีผลสำคัญกับคุณในการลงทุนแนวนี้ คือผลการดำเนินงานของบริษัท กำไรสุทธิที่บริษัททำได้และการจ่ายปันผลต่างหาก ไม่ใช่ราคาหุ้น  


แม้ว่าราคาหุ้นขึ้นลงจะเป็นส่วนเสริมแต่มัน ก็เป็นองค์ประกอบที่รองลงมาจากผลการดำเนินงานของบริษัท


เมื่อคุณดำเนินการลงทุนตามแนวทางนี้ได้อย่างมั่นคงเป็นระยะเวลาระยะเวลาหนึ่ง คุณสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า คุณเป็นนักลงทุนที่คาดหวังผลกำไรจากการดำเนินงานของบริษัท ไม่ใช่คาดหวังกำไรจากการรอให้คนอื่นยอมซื้อหุ้นในราคาที่สูงขึ้น




@@@@@@@@@



ในตลาดหุ้นคนที่อยู่ในตลาดมาพอสมควรรู้ดีว่าหุ้นตัวไหนเป็นฟองสบู่ หุ้นตัวไหนโดนปั่น แต่ก็เข้าไปเล่นเพราะคิดว่าจะออกทัน เพราะหวังรอจะออกตอนฟองสบู่ใกล้แตก เพราะต้องการเก็บกำไรให้ได้มากที่สุด  เพราะเชื่อว่ายังไงตัวเองก็ออกทัน 


แต่ความจริงแล้วจำนวนมากออกไม่ทัน ส่วนคนที่ออกทันจะเป็นพวกที่เข้าตั้งแต่หุ้นยังไม่วิ่ง เป็นพวกคนที่เข้าตั้งแต่หุ้นยังไม่น่าสนใจ 


แต่พวกที่น่าสงสารที่สุดคือพวกมือใหม่  ไม่รู้ว่ากำลังเข้าไปอยู่บนฟองสบู่ที่ใกล้แตก ไม่ต้องคิดถึงเรื่องการจะออกให้ทัน 


เพราะว่าพอขาดทุนแล้วก็ตกใจทำอะไรไม่ถูก ยิ่งตกใจยิ่งทำอะไรไม่ถูก ก็ยิ่งเสียเวลา


เมื่อเวลาผ่านไปราคาหุ้นก็ยิ่งลงหนัก ทำให้ไม่ต้องคิดเรื่องที่จะขายตัดขาดทุนอีกเลย เพราะขาดทุนหนักจนใจยอมรับการตัดขาดทุนไม่ได้แล้ว 


เรื่องราวเหล่านี้เกิดวนซ้ำๆอยู่ในตลาดหุ้น ก็จะมีมือใหม่ที่เข้ามาโดนเชือดเป็นรอบๆอยู่ร่ำไป 


แล้วมือใหม่ที่โดนเชือดเหล่านี้  ก็จะออกไปสร้างคำพูดให้กับลูกหลาน ว่าอย่าไปยุ่งกับตลาดหุ้น ให้อยู่ให้ห่างจากตลาดหุ้น 

ก็จะมีพวกที่ใช้คำพูดสวยหรู หลอกกินเงินเม่า ยิ้มไปเอามือลูบปากไป บนคราบน้ำตาของเม่ามือใหม่ 


@@@@@@@@@



เวลาประเมินมูลค่าหุ้น สิ่งหนึ่งที่ค่อนข้างให้ความสำคัญ ก็คือพฤติกรรมของผู้บริหาร 


เนื่องจากเน้นลงทุนในธุรกิจของบริษัท ดังนั้นจะชอบผู้บริหาร ที่เน้นทำธุรกิจ มากกว่าผู้บริหารที่ออกมาเชียร์หุ้น ให้เป้าราคาหุ้น ให้เป้ามูลค่าบริษัทที่โอเวอร์เกินความจริง 


ดังนั้นในการประเมินมูลค่าหุ้น  หาก ผู้บริหารมีพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์  ก็ควรจะไปตัดมูลค่าหุ้นนั้นลงไป ไว้เป็นบัฟเฟอร์ ป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้มากกว่าปกติจากพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของผู้บริหาร


เช่น  หากหุ้นสักตัวนึงเคยประเมินมูลค่าได้ 12 บาท แต่มีผู้บริหารที่ไม่น่าไว้ใจ ที่เน้นปั่นหุ้น ก็อาจจะให้มูลค่าเหลือแค่ 5 หรือ 6 บาท (ไม่ได้แปลว่าจะต้องซื้อ  หรือควรซื้อหุ้นที่มีผู้บริหารที่ไม่น่าไว้ใจ  อันนี้เพียงชี้ให้เห็นแนวทางวิธีการประเมินมูลค่า)


ถ้าราคาไม่ลงมาก็ไม่เป็นไรเพราะก็ไม่ได้อยากถือหุ้นที่มีผู้บริหารที่ไม่น่าไว้ใจอยู่แล้ว  และถึงแม้ราคาจะลงมาก็ไม่ได้แปลว่าควรจะซื้อเช่นกัน


@@@@@



งบดีโดนเท เกิดจากเล่นราคาขึ้นไปรองบก่อนแล้ว งบออกเลย sell on fact 


งบชิบหายราคาวิ่งขึ้น เพราะตลาดคาดล่วงหน้าว่างบจะแย่มาก ราคาลงมาล่วงหน้าแล้ว  พองบออก แย่น้อยกว่าคาด ราคาก็วิ่งขึ้น 


ดังนั้นหุ้นที่ราคาวิ่งขึ้นแรงเกินไปมากๆ เวลางบออก จึงมีสิทธิโดนสอย


สุดท้ายงบจะเป็นตัวพิสูจน์เอง 

- ต้องตีความให้เป็น

- ต้องลงทุนระยะยาวหลายปี ถ้ามีกำไรสะสมต่อเนื่องหลายปี มูลค่าจะสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 


ราคาตลาดจะเล่นขึ้นลงวนเวียนอยู่รอบมูลค่าที่แท้จริง  ดังนั้นหากผ่านไปหลายหลายปีแล้วมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยเรื่อย ราคาตลาดที่เล่นวนเวียนรอบมูลค่าก็จะยกตัวสูงขึ้นเรื่อยเรื่อยเช่นกัน


แต่ถ้ามองแค่สั้นสั้น  แล้วบอกราคาไม่วิ่งไปกับงบ แสดงว่ายังไม่เข้าใจวิธีการใช้งบการเงินในการลงทุนดีพอ  ค่อยๆศึกษาแนว “ลงทุน” เพิ่มเติม จะค่อยๆเข้าใจมากขึ้นครับ


@@@@@@@@@@@@@@


รายได้ทั้งหมดต่อปี หารด้วย รายจ่ายทั้งหมดต่อปี 


หากผลลัพธ์มากกว่า 1.25  เรียกว่าสุขภาพการเงินยังดี


หากต่ำกว่า 1 = แย่แล้วววว ต้องพยายามเพิ่มรายได้ หรือลดรายจ่าย


#การเงินบุคคล


@@@@@@@@@


สิ่งสำคัญที่นักลงทุนควรจะโฟกัส ก็คือตัวธุรกิจ ไม่ใช่ราคาหุ้น


@@@@@@@@@


อย่าให้ความผันผวนของราคาหุ้น หลอกให้คุณขายธุรกิจที่ดีออกจากพอร์ตลงทุนของคุณ