วันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

หลักคิด 31

ควรวิเคราะห์และเลือกหุ้นด้วยตัวเอง คุณจะรู้เหตุผลในการเลือก และรู้เหตุผลในการขาย (ขายเมื่อเหตุผลในตอนเลือกนั้นหมดไป)

********

การซื้อหุ้นที่ราคาเกินมูลค่า (ราคาแพง) แล้วหวังว่าจะขายได้ราคาที่เกินกว่าราคาที่เกินมูลค่าอยู่แล้วนั้น ต้องอาศัยโชค ต้องคาดหวังว่าจะมีคนที่โง่กว่ามาซื้อต่อในราคาแพงกว่า ซึ่งอาจเป็นไปได้ในภาวะตลาดกระทิง

แต่การซื้อในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่า แล้วรอให้ราคาค่อยๆเพิ่มไปหามูลค่า มันไม่ต้องอาศัยโชค แค่ให้ตลาดรับรู้ตามความเป็นจริง มีเหตุผล ให้ราคาที่เหมาะสมตามความเป็นจริงเท่านั่น 

แต่ถ้าหากตลาดที่รับรู้ตามความเป็นจริงนั้นต่อมาเกิดเป็นตลาดกระทิงอีกด้วยหล่ะ ???

ถึงแม้ว่าราคาตลาดจะไม่จำเป็นต้องรีบวิ่งเข้าหามูลค่า เพราะมันสามารถทำตัวไร้เหตุผลได้นาน นานกว่าที่ใครจะคิดได้ทีเดียว แต่นั่นแหละ การซื้อในราคาต่ำกว่ามูลค่านั้นเป็นทางที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุดและมีเหตุผลมากที่สุดที่จะทำได้

*****

การลงทุนระยะยาวถือว่าเป็นการลดความเสี่ยงในการลงทุนที่ดีที่สุด เพราะความผันผวนทำให้ในระยะสั้นไม่สามารถคาดการณ์ได้

*****

ช่วงภาวะวิกฤติควรเลือกหุ้นที่มีความแข็งแรงของงบการเงิน หุ้นที่จ่ายปันผล และมีหนี้สินต่ำ มากกว่าจะมุ่งเน้นเลือกหุ้นเติบโตแต่พียงอย่างเดียว

*****

ผลกำไรเท่ากันที่ทำได้จากหุ้นต่างกัน มีคุณภาพของผลกำไรต่างกัน เพราะหุ้นที่ต่างกันนั้นมีความเสี่ยงต่างกัน

สมมติ คุณได้กำไร 20% จากหุ้นขนาดเล็กที่มีหนี้สินสูง มีสภาพคล่องต่ำ และมีความผันผวนสูง เทียบกับกำไรขนาดเดียวกันที่ได้จากบริษัทใหญ่ที่มีความมั่นคงสูง หนี้สินต่ำ ความผันผวนที่ต่ำ จะเห็นได้ชัดว่าความเสี่ยงมันต่างกันมาก 

พูดง่ายๆ กำไรหลังจากปรับค่าความเสี่ยงแล้ว กำไรจะไม่เท่ากัน (ใช่แล้วมันคือ Risk Adjusted Return) 

ซึ่งกำไรหลังจากปรับค่าความเสี่ยงแล้วนั้น อาจจะไม่จำเป็นต้องหาตัวเลขที่ exactly เพียงแค่มองภาพใหญ่ของ บ.ที่ลงทุน ก็พอจะรู้แล้ว

หุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำ คุณสามารถวาง position ได้มาก คุณสามารถโฟกัสได้ แต่ถ้าเป็นหุ้นที่ความเสี่ยงสูง การโฟกัสอาจทำให้พอร์ตพังได้ง่ายๆ

*****
สาเหตุหลักของความล้มเหลว คือ การใส่ใจต่อภาวะตลาดในขณะนั้นมากเกินไป - เกรแฮม
*******

ทุกวันนี้ นลท หมกหมุ่นกับการคาดการณ์อนาคตอันใกล้ ที่ราคาหุ้นได้สะท้อนเอาไว้แล้ว

ดังนั้นแม้สิ่งที่คาดการณ์จะเกิดขึ้นจริง ก็จะไม่ได้กำไร แต่ถ้ามันไม่เกิดขึ้นอย่างที่คาด ก็จะขาดทุนอย่างหนัก
*******

ถ้าประเมินมูลค่าไม่เป็น แล้วจะเป็นนักลงทุนได้อย่างไร เพราะนักลงทุนทุกคนจ่ายเงินเพื่อคาดหวังว่าจะได้มูลค่ามากกว่าเงินที่จ่ายไป (ไม่ว่าจะเป็นมูลค่าในอนาคตหรือปัจจุบันก็ตาม)

******

ลงทุนใน บ.ที่มีมูลค่าหนุนหลังและมีหนี้สินที่ต่ำ จะเป็นการลงทุนปลอดภัยมากขึ้น

******

ทำการบ้านเตรียมพร้อมไว้ให้มาก เมื่อโอกาสมาถึง จะได้คว้าได้ทันที ไม่ใช่ปล่อยให้โอกาศผ่านลอยไป หรือต้องมาเสียเวลาศึกษายืดยาว

โอกาส มาจากสองส่วน ส่วนที่ตัวเราควบคุมได้เพื่อสร้างโอกาส กับส่วนที่เราควบคุมไม่ได้ เราควรโฟกัสไปยังจุดที่เราควบคุมได้

อะไรที่เราควบคุมได้เพื่อสร้างโอกาส เช่น การเตรียมพร้อม ความทุ่มเทอย่างต่อเนื่อง การพยายามเรียนรู้เพื่อเพิ่มทักษะต่างๆ การละทิ้งสิ่งที่ดึงให้เราตกต่ำ 

******

สิ่งที่เราทุกคนมีเท่ากันคือเวลา

สิ่งที่จะทำให้เราทุกคนมีความเจริญก้าวหน้าคือ ทักษะ

สิ่งที่แตกต่างกันคือความขยันและการทุ่มเทบนความต่อเนื่อง

******
ความสวยงามของการลงทุนแนววีไออย่างนึงก็คือ ยิ่งอยู่นิ่งได้นาน ยิ่งมีโอกาสกำไรได้มาก 

#นั่งทับมือให้เป็น

*****

การเติบโตสูงๆของ บ.จะส่งผลให้ ความอยากได้ของนักลงทุนทวีความรุนแรงขึ้น จนบดบังความคิดในการวิเคราะห์

*****
นักลงทุนไม่ควรลงทุนในบริษัทหากพวกเขายังไม่ได้ศึกษางบการเงินของบริษัทและประเมินมูลค่าของบริษัท ไม่ว่าสินค้าของบริษัทจะยอดเยี่ยมแค่ไหนก็ตาม - ปีเตอร์ ลินซ์

*****

ไม่ว่าจะเป็นเทรดเดอร์หรือจะเป็นนักลงทุนก็ตาม การยอมรับว่า position ไหนผิดและรีบออกจากสถานะที่ผิดนั้น เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

*****
หุ้น/ดัชนี ตัวใดก็แล้วแต่ที่ราคาขึ้นอย่างบ้าคลั่ง สุดท้ายมักจบลงด้วยความล่มสลาย

เพราะการขึ้นอย่างบ้าคลั่ง สุดท้ายแล้วพื้นฐานจะรองรับไม่ไหว

มันเหมือนการต่อเติมตึกให้สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว บนเสาเข็มเดิมที่เพิ่มเติมอย่างช้าๆ สุดท้ายเมื่อรากฐานรองรับไม่ได้ ก็พังทลายลงมา

*****
ในมุมของ นลท ความเสี่ยงที่อาจพบได้บ่อยคือ ความเสื่อมถอยของพื้นฐานกิจการ ทางแก้คือกระจายซื้อหุ้นหลายๆตัว แต่ความผันผวนของราคาหุ้นไม่ควรถูกมองว่าเป็นความเสี่ยงของ นลท
*****
นลท ไม่ควรหลงรักหุ้น แต่ควร คงสถานะ/เพิ่ม/ลดสถานะ ตามอัพไซส์ของบริษัทตามที่ประเมินได้
******
- ผลตอบแทนสูง เกิดได้จากความเสี่ยงที่สูงและต่ำ 
- ความเสี่ยงที่สูงอาจให้ผลตอบแทนที่สูงและต่ำ 
- ความเสี่ยงต่ำอาจให้ผลตอบแทนต่ำและสูง 

ดังนั้นคุณเลือกได้เลย ว่าจะลงทุนแบบความเสี่ยงสูงหรือความเสี่ยงต่ำ
****

ผู้ชนะ จะรู้จังหวะลุย จังหวะถอยและบางจังหวะต้องนิ่งเป็น 

ใช้ได้กับทุกอย่างทั้งหุ้น การเมือง การดำเนินชีวิต

*******

ความโลภ ความกลัว และความผิดพลาดในบางครั้ง (Human error) คือสิ่งที่จะอยู่คู่กับมนุษย์ตลอดไป

*****

สำหรับคนที่ยังไม่เข้าใจเรื่องการลงทุนขั้นพื้นฐาน 

นักลงทุน --> ผู้ประกอบการ --> กิจการ --> เพิ่มการจ้างงาน --> พนักงานมีรายได้ 

ในดอจการขนาดเล็ก นักลงทุนกับผู้ประกอบการ คือ คนเดียวกัน

ในกิจการขนาดใหญ่ที่ต้องการเงินลงทุนมาก นักลงทุนกับผู้ประกอบการอาจแยกจากกัน เพราะหากอาศัยแต่เพียงผู้ประกอบการอาจมีเงินทุนไม่เพียงพอ

ทางหนึ่งที่ผู้ประกอบการจะได้เงินจากนักลงทุน คือ การหาหุ้นส่วน

และช่องทางที่เป็นมาตรฐานที่สุดในการหาหุ้นส่วนก็คือขายหุ้นของกิจการในตลาดหุ้น

ดังนั้นนักลงทุนที่แท้จริงแล้ว ลงทุนบนกิจการจริงๆ 

นักลงทุนไม่ใช่เทรดเดอร์ ที่ดูแค่กราฟแท่งเทียนแดงแท่งเขียว

นักลงทุนเมื่อลงทุนแล้วก็ย่อมจะเป็นเจ้าของกิจการและคาดหวังให้กิจการประสบความสำเร็จ ขยายกิจการมีการจ้างงานเพิ่มมากขึ้น และมุ่งหวังให้ผลกำไรของกิจการเติบโต

ดังนั้นหากใครบอกว่านักลงทุน ไม่ได้ทำกิจการจริงๆ แสดงว่าคนเหล่านั้นขาดความเข้าใจในเรื่องเศรษฐกิจการลงทุนเป็นอย่างมาก มีความอ่อนด้อยในด้านเศรษฐกิจและการลงทุน

*****

นักลงทุนมันจะ แอคชั่น มากที่สุดบนช่วงอารมณ์ของความดีใจสุดๆกับกลัวสุดๆ

ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุหลักของการติดดอย และขายที่จุดต่ำสุด

********
ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำตลอดเวลา

ดังนั้นสิ่งที่สำคัญคือการเตรียมพร้อม

*****

การลงทุนเป็นไปเพื่อสร้างพอร์ตที่ยั่งยืน เพื่อสร้างความมั่งคั่ง ไม่ใช่เป็นการพนันหรือเพื่อเอาชนะหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง และไม่ใช่เพื่อพิสูจน์ว่า "กูแน่" เพราะถ้าคุณทำอย่างนั้นแปลว่าคุณกำลังหลงทางด้วยอีโก้ของตัวคุณเอง

ไม่มีใครทำร้ายพอร์ตคุณได้มากเท่าตัวคุณเอง

*****
สิ่งเดียวที่จะทำให้นักลงทุนมั่นใจในการถือหุ้นผ่านความผันผวนได้ คือ การประเมินมูลค่าหุ้นด้วยตัวเอง ซึ่งเบื้องหลังการประเมินมูลค่าหุ้นคือความเข้าใจในบริษัทอย่างลึกซึ้ง

*******
การซื้อขายหุ้น ให้มองที่เหตุผลของเราเป็นหลักโดยต้องเป็นเหตุผลที่มาจากการศึกษาบริษัทอย่างละเอียดเพียงพอ ไม่ต้องไปคิดแทนคนอื่นว่าเขาขายหุ้นเพราะอะไร หรือคนอื่นซื้อหุ้นเพราะอะไร 

รู้เพียงว่าราคาที่เราซื้อไม่อยู่ในสถานะที่เสียเปรียบก็พอ

********
คนรวยรวยเพราะหาเก่งและมุ่งมั่นนำเงินที่ได้ไปลงทุนเพิ่มอย่างไม่หยุดหย่อน

ส่วนคนที่มุ่งมั่นเอาแต่จะใช้ หาได้เท่าไรอยากใช้เป็นสองเท่า ไม่มีวันจะรวย
***********

ตารางอัตราผลตอบแทนทบต้น เช่น หากสามารถสร้างผลตอบแทนทบต้นได้ 8% ต่อปีเป็นเวลา 30 ปี เงิน 1 ล้านจะกลายเป็น 10 ล้านบาท

คิดในทางกลับกัน
สมมติ คุณมีความสามารถในการหาผลตอบแทนทบต้นได้ 8% ต่อปี แล้วคุณใช้เงินที่มีไป 1 ลบ กับอะไรก็แล้วแต่   "มันหมายถึงเงินในอนาคต 30 ปีข้างหน้า หายไปประมาณ 10 ลบ"   ไม่ได้บอกว่าไม่ควรใช้ แต่ให้นึกถึงเงินอนาคตก่อนใช้ เพื่อจะได้ใช้จ่ายอย่างสมเหตุสมผลมากขึ้น



เวลาพูดถึงผลตอบแทนแบบต่อเนื่อง เป็นเวลา 20-30 ปี ที่  x%-xx% 

จะมีบางคน ออกมาบอกว่าจะหาได้จากไหน ทำไม่ได้หรอก

ฟังคำถามก็รู้แล้ว ว่าคนเหล่านั้นจะไม่มีวันหาได้ เพราะความคิดตั้งต้นของเขาได้ยอมแพ้ไปแล้ว

ส่วนคนที่ทำได้จะมีสองสิ่งนี้
Create a learning curve and stay focus.

ไม่มีใครเอาความสำเร็จมาใส่พานถวายให้คุณหรอกนะ 

คุณต้องไขว่คว้าหามันด้วยตัวคุณเอง ด้วยความมุ่งมั่น ด้วยการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถ้าคุณยอมแพ้ตั้งแต่ต้น คุณก็ไม่มีวันที่จะได้พบกับความสำเร็จ


****** 


มือใหม่ที่เพิ่งเข้าตลาดทุน แล้วมีความต้องการจะเป็นนักลงทุน (ไม่ใช่เทรดเดอร์) แนวทางแรกคือควรเน้นรักษาเงินต้นก่อน (Deep VI)


แต่บนความเป็นจริงแล้ว ส่วนมากพอเข้ามาก็อยากจะเล่นหุ้นเติบโตก่อนเลย เน้นทำเงินแบบไม่กลัวความเสี่ยง ประกอบกับประสบการณ์น้อย ความเสี่ยงเลยยิ่งเป็นทวีคูณ