วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2565

ว่าด้วยฟองสบู่

ว่าด้วยฟองสบู่

เงินทุนจำนวนมหาศาลที่ไหลเข้าประเทศจากผลตอบแทนที่ดูดีและพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง

เงินที่เข้ามาในช่วงต้นของรอบเศรษฐกิจขาขึ้นจะได้รับผลตอบแทนที่ดีงามเนื่องจากนำไปลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพจนทำให้ราคาของทรัพย์สินเพิ่มขึ้น

จึงเป็นการดึงดูดให้เงินทุนไหลเข้ามามากขึ้นไปอีก

ทำให้เงินสกุลท้องถิ่นถูกแย่งกันซื้อและแข็งค่าขึ้น ซึ่งจะตามมาด้วยการระดมทุนและการก่อหนี้ที่สูงขึ้น

มีการระดมทุนกันมากขึ้นมีการก่อหนี้มากขึ้น ปริมาณเงินย่อมจะไปทำให้สินทรัพย์มีราคาสูงขึ้นอีกตามไปด้วย

เมื่อราคาสินทรัพย์ต่างๆสูงขึ้น ก็จะสามารถนำไปก่อหนี้มากขึ้นตาม เพราะสินทรัพย์ถูกใช้เป็นหลักประกัน

การปรับตัวของราคาสินทรัพย์ที่สูงขึ้นอย่างร้อนแรงจูงใจให้กระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามามากขึ้น 

จนถึงจุดที่สินทรัพย์เหล่านั้นราคาแพงเกินกว่าที่ควร 

ก็ถึงจุดที่เป็นฟองสบู่ของตลาดตราสารและตลาดหุ้น

การไหลทะลักของเงินทุนต่างชาติ จะทำให้ผู้ที่มีส่วนร่วมรู้สึกเพลิดเพลินจับกระแสเงินลงทุนที่ไหลเข้ามา

เมื่อฟองสบู่เริ่มก่อตัวการลงทุนที่มีประสิทธิภาพก็เหลือน้อย รวมถึงสกุลเงินท้องถิ่นก็แข็งค่าจนกระทบความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

ทำให้ความน่าสนใจทางพื้นฐานของประเทศลดลง

ในช่วงฟองสบู่นี้การเติบโตทางเศรษฐกิจมักจะมาจากการก่อหนี้มากกว่ามาจากผลกำไรจากการดำเนินธุรกิจ ส่งผลให้ประเทศนั้นต้องพึ่งพาเงินทุนต่างชาติเป็นหลักไปเรียบร้อยแล้ว

ประเทศนั้นจะมีหนี้สกุลเงินต่างชาติสูงขึ้น สาเหตุมาจากหลายส่วนแต่ส่วนหลักๆก็เช่น เงินฝากที่มีไว้สำหรับปล่อยกู้ก็มีน้อยเทียบกับเงินทุนที่ไหลเข้ามาจากต่างชาติ

มาถึงจุดนี้ประเทศนั้นจะเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพากระแสเงินทุนของต่างชาติในการพยุงให้เศรษฐกิจเติบโตต่อ

ซึ่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะเติบโตต่อได้ตราบเท่าที่ยังคงมีกระแสเงินทุนไหลเข้าอยู่เท่านั้น

ซึ่งการที่เงินทุนต่างชาติจะไหลเข้านั้น จะถูกจูงใจจากความคาดหวังว่าการเติบโตของเศรษฐกิจจะยังขยายตัวได้ต่อเนื่องเพื่อที่จะได้ผลักดันราคาสินทรัพย์ให้สูงขึ้นไปอีก จะส่งผลให้สกุลเงินท้องถิ่นแข็งค่ามากยิ่งขึ้น 

ถึงจุดนี้ก็จะเริ่มเห็นความเปราะบางอย่างมากของเศรษฐกิจ หากเงินต่างชาติไหลเข้าน้อยหรือสะดุดเพียงนิดเดียว ก็จะทำให้การเติบโตไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวัง และส่งผลให้เงินทุนต่างชาติไหลออกอย่างรวดเร็วได้

แต่ในจุดนั้นผู้คนจะลงทุนอย่างเพลิดเพลินด้วยการมองโลกในแง่บวกอย่างมาก 

ความเสี่ยงที่ทำให้เกิดการสะดุดทางเศรษฐกิจ เช่น

การแข็งค่าของสกุลเงินท้องถิ่นจนทำให้การส่งออกไม่อยู่ในระดับที่แข่งขันได้ สินค้ามีราคาสูงขึ้น

หรือแม้แต่การไหลออกของเงินทุนต่างชาติไปยังประเทศที่มีพื้นฐานดีกว่า

รวมถึงรัฐของประเทศนั้นดำเนินนโยบายที่เข้มงวด ไม่ว่าจะเป็นการปรับเพิ่มดอกเบี้ย รวมถึงพยายามไม่ให้ค่าเงินของสกุลเงินท้องถิ่นแข็งค่ามากเกินไป เนื่องจากเริ่มเห็นฟองสบู่ อาจใช้มาตรการควบคุมเงินทุน ก็จะส่งผลให้เงินทุนต่างชาติไหลออกได้ (นักลงทุนจะหาทางออกจนได้ แม้จะมีมาตรการก็ตาม)

มาถึงจุดนี้การปล่อยกู้ก็เริ่มจะระมัดระวังมากเป็นพิเศษ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดภาวะหนี้หดตัว ท่ามกลางสถานการณ์เงินเฟ้อที่เป็นผลจากช่วงที่ผ่านมาที่ราคาสินทรัพย์ต่างๆสูงขึ้น

 ซึ่งมันก็จะทำให้ประเทศเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ค่าเงินสกุลท้องถิ่นอ่อนตัวอย่างรวดเร็วจากการที่เงินทุนต่างชาติไหลออก ซึ่งนั่นทำให้ธนาคารกลางต้องนำเงินสำรองออกมาใช้เพื่อไม่ให้ค่าเงินอ่อนตัวเร็วมากเกินไป ส่งผลให้เงินสำรองของประเทศลดลง

เงินทุนต่างชาติไหลออก ค่าเงินอ่อนและมีแนวโน้มว่าจะอ่อนไปเรื่อย ก็จะยิ่งทำให้เงินทุนต่างชาติไหลออกอย่างต่อเนื่อง

ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์ต่างๆลดลงอย่างรวดเร็ว (ฟองสบู่แตก)

(ย่อๆบางส่วนมาจาก Big Debt Crisis)

วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2565

หลักคิด 05

การตัดสินใจที่ดี มีความสำคัญต่อการลงทุน แต่การไม่ทำพลาดครั้งใหญ่ เป็นสิ่งสำคัญกว่า

**********

Player ในตลาดบ่อยครั้งที่เมื่อชนะครั้งใหญ่ จะมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้นเป็นอย่างมาก และมักจะวางเดิมพันมากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้นอีก 

กล้าที่จะรับความเสี่ยงมากขึ้น แต่เมื่อโชคไม่เข้าข้าง บนความเสี่ยงจำนวนมหาศาล ที่แบกรับเอาไว้ ทุกอย่างก็จะพังทลายลงมา

**********

สถานการณ์ที่ดีและสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างสุดขั้วนั้นจะอยู่ได้ไม่นาน เนื่องจากอุปสงค์และอุปทานจะปรับตัวของมันเองด้วยวิธีที่คาดเดาได้ยาก

**********

คนเรามีแนวโน้มที่จะเชื่อเรื่องราวที่สอดคล้องไปกับ ความคิด/ความต้องการ ของตนเอง แม้ว่าเรื่องราวเหล่านั้นจะเหลือเชื่อ หรือไม่มีวันเป็นจริงก็ตาม

**********

ความผันผวนระยะสั้นที่ทำให้ราคาหุ้นตกลงมา มันไม่ส่งผลต่อมูลค่าของบริษัท 

มูลค่าของบริษัทยังคงเดิม

**********

เป็นคนที่ดีขึ้นและหรูหราน้อยลง 

ไม่มีใครประทับใจในทรัพย์สมบัติของคุณมากกว่าตัวคุณ 

คุณอาจจะคิดว่าคุณอยากได้รถหรูและนาฬิกาดีๆ แต่บางทีสิ่งที่คุณต้องการจริงๆ อาจเป็นความเคารพและชื่นชม 

และคุณมีแนวโน้มที่จะได้รับสิ่งเหล่านั้นผ่านทางความเมตตาและความถ่อมตัวของคุณมากกว่าผ่านทางรถหรูหรือเครื่องประดับหรู

- The Psychology of Money

***********

คนที่เล่นพนันเสี่ยงโชคได้เสียทีละมากๆ การจะให้กลับไปทำงานหรือลงทุน คนจำนวนไม่น้อยแทบจะกลับไปทำงานไม่ได้เลย 

เพราะจะดูแคลนเงินที่ได้มาทีละเล็กทีละน้อย (สังเกตได้จากคำพูดด้วย เพราะติดการพนันแล้วจะเริ่มมีคำพูดประเภทดูแคลน การลงทุนการทำงาน)

รวมถึงจิตใจมันไม่จดจ่อกับงานที่น่าเบื่อหน่าย เพราะการเก็งกำไร/การพนันนั้น มันสร้างความตื่นเต้น ต่างจากการทำงานหรือการลงทุนที่ต้องมีความอดทนและดูน่าเบื่อ 

พูดง่ายๆก็คือการเก็งกำไรหรือการพนันนั้น คนไม่น้อยจะเสีย mindset ไปแล้ว 

การพนันหรือการเก็งกำไรนั้น ความเสียหายในเรื่องของการเงินก็เรื่องนึง สิ่งสำคัญคือความเสียหายด้านจิตใจ ที่แก้กลับคืนมาได้ยาก ยากมากๆ 

การพนันพอเล่นไปสักระยะก็ไม่ต่างกับยาเสพติด จะติดโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม แต่ก็จะบอกกับคนรอบข้างว่าตัวเองไม่ติด
**********

ว่าด้วยหุ้น IPO บ้าง 
โดยปกติ เราเองไม่ค่อยได้จองซื้อหุ้น IPO (จริงๆคือ ไม่ค่อยได้หรอก เพราะแทบไม่เทรดเลย 🤣🤣🤣)  

เอาจริงๆคือ หลายปีหลังมานี้ เราไม่ค่อยใส่ใจหุ้น IPO ถึงแม้จะมีโอกาสจองซื้อได้ก็ตาม เพราะ หุ้น ipo 

มักจะเอาเข้าตลาดในช่วงที่ตลาดกำลังร้อนแรง เพื่อที่จะขายได้ราคาดี 

มักจะมีการ แต่งตัว ปรับปรุงงบการเงินเพื่อเตรียมตัวที่จะนำเข้ามาขาย IPO หลายครั้งที่กำไรมักจะมาดีเกินจริง ในปีสุดท้ายก่อนที่จะขาย ipo 

ซึ่งทั้งหลาย ทั้งปวง ก็เพื่อจะขาย IPO ให้ได้ราคาดีๆ และเหนือสิ่งอื่นใด ส่วนตัว ไม่ค่อยเชื่อมั่นงบการเงินตอนที่ บ.อยู่นอกตลาด  (แม้ว่าตอนอยู่ในตลาด งบการเงินอาจมีการพยายาม manipulate แต่ก็ยังมีการตรวจสอบที่เข้มข้น) 

และหลายครั้งหุ้น ipo ก็มีการเก็งกำไรกันอย่างรุนแรงในวันแรกๆ 

ทั้งหมดนั้นทำให้ หุ้น ipo นั้น ลดความน่าสนใจลงไปมากๆ ในมุมมองของเรา

และแน่นอนเราย่อมพลาดการเก็งกำไรหุ้น ipo ทุกตัวเช่นกัน (ซึ่งเราไม่สนใจจะเก็งกำไรอยู่แล้ว)


**********
การเดินทางผ่านกาลเวลาด้วยพลังแห่งการทบต้นต้องอาศัยความเชื่อมั่นและการลงทุนที่ต่อเนื่องยาวนาน 

สิ่งที่ทำให้นักลงทุนพลาดพลังของการทบต้น จนหลุดออกจากการลงทุน เช่น

- การใช้ Leverage จนทำให้ถูกบีบและต้องยอมแพ้ในยามที่ตลาดผันผวนสูง

- รู้จักบริษัทไม่ดีพอ และไม่ยอมรับความผิดพลาดจากการเลือกหุ้นผิด 

- การเข้าใจผิดคิดว่าการแห่ตามฝูงชนเป็นการลงทุน (โมเมนตัมเทรด)

- การไม่เข้าใจจิตใจตนเองดีพอ (mindset) จิตตกไปกับสภาพตลาด จนลืมแผนการลงทุนที่วางเอาไว้จนหมดสิ้น

- และสิ่งสุดท้าย เผลอไปกันสิ่งล่อใจ สิ่งเร้าใจอย่างอื่น เช่น asset ที่ผันผวนสูง ไม่มีมูลค่า + ล่อใจว่าจะเป็นเทรนด์แห่งอนาคต จนละทิ้งการลงทุน หรือเข้าใจผิดว่าการเก็งกำไรใน asset เหล่านั้น คือการลงทุน
**********

อยากได้กำไรจากหุ้นมากๆ ต้องหันกลับมามองที่ตัวเองด้วยว่า กิจวัตรประจำวันที่ทำเพื่อการลงทุนนั้น มันคู่ควรกับกำไรมากๆจากตลาดหุ้นหรือไม่

ซื้อหุ้นเพราะ ข่าวลือ, เค้าบอกว่า, เพื่อนที่ทำงานใน บ.นั้นบอกว่า, เพื่อนมีอินไซด์มาเล่าให้ฟัง อื่นๆอีกมากมายสารพัดวิธี ยกเว้น การขยันหาข้อมูล ขยันติดตาม บ. (ทั้งๆที่เป็นวิธีที่ดีที่สุด) ด้วยสารพัดข้ออ้าง โดยข้ออ้างยอดฮิตคือ ไม่มีเวลา 

คือถ้าไม่มีเวลาสำหรับการลงทุน ทุกคนมี 24 ชม เท่ากัน ถ้าเวลาเพื่ออนาคตของตนเองจัดการไม่ได้ ก็ไม่แปลกที่จะขาดทุนกับหุ้น 

ถ้าหุ้นสำคัญมากพอ จะมีเวลาให้มันเสมอ

อินไซด์ทั้งหลาย ถ้ามันอินไซด์จริง มันไม่หลุดมาถึงคุณหรอก 

ข่าวที่ทำเงินได้ มันไม่หลุดมาถึงแน่ๆ มีแต่ข่าวลวงให้ไป "จ่าย" เท่านั้น ที่หลุดมาถึง 

คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร สำคัญแค่ไหน ข่าวอินไซด์ที่ทำเงินได้ ถึงจะมาถึงคุณ ??? 

ไม่พูดแบบนี้ มันไม่ซึ้งถึงหัวอกหัวใจ แบบนี้ จะทำให้จำได้แม่น 

ด้วยความปรารถนาดี 😊😊😊

**********

เวลาอยู่ในตลาดหุ้นไปซักระยะใหญ่ อาจมีอาการเมาหมัด หลงลืมจุดประสงค์ในการเข้าตลาดหุ้น หลงใหลไปกับแสงสี (ความตื่นเต้น ความเร้าใจที่ได้เทรด)

หยุดพักแล้วคิด หันไปมองย้อนหลัง ว่าที่ทำมานั้น เพื่อจุดประสงค์ที่เราต้องการอย่างแท้จริงใช่หรือไม่ 

เข้ามาในตลาดหุ้นลงทุน เพื่อสร้างพอร์ต เพื่อสร้างความมั่งคั่งทางการเงิน หรือเพื่อแสวงหาความตื่นเต้น เร้าใจ สนุกสนาน

เล่นหุ้นร้อนแรง ที่มีความผันผวนสูง เข้าออกเร็ว มันตื่นเต้น มันเร้าใจ มันดูเท่ห์ นั่นใช่จุดประสงค์ ที่เข้ามาอยู่ในตลาดหุ้นหรือไม่ ถ้ามันตอบโจทย์ของเป้าหมายหลักเรื่องความมั่งคั่งได้ ก็ไม่ผิดอะไร  

ดังนั้นอย่าลืม หยุดพัก หยุดคิด มองย้อนหลังดู ว่ามันตอบโจทย์เป้าหมายหลักหรือไม่

นอกจากหุ้นที่ผันผวนสูงแล้ว มันยังมีหุ้นที่สามารถลงทุนได้แบบไม่หวือหวา ค่อยๆสร้างพอร์ต ค่อยๆสร้างความมั่งคั่ง ไปเรื่อยๆ อย่างน่าเบื่อหน่าย แต่โอกาสสำเร็จมีสูง อยู่ด้วยเช่นกัน

จุดสำคัญของการลงทุน คือ ทัศนคติที่มีต่อการลงทุน และ หลักการที่ใช้ในการเลือกหุ้น

ทัศนคติของการลงทุน ไม่ใช่การเข้าไปฟาดฟันเพื่อหวังกินเงินของคนอื่นอย่างเร็วๆแบบแทงสูงแทงต่ำ แต่เป็นมุมมองที่ลงทุนเพื่อการทำธุรกิจ มองแบบการทำธุรกิจ

หลักการในการเลือกหุ้น ขึ้นอยู่กับทัศนคติที่มีต่อตลาดหุ้นเป็นหลัก ถ้ามองว่าตลาดหุ้นคือการเก็งกำไร หลักการเลือกหุ้นก็จะเป็นแบบนึง ถ้ามองว่าตลาดหุ้นคือการลงทุน หลักการเลือกหุ้นก็จะเป็นอีกอย่างหนึ่ง 

กำไรเร็วไม่สำคัญเท่ากำไรบนความเสี่ยงต่ำ

**********

หากราคาน้ำมันดีเซลขยับขึ้นไปจนถึงลิตรละ 35 บ. จากเดิมที่ 30 บาทต่อลิตร แสดงว่าราคาน้ำมันขึ้นไป ประมาณ 17 เปอร์เซ็นต์ 

สมมุติ รถเต็มถังที่ 60 ลิตร เท่ากับต้องจ่ายเพิ่มอีกถังละ 300 บาท 

ตัวเลขแบบนี้คนที่มีฐานะหน่อยก็อาจจะบอกว่านิดเดียวไม่เป็นไร 

นี่แสดงว่าคิดไม่ละเอียด คงลืมคิดไปว่า ราคาน้ำมันเป็นต้นทุนแฝงของสินค้าเกือบทุกประเภท ซึ่งสุดท้ายแล้วจะส่งผลต่อเงินเฟ้อให้มากเกินควร

สมมุติ ว่าเงินเฟ้อไปอยู่ที่ 5 เปอร์เซ็นต์ คนที่มีฐานะหน่อยสมมุติมีสัก 100 ล้าน โดนเงินเฟ้อไป 5% นั่นแปลว่าค่าเงินปีนึงจะหายไปประมาณ 5 ล้าน 

คนที่มี 200 ล้าน ก็เรียกว่าอยู่ดีๆ ค่าของเงินหายไป "ปีละ" 10 ล้าน

ยิ่งถ้าคนมีเป็นพันล้าน เงินเฟ้อ 5 เปอร์เซ็นต์ หมายถึงค่าของเงินจะหายไปปีละ 50 ล้าน 

ดังนั้น การที่ราคาน้ำมันขยับขึ้น อย่าบอกว่านิดเดียว เพราะมันสามารถไปด้อยค่าทรัพย์สินทั้งหมดที่คุณมีอยู่ คิดตามเป็นเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว 

นี่ยังไม่นับว่าส่งผลรวมต่อธุรกิจให้ดรอปลงอีกด้วย นั่นหมายความว่าเงินเฟ้อที่มากเกินไป นอกจากจะกัดกินมูลค่าของทรัพย์สินทั้งหมดที่มีแล้ว ยังไปลดกระแสเงินสดไหลเข้าจากธุรกิจ ไปลดความมั่งคั่งที่จะหาได้ในอนาคตอีกด้วย

**********
การละทิ้ง วิถีชีวิตที่ไม่ดีต่อสุขภาพ คือ การลงทุนอย่างนึง

วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2565

หลักคิด 04

การทำกำไรที่ดี คือ การซื้อหุ้นโดยรับความเสี่ยงในระดับที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับกำไรที่จะได้

เมื่อเวลาผ่านไปบริษัทมีกำไรที่เติบโตมากขึ้นแม้ราคาจะสูงขึ้น หากความสามารถในการทำกำไรสูงขึ้นเร็วกว่า หุ้นตัวนั้นก็อาจจะยังน่าซื้ออยู่

อย่าซื้อหุ้นโดยหวังเพียงเศษของกำไร อย่าซื้อขายหุ้นเพียงหวังแค่ค่ากับข้าว

ทรัพยากรมีอยู่อย่างจำกัด

ดังนั้นการเคลื่อนย้ายทรัพยากรไปไว้ยังจุดที่มีโอกาสเติบโตมากที่สุด (เมื่อหักลบกับความเสี่ยง) จึงเป็นสิ่งจำเป็น 

และอย่าให้ Sunk cost มีผลต่อการตัดสินใจ

นั่นไม่ได้หมายความว่า จุดเดิมไม่ดี เพียงแต่จุดใหม่อาจดีกว่าเท่านั้นเอง

นักลงทุนควรจะมีความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าหุ้นของบริษัทที่เขาต้องการจะซื้อนั้นจะต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง และรู้ว่าตัวเองพร้อมจะจ่ายเงินซื้อที่ราคาไหน 

หุ้นที่มีคุณสมบัติครบถ้วนแต่ราคาแพงโอเวอร์ หรือหุ้นที่มีราคาถูกเพราะขาดคุณสมบัติบางประการ มันอาจจะไม่ใช่โอกาสที่ดีที่เราจะได้เป็นเจ้าของ

เราไม่ได้ได้เงินจากการกระทำ แต่เราได้เงินจากการกระทำที่ถูกต้องต่างหาก

ในช่วงที่ทำอะไรไม่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องพยายามลงมือทำ รอให้เป็น

หากไม่สามารถหาหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดี และสมน้ำสมเนื้อกับความเสี่ยงที่ต้องรับ สู้ถือเงินสดเสียยังดีกว่า จะไปซื้อหุ้นเพื่อหวังแค่ค่ากับข้าว

เวลาที่ไม่ได้ทำอะไรควรจะถูกใช้ไปเพื่อขยายขอบเขตแห่งความชำนาญ เราควรเตรียมตัวด้วยการหาข้อมูลของบริษัทซึ่งทำคะแนนได้สูงในด้านคุณภาพและการเติบโต หาบริษัทที่จะเอามาไว้ในรายชื่อหุ้นกับตา เพื่อที่จะได้เฝ้าดูสถานการณ์ไปเรื่อยๆจนกว่าราคาของบริษัทที่อยู่ใน list นั้นจะเข้ามาอยู่ในระดับเป้าหมาย ซึ่งเมื่อเวลานั้นมาถึงก็ให้ชัดเข้าไปเต็มๆอย่าลังเล

เสียงอื้ออึ้งในตลาดหุ้น เสียงของการเชียร์ หรือแม้แต่กระทั่งข่าวต่างๆ ที่อาจทำให้เกิดความโลภชั่วคราวขึ้นมา  

ล้วนแต่เป็นการพยายามเบี่ยงเบน เปลี่ยนแปลงนักลงทุนให้กลายเป็น trader
 
นลท ที่ไม่เข้มแข็งพอ จากเดิมที่เคยตั้งใจว่าจะลงทุนสุดท้ายก็จะกลายเป็นการเทรด เพื่อเอากำไรในระยะสั้น

เครื่องมือของนักลงทุนคือการซื้อถูกขายแพง เครื่องมือของเทรดเดอร์คือการซื้อแพงและขายแพงกว่า

เป็นนักลงทุนอย่าซื้อแพง
เป็น trader อย่าซื้อถูก

เราควรรักษาจิตใจให้เป็นปกติและรักษาวิธีการในการลงทุนที่ถูกต้องเอาไว้ให้ดี 

อย่าให้เสียงเชียร์ในตลาดไปปั่นป่วน จนปลดปล่อย ความโลภและความกลัวออกมา

มองหาผลตอบแทนที่น่าพอใจในระยะยาว ที่สอดคล้องกับความเสี่ยงในขนาดที่ยอมรับได้

ข้อมูลที่ถาโถมเข้ามาอย่างมากมายมหาศาล เสียงเชียร์จากโบรกต่างๆ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ค่อยๆเปลี่ยนนักลงทุนให้กลายเป็นเทรดเดอร์อย่างไม่รู้ตัว

อย่าเก็งกำไรกับข่าว แต่ให้เดิมพันกับแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจ จึงจะเป็นการลงทุนที่สมเหตุสมผล

หา บ.ที่มีความมั่นคงทางการเงินสูงๆ มีความสามารถในการทำกำไรที่ดี แต่โดนผลกระทบชั่วคราว จนทำให้ผลประกอบการแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด 

จนตลาดเททิ้ง ไม่อยากได้ ทำให้ราคาไหลลงมาต่ำกว่าที่ควรจะเป็นอย่างมาก แต่ บ.ยังสามารถปันผลได้ดี

การได้ซื้อ บ.ประมาณนี้ มักจะเป็น บ.ที่มีส่วนเผื่อความปลอดภัยสูง บ.มั่นคงไม่ล้มหายไปง่ายๆแน่นอน 

แม้ บ.จะต้องใช้เวลาในการฟื้นความสามารถในการทำกำไรนานพอสมควร แต่การปันผล จะทำให้ผู้ถือหุ้น สามารถรอการฟื้นตัวได้ 

และเมื่อ บ.สามารถผ่านพ้นเหตุการณ์เลวร้ายไปได้ ตลาดก็จะกลับมาเห็นค่า

ตามหลักแล้ว เราควรลงทุนใน บ.ที่ดีขึ้นไปเรื่อยๆไม่ใช่หรอ ส่วน บ.ที่เดวดีเดวร้าย ดีสองปี สามปีแล้ว แย่ห้าปี เจ็ดปี เราคงไม่อยากลงทุนใช่ไหม

ถ้าเราลงทุนกับแนวโน้มการเติบโตของบริษัท ซึ่งบริษัทจะเติบโตได้ต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร 

หนึ่งไตรมาสคือระยะเวลาที่สั้นที่สุดที่จะบอกเราได้ว่าบริษัทเติบโตไปในทิศทางที่เราคาดหวังหรือไม่ (เมื่อประกาศงบ)

งั้นจะดูราคาหุ้นแทบจะ ทุกสิบถึงยี่สิบนาทีกันทำไม 

การดูราคาหุ้นบ่อยๆ ถี่ๆ ช่วยให้เห็นแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจได้อย่างนั้นหรือ

ถ้าลงทุนกับแนวโน้มการเติบโตของบริษัทแล้วการดูราคาหุ้นบ่อยๆแทบไม่มีประโยชน์เลย ยกเว้นเพื่อหาจังหวะซื้อหุ้นเท่านั้นเอง

ในการจะสร้างยอดขายให้สูงขึ้น เติบโตขึ้น ย่อมต้องการสินทรัพย์หมุนเวียน และทรัพย์สินถาวรเพิ่มขึ้นด้วยเสมอ

การค่อยๆทำกำไรสะสมอย่างต่อเนื่องนั้นสำคัญ

อย่าพยายามทำกำไรมากๆเพียงวูบเดียวโดยเอาตัวเขาไปแบกรับความเสี่ยงสูงๆ

การลงทุน คือการสร้างผลตอบแทนระยะยาวให้มากที่สุด โดยรับความเสี่ยงน้อยที่สุด

คนที่มีประสบการณ์ในตลาดหุ้นน้อยๆ โดยมากมักเข้าตลาดมาพร้อมด้วยอีโก้สูงๆ 

เข้ามาถึงมักจะหวังผลตอบแทนสูงๆ รวยเร็วๆ สามปีชั้นต้องรวยทำนองนี้ เข้ามากะว่าจะมาฟาดฟันเอากำไรจากตลาดมากๆ 

โดยที่ลืมไปว่า การจะรวยเร็วๆจากตลาดหุ้น คือ ต้องเทรด ต้องฟาดฟันเพื่อกินเงินคนอื่นที่อาจอยู่ในตลาดมานานกว่า มี ปสก มากกว่า และอาจจะมีเงินมากกว่า เรียกรวมๆคือเป็นคนที่เก๋าเกมกว่า 

แล้วมือใหม่ด้อย ปสก กลับคิดว่าการจะกินเงินคนอื่นในตลาดเป็นเรื่องง่าย

ถ้ารอดอยู่ในตลาดนานพอ อีโก้จะค่อยๆลดลงไปเอง ความหวังจะตั้งอยู่บนเหตุผลที่มากขึ้น ตลาดจะเป็นคนสอน ตลาดจะให้บทเรียนเอง

จงสร้างผลงานของตัวเองและเขียนใส่กระดาษเอาไว้ จงเขียนเหตุผลขั้นพื้นฐานในการลงทุนทุกๆครั้งระบุตัวสร้างมูลค่าและตัวทำลายมูลค่าและความคาดหวังที่คุณมีต่อหุ้นเหล่านั้น 
ระบุราคาที่พร้อมจะขายตั้งแต่ตอนที่เขาซื้อมันศึกษาค้นคว้าและบันทึกไว้ในกระดาษ มันจะทำให้คุณเป็นคนที่คิดอย่างมีเหตุผล ชัดเจน โดยปราศจากอารมณ์ กระดาษแผ่นนี้ จะทำให้คุณใจสงบไม่ว่าตลาดจะผันผวนขนาดไหน

ผมทำกำไรจากการขายหุ้นเร็วเกินไป - เบอร์นาร์ด บารุช

เวลาเข้าไปเล่นใน zero sum game นั่นแสดงว่า คาดหวังจะไปกินเงินคนอื่น ดังนั้นเวลาโดนคนอื่นกินเงินตัวเองไปบ้าง อย่าเสียใจหนักจนเกินไป คิดซะว่ามันคนละที

แต่ให้หันมาปรับปรุงข้อผิดพลาดของตัวเอง ว่าเราด้อยกว่าเขาตรงไหนถึงไปโดนเขากินเงินได้ และต้องตระหนักว่าการจะกินเงินคนอื่น อาจโดนคนอื่นกินบ้างก็ได้ 

ดังนั้นต้องมี money management ที่ดี อย่าให้เงินที่สูญเสียจากการเก็งกำไร กระทบกับเงินที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน

ถ้าเบื่อจากวันวน zero sum game ที่สุดโต่งเกินไป ที่ไม่มีมูลค่าแท้จริงรองรับ ก็หันไปเก็งกำไรในทรัพย์สินที่มีมูลค่าแท้จริงรอบรับแทน เช่น โลหะมีค่า หุ้น อนุพันธุ์ต่างๆของหุ้น หรือของโลหะมีค่า เช่น ฟิวเจอร์ ออปชั่น

หรือหันไปลงทุนแทน ค้าขาย ทำธุรกิจ หรือซื้อหุ้นเพื่อการลงทุนในธุรกิจจริงๆก็ได้

- ขายเมื่อเกินมูลค่า 
- ขายเมื่อพื้นฐาน บ.เปลี่ยนอย่างมีนัยยะ
- สับเปลี่ยนเมื่อเจอโอกาสอื่นที่ดีกว่า และคุ้มค่าที่จะสับเปลี่ยน

คนฉลาด ไม่ใช่แค่ฉลาดพูดเท่านั้น
ต้องรู้จักนิ่งอย่างมีสติให้เป็นด้วย
ต้องรู้ในสิ่งที่ไม่ควรพูด
ให้มากยิ่งกว่าสิ่งที่ควรพูด

#พุทธทาสภิกขุ

ตลาดหุ้นจะส่งผลต่ออารมณ์ของเรา และอารมณ์จะทำให้เราไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง ตลาดพยายามจะล้างสมองเราและบีบให้เราทำในสิ่งตรงข้ามกับที่ควรจะทำ

ตลาดหมีมักจะทำให้เรารู้สึก "โง่" กว่าความเป็นจริง เพราะไม่ว่าจะซื้ออะไรก็มักจะขาดทุน

ส่วนตลาดกระทิงจะทำให้เรารู้สึก "ฉลาด" กว่าความเป็นจริง เพราะกำไรช่างได้มาอย่างง่ายดายเหลือเกิน

การลงทุน คือ การวิ่งมาราธอน อย่ายอมให้ตลาดมาเปลี่ยนให้เราไปวิ่ง 100 ม.

เป้าหมายในการซื้อหุ้น คือซื้อหุ้นของ บ.ที่ดีในราคาที่ถูกกว่ามูลค่า และขายออกเมื่อมันเต็มมูลค่า 

ไม่ใช่การพยายามซื้อให้ได้ที่จุดต่ำสุดของราคา และพยายามขายที่จุดสูงของราคา

แต่เรามักจะหลงลืม และพยายามจะคาดคะเน ราคาต่ำสุดและสูงสุด

ในโลกนี้การจะได้ผลประโยชน์อันยั่งยืนในระยะยาวต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดในระยะสั้นด้วยกันทั้งนั้น

หากต้องการจะเปลี่ยนชีวิต ก็ต้องเริ่มต้นที่เปลี่ยนตัวเอง การจะเปลี่ยนตัวเองก็ต้องเปลี่ยนที่การกระทำ หากจะเปลี่ยนการกระทำ ก็ต้องเริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนที่วิธีคิด

ความหวังไม่ใช่กลยุทธ์
การวิเคราะห์หุ้นต้องแสวงหาข่าว และอยู่บนความจริงให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 

การลงทุนเป็นเกมแห่งความเป็นไปได้ และความเสี่ยงที่ยังไม่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้แปลว่ามันไม่มีอยู่จริง

ทั้งชีวิตของคนเราเป็นเรื่องของการจัดการความเสี่ยงแต่ไม่ใช่กำจัดมัน - วอลเตอร์ ริสตัน

นอกจากคิดว่า หากถูกจะได้ผลตอบแทนเท่าไรแล้ว สิ่งที่ต้องนำมาคิดด้วยคือหากเราผิดต้นทุนของความผิดพลาดเป็นเท่าไร

วิธีที่ดีที่สุดในการสร้างผลตอบแทนจากตลาดหุ้นคือต้องลงทุนและลงทุนต่อเนื่องระยะยาว การซื้อขายระหว่างวันเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนและเสี่ยงเกินกว่าที่จะสร้างความมั่นคั่งในระยะยาว

ยามตลาดกระทิงอย่าหลงดีใจมากเกินไปและเวลาตลาดหมีมาก็อย่าท้อแท้หมดหวังมากเกินไป

มุ่งมั่นเอาจริงเอาจังด้วยความสุขุมรอบคอบเป็นหนทางที่จะสร้างผลตอบแทนให้เกิดขึ้นจริง

ต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งจึงจะสามารถมองข้ามความผันผวนในปัจจุบันได้ และต้องตระหนักอย่างแท้จริงว่าความมั่งคั่งที่มั่นคงในระยะยาวเกิดจากการลงทุนระยะยาวซึ่งต้องถือหุ้นไว้นานพอ

บางคนรู้ราคาของทุกสิ่งทุกอย่างแต่ไม่รู้คุณค่าของอะไรเลย - ฟิลลิป ฟิชเชอร์

ถ้าจะทำกำไรให้ได้มากจากการลงทุน มันมีความจำเป็นที่จะต้องมีความอดทน

มันเป็นเรื่องง่ายที่จะบอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับราคาหุ้นมากกว่า จะบอกว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่มันถึงจะเกิด ดังนั้นความอดทนจึงมีความสำคัญ

ลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งของตลาดหุ้นคือ ในตลาดหุ้นสิ่งที่คนส่วนมากกำลังทำในขณะนั้น จะดึงดูดให้เรารู้สึกอยากที่จะทำตาม ซึ่งสิ่งที่เราทำตามนั้น มักจะเป็นสิ่งที่ผิด

ปาฏิหาริย์อยู่ในรายละเอียด
ถ้าคุณเป็นหมอคุณทำงานละเอียดคุณก็ช่วยคนไข้ได้มาก
ถ้าคุณเป็นนักลงทุนคุณทำงานละเอียดคุณก็หาเงินได้มาก
การเก็บรายละเอียดได้มากกว่าคนอื่นจะทำให้เก่งกว่าคนอื่น

การซื้อหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชีมากพอเป็นกลยุทธ์การลงทุนที่ประสบความสำเร็จ

ข้อเสียคือแทบไม่มีธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแห่งไหนเลยที่มีราคาหุ้นอยู่ในระดับเดียวกับมูลค่าตามบัญชีหรือว่าต่ำกว่า อย่างมีนัยยะสำคัญ

ยกเว้นในยามวิกฤต

หากต้องการเปลี่ยนวิธีการเทรด/ลงทุน ต้องเริ่มที่การเปลี่ยนทัศนคติ

อย่าเสี่ยงทุกอย่างลงไปในการเทรดเพียงครั้งเดียว

อย่าเป็นคนฉลาดที่หมดตัว เพียงเพราะไม่รู้ว่าตลาดสามารถทำอะไรได้บ้าง หรือประเมินความสามารถของตลาดต่ำไป

นลท ไม่ได้ถูกหรือผิด เพราะคนอื่นเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับความคิดของเขา แต่เขาถูกเพราะข้อเท็จจริงและการวิเคราะห์ที่ถูกต้อง - เกรแฮม

ซื้อเมื่อไม่มีคนสนใจ และขายเมื่อมันเป็นที่ชื่นชอบของตลาด #ตลาดหุ้น

“คุณจะควบคุมได้มากขึ้น ถ้าคุณรู้ว่าสิ่งที่คุณควบคุมไม่ได้ มีมากแค่ไหน” - เบนจามินเกรแฮม

“สภาวะที่ดีผิดปกติหรือไม่ดีอย่างผิดปกติจะไม่คงอยู่ตลอดไป” - เบนจามินเกรแฮม

การไล่ซื้อในราคาที่แพงเพื่อที่จะขายได้ในราคาที่แพงกว่านั้น ท้ายที่สุดตลาดก็จะได้สติกลับคืนมา ความมีเหตุผลจะกลับมามีบทบาทอีกครั้ง

การซื้อหุ้นเพื่อลงทุน เป็นเรื่องระหว่างราคาและคุณค่าที่ได้รับกลับมา

การรู้ขอบเขตความสามารถของตัวเอง เป็นสิ่งที่ยากมาก เพราะความคิดของคนเรา มักหลอกตัวเอง ว่าเราฉลาดว่าที่เราเป็น

การเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จนั้นต้องอาศัยการตอบสนองอัตโนมัติแบบที่ถูกต้อง ซึ่งการจะมีการตอบสนองแบบนั้นได้ ต้องผ่านการฝึกฝนมา

ไม่มีใครที่จะสมบูรณ์แบบ แต่เราทุกคนสามารถพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆได้

นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ว่าจะฉลาดแค่ไหนก็มักจะไม่ประสบความสำเร็จถ้ามีพื้นฐานอารมณ์ที่ไม่เหมาะสม

หากเราสามารถขยายขีดความสามารถ ขยายขอบเขตของทักษะมากขึ้นเรื่อยๆได้ เราก็จะเป็นคนมีโอกาสในการประสบความสำเร็จได้สูง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการปรับใช้ด้วย

ใครๆก็อยากประสบความสำเร็จ แต่อย่าลืมถามตัวเองว่า เลือกทางถูกไหม + ทุ่มเทอย่างหนักมากเพียงพอที่จะคู่ควรกับความสำเร็จนั้นไหม

ความรู้ทักษะที่หลากหลาย สามารถช่วยส่งเสริมทักษะเดิมที่มีอยู่ ให้เก่งขึ้น ลึกขึ้นได้

การพัฒนาตัวเอง คืองานที่ไม่มีวันสิ้นสุด

แปลกอย่างนึง Player ในตลาดหุ้น ซื้อๆขายๆหุ้นกันอย่างมหาศาลในแต่ละวันโดยที่ คนส่วนมากประเมินมูลค่าไม่เป็น

ใครๆก็รักผลงานที่ทำด้วยใจ

ถ้าตลาดให้มูลค่าผิดพลาดเป็นเวลาที่นานเพียงพอ จะทำให้คนส่วนใหญ่คล้อยตามได้ไม่ยาก

ศัตรูของความสำเร็จ ก็คือความคิดลบของตัวเราเอง

ถ้าคิดว่าตัวเองเก่งอยู่แล้วก็จะไม่มีทางพัฒนาได้อีก

โฟกัสในสิ่งที่เราควบคุมได้

ถึงจะเป็นบริษัทที่เก่งมากแค่ไหนก็ตาม ถ้าราคาไม่ได้มีราคาที่เหมาะสม เราก็ไม่รู้จะลงทุนไปเพื่ออะไร

ต้องเลือกให้เป็น ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยกับดักปันผล บริษัทที่มีปัญหาอาจทุ่มจ่ายปันผลมากๆเพื่อเหตุผลบางอย่าง

การเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จนั้นต้องอาศัยการตอบสนองที่ได้รับการฝึกฝนมาแล้ว 

ถ้าคุณสามารถก้าวข้ามพฤติกรรมที่ทำให้เกิดการตัดสินใจแย่ๆได้ คุณก็จะได้เปรียบนักลงทุนคนอื่น

ถ้าซื้อหุ้นที่เน้นถูกกว่ามูลค่า ต้องอย่าลืมมองหาว่าอะไรจะเป็นตัวเร่งให้คนมาซื้อหุ้นในอนาคตด้วย ปันผลช่วยให้เรารอได้นานก็จริง แต่หากไม่มีตัวเร่ง บางทีก็ถือนานจนไม่รู้ว่าถึงเมื่อไหร่

อิงกับสิ่งที่ บ.มี
ไม่ใช่อิงกับสิ่งที่ตลาดจะให้

ซื้อหุ้นของ บ.ที่
-เราเข้าใจในธุรกิจนั้นจนมองอนาคตได้
-ราคาสมเหตุสมผล ราคาไม่เกินมูลค่า
-บ.มีความมั่นคงทางการเงินพอสมควร
-มีประวัติงบการเงินที่มีความสม่ำเสมอ
-มี ผบห ที่มีความสามารถและธรรมาภิบาล

หลักในการขายหุ้น
1. เมื่อพื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวร จากที่ได้คาดการณ์ไว้แต่ต้น
2. เมื่อเจอหุ้นของบริษัทอื่นที่มีโอกาสมากกว่า และความเสี่ยงต่ำกว่า
3.เมื่อราคาเกินกว่ามูลค่ามากๆ

ถ้าไม่เข้าทั้ง 3 ข้อนี้ก็ถือไปก่อน ไม่รีบร้อนขายหุ้น

ในการประเมินมูลค่าหุ้นเราจะเลือกใช้วิธีที่ง่ายๆพื้นฐาน basic ที่สุดก่อนเสมอ หากใช้วิธีนั้นแล้วมีหุ้นให้ซื้อ แต่หากไม่มีจึงค่อยใช้วิธีที่ Advance ขึ้น เนื่องจากวิธีที่ สลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น จะทำให้เกิดความผิดพลาดได้ง่าย การประเมินมูลค่าที่ผิดพลาดนำมาซึ่งความเสียหายอย่างร้ายแรง

เราสามารถเพิ่มคุณค่าให้ตนเองมากขึ้นด้วยการเรียนรู้และพัฒนาตนเองให้มากยิ่งขึ้น

ลำพังเพียง เวลา ไม่สามารถทำให้เราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้อย่างแท้จริง อุปสรรคต่างหาก ที่บ่มเพาะเราให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่

หยุดคิดถึงสิ่งที่แก้ไขอะไรไม่ได้ 
มุ่งทำในสิ่งที่สามารถทำได้

การลงทุนเพื่อให้มีความเสี่ยงต่ำนั้น ต้องเน้นไปที่ส่วนเผื่อความปลอดภัยเป็นหลัก (margin of safety) ส่วนการเติบโตหรือ growth จะเป็นเรื่องรอง แต่ไม่ใช่จะไม่พิจรณาเลย

**********

เวลาลงทุนในหุ้นหากนานพอ ปกติมักจะไม่ค่อยถอนเงินจากหุ้นมาใช้จ่ายกันอยู่แล้ว 

ดังนั้นกระแสเงินสดที่ได้รับจริง มักจะเป็นเงินปันผล ซึ่งมีความสำคัญสำหรับ นักลงทุนแบบ fulltime 

กำไรในพอร์ตมักสะสมต่อเนื่อง แต่ที่จับต้องได้จริงคือ เงินปันผล

จะมีอิสระการเงินได้หรือไม่นั้น เงินปันผลเป็นองค์ประกอบสำคัญ

บ.ที่ยังมีการเติบโตส่วนมากจ่ายปันผลไม่เกิน 30% - 50% ของกำไร (แต่ก็มีบาง บ.ที่เติบโตได้และไม่จำเป็นต้องเก็บกำไรไว้เพื่อเพิ่มเงินทุนของ บ. แต่มีน้อย) 

ดังนั้นเงินปันผลมักจะเป็นเพียงส่วนเดียวของกำไร ที่ผู้ถือหุ้นได้รับ กำไรส่วนที่เหลือที่สะสมใน บ.มักจะแสดงออกผ่านราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น

ต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง จึงจะสามารถมองข้ามความผันผวนในปัจจุบันได้ และต้องตระหนักอย่างแท้จริง ว่าความมั่งคั่งที่มั่นคงในระยะยาว เกิดจากการลงทุนระยะยาว 

ซึ่งการลงทุนระยะยาวต้องอาศัยวิธีการและ mindset ที่ต้องผ่านกระบวนการเรียนรู้ ที่ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ เพื่อปรับจิตใจค่อนข้างมาก

หลายคนเทรดเพื่อหาทุนก่อนแล้วจะค่อยลงทุนระยะยาว แต่กว่าจะถึงเวลานั้น การจะเปลี่ยน mindset ที่เคยชินกับการเทรด ให้มาเป็นการลงทุนนั้นไม่ง่ายเลย  

เหมือนกับการต้องเปลี่ยนนิสัยและวิธีการคิดใหม่หมดจากความเคยชินที่ยาวนาน มันไม่ง่ายเลยจริงๆ 

คนที่เคยทำอะไรที่ต้องฝืนนิสัยตัวเองนั้น จะรู้ว่ามันไม่ง่ายเลยจริงๆ โดยเฉพาะหากนิสัยนั้นใช้มายาวนานด้วยแล้ว

การรู้ขอบเขตความสามารถของตัวเองเป็นสิ่งสำคัญในการลงทุน 

แต่เป็นสิ่งที่ยากมาก เพราะความคิดของคนเรา มักหลอกว่าเราฉลาดกว่าที่เราเป็น

คนที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตอยู่กับความเพลิดเพลินของอารมณ์ สุดท้ายมักจะพาชีวิตเข้าสู่วัฏจักรแห่งความตกต่ำ

นักลงทุนที่ต้องการกำไรมากๆ
เทรดเดอร์ที่ต้องการกำไรสูงๆ
ผู้คนที่ต้องการความร่ำรวย

ต้องอย่าลืมถามตัวเองว่า ได้สร้างศักยภาพให้กับตนเองจนสมควรที่จะได้รับผลตอบแทนเหล่านั้นหรือไม่

มีความพยายาม ความอดทน ความมุ่งมั่น ต่อเนื่องยาวนาน จนเหมาะสมกับผลลัพธ์ที่ต้องการหรือไม่

ไม่มีใครบังคับให้คุณต้องซื้อหุ้นแพงๆ คุณสามารถรอได้จนกว่านายตลาด จะมอบหุ้นของ บ.ดีๆในราคาสมเหตุสมผล หรือในราคาถูกให้กับคุณ

เพราะว่าหุ้นของบริษัทดีที่มีราคาถูกนั้นจะต้องเป็นบริษัทที่โดนตลาดมองข้าม ราคาถึงจะถูกได้ และเมื่อตลาดมองข้ามมันแล้ว มันต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าตลาดจะกลับมามองเห็นคุณค่าของมัน ดังนั้นนักลงทุนเน้นคุณค่าต้องมีความอดทนสูง ต้องรอเป็น

ความเข้าใจในงบการเงินจะทำให้ มีความอดทนมากขึ้นในการถือหุ้น

กลุ่มโรงงานผลิตโดยส่วนใหญ่ มักจะมี Fixed cost ที่สูง และมี กำลังการผลิต อยู่ในระดับหนึ่งเท่านั้น นั่นหมายความว่า เวลา Order พุ่งเข้ามามากๆก็ผลิตเพิ่มได้ มากสุดแค่กำลังการผลิต ทำกำไรมากกว่านั้นไม่ได้ ต้องลงทุน เครื่องจักรเพิ่ม ในทางกลับกัน หากออเดอร์หาย

เช่น เจอ covid ต้องปิดโรงงาน จะทำให้ขาดทุนเอาได้ง่ายๆ เพราะ Fixed cost ที่สูง การลดค่าใช้จ่ายต่างๆเป็นไปได้อย่างยากลำบากและไม่ทันท่วงที ปรับตัวได้ช้า เรียกได้ว่าเป็นบุคลิกของกลุ่มโรงงานการผลิตที่ต้องระวัง

ตลาดมักให้น้ำหนักแก่หุ้นที่คุณภาพดีมากเกินไปจนลืมเรื่องราคา

ด้วยเหตุผลทางจิตวิทยา เมื่อเราขายหุ้น ที่ราคาขึ้นมาแล้ว เราก็มักจะไม่กลับไปซื้อหุ้นตัวเดิมในราคาที่แพงกว่าตอนที่ขายออกไป เท่ากลับหมดหุ้นดีไปอีกหนึ่งตัว 

การจะไปหาหุ้นดีตัวใหม่ ซึ่งไม่รู้ว่าจะดีกว่าเดิมหรือเปล่า เป็นเรื่องไม่ง่าย

นั่นทำให้ต้องพยายามถือหุ้นที่ดีที่มีให้ยาวที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

เวลาอ่านในเรื่องความเสี่ยงของบริษัท บางบริษัทอาจจะมีความเสี่ยงในด้านที่มีลูกค้ารายใหญ่ จำนวนไม่กี่ราย ที่มีผลต่อรายได้ของบริษัทเป็นจำนวนมาก วิธีป้องกันความเสี่ยงที่บริษัทมักจะเขียนไว้คือเรามีความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้ามานานนับ 10 ปี จึงไม่น่าที่จะ มีใครมาแย่งลูกค้าไปได้

หรือมองอีกมุมนึง เราควรจะพูดว่า มีลูกค้ามาเป็น 10 ปีแล้ว ไม่มีรายใหม่ๆเพิ่มขึ้นมาบ้างเลยหรือ ทำไมมีอยู่เพียงไม่กี่รายเท่าเดิม มันน่ากลัวนะ

การที่บริษัทมีกำไรสม่ำเสมอในระยะยาว และไม่ขาดทุนในยามวิกฤตเศรษฐกิจ นั่น มีนัยยะได้ว่าเป็นบริษัทที่สามารถทนแรงกดดัน จากความผันผวนทางเศรษฐกิจได้ดี โดยที่ยังมีความสามารถในการทำกำไรได้ในขณะที่เศรษฐกิจหดตัว และจะทำกำไรได้มากขึ้นในยามที่เศรษฐกิจมีการเติบโต

มันบอกเป็นนัยยะว่าผู้บริหารมีความสามารถในการบริหารสามารถนำพาบริษัทให้อยู่รอดได้ในยามที่มีวิกฤต

คัดเลือกบริษัทดีที่ราคายังไม่แพงเกินไปกระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุน ในหุ้นด้วยจำนวนตัวที่เหมาะสม ติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทที่เราซื้ออย่างต่อเนื่องและลงทุนระยะยาว

ควรวิเคราะห์และเลือกหุ้นด้วยตัวเอง คุณจะรู้เหตุผลในการเลือก และขายเมื่อเหตุผลนั้นหมดไป

การลงทุนระยะยาวถือว่าเป็นการลดความเสี่ยงในการลงทุนที่ดีที่สุด

ผู้บริหารที่ดี ควรจะต้องสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับปัญหา มีแผนชัดเจนสำหรับการจัดการกระแสเงินสดในปัจจุบันและในอนาคต และถือหุ้นของบริษัทเป็นจำนวนมาก โดยที ไม่ใช่การได้หุ้นจาก ESOP

สัดส่วนการถือหุ้นโดยสถาบันที่สูงกว่า 60% บ่งชี้ว่า หุ้นตัวนั้นเป็นที่รู้จักและอาจจะถูกถือครองมากเกินไปแล้ว และเมื่อไหร่ก็ตามที่สถาบันขาย พวกเขามักจะขายพร้อมกัน นั่นจะทำให้ราคาหุ้นตกลงไปมาก

การมีมูลค่าหนุนหลังมากพอ จะทำให้การลงทุนนั้นปลอดภัยมากขึ้น

เกณฑ์คร่าวในการเลือกหุ้นลงทุนแบบ conservative
-มีขนาดไม่เล็กเกินไป
-การเงินมั่นคง
-ปันผลต่อเนื่อง
-ไม่มีปีที่ขาดทุนในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา
- โดยรวม EPS เพิ่มต่อเนื่อง
-P/BV < 1.5
-P/E < 15

เราจะเปรียบเทียบตัวเลขผลกำไรต่อหุ้นในแต่ละปีตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมากับตัวเลขกำไรต่อหุ้นเฉลี่ยในช่วง 3 ปีก่อนหน้า เพื่อดูว่ามีการลดลงหรือไม่

ข้อสังเกต ใช้เป็นช่วงเวลามิได้ใช้ปีใดปีนึง

ช่วงภาวะวิกฤติ ควรเลือกหุ้นที่มีความแข็งแรงของงบการเงิน หุ้นที่จ่ายปันผล ซื้อหุ้นคืน และหนี้ลดลง มากกว่ามุ่งเน้นเลือกหุ้นเติบโตแต่พียงอย่างเดียว

สาเหตุหลักของความล้มเหลว คือ การใส่ใจต่อภาวะตลาดในขณะนั้นมากเกินไป - เกรแฮม

โดยพื้นฐานแล้วความผันผวนของราคา มีความสำคัญต่อนักลงทุนพันธุ์แท้ในแง่มุมเดียวเท่านั้น นั่นคือมันจะให้โอกาสพวกเขาซื้อหุ้น ในตอนที่ราคาลดลงอย่างหนัก และให้โอกาสพวกเขาขายออกเมื่อตลาดได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นไปอย่างมาก

ในช่วงเวลาอื่นๆการละเลยตลาดหุ้นและหันไปใส่ใจต่อเงินปันผลและการดำเนินงานของบริษัทเป็นสิ่งที่ดีกว่า

ทุกวันนี้ใน "หุ้นยอดนิยม" นั้น Players ในตลาดหุ้น มุ่งเน้นกับการคาดการณ์อนาคตกันจนราคาหุ้นได้สะท้อนเอาไว้หมดแล้ว 

ดังนั้นสิ่งที่คาดการณ์ แม้ด้วยความระมัดระวังจะเกิดขึ้นจริง ก็จะไม่ได้กำไรอยู่นั่นเอง 

แต่ถ้าหากมันไม่เกิดขึ้นอย่างที่คาดเอาไว้ ก็อาจจะเกิดการขาดทุนอย่างหนัก ซึ่งอาจจะเป็นการขาดทุนที่ถาวรด้วย

โอกาส จริงๆแล้วมันมาจากความเตรียมพร้อมของเรา คนเราถ้าไม่ได้เตรียมพร้อมเอาไว้ ต่อให้มีโอกาสดีแค่ไหนผ่านเข้ามาก็คว้าเอาไว้ไม่ได้ 

ทุกคนล้วนมีโอกาสดีๆผ่านเข้ามาในชีวิตเสมอ แต่จะคว้ามันเอาไว้ได้หรือไม่ได้นี่แหละที่สำคัญ 

ซึ่งการเตรียมพร้อมนั้น ต้องอาศัยความขยันและอดทน

การลงทุนนั้นเสียเวลาได้แต่อย่าเสียเงิน เพราะการเสียเงินนั่นหมายถึงเสียทั้งเงินและเสียทั้งเวลา

เราควรต้องวางเป้าหมายเสียก่อนว่าแท้จริงแล้วเราต้องการอะไรกันแน่ 

หากเป้าหมายของการลงทุนคือการมีอิสรภาพทางการเงิน ก็ต้องมากำหนดว่ามี factor ไหนบ้างที่จะให้เราประสบความสำเร็จตามเป้าหมายได้

ก็ต้องมาดูนิยามคำว่าอิสรภาพทางการเงินมันคืออะไร

จะมีอิสรภาพทางการเงินได้ปัจจัยหลักน่าจะเป็นเรื่องของกระแสเงินสดที่ไหลเข้ามาตลอดชีวิตเรามีให้เราได้ใช้จ่ายอย่างพอเพียงเป็นขั้นต่ำ (ไม่ใช่อย่างฟุ่มเฟือย) คือ มี passive income นั่นเอง

ผลข้างเคียงของการมีกระแสเงินสดที่ไหลเข้ามาตลอดอาจจะส่งผลให้เราร่ำรวยก็ได้หรือไม่ร่ำรวยก็ได้ จุดนี้ไม่ใช่ประเด็นหลัก

ดังนั้นเราก็ต้องมาดูว่าแฟกเตอร์ที่จะทำให้เราไปถึงเป้าหมายได้มีอะไรบ้าง

รายได้จากค่าเช่า จริงๆตัวนี้ถ้าเราไม่ได้จ้างเอเจนซี่ช่วยดูแลเสมือนเราก็ยังต้องทำงานอยู่ 

รายได้จากดอกเบี้ย อันนี้ต้องมีเงินมากพอสมควรดอกเบี้ยถึงจะเป็นกอบเป็นกำเพียงพอที่จะนำมาเป็นค่าใช้จ่ายโดยที่ไม่เดือดร้อน

รายได้จากเงินปันผล จริงๆแล้วมันคือรายได้จากธุรกิจที่เราลงทุนผ่านตลาดหุ้น ซึ่งถ้าเราเลือกธุรกิจที่ดีพอ รายได้จากเงินปันผลจะมากกว่ารายได้ดอกเบี้ยหลายเท่าตัวทีเดียว จึงเป็นช่องทางที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด ที่เราจะมี passive income เอาไว้ใช้จ่ายอย่างพอเพียง

เมื่อเราสามารถกำหนดได้เช่นนี้แล้ว บางคนอาจจะบอกว่าต้องการดอกเบี้ยให้เพียงพอกับค่าใช้จ่าย ก็ต้องมุ่งไปที่มีทรัพย์สินให้มากเพียงพอที่จะก่อให้เกิดดอกเบี้ยที่สูงเพื่อให้เป็น passive income สำหรับตนเองได้

บางคนมุ่งไปที่เงินปันผล ต้องการให้เงินปันผลเป็น passive income ก็จะต้องมุ่งไปที่บริษัทที่มั่นคง รายได้สม่ำเสมอจ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ และซื้อในราคาที่ไม่สูงจนเกินไปนัก เพราะ dividend yield นั้น เทียบจากเงินต้นที่เราจ่ายไปซื้อหุ้น

บางคนมุ่งไปที่การเก็บค่าเช่า เพื่อให้ค่าเช่าเป็น passive income ในจุดนี้คนที่เริ่มต้นใหม่ส่วนมากต้องทำงาน เพื่อให้มีรายได้ค่าเช่า หมายถึงต้องหาลูกค้ามาเช่า ต้องดูแลทรัพย์สินที่ให้เช่าให้อยู่ในสภาพที่พร้อมให้เช่า รวมถึงอาจจะต้องมีการตามทวงหนี้ค่าเช่า แต่หากลงทุนในกอง reit ภาระต่างๆก็อาจจะเบาลงไปได้ แค่รอรับเงินปันผลค่าเช่าจากกอง reit 

แต่กอง reit ในประเทศไทยส่วนมากเป็นแบบ lease hold คือเป็นแบบสัญญาเช่าช่วง ไม่ใช่แบบ free hold ที่กอง reit เป็นเจ้าของทรัพย์สินเอง

หลังจากที่มีอิสรภาพทางการเงินแล้ว หากมีทรัพย์สินส่วนเกินก็สามารถที่จะนำไปลงทุนในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงสูงเพิ่มขึ้นได้ เพราะนั้นจะไม่กระทบกับความเป็นอยู่ขั้นต่ำ 

แต่ถ้ายังชอบในแนวทางเดิม ก็ลงทุนเพิ่มเติมต่อเนื่องในทรัพย์สินเดิมที่สร้าง passive income เพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปเรื่อยๆได้เช่นกัน

ซื้อเมื่อไม่มีคนสนใจ และขายเมื่อมันเป็นที่ชื่นชอบของตลาด #ตลาดหุ้น

อย่าพยายามออกนอกหลักการลงทุนของตนเอง เพราะโอกาสผิดพลาดจะมีมากกว่า และถ้าหากไม่จำเป็นก็อย่าแก้ไขหลักการ ยกเว้นบางครั้งที่ราคาหุ้นถูกมากๆ แต่ต้องระลึกไว้เสมอ ว่าการออกนอกหลักการ โอกาสพลาดจะเพิ่มขึ้นสูงมาก

กำไรของบริษัทมีความสม่ำเสมอหรือไม่ ลองตั้งคำถามกับตนเองดูว่า ในอนาคตอีก 4-5 ปีข้างหน้า บริษัทน่าจะยังทำ กำไร ได้ในระดับนี้หรือเพิ่มขึ้นกว่านี้หรือไม่ ถ้าคำตอบคือไม่ หรือ ไม่แน่ใจ
แสดงว่ากำไรในปัจจุบัน เราอาจใช้ดูไม่ได้

เรื่องราวนอกตลาดหุ้นของ บมจ เป็นสิ่งที่น่าติดตามมากเสียยิ่งกว่าราคาหุ้น

จำไว้อย่างหนึ่งไม่ว่าราคาหุ้นจะขึ้นหรือจะลง สัดส่วนความเป็นเจ้าของยังเหมือนเดิม

คนไม่น้อยเวลาซื้อของอย่างอื่นต่อราคาแล้วต่อราคาอีก ถ้ามีคูปอง มีบัตรส่วนลด ต้องควักมาใช้ให้คุ้ม 
แต่เวลาซื้อหุ้น แพงแค่ไหนก็ เคาะขวา!!!

อย่าจ่ายแพงเกินไปไม่ว่าการลงทุนนั้นจะดูน่าตื่นเต้นขนาดไหนก็ตาม

ผลตอบแทนจากการลงทุนจะขึ้นอยู่กับราคาหุ้นในปัจจุบัน ยิ่งทุนของหุ้นที่ซื้อมาราคาสูงขึ้นเท่าไหร่ ผลตอบแทนก็จะยิ่งต่ำลงเท่านั้น

เป็นธรรมดาที่ทุกๆตลาดกระทิงจะต้องจบลงอย่างเจ็บปวด

ยิ่งตลาดมีพฤติกรรมแบบโง่เขามากขึ้นเท่าไหร่ โอกาสของนักลงทุนผู้คิดแบบนักธุรกิจก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น

สิ่งจำเป็นอย่างแท้จริงคือกรอบความคิดอันสมเหตุสมผลสำหรับใช้ในการตัดสินใจทางการลงทุน

การขึ้นปันผลบอกอะไรได้มากกว่าแค่คำพูดของผู้บริหาร มันสื่อได้ว่า 

"เรามีเงินสดมากพอที่จะจ่ายปันผลที่มากกว่าเดิมให้ผู้ถือหุ้น และพวกเราคาดว่าจะสามารถสร้างกระแสเงินสดได้มากขึ้นเรื่อยๆเพื่อรักษาอัตราการปันผล"

ข้อสังเกต บริษัทที่มีกระแสเงินสดถาวรสูงเท่านั้นที่จะจ่ายเงินปันผล ในขณะที่บริษัทที่มีกระแสเงินสดชั่วคราวสูงจะใช้วิธีซื้อหุ้นคืน

การขึ้นปันผลโดยทั่วไปแล้วเป็นสัญญาณบ่งบอกสถานะการเงินที่ดีของบริษัทและบ่งบอกถึงความน่าเชื่อถือ

แต่ละคนมี mindset ที่ต่างกัน แม้จะถือหุ้นตัวเดียวกัน บนวิธีการคัดเลือกเดียวกัน ไม่ใช่จะทนต่อแรงกดดันได้เท่ากัน หลายๆครั้งเพราะเหตุผลในใจต่างกัน

ถ้าภาพใหญ่ในการลงทุนของคุณเป็นภาพระยะยาว มันไม่มีเหตุผลอะไร คุณจะไปถกเถียงกับคนที่มีภาพการลงทุนระยะสั้น ที่ภาพการลงทุนนั้นเปลี่ยนไป แทบจะวันเว้นวัน

มีเพียง 2 ทางเท่านั้นที่จะเอาชนะตลาดหุ้นได้จริงๆ 
1 ซื้อหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงและรอจนกระทั่งตลาดรับรู้มูลค่า (หุ้น value)
2 ซื้อหุ้นบริษัทที่เพิ่มมูลค่าที่แท้จริงได้ไวกว่าบริษัททั่วๆไป (หุ้น Growth)

หุ้นที่อาจจะเติบโตเต็มที่แล้ว mature หุ้นกลุ่มนี้มักจะมีความแข็งแกร่ง มีความได้เปรียบในการแข่งขัน มีขนาดใหญ่ หุ้นกลุ่มนี้ค่อนข้างจะเติบโตช้า มีความเสี่ยงต่ำถึงปานกลาง แต่โตได้เรื่อยๆ

หุ้นของ บ.ที่ควรค้นหา คือหุ้นที่มีโอกาสการเติบโตในอนาคตตั้งแต่ปานกลางขึ้นไป ราคาปัจจุบันสมเหตุสมผลและมี Tangible asset รองรับพอสมควร

การไม่มี Tangible asset มารองรับมันหมายถึงการไขว่คว้าความฝัน หากคว้าได้อาจเป็นฝันที่ยิ่งใหญ่ แต่หากฝันสลาย ความเสียหายจะมากมายทีเดียว

หุ้นที่เราพยายามหาคือหุ้นที่มีโอกาสการเติบโตในอนาคตตั้งแต่ปานกลางขึ้นไป+ปัจจุบันมีราคาถูก+มี Tanguble asset รองรับพอสมควร

อารมณ์ของ เทรดเดอร์ /นักเก็งกำไร/นักพนัน การมีกำไร คือ ต้องกลับมาถือเงินสด และเงินสดคือทรัพย์สินหลัก จะหลับเต็มตาเมื่อถือเงินสด

อารมณ์ของ นักลงทุน การมีกำไรคือการลงทุนในกิจการแล้วกิจการเติบโต และทรัพย์สินหลัก คือ ความเป็นเจ้าของธุรกิจ มีเงินปันผล มีกระแสเงินสดรับจากธุรกิจ ดังนั้นการถือหุ้นตลอดเวลา คือหลับสบาย ถ้าถือเงินสดจะรู้สึกว่าเสียโอกาส

จะเป็นอะไร จะหนักในทางไหน ไม่มีถูกไม่มีผิด แต่ต้องรู้ตัวว่ามี mindset แบบไหน จะได้หาแนวทางของตัวเองได้ถูก 

#Trader #Gambler #Investor

หุ้นที่อาจจะเติบโตเต็มที่แล้ว (mature) 
หุ้นกลุ่มนี้มักจะมีความแข็งแกร่ง มีความได้เปรียบในการแข่งขัน เช่น มีหนี้ต่ำ มีลูกค้ากว้าง และเหนียวแน่น มีขนาดใหญ่ หุ้นกลุ่มนี้ค่อนข้างจะเติบโตช้า มีความเสี่ยงปานกลางถึงค่อนข้างต่ำ แต่โตได้เรื่อยๆ 

หากซื้อในช่วงวิกฤติ ขณะที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่า ก็เป็นการลงทุนที่ดีได้

ต้องเลือกให้เป็น ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยกับดักปันผล บริษัทที่มีปัญหาอาจทุ่มจ่ายปันผลมากๆเพื่อเหตุผลบางอย่าง

ถ้าซื้อหุ้นที่เน้นถูกกว่ามูลค่า ต้องอย่าลืมมองหาว่าอะไรจะเป็นตัวเร่งให้คนมาซื้อหุ้นในอนาคตด้วย ปันผลช่วยให้เรารอได้นานก็จริง แต่หากไม่มีตัวเร่ง บางทีก็ถือนานจนไม่รู้ว่ารอถึงเมื่อไหร่

หลักคิด 03

นักลงทุนที่ต้องการกำไรมากๆ
เทรดเดอร์ที่ต้องการกำไรสูงๆ
ผู้คนที่ต้องการความร่ำรวย

ต้องอย่าลืมถามตัวเองว่า ได้สร้างศักยภาพให้กับตนเองจนสมควรที่จะได้รับผลตอบแทนเหล่านั้นหรือไม่

มีความพยายาม ความอดทน ความมุ่งมั่น ต่อเนื่องยาวนาน จนเหมาะสมกับผลลัพธ์ที่ต้องการหรือไม่

นลท แต่ละคนมักมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมสำหรับการลงทุนติดตัวมาก่อน แต่การเรียนรู้ค่อยๆปรับพฤติกรรม ฝึกฝนจนมีวิธีคิดเกี่ยวกับการลงทุนเป็นอย่างอัตโนมัติ มันจะทำให้พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่อการลงทุนค่อยๆลดลง มันเป็นสิ่งที่จะทำให้เกิดความได้เปรียบ

มูลค่าของธุรกิจเกิดจากที่ธุรกิจสามารถสร้างกระแสเงินสดได้ไม่ใช่ราคาที่มีคนมาเสนอซื้อต่อจากเรา

อารมณ์ของเทรดเดอร์ การมีกำไรคือต้องกลับมาถือเงินสด และเงินสดคือทรัพย์สินหลัก หลับสบายเมื่อถือเงินสด

อารมณ์ของ นลท การมีกำไรคือการลงทุนในกิจการแล้วกิจการเติบโต และทรัพย์สินหลักคือ ความเป็นเจ้าของธุรกิจ ดังนั้นการถือหุ้นตลอดเวลา คือหลับสบาย ถ้าถือเงินสดจะรู้สึกว่าเสียโอกาส

การซื้อหุ้นคุณภาพปานกลางแต่ราคาถูกมากเท่ากับปิดประตูแพ้

คิดอย่างมีเหตุผลและเป็นอิสระจากอารมณ์ของฝูงชน แล้วต้องมีความกล้าที่จะลงมือทำหรือมีใจหนักแน่นพอที่จะอยู่เฉยๆ นั่นคือต้องใช้ทั้งความรู้และประสบการณ์ในการลงทุน

หัวใจของการลงทุน
1.ราคาที่ซื้อ
2.คุณภาพของกิจการ

ลงทุนในกิจการคุณภาพปานกลาง ราคาถูกมาก หรือลงทุนในกิจการคุณภาพดี ราคาสมเหตุสมผล คือ หลักสำคัญ

เวลาคิดจะซื้อหุ้นต้องคิดว่าอย่าขาดทุนมากกว่าที่จะหวังผลเลิศว่าจะได้กำไรเท่าไหร่

ควรคำนึงถึงความเสี่ยงของการหายนะไว้เสมอ ถึงแม้ความเสี่ยงนั้นอาจจะมีน้อยมากจนบางครั้งเราลืมที่จะคิดถึง แต่เราควรคำนึงถึงมันอยู่เสมอ

ถ้าเราคำนึงถึงมันอยู่เสมอโอกาสผิดพลาดครั้งใหญ่ ก็แทบจะไม่มี

จงจำไว้ว่าไม่มีแนวทางไหนที่ดีและชนะตลอดเวลา ในบางช่วงเวลานั้นแม้แต่กลยุทธ์หรือวิธีการที่แย่ที่สุด ในระยะยาวก็สามารถทำผลงานที่ยอดเยี่ยมกว่าวิธีอื่นๆทั้งหมดได้

ใช้ชีวิตให้ต่ำกว่าฐานะของตนเอง ถึงจะมีเหลือสำหรับอนาคต

คนที่มีความสุขจากกิจกรรมง่ายๆที่ไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินทองมากมาย นับว่าเป็นคนโชคดี

การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ในหุ้น เป็นกิจกรรม ที่อาศัยความคิดเป็นอย่างมาก การจะประสบความสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับความคิด และจิตใจ เป็นหลัก

น้อยครั้งที่เราจะได้คุยกับคนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมที่ต่างกับเรามากๆ ดังนั้น เมื่อเรามีอคติแล้วเราถามกับคนรอบตัว บางครั้ง คนรอบตัวก็อาจมีอคติเช่นเดียวกับเราเพราะมีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมเดียวกับเรา

บริษัทที่มีขนาดใหญ่กว่าคู่แข่งมากๆจะมีความได้เปรียบค่อนข้างมาก

นักลงทุนไม่ควรคิดตามคนหมู่มากที่กำลังอยู่ในอารมณ์ร่วมที่รุนแรงจากภาวะวิกฤตต่างๆ

ความกังวลใจและความไม่สบายใจ เป็นต้นทุนแฝง ในการลงทุนแลัการเทรดหุ้น 

แต่โดยมากเท่าที่พบจะแฝงอยู่ในการเทรดหุ้นมากกว่า

มาอ่านคำนี้ตอนนี้เข้าใจลึกซึ้งแล้วครับขอบคุณครับ^^

นักลงทุนที่ดีต้องทำตัวเหมือนคนที่ยึดอาชีพเป็น “แมวมอง” แมวมองเลือกที่จะทุ่มให้กับคนที่ยังไม่ดังแต่มีแววว่าจะดังเท่านั้น เมื่อคนนั้นกลายเป็นคนดังขึ้นมาชั่วข้ามคืน แมวมองก็จะได้รับผลตอบแทนอย่างมหาศาลจากความ “ตาถึง” ของเขา ในขณะที่ ‘คนดู’ สนใจกันแต่ดาราที่ดังแล้ว ยิ่งดังเท่าไรยิ่งชอบ คนดูจึงต้องเป็นฝ่ายเสียเงินตลอด (ค่าบัตรคอนเสิร์ต ค่าตั๋วหนัง ฯลฯ)”

– นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์

โดยปกติแล้ว อัตราที่เพิ่มขึ้นของเงินปันผลจะเป็นตัวสะท้อน ถึงผลการดำเนินงานของบริษัท

การรู้จักจุดอ่อนและรู้ว่าจะเผชิญหน้ากับมันยังไง นั่นคือสิ่งที่ คนที่ประสบความสำเร็จทำกัน

เมื่อเราได้รับประสบการณ์จากความเจ็บปวด จำผลการตอบสนองนั้นไว้ให้ดี 

อย่าลืมความมุ่งมั่น ความตั้งใจในขณะนั้น

การซื้อสิ่งของซื้อหุ้นพิจารณาว่าซื้อได้ถูกนั้นสามารถแบ่งการพิจารณาออกเป็น 2 ส่วน 1 คือสินทรัพย์และ 2 คือผลกำไร จะสบายใจที่สุดเมื่อมูลค่าสินทรัพย์ถูกสนับสนุนด้วยศักยภาพของการทำกำไร

Joe 6666:
บ. ที่มี ผบห ที่มีพฤติกรรมไม่ดีต่อ ผถห

แม้จะมีแพลนการลงทุนที่ดีแค่ไหน มีภาพลักษณ์หน้าฉากที่ดูดีต่อลูกค้าแค่ไหนก็ตาม 

สุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถส่งผลดีต่อ ผถห/นลท ได้

คนรุ่นพ่อ รุ่นแม่ อาจให้ค่ากับทำเลตึกแถวเก่าๆกลางเมืองมากเกินไป เพราะติดความคิดจากยุคที่ยังไม่มีรถไฟฟ้า และไม่มีการค้าออนไลน์ 

ปัจจุบัน ทำเลบ้านตึกแถวเก่าๆ 30-40 ปี ที่อยู่กลางเมืองในชุมชนค่อนข้างแออัด เช่น สาธุประดิษฐ์ ถนนจันท์ อาจไม่มีความจำเป็นเหมือนก่อน หากจะต้องซื้อแพงๆ เพื่อเอาไว้ค้าขายหน้าร้าน 

เพราะปัจจุบัน ราคาเดียวกัน แต่ซื้อถอยออกมาหน่อยได้ที่ใกล้รถไฟฟ้า ราคาถูกกว่าเป็นครึ่ง ได้บ้านสภาพดีกว่า ใหม่กว่า ใหญ่กว่า โดยไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าไปอยู่อย่างแออัดเนื่องจากการคมนาคมที่มีรถไฟฟ้าสะดวกขึ้นและการค้าขายไม่ต้องอาศัยตึกแถวโบราณเป็นหน้าร้านอีกต่อไป สามารถขายของออนไลน์มีลูกค้าได้ทั่วประเทศ ผิดจากตึกแถวรุ่นเก่าที่ถ้าจะค้าขายมีหน้าร้านก็จะได้ลูกค้าในละแวกนั้นเป็นหลัก 

ทำให้เด็กรุ่นใหม่อาจไม่ได้ให้ค่ากับตึกแถวเก่าๆในทำเลชุมชนแออัดเหมือนอย่างเมื่อก่อนอีกต่อไป 

คือถ้ามันราคาถูกก็โอเค แต่ถ้าราคาแพงเด็กรุ่นใหม่ยอมซื้อถอยออกมาข้างนอกที่ได้บ้าน สภาพใหม่ หลังใหญ่ คมนาคมทางรถยนต์สะดวกกว่าและใกล้รถไฟฟ้าดีกว่า แล้วค้าขายผ่านออนไลน์ดีกว่า

ในยามที่ศักยภาพในการทำกำไรของบริษัทตกต่ำสิ่งที่ช่วยค้ำราคาหุ้นไว้ได้จะเป็นมูลค่าสินทรัพย์และเงินปันผล

ในยามที่เศรษฐกิจเฟื่องฟูส่งเสริมศักยภาพในการทำกำไรของบริษัท ราคาหุ้นจะทิ้งห่างจากราคาสินทรัพย์และไม่สนใจเงินปันผล

การอยู่ในงานประมูลที่เต็มไปด้วยผู้ซื้อที่มีความรู้มากกว่า และมีต้นทุนเงินลงทุนต่ำกว่า นั้นไม่ใช่สิ่งที่น่าจะทำให้ได้ของดี ในราคาสมเหตุสมผลสักเท่าไร 

แต่ในงานแสดงสินค้า ที่แย่งกันขายสินค้าลดราคาต่างหาก ที่มีโอกาสได้ของดีในราคาสมเหตุสมผล

ในการลงทุนแต่ละอย่างยิ่งผลตอบแทนมีความแน่นอนมากขึ้นเท่าไหร่อัตราผลตอบแทนก็จะยิ่งลดน้อยลงไปเท่านั้น

หากในปีที่ตลาดแย่ เราไม่สร้างผลขาดทุนจำนวนมากเอาไว้ และพอเข้าสู่ปีที่ตลาดดีเราแค่สร้างผลตอบแทนในระดับที่พอใช้ได้เพียงเท่านี้ก็จะเอาชนะตลาดได้แล้ว

ควรถือเงินสดไม่ต่ำกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ของ portfolio

เมื่อเกมกำลังเดินไปและมวลชนถูกกระตุ้นด้วยความโลภมากกว่าความกลัวนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าจะถูกทิ้งอยู่ข้างหลัง ผลงานของพวกเขาจะดูไม่ดีเมื่อเปรียบเทียบกับผลงานของนักลงทุนในหุ้นโตเร็ว แรงกดดันให้ละทิ้งหลักการและกระโดดเข้าร่วมวงจะสูงมาก 

สำหรับผู้ที่สามารถรอคอยอย่างอดทนโอกาสจะปรากฏอย่างดาษดื่นเมื่อความตื่นเต้นจางหายและความกลัวหวนกลับมาอีกครั้ง

ถ้าเราใช้ค่า PB สิ่งที่ต้องสังเกตคือ

1.ทรัพย์สินเป็นโรงงานเก่าล้าสมัยหรือเปล่าเพราะอาจจะมีมูลค่าน้อยกว่ามูลค่าทางบัญชีได้

2.บริษัทอาศัยทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้ในการทำมาหากินหรือเปล่า เช่น มีแบรนด์ที่แข็งแกร่งมากๆ ที่ไม่ได้บันทึกเป็นมูลค่าอยู่ในมูลค่าทางบัญชี หรืออาศัยความสามารถเฉพาะตัวของพนักงาน เช่น บริษัทรับตรวจสอบโครงสร้างทางวิศวกรต่างๆ

3.บริษัทมีอสังหาริมทรัพย์ที่บันทึกด้วยราคาต้นทุนซึ่งราคาตลาดปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมากแล้วหรือเปล่า

ใครอยากเป็นเจ้าของ + เจ้ามือบ่อน ที่ถูกกฎหมาย โดยควบคุมอัตราการทำกำไรผ่านอัลกอริทึม ให้สร้างแพลตฟอร์ม และออก ICO เหรียญคริปโตของตนเอง โดยต้องถือเหรียญไว้ในมือ ในปริมาณ ที่สามารถควบคุมการขึ้นลงของเหรียญได้ 
เช่น เหรียญ 100% ถือตายในมือ 40% ออก ICO 30% และไว้ทยอยปล่อยออกเมื่อราคาขึ้น และดึงกลับเมื่อราคาลงอีก 30% 
รายย่อยที่เผลอมาเล่น ก็เหมือนเข้าบ่อนที่จ้าวมือ ควบคุมอัตราเล่นได้ เล่นเสีย เอาไว้แล้ว บางคนได้ บางคนเสีย แต่ภาพใหญ่เจ้าของบ่อนกินส่วนต่างของโอกาสไว้แล้ว

บ่อนไหนโชคดีที่รายย่อยนิยมเข้ามาเล่นก็ดันราคาเหรียญของตัวเองขึ้นไปเล่นโซนสูงๆได้

จุดสังเกตอย่างนึง การพนันจะมีลักษณะนึงอยู่ในทุกการพนันเสมอ (การพนันเป็น subset ของ ) ลักษณะที่ว่า คือ ZERO SUM GAME เป็นเกมที่มีคนได้สุดท้ายแล้วจะมีคนเสียเสมอ คนที่ได้อาจเป็น Player หรือเป็นเจ้าของบ่อนก็ได้ แต่คนเสียมักเป็น Player ส่วนใหญ่เสมอ

การลงทุน จะมีมูลค่าเพิ่มในตัวเอง เช่น ลงทุนซื้อลูกหมูมาเลี้ยงให้โตแล้วขาย (ได้ นน.ส่วนเพิ่ม) , ลงทุนซื้อวัวมาเลี้ยง ได้ลูกวัวเพิ่ม , ทำธุรกิจขายสินค้าและบริการได้กำไรทำให้บริษัทโตเพิ่มขึ้น มีมูลค่าเพิ่มขึ้น

ถ้าเป็นนักลงทุนอย่าออกนอกแนวทาง จากการประเมินมูลค่า โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เป็นตลาดกระทิง

ถ้าวางแนวทางในการสร้างพอร์ตมาเป็นอย่างดีแล้วอย่าเปลี่ยนแปลงเพียงเพราะ ในปัจจุบันแนวทางอื่นดูได้ผลดีกว่า

จงทำการบ้านของคุณ ผลตอบแทนจะตกอยู่ในมือของคนที่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับบริษัทมากกว่าและเร็วกว่า

สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับนักลงทุน คือ การขยายฐานความรู้ของตัวเองให้กว้างขึ้นและลึกขึ้น

วอลเตอร์ และเอ็ดวิน สลอส ท่านผู้สร้างผลตอบแทนการลงทุนปีละ 15.3 เปอร์เซ็นต์ตลอดระยะเวลา 27 ปี

ทั้งคู่จะไม่คุยกับผู้บริหาร ไม่ติดต่อกับนักวิเคราะห์จำกัดการพูดคุยกับคนอื่นเนื่องจากไม่อยากถูกชักจูงให้ทำในสิ่งที่ไม่ควร 

ทั้งคู่เชื่อการวิเคราะห์และความมุ่งมั่นในการเสาะหาหุ้นราคาถูกของตัวเองมากกว่า

ทั้งสองจะเริ่มดูที่งบดุลและตั้งคำถามว่าพวกเขาสามารถซื้อบริษัทได้ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าของสินทรัพย์หรือเปล่า ถ้าได้หุ้นดังกล่าวก็จะมีความน่าสนใจ

เกรแฮมสอนข้อดีของการซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าสินทรัพย์หมุนเวียนหักด้วยหนี้สินทั้งหมด

ระวังการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนคงที่ทั่วไปเพราะการลงทุนประเภทนั้นจะให้ผลตอบแทนที่จำกัดและอาจให้ผลขาดทุนหากอัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น

งานหลักของเราคือการลงทุนในหุ้นราคาถูก

การเริ่มซื้อหุ้นบางส่วนก่อนทั้งๆที่ยังวิเคราะห์ไม่เสร็จเพราะทางเดียวที่จะทำให้รู้จักหุ้นบริษัทนั้นจริงๆก็คือการได้เป็นเจ้าของมัน

ถ้าคุณสามารถซื้อหุ้นมั่นคงที่มีศักยภาพในการทำกำไรได้ในราคาถูก และมีความอดทนในการถือ สุดท้ายแล้ว บางสิ่งบางอย่างที่ดีๆจะเกิดขึ้น

หากซื้อหุ้นที่มีสินทรัพย์หนุนหลังมากพอ ในระหว่างการถือหุ้น มูลค่าสินทรัพย์จะเป็นตัวป้องกันไม่ให้ราคาหุ้นลดลงอย่างหนัก

ตรวจดูให้แน่ใจว่าบริษัทไม่มีหนี้สินนอกงบดุลก้อนโต

วิเคราะหฺ์รายงานรายไตรมาสอย่างต่อเรื่อง อย่าหมกหมุ่นกับการขึ้นลงของราคา หรือผลกำไรที่สูงหรือต่ำกว่าคาดเล็กๆน้อย

เมื่อค้นพบหุ้นถูกตัวนึงอย่าลืมที่จะวิเคราะห์บริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน แล้วตั้งคำถามว่า หุ้นเหล่านี้มีราคาถูกหรือเปล่า ถ้าพวกมันมีราคาถูกมันเกิดจากเหตุผลแบบเดียวกันใช่หรือไม่ บางทีถ้ามันเป็นบริษัทที่มีคุณภาพดีกว่า มีหนี้สินน้อยกว่า เราอาจเปลี่ยนตัวเลือกในการซื้อหุ้นได้

นลท เน้นคุณค่า จะเริ่มซื้อหุ้นในช่วงขาลง เนื่องจากเขาทั้งหลายตระหนักดีว่าตัวเองกำลังยื่นมือรับมีดที่กำลังตก ดังนั้นพวกเขาจึงมักจะทยอยซื้อ

Value Investor มักจะซื้อและขายหุ้นเร็วเกินไป ทางแก้คือ ทยอยซื้อและทยอยขาย

หากซื้อหุ้นราคาถูกแล้วไม่มีการฟื้นตัวขึ้นมาจุดตัดสินใจในการขายหุ้นเหล่านี้จะอยู่ที่การเสื่อมถอยของสินทรัพย์หรือศักยภาพในการทำกำไรในระดับเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้

หากเลือกซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่ามากๆ บางครั้งต้องยอมรับ ว่าหุ้นที่ได้มานั้นอาจไม่ใช่หุ้นที่มีศักยภาพในการทำกำไรชั้นยอด

การเลือกซื้อบริษัทคอมโม ให้ดูที่บริษัทที่มีต้นทุนต่ำและไม่มีภาระหนี้สินมากเกินไป ในช่วงวงจรที่สินค้าโภคภัณฑ์ราคาตกต่ำหุ้นที่เกี่ยวข้องจะมีราคาลดลงอย่างมาก

ณ ราคาที่สูงเกินมูลค่า หากเราขายออกไปมันจะกลายเป็นความกังวลของผู้อื่นแทนเรา

การหา P/E ที่แท้จริงจะต้องหักเงินสดต่อหุ้นออกก่อน

IB ของโบรกที่นำหุ้น IPO เข้าตลาด จะได้ค่าธรรมเนียมจากการทำ IPO ซึ่งรายได้เหล่านี้ถือเป็นรายได้ที่ค่อนข้างมากสำหรับโบรก ดังนั้นโบรกจะพยายามเชียร์หุ้น IPO เฉพาะด้านดีเป็นหลัก 

และ นักลงทุนรายใหญ่ ที่มีโอกาสได้หุ้น IPO (ซึ่งจะรู้อยู่ก่อนเสมอ ว่าจะต้องได้แน่ๆ) ก็มักจะช่วยเชียร์ เช่นกัน 

ในส่วนของ บ.ที่จะ IPO ก็จะพยายามเพื่อให้ภาพของบริษัทออกมาดีที่สุดเช่นเลื่อนค่าใช้จ่ายที่ยังไม่จำเป็นออกไปก่อน อาจจะหยุดรับพนักงานใหม่ชั่วคราวในปีก่อนจะ IPO เพื่อให้ค่าใช้จ่ายดูลดลง ค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่เร่งด่วนก็จะถูกเลื่อนออกไป ในขณะที่รายได้อาจจะมีการรับรู้รายได้ให้เร็วขึ้นถ้าหากเป็นไปได้

#หนังสือเล่มนึงได้บอกไว้

คนที่เป็นลูกค้าบ่อนคือนักพนัน แต่เจ้าของบ่อนคือนักธุรกิจ ถ้าธุรกิจมันถูกกฎหมายและกำไรดี ก็เป็นการลงทุนที่ดี

เช่นเดียวกับ คนดื่มแอลกอฮอล์ คือ นักดื่ม แต่คนขายเหล้าไม่ใช่นักดื่ม แต่เป็นการทำธุรกิจ ถ้าธุรกิจมันถูกกฎหมายและกำไรดี ก็เป็นการลงทุนที่ดี

คนไม่น้อยแยกไม่ออกระหว่างคนเป็น Player กับคนทำธุรกิจ

อย่าให้ทรัพย์สินแก่ลูกหลานที่ไม่สามารถดูแลทรัพย์สินนั้นได้

ลูกหลานบางคนดูแลเงินได้ให้เงินแก่เขา
ลูกหลานบางคนดูแลที่ดินได้ให้ที่ดินแก่เขา
ลูกหลานเป็นคนดูแลที่ดินไม่ได้อย่าให้ที่ดินแก่เขา
ลูกหลานบางคนดูแลเงินไม่ได้อย่าให้เงินแก่เขา

ลูกหลานที่ดูแลไม่ได้ทั้งเงินและที่ดิน แล้วให้ทั้งเงินและที่ดิน ทำใจได้ว่า หมดแน่ๆ และไม่ต้องคิดมาก แค่ทำใจ

เราไม่อยากได้หุ้นที่ราคาสมเหตุสมผลแต่ เราต้องการหุ้นที่ราคาถูกแบบไม่สมเหตุสมผล

ค่าพีอีมองได้อีกแบบ คือ ได้จ่ายเงินเป็นกี่เท่าของกำไรแต่ละบาท

เช่น พีอี 8 เท่า หมายถึง เราได้จ่ายเงิน 8 บาทเพื่อกำไร 1บ.

พีอี 28 เท่าคือ การจ่ายเงิน 28 บาท เพื่อกำไร 1บ.

และแน่นอนพีอี 75 เท่า คือการจ่ายเงิน 75 บ.เพื่อกำไร 1บ.

ให้แน่ใจตอนซื้อหุ้นเพื่อลงทุน ว่า
ไม่ได้ซื้อแบงค์ร้อย ด้วยแบงค์พัน

Joe Mobile1:
จงรู้จักคาดหวังในสิ่งที่ดีที่สุด แต่ให้เตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่แย่ที่สุด หากอนาคตออกมาดีกว่าที่คิดนั่นถือเป็นโบนัส

นักลงทุนในยุคนี้ อาจตื่นเต้นกับการก้าวหน้าของบริษัทเทคโนโลยีต่างๆ รถพลังงานไฟฟ้า 

ถ้าย้อนหลังไปก็จะพบกับความก้าวหน้าของอินเทอร์เน็ต social network video streaming

ย้อนถอยหลังไปอีกสักหน่อย เป็นความตื่นเต้นเกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือที่สามารถดูทีวีผ่านโทรศัพท์ได้ มีจอสี ถ่ายรูปได้

ย้อนไปอีกคือโทรศัพท์มือถือ ที่หน้าจอเป็นขาวดำหรือมีแต่จอตัวเลขสีแดงสีเขียว ถ่ายรูปไม่ได้ เครื่องใหญ่เท่ากับกระติกน้ำ แต่ก็ยังพกไปไหนมาไหนได้

ย้อนกลับไปอีกก็จะตื่นเต้นกับโทรศัพท์ดาวเทียม satellite 

ย้อนกลับไปอีกก็จะตื่นเต้นกับโทรทัศน์เคเบิลทีวี และจานดาวเทียม 

ย้อนกลับไปอีกก็ตื่นเต้นกับทีวีสีที่มาแทนที่ทีวีขาวดำ

ย้อนไปลึกกว่านั้นก็คงจะเป็นระบบไฟฟ้าเป็นยุคพ่อแม่เรา ที่ตื่นเต้นที่มีไฟฟ้าใช้ กลางคืนสามารถสว่างได้โดยไม่ต้องจุดเทียน

ย้อนกลับไปกว่านั้นก็คงจะเป็นรถไฟ รถราง 

ทุกครั้งที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ คนก็จะบอกว่าโลกเปลี่ยนแปลงไปแล้วมันจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

แต่ละครั้งของการเปลี่ยนแปลงหลังจากนั้นไม่นานมันจะกลายเป็นเรื่องปกติจนกว่าจะมีนวัตกรรมใหม่ๆเกิดขึ้นมาอีก 

ตลาดหุ้นก็เป็นวงจรขึ้นกับลงเวลามีนวัตกรรมใหม่ๆหุ้นกลุ่มนั้นก็จะเป็นตัวผลักดันตลาด ผู้คนก็จะแห่กันไปเล่นหุ้นที่เป็นเทคโนโลยีในขณะนั้น 

ถึงแม้โลกจะมีนวัตกรรมใหม่ๆที่ผลักดันให้ความเป็นอยู่เราดีขึ้นแต่สำหรับตลาดหุ้นแล้วมันก็มีแค่รอบวัฏจักรขึ้นแล้วก็ลง ลงแล้วก็ขึ้น 

ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหนตลาดหุ้นเมื่อย่อแล้วก็กลับไปขึ้นใหม่อีกรอบ มันเป็นอย่างนี้เสมอมา

คนเราชอบมองที่ผลลัพธ์ 
แต่ความจริงแล้วกระบวนการที่ถูกต้องต่างหากที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีได้ในระยะยาว

ดังนั้น ที่ถูกแล้วควรมุ่งไปที่กระบวนการที่ถูกต้อง มากกว่าจะโฟกัสไปที่ผลลัพธ์แต่เพียงอย่างเดียว

เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเดิมพันด้วยโอกาสที่ดีที่สุดโดยมีความน่าจะเป็นอยู่ข้างคุณ คุณจะได้รับบางสิ่งบางอย่างจากการเดิมพันครั้งนั้นเสมอ ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ก็ตาม

แต่ด้วยเรียนอันเดียวกันหากคนเดิมพันด้วยโอกาสที่แย่ที่สุดโดยความน่าจะเป็นอยู่ตรงข้ามกับคุณ คุณจะเสียบางสิ่งไป ไม่ว่าคุณจะชนะหรือแพ้ก็ตาม

ที่บริษัทเติบโตมากเท่าไหร่ก็ยิ่งยากขึ้นเท่านั้นที่มันจะเติบโตในอัตราเดิมต่อไปเรื่อยๆ

Developer เวลาทำโครงการคอนโด สมมติสูง 40 ชั้น มูลค่า 2,000 ลบ ใช้เวลาก่อสร้างสองปี ถึงสองปีครึ่ง พอเปิดโครงการ ก็เริ่มขาย ทยอยขายให้ได้ยอดพรีเซล กว่าจะสร้างเสร็จจนโอนได้ สองปีครึ่ง คือ ทยอยโอนทีละห้องไม่ได้นะ ต้องสร้างเสร็จทั้งตึกก่อน ค่อยทยอยโอน 
อุปสรรค คือ 
-เงินทุนลงไปจม 2,000 ลบ นั้นมีดอกเบี้ยเดินทุกวัน
-ลูกค้ามาจอง ไม่ใช่จะกู้ผ่านทุกคน โดน reject ก็มี
-ระหว่างสองปีที่ก่อสร้าง หากราคาวัสดุ ขึ้นพรวดพราดเกินกว่าสัญญา ผู้รับเหมาก็ต้องมาคุยราคากันใหม่ ขอปรับราคาขึ้น 

จะเห็นว่าการ Hold เวลาสองปีครึ่งก่อนโอนได้นั้น มีความเสี่ยงมากมาย บนวงเงินก้อนใหญ่

ลองดูบ้านบ้าง
เปิดโครงการ สมมติ 200 หลังคาเรือน ก็ไม่ได้สร้างรวดเดียว 200 หลังคาเรือนแต่แบ่งเป็นโซน เช่น โซนละ 15-20 หลังให้พอขาย 2-3 เดือน โดยที่อาจจะมีบ้านที่สร้างเสร็จพร้อมโอนเพียง 3-5 หลังที่เหลือก็ยังเป็นที่ดินเปล่ารอลูกค้ามาจอง ทำสัญญาก่อนค่อยสร้าง เห็นว่าบริษัทไม่ต้องจมเงินก้อนใหญ่ สมมุติบ้านหลังละ 5 ล้าน สร้างเสร็จพร้อมโอน 4 หลังก็เพิ่งจะ 20 ล้าน ถ้ามีลูกค้ามาจองเกินกว่านั้นก็ทยอยสร้างลูกค้าก็จะต้องทยอยผ่อน การสร้างบ้านสมัยนี้ก็เร็วมากเคยได้ยินมาว่าได้เร็วสุด 4 เดือนครึ่งก็เสร็จแล้วช้าหน่อยก็ 6 ถึง 8 เดือนก็พร้อมโอนแล้ว

เมื่อเปรียบเทียบกับคอนโดที่บริษัทต้องจมทุนทีละเป็นพันล้าน ความเสี่ยงคนละเรื่องกันเลยทีเดียว 

นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้บริษัทใหญ่สามารถที่จะเปิดตัวบ้านหลายๆโครงการพร้อมๆกันได้ในหลายๆทำเล

ส่วนระยะเวลาในการก่อสร้างบ้านที่เร็วนั้น ทำให้ความเสี่ยงเรื่องราคาวัสดุที่เปลี่ยนไปมา ลดลงไปมากทีเดียว

เงินสดที่มากเกินไปเมื่ออยู่ในมือของผู้บริหารที่ไม่เก่ง ก็เหมือนกับการเอาเหล้าและกุญแจรถให้กับเด็กวัยรุ่น

ตั้งคำถาม 1 คำถามกับตัวเองเสมอ
ว่า ผู้บริหารจะทำอย่างไรกับกระแสเงินสดของบริษัท

การเติบโตขั้นเทพของกำไรมักเกิดจากลูกเล่นทางบัญชี ไม่ใช่ความช่ำชองทางธุรกิจอย่างแท้จริง

ความเห็นส่วนตัวนะ
เราว่าเวลาเทรดด้วย Position ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ มันมี Pressure มากกว่าการลงทุนบน Position ที่มีขนาดเท่าๆกัน 

เวลาเทรด ถ้าพลาด คือส่วนที่ขาดทุนมันสูญเปล่าแน่นอน พอเทรดด้วยขนาดที่ใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ แม้ คุม % loss ไว้ได้ก็ตาม แต่ขนาดของเม็ดเงิน มันกดดันจิตใจมากขึ้นตามขนาดของการเทรด

ส่วนการลงทุนนั้น หากวางหมากไว้หลายๆชั้น เช่น บ.มีรายได้สม่ำเสมอ มีปันผลที่มากพอสมควร ผบห เก่ง บ.มีหนี้สินไม่มาก มีการเติบโตของรายได้สม่ำเสมอ และซื้อได้ในราคาที่มีมูลค่าสินทรัพย์หนุนหลัง แม้จะคาดการกำไรพลาดไปบ้าง แต่ระยะยาว ก็ไม่เสียหายแน่นอน แค่เป้าหมายที่วางไว้ จะถึงจุดที่คาดเร็วขึ้นหรือช้าลง เท่านั้นเอง 
และที่สำคัญ บ.ที่ดี ใน ตลท โอกาสจะล้มมีน้อยมาก  

ดังนั้นการลงทุนด้วย Position ขนาดใหญ่หลังจากมีการกระจายความเสี่ยงอย่างสมดุลแล้ว ก็จะไม่กดดันมากเหมือนการเทรด

บริษัทที่มีต้นทุนคงที่ ที่สูงคือบริษัทที่มีภาระทางการดำเนินงานมาก

การผสมผสานระหว่างภาระทางการดำเนินงานกับภาระทางการเงิน บวกกับยอดขายที่เปราะบางคือส่วนผสมแห่งหายนะ

บริษัทที่มีหนี้น้อยแม้จะทำผิดพลาดก็ยังเอาตัวรอดได้

การดูหนี้สินต่อทุนเป็นแค่จุดเริ่มต้นในการวิเคราะห์สภาพคล่องของบริษัท

เงินก้อนโตไม่ได้เกิดจากการซื้อขายๆแต่เกิดจากระยะเวลาต่างหาก - ชาลีมังเกอร์

จริงๆหลักการลงทุนมันง่ายนิดเดียว เพียงแค่ซื้อหุ้นคุณภาพสูงในเวลาที่ทุกคนไม่ชอบมัน และถือเอาไว้รอจนกว่าคนจะกลับมาชอบมัน

กลยุทธ์ในการซื้อหุ้น หุ้นที่คนส่วนใหญ่เลิกชอบ มักจะมาพร้อมกับความเสี่ยงว่าราคาหุ้นอาจจะตกต่ำอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน ตรงนี้แหละที่การเติบโตจะเข้ามามีบทบาท บริษัทที่มีการเติบโตและจ่ายปันผลสม่ำเสมอจะเข้ามาชดเชยการรอคอยอันยาวนานและลดความเสี่ยงจากภาวะเงินจมของผู้ลงทุนได้

การเติบโตในมุมของเราจะครอบคลุมทั้งการเติบโตของความสามารถในการทำกำไรและเงินปันผล

การลดต้นทุนนั้นมีขีดจำกัด และที่สำคัญต้องให้แน่ใจว่าการลดต้นทุนจะไม่ไปกระทบกับการเติบโตในอนาคตของบริษัท

หักต้นทุนคงที่มีสัดส่วนที่สูงกว่าต้นทุนแปรผันมาก การประหยัดต่อขนาด economy of scale จะส่งผลต่อกำไรอย่างเห็นได้ชัด

วิเคราะห์อัตราการเติบโตของบริษัทจากเครื่องจักรแต่ละตัวแบบแยกส่วน แล้วค่อยเอามาประกอบเข้าด้วยกันในภายหลัง 

การคำนวณหาผลจากเครื่องจักรทีละตัวแล้วค่อยประกอบสร้างออกมาเป็นมูลค่าของบริษัท จะช่วยให้เรายึดมั่นอยู่กับการคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล ในเวลาที่หลายสิ่งหลายอย่างไม่เป็นไปอย่างที่ค่า

ตัดเรื่องไม่สำคัญออกบ้าง เรื่องรกๆที่ไม่สำคัญ ที่ทำให้ความคิดยุ่งเหยิง ให้เหลือแต่เรื่องหลักๆ เรื่องสำคัญ เพื่อจะตัดสินใจได้ดีขึ้น

มีปัจจัยอยู่มากมายมหาศาลที่อาจเคยส่งผลต่อมูลค่าหุ้นในอดีต และอาจเกิดขึ้นซ้ำ หรือไม่เกิดขึ้นอีกเลยก็ได้ในอนาคต

- มองหาหุ้นที่แข็งแรง 

- หุ้นที่เมื่อเศรษฐกิจอยู่ในภาวะปกติแล้วสามารถเติบโตได้ อย่างน้อยมากกว่า การเติบโตของ GDP

- หุ้นที่ราคาลงมามากๆ สะท้อนข่าวร้าย สะท้อนความแย่ของเศรษฐกิจ ราคาลงมาจนเกินกว่าการลงของเศรษฐกิจ 

-ราคาลงมาจนเมื่อเทียบกับการลงของเศรษฐกิจแล้วนะราคานั้นมี MOS มากพอ 

- หุ้นที่หนี้ไม่สูง เพื่อจะสามารถผ่านภาวะวิกฤตของเศรษฐกิจไปได้ 

เมื่อซื้อแล้วจดเหตุผลที่ซื้อเอาไว้อีก 2-3 ปีค่อยย้อนมาดูราคา ระหว่างทางหากตลาดผันผวนแรงเอาเหตุผลในการซื้อมาอ่าน ถ้าเหตุผลในการซื้อยังเหมือนเดิม บริษัทยังมีคุณสมบัติตามเหตุผลในการซื้อเหมือนเดิม ถือมันไว้ ทำใจร่มๆ ให้ครบ 3 ปี แล้วมันจะออกดอกออกผลให้ดู

Q G V

Q มั่นคง ดูจากงบดุล (สภาพคล่อง หนี้สิน ส่วรผู้ถือหุ้น ทรัพย์สิน)

G Growth การเติบโตในอนาคต คุณภาพ บ. ผบห สินค้า คูเมือง แบรนด์ วิเคราะห์ความสามารถในการแข่งขัน

V value การประเมินมูลค่า เพื่อซื้อในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าและมีส่วนเผื่อความปลอดภัยที่มากพอ

คุณภาพที่สูงอาจช่วยป้องกันไม่ให้ บ.ล้มได้ แต่ราคาที่แพงเกินไปอาจทำให้หุ้นของ บ.คุณภาพสูงกลายเป็นการลงทุนที่อันตรายได้

ความฉลาดเป็นครูที่แสนห่วย เพราะมันทำให้คนฉลาดหลงคิดว่าตัวเองไม่มีทางแพ้ - บิลล์ เกตส์

เราต้องระลึกไว้เสมอว่าคุณภาพและการเติบโตที่สูงนั้นอาจไม่เพียงพอที่จะมาชดเชยราคาหุ้นที่สูงเกินไป

ราคาหุ้นที่สูงเกินไปทำให้บริษัทที่ยอดเยี่ยมไม่ใช่หุ้นที่ยอดเยี่ยม

บริษัทที่มีคุณภาพดีมีการเติบโตที่สูงแต่ราคาสูงมากเกินไปนั้นอาจจะต้องชดเชยด้วยการสร้างการเติบโตที่สูงมากๆขึ้นไปอีก ซึ่งนั่นแน่นอนว่าในบริษัทเหล่านั้นมักจะไม่มี margin of safety ในราคาหุ้น

นักลงทุนจำนวนมากแบ่งแยกไม่ออกระหว่างบริษัทที่ยอดเยี่ยมกับหุ้นที่ยอดเยี่ยม นับได้ว่าเป็นความผิดพลาดทางความคิดที่สำคัญมาก และเป็นความผิดพลาดที่พบได้บ่อยมากที่สุดในตลาดหุ้น

การลงทุนที่ดี เกิดจาก "การซื้อที่ดี"

การซื้อหุ้นต่ำกว่ามูลค่าและการเติบโตของ บ. คือแหล่งที่มาของผลตอบแทน 

ส่วนคุณภาพของงบการเงินจะช่วยให้เราแน่ใจได้ว่าบริษัทจะอยู่รอดปลอดภัยได้อย่างยาวนานพอให้เราเก็บเกี่ยวผลตอบแทน
******
เทรด = zero sum game
มีคนได้จะมีคนเสียเสมอ
คือพูดง่ายๆว่า กำไรเงินคนอื่น

บางช่วงที่เป็นตลาดกระทิงเทรดแล้วมีกำไรทั้งตลาดก็จริง แต่มันแค่กำไรเงินอนาคตมา ก่อน พอเวลากลายเป็นตลาดหมีก็จะต้องมีคนจ่ายเสมอ คนที่จ่ายตอนตลาดหมี ก็คือจ่ายให้คนที่ได้กำไรในตลาดกระทิง

คนที่จะเทรด ต้องรู้ว่า มี Player คนอื่นในตลาดรอกินเงินคุณอยู่เช่นกัน 

ซึ่งต่างจากการลงทุนที่ยึดโยงอยู่กับมูลค่าของ บ. ยึดโยงอยู่กับกระแสเงินสดที่บริษัทหาได้และสะสมเพิ่มมากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้น

*******
นักเก็งกำไร โอกาสของพวกเขาอยู่ที่เงินสด เห็นจังหวะทำเงินชัดเจน ก็เอาเงินสดเปลี่ยนเป็นหุ้น พอหุ้นหมดรอบการเล่น เขาก็ขายเพื่อกลับมาถือเงินสด ส่วนนักลงทุนโอกาสของพวกเขาคือการได้ถือหุ้นไปเรื่อย ๆ บางคนถือเพราะอนาคตดี บางคนถือหุ้นเพราะเงินปันผลสูง ถือจนกว่าหุ้นตัวนั้นจะไม่ใช่ จึงขายหุ้น แต่ก็ไปหาหุ้นตัวใหม่ถือต่อ ทั้งสองวิธีชนะตลาดได้ แต่คนแพ้ คือ คนเล่นหลายแบบไม่เก่งสักแบบ

บริษัทที่มีคุณภาพไม่ผ่านเกณฑ์ เช่น 
- มีหนี้สินมากเกินไป
- มีลูกค้ารายใหญ่เพียงเจ้าเดียวที่คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 70% ของรายได้ 
- บ.ที่มีรายได้แบบคาดเดาไม่ได้
- บ.ไม่มีความได้เปรียบทางการแข่งขันเลย 

บริษัทเหล่านี้แม้จะมีการเติบโตให้เห็นบ้าง และอาจจะซื้อได้ในราคาที่ถูกมากๆ ก็อาจจะไม่น่าลงทุน

เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นจากด้านคุณภาพนั้นบางครั้งไม่อาจจะชดเชยได้ด้วยราคาที่ต่ำมากๆ 

เช่น บริษัทที่มีหนี้สินสูง หากทำอะไรพลาดเพียงนิดเดียวผลกระทบจะใหญ่หลวงมาก แม้เราจะซื้อได้ในราคาที่ถูกมากๆก็ตาม ก็ไม่สามารถจะช่วยอะไรเราได้

หรือบริษัทที่มีลูกค้ารายใหญ่ที่มีสัดส่วนเพียงต่อรายได้ของ บ.สูงมาก แม้เราจะซื้อหุ้นได้ในราคาที่ต่ำ แต่หากบริษัทเสียลูกค้ารายสำคัญนี้ไป ราคาหุ้นที่ต่ำที่เราซื้อมา จะไม่ช่วยอะไรเลย

บริษัทที่มีคุณภาพต่ำ พื้นฐานบริษัทอาจเปลี่ยนแปลงได้ในชั่วข้ามคืนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว ราคาที่มีส่วนต่างความปลอดภัยสูงอาจไม่มีความหมายอะไรเลย


วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2565

หลักคิด 02

การวางแผนสร้างพอร์ต ให้รวมการคำนวณถึงวิกฤตการเงินครั้งใหญ่ๆของโลกแต่ละครั้งเข้าไว้ด้วย แล้วดูว่าแผนของนั้น สามารถช่วยให้เป็นผู้รอดได้หรือไม่

เหตุการณ์วิกฤติครั้งใหญ่ของโลกมักเกิดขึ้นโดยที่ไม่มีใครคาดคิด และมันย่อมเกิดขึ้นอีกในอนาคตอย่างแน่นอน

(อย่าลืม คิดเผื่อสำหรับความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่จะมีมาในอนาคต)

**********

วางแผน "อยู่ให้รอด" เมื่อตลาดเป็นขาลง 
แล้วที่เหลือจะดีเอง

**********

ถ้าคุณไม่เคยผิดพลาด ถ้าคุณไม่เคยขาดทุน คุณจะเติบโต และประสบความสำเร็จได้อย่างไร

แต่ถ้าคุณผิดพลาดอย่างหนัก ขาดทุนอย่างมโหฬาร จนต้องออกจากตลาด แล้วคุณจะประสบความสำเร็จในการลงทุนได้อย่างไร

หกล้มแล้วลุกเดินต่อ แต่อย่าล้มจนเดินต่อไม่ได้ อย่าผิดพลาดครั้งใหญ่ คิดแผนการลงทุนที่ป้องกัน การเกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่

**********

ช่วงก่อนมีเพื่อนๆถาม ไปลงหุ้น ตปท ไหม เล่นหุ้นเวียดนามไหม เล่นหุ้นเทคไหม (Nasdaq) ?

- ไม่ได้เล่นหุ้น ตปท เลยครับ หากสนใจจริงๆ คงลงแค่ ETF หรือ DR  เท่านั้น (เฉพาะกรณี หาหุ้นไทยลงทุนตามหลักการของเราไม่ได้จริงๆ) 

ไม่แบ่งไปลง ตปท บางส่วนบางหรือคับ ทำไมอ่ะ ?

- ไม่แบ่งครับ เพราะถ้าจะแบ่งไปนิดหน่อย แสดงว่า ในไทยยังมีหุ้นให้เราลงทุนได้อยู่ 

เราเลือกโฟกัส ในหุ้นที่เราเข้าใจ ใกล้ชิด ติดตามได้ รู้ข่าวได้ไว และพอจะรู้แนวทางการบริหารของผู้บริหาร ดีกว่า ที่จะไปลงทุนในต่างประเทศ ที่ติดตามยาก ได้ข่าวช้ากว่าคน local ฟังอ่านภาษาต่างชาติแม้จะแปลออก แต่ก็ไม่เข้าใจถึงนัยยะแฝง ในการให้สัมภาษณ์ของผู้บริหาร รวมถึงไม่เข้าใจหลักเกณฑ์ หรือไม่รู้หลักเกณฑ์ในตลาดหลักทรัพย์ของต่างประเทศมากพอ ซึ่งล้วนแต่จะทำให้เกิดความเสี่ยงค่อนข้างมาก แล้วต้องลงทุนโดยการกระจายความเสี่ยงในบริษัทที่เราไม่ค่อยรู้ (ไม่อยากจะคิดไปเองว่ารู้จักบริษัทดีพอ เราคงไม่เก่งพอ) 

สรุป คือ เลือกลงทุน ในบริษัทที่เรารู้จักจริงๆ และวางการลงทุนให้อยู่ในจุดที่เราได้เปรียบ มากกว่าที่จะยอมเสียเปรียบ เพื่อแลกกับความตื่นตาตื่นใจ ในการเติบโตของ บ.ที่ห่างไกลและเราไม่รู้จักมากพอ

#เป็นหัวหมาดีกว่าเป็นหางมังกร

**********

เอาชนะตลาดได้ เท่ากับได้กำไรเป็นครั้งคราว  แต่ถ้าเอาชนะตนเองได้ จะสามารถทำซ้ำและเอาชนะตลาดได้เรื่อยๆ

**********

หากมี Mindset เป็นนักลงทุน จะเข้าใจว่าความมั่งคั่งที่แท้จริงนั้น เกิดจากการถือธุรกิจที่ดี ที่สร้างกระแสเงินสดไหลเข้าต่อเนื่อง บนระยะเวลาที่ยาวนาน 

ไม่มีเศรษฐีคนไหนขายธุรกิจแล้วถือแต่เงินสด แล้วเป็นเศรษฐีต่อได้นานๆ คนรวยทุกคนล้วนแต่ถือธุรกิจเป็นหลักทรัพย์ที่สำคัญต่อความมั่งคั่งทั้งสิ้น

ดังนั้นสำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้น การสร้างพอร์ตหุ้นระยะยาว คือการ สร้างพอร์ตธุรกิจ เพื่อให้ธุรกิจสร้างกระแสเงินสดไหลกลับเข้ามา

หากต้องการสร้างพอร์ตหุ้นระยะยาว การลงทุนในบริษัทที่มีผลประกอบการมั่นคงเติบโตไปเรื่อยๆ เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการสร้างพอร์ต 

ลองคิดดูมันจะดีแค่ไหน หากเราเป็นหุ้นส่วน ในธุรกิจต่างๆ ที่ดี ที่มั่นคง มีกำไรเติบโตต่อเนื่อง ในเกือบทุกบริษัทที่มีราคาเหมาะสมให้เราเป็นเจ้าของได้ 

หากซื้อหุ้น ที่เล่นตามรอบเศรษฐกิจ มันจะถือยาวต่อเนื่องไม่ได้ เมื่อเป็นรอบขาลง ก็จะต้องขายออก พอร์ตหุ้นที่จะสร้างก็ต้องมาเริ่มต้นใหม่ เอาเวลาที่จะจับจังหวะการขาย แล้วพอร์ตต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่ทุกครั้ง เปลี่ยนมาเป็นใส่ใจในการซื้อบริษัทที่ดีที่มั่นคงเข้าพอร์ตเพิ่มเติม เพื่อความมั่งคั่งในระยะยาว จะดีกว่าไหม ?

แต่ทั้งนี้ก็แล้วแต่ Mindset แล้วแต่ความชอบของแต่ละบุคคลเป็นหลัก 

การได้ซื้อๆขายๆ มันสร้างความตื่นเต้น มันสร้างความสนุก ความมันส์ 

แต่เราไม่ได้ลงทุนเพื่อเอาสนุก หรือเอาความตื่นเต้น เราลงทุนเพื่อสร้างความมั่งคั่งและอิสรภาพในระยะยาว ดังนั้นการสร้างพอร์ตระยะยาว และการเลือกซื้อหุ้นจึงควรสอดคล้อง กับการลงทุนระยะยาว เพื่อเป้าหมายระยะยาวด้วยเช่นกัน

**********

กำไรจากการลงทุนที่มีคุณภาพ 
ควรเป็นกำไร ที่ได้จากการลงทุน ที่สร้างความกังวลต่ำ มีเหตุผลอธิบายได้ ไม่กินเวลาด้านอื่นๆของชีวิต

**********

คนเราไม่ค่อยตระหนักถึงมูลค่า ของความเสียหายที่เราหลีกเลี่ยงได้  เรามักมองไปที่ค่าใช้จ่ายในการหลีกเลี่ยงความเสียหาย
**********

ทำงานของเราไป
คนเก่งไม่ต้องโอ้อวดด้วยคำพูด
ให้ผลงานมันโชว์ตัวมันเอง

**********

สิ่งสำคัญในการลงทุนไม่ได้อยู่ที่ว่าเรารู้มากแค่ไหนแต่อยู่ที่ว่า เรารู้จริงๆหรือเปล่าว่าตัวเองไม่รู้อะไรบ้าง

**********

คุณภาพของผู้บริหารส่งผลต่ออัตราผลตอบแทนของหุ้นเป็นอย่างมาก

**********

อย่าลืมที่จะตั้งคำถามว่า สถานะทางการเงินของผู้บริหาร จะเป็นไปในทิศทางเดียวกับสถานะทางการเงินของเรา ตลอดช่วงเวลาที่เราถือหุ้นของบริษัทนั้นอยู่หรือเปล่า

**********

เมื่อนักลงทุนเป็นเจ้าของธุรกิจ ผลตอบแทนจะขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของบริษัท ไม่ใช่ราคาที่ใครบางคนยินดีจ่ายเพื่อซื้อหุ้นของบริษัท

ดอกเบี้ยลดลงดีต่ออสังหา
ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นดีต่อกลุ่มแบงค์

งานของการกระจายความเสี่ยงคือการมองหาสินทรัพย์ซึ่งผลตอบแทนของพวกมันไม่มีความสัมพันธ์กัน หรือมีความสัมพันธ์ในทางตรงกันข้าม เช่น portfolio อันประกอบด้วยบริษัทผลิตร่มและผู้ผลิตโลชั่นกันแดดเป็นตัวอย่างของแนวคิดนี้

การซื้อบริษัทในราคาต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์ที่มีตัวตนสุทธิหรือมูลค่าบนพื้นฐานของผลกำไร มากๆ เป็นกลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงต่ำอยู่แล้ว และการประเมินมูลค่าจากสินทรัพย์ และนำตัวเลขที่ได้ไปตรวจสอบการประเมินมูลค่าโดยพิจารณาศักยภาพการทำกำไร

รวมถึงการไม่ยอมจ่ายเงินซื้ออนาคตการเติบโตในราคาสูง (หรือไม่ยอมจ่ายเลย) จะช่วยลดความเสี่ยงลงไปอีก

นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าจะเลือกหุ้น ซึ่งเขามีความเข้าใจ ชื่นชอบบริษัทที่ถูกประเมินค่าได้อย่างน่าเชื่อถือ มีตำแหน่งทางการแข่งขันที่มีเสถียรภาพมีประวัติผลกำไรที่สม่ำเสมอ และเป็นธุรกิจที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของเทคโนโลยีหรือรสนิยมของผู้บริโภค

หากกฎเกณฑ์เหล่านี้ทำให้เขาไม่สามารถซื้อหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีที่เติบโตอย่างรวดเร็ว หรือหุ้นโตเร็วในอุตสาหกรรมอื่น มันเป็นข้อจำกัด ที่พวกเขาพร้อมจะยอมรับ

หากมีการคัดเลือกหุ้นมาเป็นอย่างดี ความผันผวนไม่ใช่ความเสี่ยง

บ.ที่มีโมเดลธุรกิจที่เรียบง่าย มีฐานลูกค้าจำนวนมากต่อเนื่อง และสามารถตั้งราคาพรีเมี่ยมให้กับสินค้าได้ จะซื้อ บ.เหล่านี้ที่ราคาเหมาะสมได้เมื่อ
1.เป็นตลาดหมี หรือปรับฐาน
2.เป็นช่วงที่คนส่วนใหญ่หันไปไล่ล่าหุ้นเติบโตกลุ่มอื่น
3.บ.มีปัญหาเฉพาะตัวของ บ.เอง


อย่าเก็งกำไรกับข่าว แต่ให้เดิมพันกับแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจ จึงจะเป็นการลงทุนที่สมเหตุสมผล

เวลาตลาดหุ้นขึ้นทุกคนกำไรกันหมด
เวลาตลาดหุ้นลงคนเก่งจะรักษากำไรไว้ได้ 
ที่เหลือขาดทุนหนัก

หนึ่งในร้อยเราเรียกเปอร์เซ็นต์ 
หนึ่งในหมื่นเราเรียก basis Point

ชีวิตคนเราประกอบด้วยตัวเลือกที่ต้องตัดสินใจมากมาย ในแต่ละคนเลือกก็ให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน ดังนั้น คุณภาพชีวิตของเราก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของการตัดสินใจที่เราเลือก

เราไม่ได้มีความสามารถในการตัดสินใจที่ดีได้ตั้งแต่เกิด แต่เราเรียนรู้มัน

ยิ่งเราเข้าใกล้เป้าหมาย เราก็จะยิ่งเจอกับอุปสรรค และจำนวนครั้งในการตัดสินใจมากยิ่งขึ้น

ตลาดหมีมักจะมาในตอนที่เรามีหุ้นเต็มมือ (ตอนที่เรามีความมั่นใจสุดขีด)

ยิ่งเราเจอปัญหา เราจะยิ่งเก่งขึ้น
ความเจ็บปวด จะทำให้เราแกร่งขึ้น

ความเจ็บปวดความทรมานคือสัญญาณบอกถึงขีดตำกัดของเรา ถ้าเราต้องการจะเก่งขึ้น แกร่งขึ้น เราต้องดันขีดจำกัดของเราออกไปอีก

ความเจ็บปวดทรมาน จากขีดจำกัด เราสามารถตอบสนองได้หลายวิธี สู้กับมัน หลบเลี่ยงมัน หรือ หาวิธีอยู่ร่วมกับมัน

การตัดสินใจที่ถูกต้อง ต้องอาศัยข้อเท็จจริง ดังนั้นเมื่อรับรู้ข้อมูล ก่อนจะตัดสินใจ อย่าลืม เอะใจ ถามตัวเองว่า มันจริงไหม

คนที่สนใจในการตัดสินใจบนความเป็นไปได้มากที่สุดเท่านั้น ถึงจะมั่นใจได้ว่า จะได้คำตอบที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด

คนเรามักจะพึงพอใจในผลลัพธ์ระยะสั้นจนทำให้ไม่สามารถไปถึงเป้าหมายระยะยาวได้

BPS คือ ชื่อย่อของ Basis Point เป็นหน่วยที่ใช้ในการบอกความเปลี่ยนแปลงของเปอร์เซ็นต์ในทางการเงินว่าเปลี่ยนแปลงไปกี่เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะพบได้บ่อยๆในข่าวเศรษฐกิจและการลงทุน ตัวอย่างเช่น ธนาคารกลางสหรัฐลดดอกเบี้ย 25 bps จาก 2.25% เหลือ 2% เป็นต้น
1BPS = 0.01%

Joe Mobile1:
พูดง่ายๆก็คือเราเชื่อว่าหากเราซื้อส่วนหนึ่งของบริษัทซึ่งมีปัจจัยพื้นฐานดีเยี่ยมในราคาต่ำกว่ามูลค่าของบริษัทต่อหุ้น สิ่งดีๆน่าจะเกิดขึ้นกับเราโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเราเป็นเจ้าของหุ้นประเภทที่ว่าเป็นกลุ่ม - วอร์เรนบัฟเฟตต์

ผู้จัดการกองทุนส่วนมากไม่ชอบที่จะตัดสินใจนอกกรอบ เพราะหากผลงานออกมาดีสิ่งที่เขาได้ก็แค่คำชมเชย แต่หากผลงานออกมาแย่เขาอาจจะตกงานได้

ในทางกลับกันหากเขาตัดสินใจ เหมือนเหมือนกับที่ผู้จัดการกองทุนคนอื่นทำกัน หากผลลัพธ์ออกมาแย่ ก็จะไม่มีใครว่าเขาได้

ประวัติการบริหารชั้นเยี่ยมเมื่อวัดจากผลตอบแทนทางเศรษฐกิจจะขึ้นอยู่กับตัวธุรกิจมากกว่าอยู่กับตัวผู้บริหาร แม้ความฉลาดและความพยายามจะมีส่วนช่วยอย่างมากทั้งในธุรกิจที่ดีและไม่ดีก็ตาม - วอร์เรนบัฟเฟตต์

เมื่อผู้บริหารที่มีชื่อเสียงว่าเฉลียวฉลาดเข้ามาบริหารธุรกิจซึ่งมีชื่อเสียงว่ามีปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจอันย่ำแย่ ตัวชื่อเสียงของธุรกิจจะเป็นสิ่งที่ยังคงอยู่

การลงทุน คือการจัดสรรเงินลงทุน

ผู้คนส่วนมาก ไม่ชอบฟังเหตุผลหรอก สิ่งที่เป็นเหตุผลมักไม่ใช่สิ่งที่ถูกใจ และสิ่งที่ถูกใจมักไม่ค่อยมีเรื่องของเหตุผลเข้ามาเกี่ยวข้อง

ในโลกของการลงทุนทุกคนสามารถทำความเข้าใจทุกสิ่งได้ หากศึกษามากพอ

อย่าเอาไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว แต่ถ้าตะกร้านั้นแข็งแรงและอยู่ในที่ปลอดภัยเพียงพอ การเก็บไข่ไว้ในตะกร้านั้นอาจเป็นเรื่องฉลาด

การคัดเลือกไข่เป็นเรื่องสำคัญกว่าการจับตามองไข่ที่เลือกมาแล้ว เพราะการเลือกไข่เน่า จับตามองยังไงก็ไม่ทำให้ไข่กลับคืนมาได้ ดังนั้นสำคัญที่สุด คือการเลือกไข่ #หุ้นก็เช่นกัน

ในการคัดเลือกหุ้น จะต้องมีความมั่นใจว่า สามารถเข้าใจบริษัท อุตสาหกรรม และอนาคตของบริษัทได้เป็นอย่างดี 

รวมถึงยังต้องมั่นใจอีกด้วยว่า บริษัทจะสามารถสร้างผลการดำเนินงานที่ดีได้ต่อเนื่อง และทำให้มูลค่าของผู้ถือหุ้นสูงขึ้น

การศึกษาหุ้นเป็นอย่างดีนั้น ข้อมูลและความเข้าใจเป็นสิ่งที่เข้ามาทดแทนการกระจายความเสี่ยง

การลงทุนใน หุ้นฟื้นตัว หุ้นวัฎจักร ให้ประสบความสำเร็จนั้น ต้องอาศัยจังหวะเวลาเป็นอย่างมาก

จากประวัติศาสตร์ ทุกครั้ง การพังทลายของราคา ที่จะสร้างความเสียหายให้กับคนจำนวนมากได้นั้น จะเกิดขึ้นกับ Asset ที่มีราคาสูงอย่างมากมายสุดๆเท่นนั้น ฟองสบู่มันไม่ได้แตกบน Asset ที่มีราคาต่ำ

การเรียนรู้นั้นมาพร้อมกับความผิดพลาด สำคัญที่ต้องยอมรับในการเผชิญหน้า กับความผิดพลาด

เราต้องพิจารณาว่าอะไรคือสิ่งที่เราต้องการและมันมีความเป็นไปได้ไหม

บุฟเฟ่ต์ขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยของอร่อยให้เราเลือกมากมายเกินกว่าที่เราจะลองชิมมันได้ทั้งหมด เราต้องรู้จักปฏิเสธบางอย่าง ที่เราต้องการ เพื่อจะได้ในสิ่งที่เราต้องการมากกว่า เราต้องจัดลำดับ รวมถึงปฎิเสธเป็น #ชีวิตก็เช่นกัน

สิ่งสำคัญคือห้ามสับสนระหว่างเป้าหมายและความอยาก

เป้าหมายคือสิ่งที่เราต้องการที่จะไปให้ถึงมันในขณะที่ความอยากคือสิ่งที่เราอยากได้แต่สามารถขัดขวางเรา ทำให้เราไปไม่ถึงเป้าหมาย

ความอยาก คือสิ่งที่ตอบรับในผลลัพธ์แรก เช่น อยากเป็นคนมั่งมี แต่พอหาเงินได้ อยากใช้เงินซื้อสิ่งของก่อน

ทำให้สรุปได้ว่าเป้าหมายคือสิ่งที่ดี ในขณะที่ความอยากคือสิ่งที่แย่

แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้บังคับว่าเราจะต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เราอาจจะเลือกที่จะซื้อของ ไปพร้อมๆกับการเก็บออมไปด้วยก็ได้ แต่ต้องรู้ถึงผลลัพธ์ที่ตามมาของมัน ว่าออมไม่เต็มที่ ความมั่งคั่งก็ลดลง

คนส่วนมาก ที่พลาดในขั้นตอนนี้ คือมองที่ระยะสั้นมากเกินไป (อยากได้ อยากใช้จ่าย) จนหลงลืมเป้าหมายระยะยาวที่เขาต้องการ

ถึงกิจการจะพื้นๆ ไม่ได้ดีนัก แต่หากว่าราคาต่ำกว่าพื้นฐานมากพอสมควร ก็สามารถลงทุนได้

การประเมินมูลค่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าทุกคน

พอร์ตที่มีการลงทุนแบบโฟกัส การประเมินมูลค่าก็จะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นไปอีก


นักลงทุนจำนวนไม่น้อยชอบลงทุนในบริษัทที่ไม่เคยมีกำไร บนความคาดหวังว่า พวกมันจะกลายเป็นดาวจรัสแสงในอนาคต

จงพิถีพิถันในการระบุปัญหา
แก้ปัญหาเล็กก่อนเพื่อสร้างความมั่นใจ
อย่าสับสนระหว่างปัญหากับสาเหตุ
(ทำงานไม่มีประสิทธิภาพเพราะง่วงนอน จากเมื่อคืนนอนดึก สาเหตุคือนอนดึก ปัญหาคือ ทำงานได้ไม่เต็มที่)

การรู้ถึงปัญหาแล้วไม่แก้ มีค่าเท่ากับการไม่รู้ปัญหา

ตามปกติแล้วความต้องการมักจะขัดกับเป้าหมายของเรา เช่น อยากได้กำไรจากการลงทุน ในตลาดหุ้น แต่รอไม่เป็น

 หรืออยากมีรูปร่างดี แต่ไม่ชอบความทรมานจากการออกกำลังกาย

ความทรมานที่มาพร้อมกับการค้นหาตัวเอง เรียกว่า growing Pain มันคือความทรมานที่เพิ่มมากขึ้นพร้อมกับการเติบโตของเรา ตรงกับคำพูดที่ว่า ไม่เจ็บ ไม่โต

การเรียนรู้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะเราทำความผิดพลาด และเราปรับปรุงมัน
หรือเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่น

การประเมินมูลค่าเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการลงทุนและสำหรับพอร์ตที่โฟกัสนั้น การประเมินมูลค่ายิ่งสำคัญมากขึ้นไปอีก

มูลค่าไม่ใช่ตัวเลขเป๊ะแต่เป็นช่วงเพื่อที่เราจะได้รู้ว่าราคาในตลาดสูงหรือต่ำกว่ามูลค่า
 การดูมูลค่าก็เปรียบเสมือนกับการดูคนอ้วนหรือเปล่าเราอาจจะไม่รู้น้ำหนักเขาเป๊ะๆแต่เรามองปุ๊บก็พอจะรู้ได้ว่าเขาอ้วนหรือเขาผอม มูลค่าก็เช่นกันอาจไม่จำเป็นต้องรู้แบบเป๊ะแต่ต้องรู้โดยประมาณราคาตลาดตอนนี้ถูกหรือแพงกว่ามูลค่า

การทำธุรกิจหรือการค้าขายจริงๆนั้น มีจุดที่ต่างจากการเป็นหุ้นส่วนโดยการซื้อหุ้นที่สำคัญอย่างนึง คือ ในบางธุรกิจแม้เจ้าของจะรู้ว่าอยู่ในรอบของอุตสาหกรรม sunset แต่ก็ไม่สามารถที่จะปิดหรือเปลี่ยนกิจการได้ เพราะมันมีเรื่องของความผูกพันกับกิจการ การสืบทอดกิจการ การส่งต่อกิจการ พูดง่ายๆคือมันมีปัจจัยอื่นนอกเหนือจากเรื่องการทำกำไรที่ส่งผลต่อการตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจต่อ

มุมหนึ่งก็เป็นข้อดีในเมื่อถอยไม่ได้ก็ต้องลุยกับมันอย่างเต็มที่ แต่อีกมุมนึงก็เป็นข้อเสียบางทีก็รู้ทั้งรู้ว่ากิจการในอุตสาหกรรมนั้นไม่มีทางรุ่งแน่ๆแต่ก็ไม่สามารถปิดกิจการได้เพราะคำว่ารับช่วงสืบทอดกิจการมา รวมถึงยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น พนักงานเก่าแก่ที่จะต้องดูแลกันไป

พูดง่ายๆก็คือกิจการที่ส่งทอดสืบต่อกันมาเป็นธุรกิจที่ exit ได้ยาก

การซื้อหุ้นของกิจการที่เลวในราคาถูกไม่ทำให้เรารวย และการซื้อหุ้นของกิจการที่ดีในราคาแพงก็ไม่ทำให้เราได้ผลตอบแทนที่ดี

เลือกหุ้นที่สามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆไม่ว่าจะเป็นอุปสรรคทางเศรษฐกิจหรือการเมืองก็ตาม เข้าพอร์ต 
ไม่มีใครสามารถคาดเดาภาวะเศรษฐกิจล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำดังนั้นอย่าสนใจเรื่องภาวะเศรษฐกิจถือพอร์ตของหุ้นที่สามารถฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร

อย่าซื้อขายหุ้นโดยอิงจากภาวะตลาด หรือราคาของหุ้นรายวันหรือรายเดือนให้พิจารณาปรับพอร์ตจากข้อมูลพื้นฐานของบริษัท เช่น ผลการดำเนินงาน ความแข็งแกร่งของกิจการ ปัจจัยภายนอกที่กระทบกับการดำเนินงานของบริษัท โดยเฉลี่ยแล้วระยะเวลาการถือหุ้นแต่ละตัวไม่ควรจะต่ำกว่า 2-3 ปี

ในปี 2020 ที่มีวิกฤตโควิดการเลือกหุ้นเข้าลงทุนสิ่งที่สำคัญที่สุด คือบริษัทนั้นจะต้องไม่ล้มหายตายจากเพราะผลกระทบจากวิกฤต ดังนั้นสิ่งแรกที่ต้องดูคือบริษัทมีความมั่นคงทางการเงินโดยเฉพาะในเรื่องของสภาพคล่อง เพราะในช่วงที่มีวิกฤตบริษัทมักจะขาดสภาพคล่องพร้อมกัน การเพิ่มวงเงินกู้แบงค์ก็จะทำได้ยาก ในบริษัทที่ขาดสภาพคล่องมากๆก็อาจจะถึงขั้นเพิ่มทุน ส่งผลให้เกิดการไดรูท 

มันจึงเป็นบทเรียนให้กับทุกวิกฤตได้ว่าการคัดเลือกหุ้นลงทุนในยามที่มีวิกฤต ควรเลือกบริษัทที่มีความมั่นคงทางการเงินและมีสภาพคล่องที่ค่อนข้างสูงมากกว่าจะมุ่งเน้นไปที่การเติบโตเพียงอย่างเดียว

ถ้าเราถือหุ้นอยู่ตัวนึงแล้วตั้งใจจะขายเมื่อมัน overprice ไปมากๆ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไรมันเกินมูลค่าไปมากๆ จริงๆแล้วบ.ที่มีความแข็งแกร่งและมีความสามารถในการเพิ่มกำไรได้ต่อเนื่องนั้น มักมีราคา Over price แทบจะเป็นปกติ
ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่า บริษัทที่เติบโตอย่างต่อเนื่องนั้นจุดไหนคือจุดที่เกินมูลค่าจริงๆ
การขายหุ้นด้วยเหตุผลว่าราคาขึ้นไปสูงมากแล้วมันอาจจะลดลงมา เราจึงขายก่อนแล้วค่อยไปรอซื้อตอนถูก เป็นความคิดที่แย่มากสำหรับการลงทุน

 มันคนละเรื่องกับการขายของเทรดเดอร์ที่ต้องดูราคาเป็นหลัก  

นลทควรจะขายด้วยเหตุผลทางธุรกิจของกิจการเป็นหลัก เช่น กิจการหมดความสามารถในการเติบโต

ถ้าจะต้องถือหุ้นยาว ขนาดที่ว่า ขายเมื่อกิจการหมดความสามารถแล้วล่ะก็ จุดสำคัญจะอยู่ที่ตอนซื้อ เพราะทุกคนมีเม็ดเงินจำกัด ซื้อแล้ว อาจพลาดโอกาสซื้อตัวอื่นไปอีกนานแสนนาน ดันนั้น การตัดสินใจซื้อแต่ละครั้ง ต้องมั่นใจจริงๆ ว่าคุ้มค่าที่จะทิ้งโอกาสตัวอื่นไป

อวดคนอื่น จะร้อนรน 
อวดตัวเอง จะนอนยิ้ม 
เมื่อไรที่อวดจะมีคนเกลียดเราเพิ่ม 

อะไรที่ภูมิใจให้เก็บไว้ในใจ เพราะถ้าเอาออกมาข้างนอกจะกลายเป็นอวดไป จะกลายเป็นเสียหายไป

วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2565

หลักคิด 01

ตลาดหุ้นระยะสั้นคือการลงคะแนน ระยะยาวคือตาชั่ง 

ให้เชื่อการวิเคราะห์จากการชั่ง ไม่ใช่การให้คะแนน แต่ให้หาประโยชน์จากการให้คะแนน

**********
อย่าเฝ้ารอที่จะขายให้ได้ราคาดีๆ
แต่ให้รอซื้อให้ได้ในราคาที่ดี 
ที่แม้จะขายในราคาธรรมดา
ก็ยังได้ผลตอบแทนที่ดี

**********
- หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย แน่นอนว่ามีมากเกินไปย่อมไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่การมีน้อยเกินไปก็จะทำให้เสียโอกาสได้เช่นกัน ควรมีในระดับที่เหมาะสมที่สามารถบริหารจัดการได้ ทั้งในยามปกติและในยามวิกฤต รวมถึงมันต้องเป็นหนี้ที่ดี ที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไรได้ด้วย 

- พีอีปัจจุบัน คือการมองโดยใช้กำไรที่ผ่านมาแล้วต้องอย่าลืมมองถึงอนาคตด้วย

- พีบี เป็นค่าที่ดูแล้วจะเป็นปัจจุบันและจับต้องได้มากที่สุด แต่มันก็เพิ่มหรือลดได้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการทำกำไรในอนาคตด้วยเช่นกัน

**********
การลงทุน ให้มุ่งเน้นไปที่กระแสเงินสดที่บริษัทสร้างได้ ไม่ใช่ราคาที่มีคนมาเสนอซื้อต่อจากเรา

**********
สิ่งที่ต้องระวังให้มากก็คือ การซื้อหุ้นหรือบริษัทที่มีคุณภาพต่ำ ในยามที่เศรษฐกิจดีหรือในภาวะตลาดกระทิง

**********
ทรัพย์สินหรูหราส่วนมากที่คนมองเห็นมักไม่ใช่ความมั่งคั่ง เช่น รถหรู บ้านใหญ่โตหรูหรา 

มันเป็นอาจดูโก้หรู แต่มันไม่สามารถสร้างกระแสเงินสดได้ และสิ่งของเหล่านั้นมักจะเสื่อมค่า ด้อยค่าลงไปเรื่อยๆตามกาลเวลา

ความมั่งคั่งแท้จริงแล้วไม่ใช่สิ่งที่มองเห็น เช่น เงินใน บช ธนาคาร , พอร์ตหุ้น , เงินปันผล

**********

ผลตอบแทนต่อปีจะมากแค่ไหนก็ตาม สิ่งสำคัญคือเราอยู่กับมันได้ยาวนานแค่ไหน

อัตราผลตอบแทนนั้นควบคุมยากเพราะขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก แต่เราจะลงทุนยาวนานแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับตัวเราเป็นหลัก

**********

ส่วนที่สำคัญที่สุดของแผนการลงทุน คือ แผนการรองรับเมื่อแผนการลงทุนนั้น ไม่เป็นไปตามที่คาด

**********

คนจำนวนไม่น้อยอดทนไม่ได้เวลาเห็นคนอื่นทำเงินได้จากไอเดียใหม่ๆหรือเทคโนโลยีที่ดูหวือหวา สุดท้ายก็ไปร่วมวงกับเขา โดยยอมทิ้งหลักการของตนเอง 

ศัตรูตัวฉกาจของนักลงทุน ก็คือตัวนักลงทุนนั่นเอง
**********

เวลาที่คุณซื้อหุ้นลงทุนในบริษัท คุณไม่ได้ซื้อเศรษฐกิจภาพรวม แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจอาจจะมีผลต่อบริษัทก็ตาม แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีบริษัทที่สามารถเอาชนะภาพรวมของเศรษฐกิจได้ 

ถ้าคุณลงทุนในบริษัทที่ดี มีความแข็งแกร่งสูง ดัชนีหุ้นก็เป็นแค่ดัชนีหุ้น ตราบใดที่บริษัทยังมีความสามารถในการแข่งขันที่ดี ยังสามารถสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นได้ดี บริษัทยังเอาชนะค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมได้ 

ไม่มีอะไรที่คุณจะต้องกังวลเกี่ยวกับสภาพตลาดหรือดัชนีหุ้นเลย 

ดัชนีหุ้นจะขึ้นหรือลง ส่วนความเป็นเจ้าของในบริษัทที่คุณมีนั้นก็เท่าเดิม

ถ้าบริษัทยังมีความสามารถในการทำกำไรได้ดีอยู่ ดัชนีหุ้นจะขึ้นหรือลงมันก็แค่ความผันผวน ที่ไม่ได้เกี่ยวกับความมั่งคั่งที่บริษัทหาได้ หรือมีเพิ่ม

แต่แน่นอนวิธีคิดจะต่างออกไป ถ้าหากคุณเป็นเทรดเดอร์หรือเป็นนักเก็งกำไร ดัชนีย่อมส่งผล ความผันผวนในแต่ละวันย่อมส่งผลต่อคนที่เป็น trader คนที่เป็นนักเก็งกำไร ความผันผวนระยะสั้นส่งผลให้นักเก็งกำไรรู้สึกร้อนรน

**********

สิ่งของต่างๆ แม้ว่าจะเป็นของแพงดีมีคุณภาพมากแค่ไหน พอได้เป็นเจ้าของสุดท้ายเราก็เบื่อ

แต่การได้เป็นนายของเวลา และการที่เราสามารถเลือกได้เสมอว่าจะทำอะไร ทำกับใคร ทำตอนไหน นั่นคือสิ่งที่เราจะไม่มีวันเบื่อ

การจะเป็นนายของเวลาของตนเองได้ แปลว่าจะต้องเป็นอิสระจากแรงกดดันโดยเฉพาะเรื่องรายได้

**********

เมื่อใดก็ตามที่มันดูดีมากจนไม่สามารถจะดีได้มากกว่านี้อีกแล้ว แต่ทุกคนก็ยังเชื่อว่ามันจะดีกว่านี้ได้ เมื่อนั้นแหละ คือจุดสูงสุดของตลาด

**********

ยึดมั่นในหลักการที่มีเหตุล
ทั้งในช่วงเวลาที่ดีและไม่ดี

**********

สิ่งใดที่ถูกคาดการณ์ได้ สิ่งนั้นมักจะถูกป้องกันและลดความเสี่ยงลง

ส่วนสิ่งที่จะสร้างความเสียหายได้มากมาย ก็คือสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้และไม่มีใครพร้อมรับมือ

หน้าที่ของเรา คือบริหารจัดการการเงินของเรา เพื่อให้แน่ใจว่าจะยังเป็นผู้รอด เมื่อเกิดเรื่องไม่คาดฝัน

**********
วอร์เรนบัฟเฟตต์รักที่จะเก็บรักษาผู้บริหารที่เก่งและช้ำชองไว้ 

CEO ของ ปู่บัฟเฟตต์ สามารถโทรหาปู่เมื่อไหร่ก็ได้ที่เขาต้องการ ซึ่งปู่ก็จะรับโทรศัพท์เสมอ หรือถ้าไม่สะดวกรับก็จะโทรกลับภายใน 1 ชั่วโมง

ปู่ไม่เคยสั่งให้ CEO ทำอะไรเลยเขาแค่ช่วยตัดสินใจในบางเรื่องเมื่อจำเป็นเท่านั้น 

ปู่ไม่เคยยืนกรานให้ CEO ทำอะไร อย่างมากก็แค่ถามในฐานะผู้ตัดสินใจว่าเขาสนใจที่พิจารณาทางเลือกนู้นนี้หรือไม่ 

บทบาทของปู่บัฟเฟตต์คือเฝ้าดูธุรกิจอยู่ห่างๆในระยะยาวโดยจะคอยสนับสนุนทางการเงินให้เพียงพอ ช่วยส่งเสริมค่านิยม และช่วยให้ผู้บริหารระดับสูงขยายขอบเขตความรู้ของตนออกไป

สิ่งที่ปู่เฝ้าดูคือ บริษัทรูปสามารถสร้างผลตอบแทนได้คุ้มค่ากับเงินลงทุนหรือไม่ และ บริษัทลูกสามารถนำกระแสเงินสดส่วนเกินไปลงทุนต่อให้คุ้มค่าได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็ให้ส่งกลับมาที่บริษัทแม่ ปู่บัฟเฟตต์จะได้นำเงินส่วนเกินไปบริหารเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด 

นี่คือสไตล์การบริหาร ของปู่บัฟเฟตต์ 

จะเห็นว่ามีความแตกต่างจากธุรกิจครอบครัว ธุรกิจกวสีโดยทั่วไปเป็นอย่างมาก ที่ไม่ไว้ใจ ชอบล้วงลูก ผู้บริหาร แม้กระทั่งผู้บริหารนั้นเป็นลูกหลานของตนเองก็ตาม

จริงๆถ้าไม่ไว้ใจแล้วก็ไม่ควรจะตั้งให้เป็นผู้บริหารตั้งแต่ต้นด้วยซ้ำ ไม่ใช่ใช้วิธีล้วงลูก ซึ่งจะทำให้ผู้บริหารที่เก่งสุดท้ายแล้วอยู่ด้วยไม่ได้

**********

ตลาดหุ้นเป็นอะไรที่แปลก ยิ่งกระตือรือร้น ยิ่งใจร้อน อยากเร่งทำผลงานมากเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสที่จะขาดทุนมากเท่านั้น 

ส่วนผลกำไรนั้นมักเป็นของคนที่อดทนได้ ใจเย็น และรอเป็น 

เย็นให้พอ รอให้เป็น

**********
- วิเคราะห์ธุรกิจ ลดความสนใจในความเคลื่อนไหวของราคาระยะสั้น 
- ให้ความสำคัญกับส่วนต่างแห่งความปลอดภัย
- มองหาผลตอบแทนที่มีเหตุผล
- เข้าใจและใช้อารมณ์ของในตลาดให้เป็นประโยชน์แทนที่จะไปร่วมวงกับเขา

**********

การลงทุนเป็นเรื่องของการเข้าใจธุรกิจ ซึ่งต้องวิเคราะห์ให้ถี่ถ้วน

ในระยะยาวตลาดจะรับรู้ถึงมูลค่าแท้จริงของบริษัท แม้ว่าจะต้องรอนานหลายเดือน หลายปี และก็แน่ใจได้เลยว่าระหว่างที่รอตลาดอาจจะทำอะไรแปลกๆอยู่เสมอ

การยึดมั่นในหลักการลงทุนที่มีเหตุผล ทำให้ต้องหยุดซื้อหุ้นเพิ่มในยามที่ไม่มีของลดราคาให้ซื้อ เงินสดก็จะถูกสะสมเพิ่มมากขึ้น และเมื่อของลดราคาเริ่มมีมากขึ้น ก็จะถึงเวลาแห่งการซื้อ

**********

มีหลายสิ่ง ที่ไม่ควรค่าแก่การเสี่ยง ไม่ว่ามันจะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้มากแค่ไหนก็ตาม

บ.ที่มีหนี้สินมากเกิน คือ หนึ่งในหลายสิ่งที่เราให้ความสำคัญ

คนเก่ง คนรอบรู้ ที่ไม่มี mindset ที่ถูกต้อง ก็สามารถประสบกับความเสียหายที่มากมายได้

เข้าทำนองรู้ทุกอย่างแต่ไม่รู้ใจตนเอง

คุณภาพของบริษัทเป็นเรื่องสำคัญมาก แต่ถ้ามันไม่มี margin of safety ก็ไม่ควรจะลงทุน

**********

มือใหม่ก่อนเข้าตลาดหุ้น ทุกคนมักจะฮึกเหิม อยากเรียนรู้ไวๆ อยากเทรดไวๆ เพื่อทำกำไรเร็วๆ โดยเชื่อว่ามีเงินเต็มตลาด จะเข้ามา "ล่าเงิน" ในตลาดหุ้น 

พอเข้ามาได้สักระยะถึงได้รู้ว่า ตลาดหุ้นโหดร้ายกว่าที่คิด จากที่คิดว่าจะมาเป็นผู้ล่า กลายเป็นคนโดนล่าเสียเอง เสียเงินแล้วเสียเงินอีก หันไปทางไหนก็ "โดน"  

จะซื้อก็โดน จะขายก็โดน 
ซื้อทีไรแดงทุกที ขายปุ๊ปเขียวปั๊ป
ล้างพอร์ตที่โลว์ทุกที  

ประมาณนี้ เป็นอาการโดนรับน้อง 😆

**********

การมองโลกในแง่บวกช่วยส่งเสริมการหาโอกาสในการลงทุน แต่การเป็นคนขี้สงสัย และระแวงในเรื่องที่เป็นความเสี่ยง จะช่วยให้การลงทุนนั้นมีความระมัดระวังมากขึ้น ช่วยลดโอกาสการขาดทุนได้มากขึ้น

**********
หลายครั้งที่เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันเป็นธุรกิจที่ดี แต่เราต้องตั้งคำถามด้วยว่ามันเป็นการลงทุนที่ดีด้วยหรือเปล่า

ราคาที่แพงเกินไปสามารถเปลี่ยนจากธุรกิจที่ดีให้กลายเป็นการลงทุนชั้นเลวได้

************

แนวทางการลงทุนที่แตกต่างกัน
คำแนะนำต่างๆ มีความเหมาะสมกับแต่ละแนวทาง

ดังนั้นก่อนที่จะเชื่อคำแนะนำใดๆ อย่าลืมดูว่ามันเป็นคำแนะนำสำหรับแนวทางที่เราใช้หรือไม่

************
โดยปกติพื้นฐานทางธุรกิจของบริษัท จะเปลี่ยนไปแบบ 1,000% นั้น โอกาสเกิดขึ้นนั้นแทบไม่มี 

แต่กลับสามารถเห็นราคาหุ้นขึ้นได้เป็นพันเปอร์เซ็นต์ ในระยะเวลาไม่นานนักบ่อยๆ 

ราคาที่เปลี่ยนแปลงขึ้นไปอย่างมากโดยปราศจากการเปลี่ยนแปลงที่มากตามของพื้นฐานกิจการ มารองรับนั้น เกิดได้จากสาเหตุเดียว คือการปั่นราคาหุ้น

***********

ในปีที่น้ำดี แดดดี ต้นไม้ก็โตได้มาก 
บางปีที่น้ำแล้ง ต้นไม้ก็โตได้น้อย 
ถึงมันจะโตได้น้อย แต่มันก็ไม่เคยเตี้ยลง 
ไม่เคยถอยหลัง 

สร้างพอร์ตให้โตทบต้น อย่างต่อเนื่อง ให้ได้เหมือนต้นไม้ ไม่จำเป็นต้องเร่งจนเกินไป แค่อย่าถอยหลังก็พอ

BRI กับ JV

BRI เป็นบริษัทอสังหาที่ทำแนวราบแต่เพียงอย่างเดียว แล้วเอาแนวราบไปทำ JV 

ด้วยความสงสัย ว่าหากมองอีกมุมนึง จะกลายเป็นการตัดรายได้และกำไรของตนเองหรือเปล่า ???

เหมือนหาคนมาร่วมแบ่งกำไรจากรายได้หลักของตนเองไป อะไรแบบนั้น

โดยปกติแล้วเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า กันสร้างคอนโดขายนั้นมีความเสี่ยงสูงกว่าการสร้างแนวราบ เนื่องจากคอนโดต้องทุ่มเงินทั้งก้อน สร้างให้เสร็จก่อนแล้วจึงขายได้ เช่นโครงการ 1,000 ลบ ก็ต้องสร้างจนเสร็จโครงการแล้วจึงขายให้ลูกค้าได้ จึงเป็นการลงทุนเต็มจำนวนเงินทั้ง 1 พันล้าน

ในขณะที่แนวราบสามารถทยอยสร้างทยอยขายทีละ 5 หลัง 7 หลังได้ ความเสี่ยงต่ำกว่ามาก

การทำจอยเวนเจอร์ มักจะทำในโครงการคอนโดเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง ลดความเสี่ยงในการลงทุนของบริษัทลง 

ถ้าการทำจอยเวนเจอร์กับแนวราบ ที่มีความเสี่ยงต่ำอยู่แล้วนั้น ไม่ได้ช่วยเรื่องลดความเสี่ยงในการทำธุรกิจลงได้สักเท่าไหร่ เพราะความเสี่ยงมันต่ำอยู่แล้ว แถมมันไปแชร์กำไรออกไป เป็นการทำให้มีตัวมาหารกำไร แบ่งกำไรออกไปให้กับ partner แทนที่บริษัทจะได้คนเดียวเต็มๆ

ปล. ณ 5/4/65 BRI มาร์เก็ตแคป 9,208 ลบ หากจะให้พีอี 7.5 เท่า ต้องมีกำไรประมาณ 1,230 ลบ

**********


PSH Valuation

PSH มีหุ้นสามัญ 2,188.50 ล้านหุ้น

งบ 2564 
มีสินทรัพย์หมุนเวียนรวม 61,875.92 ลบ
มีทรัพย์สินไม่หมุนเวียนรวม 10,175.69 ลบ
มีหนี้สินรวม 27,979.23 ลบ

หากนำ ทรัพย์สินหมุนเวียนมาหักลบด้วยหนี้สินรวม จะมีทรัพย์สินหมุนเวียนคงเหลือ 33,896.69 ลบ
แล้วหารด้วยจำนวนหุ้น 

จะได้ทรัพย์สินหมุนเวียนหลังหักหนี้สินรวมต่อหุ้นที่ 15.49 บาท *** 

ในขณะที่ราคาหุ้นวันนี้ 5/4/65 อยู่ที่ 13.50 บาท ***

นี่ยังไม่ได้รวมทรัพย์สินไม่หมุนเวียนมาคำนวณ ซึ่งโดยมากทรัพย์สินไม่หมุนเวียนมักจะเป็นที่ดินและอาคารสำนักงานของบริษัท ซึ่งแน่นอนว่ามันมีมูลค่าเพิ่มเติมได้อีกแน่ๆ 

นายตลาดให้ราคา PSH แบบ insane หรือเปล่านะ ??? 🤣🤣🤣 

ทั้งๆที่ PSH มีธุรกิจโรงพยาบาลเข้ามาเสริม (รพ วิมุต , รพ เทพธารินทร์, และศูนย์การแพทย์)

PSH ปันผลจากรอบผลประกอบการ 2564 สองครั้ง 0.31+0.65 = 0.96 บ. หากคำนวน DIV YIELD บนราคาหุ้นวันนี้ ที่ 13.50 บาท จะคิดเป็น DIV YIELD 7.11%

ปล. ทรัพย์สินไม่หมุนเวียน หารด้วยจำนวนหุ้น จะได้มูลค่าเพิ่มมาอีก 4.60 ต่อหุ้น (คิดคร่าวๆ ให้ส่วนนี้เอาไว้เป็น MOS ก็ยังได้ )
**********