วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2565

หลักคิด 04

การทำกำไรที่ดี คือ การซื้อหุ้นโดยรับความเสี่ยงในระดับที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับกำไรที่จะได้

เมื่อเวลาผ่านไปบริษัทมีกำไรที่เติบโตมากขึ้นแม้ราคาจะสูงขึ้น หากความสามารถในการทำกำไรสูงขึ้นเร็วกว่า หุ้นตัวนั้นก็อาจจะยังน่าซื้ออยู่

อย่าซื้อหุ้นโดยหวังเพียงเศษของกำไร อย่าซื้อขายหุ้นเพียงหวังแค่ค่ากับข้าว

ทรัพยากรมีอยู่อย่างจำกัด

ดังนั้นการเคลื่อนย้ายทรัพยากรไปไว้ยังจุดที่มีโอกาสเติบโตมากที่สุด (เมื่อหักลบกับความเสี่ยง) จึงเป็นสิ่งจำเป็น 

และอย่าให้ Sunk cost มีผลต่อการตัดสินใจ

นั่นไม่ได้หมายความว่า จุดเดิมไม่ดี เพียงแต่จุดใหม่อาจดีกว่าเท่านั้นเอง

นักลงทุนควรจะมีความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าหุ้นของบริษัทที่เขาต้องการจะซื้อนั้นจะต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง และรู้ว่าตัวเองพร้อมจะจ่ายเงินซื้อที่ราคาไหน 

หุ้นที่มีคุณสมบัติครบถ้วนแต่ราคาแพงโอเวอร์ หรือหุ้นที่มีราคาถูกเพราะขาดคุณสมบัติบางประการ มันอาจจะไม่ใช่โอกาสที่ดีที่เราจะได้เป็นเจ้าของ

เราไม่ได้ได้เงินจากการกระทำ แต่เราได้เงินจากการกระทำที่ถูกต้องต่างหาก

ในช่วงที่ทำอะไรไม่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องพยายามลงมือทำ รอให้เป็น

หากไม่สามารถหาหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดี และสมน้ำสมเนื้อกับความเสี่ยงที่ต้องรับ สู้ถือเงินสดเสียยังดีกว่า จะไปซื้อหุ้นเพื่อหวังแค่ค่ากับข้าว

เวลาที่ไม่ได้ทำอะไรควรจะถูกใช้ไปเพื่อขยายขอบเขตแห่งความชำนาญ เราควรเตรียมตัวด้วยการหาข้อมูลของบริษัทซึ่งทำคะแนนได้สูงในด้านคุณภาพและการเติบโต หาบริษัทที่จะเอามาไว้ในรายชื่อหุ้นกับตา เพื่อที่จะได้เฝ้าดูสถานการณ์ไปเรื่อยๆจนกว่าราคาของบริษัทที่อยู่ใน list นั้นจะเข้ามาอยู่ในระดับเป้าหมาย ซึ่งเมื่อเวลานั้นมาถึงก็ให้ชัดเข้าไปเต็มๆอย่าลังเล

เสียงอื้ออึ้งในตลาดหุ้น เสียงของการเชียร์ หรือแม้แต่กระทั่งข่าวต่างๆ ที่อาจทำให้เกิดความโลภชั่วคราวขึ้นมา  

ล้วนแต่เป็นการพยายามเบี่ยงเบน เปลี่ยนแปลงนักลงทุนให้กลายเป็น trader
 
นลท ที่ไม่เข้มแข็งพอ จากเดิมที่เคยตั้งใจว่าจะลงทุนสุดท้ายก็จะกลายเป็นการเทรด เพื่อเอากำไรในระยะสั้น

เครื่องมือของนักลงทุนคือการซื้อถูกขายแพง เครื่องมือของเทรดเดอร์คือการซื้อแพงและขายแพงกว่า

เป็นนักลงทุนอย่าซื้อแพง
เป็น trader อย่าซื้อถูก

เราควรรักษาจิตใจให้เป็นปกติและรักษาวิธีการในการลงทุนที่ถูกต้องเอาไว้ให้ดี 

อย่าให้เสียงเชียร์ในตลาดไปปั่นป่วน จนปลดปล่อย ความโลภและความกลัวออกมา

มองหาผลตอบแทนที่น่าพอใจในระยะยาว ที่สอดคล้องกับความเสี่ยงในขนาดที่ยอมรับได้

ข้อมูลที่ถาโถมเข้ามาอย่างมากมายมหาศาล เสียงเชียร์จากโบรกต่างๆ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ค่อยๆเปลี่ยนนักลงทุนให้กลายเป็นเทรดเดอร์อย่างไม่รู้ตัว

อย่าเก็งกำไรกับข่าว แต่ให้เดิมพันกับแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจ จึงจะเป็นการลงทุนที่สมเหตุสมผล

หา บ.ที่มีความมั่นคงทางการเงินสูงๆ มีความสามารถในการทำกำไรที่ดี แต่โดนผลกระทบชั่วคราว จนทำให้ผลประกอบการแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด 

จนตลาดเททิ้ง ไม่อยากได้ ทำให้ราคาไหลลงมาต่ำกว่าที่ควรจะเป็นอย่างมาก แต่ บ.ยังสามารถปันผลได้ดี

การได้ซื้อ บ.ประมาณนี้ มักจะเป็น บ.ที่มีส่วนเผื่อความปลอดภัยสูง บ.มั่นคงไม่ล้มหายไปง่ายๆแน่นอน 

แม้ บ.จะต้องใช้เวลาในการฟื้นความสามารถในการทำกำไรนานพอสมควร แต่การปันผล จะทำให้ผู้ถือหุ้น สามารถรอการฟื้นตัวได้ 

และเมื่อ บ.สามารถผ่านพ้นเหตุการณ์เลวร้ายไปได้ ตลาดก็จะกลับมาเห็นค่า

ตามหลักแล้ว เราควรลงทุนใน บ.ที่ดีขึ้นไปเรื่อยๆไม่ใช่หรอ ส่วน บ.ที่เดวดีเดวร้าย ดีสองปี สามปีแล้ว แย่ห้าปี เจ็ดปี เราคงไม่อยากลงทุนใช่ไหม

ถ้าเราลงทุนกับแนวโน้มการเติบโตของบริษัท ซึ่งบริษัทจะเติบโตได้ต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร 

หนึ่งไตรมาสคือระยะเวลาที่สั้นที่สุดที่จะบอกเราได้ว่าบริษัทเติบโตไปในทิศทางที่เราคาดหวังหรือไม่ (เมื่อประกาศงบ)

งั้นจะดูราคาหุ้นแทบจะ ทุกสิบถึงยี่สิบนาทีกันทำไม 

การดูราคาหุ้นบ่อยๆ ถี่ๆ ช่วยให้เห็นแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจได้อย่างนั้นหรือ

ถ้าลงทุนกับแนวโน้มการเติบโตของบริษัทแล้วการดูราคาหุ้นบ่อยๆแทบไม่มีประโยชน์เลย ยกเว้นเพื่อหาจังหวะซื้อหุ้นเท่านั้นเอง

ในการจะสร้างยอดขายให้สูงขึ้น เติบโตขึ้น ย่อมต้องการสินทรัพย์หมุนเวียน และทรัพย์สินถาวรเพิ่มขึ้นด้วยเสมอ

การค่อยๆทำกำไรสะสมอย่างต่อเนื่องนั้นสำคัญ

อย่าพยายามทำกำไรมากๆเพียงวูบเดียวโดยเอาตัวเขาไปแบกรับความเสี่ยงสูงๆ

การลงทุน คือการสร้างผลตอบแทนระยะยาวให้มากที่สุด โดยรับความเสี่ยงน้อยที่สุด

คนที่มีประสบการณ์ในตลาดหุ้นน้อยๆ โดยมากมักเข้าตลาดมาพร้อมด้วยอีโก้สูงๆ 

เข้ามาถึงมักจะหวังผลตอบแทนสูงๆ รวยเร็วๆ สามปีชั้นต้องรวยทำนองนี้ เข้ามากะว่าจะมาฟาดฟันเอากำไรจากตลาดมากๆ 

โดยที่ลืมไปว่า การจะรวยเร็วๆจากตลาดหุ้น คือ ต้องเทรด ต้องฟาดฟันเพื่อกินเงินคนอื่นที่อาจอยู่ในตลาดมานานกว่า มี ปสก มากกว่า และอาจจะมีเงินมากกว่า เรียกรวมๆคือเป็นคนที่เก๋าเกมกว่า 

แล้วมือใหม่ด้อย ปสก กลับคิดว่าการจะกินเงินคนอื่นในตลาดเป็นเรื่องง่าย

ถ้ารอดอยู่ในตลาดนานพอ อีโก้จะค่อยๆลดลงไปเอง ความหวังจะตั้งอยู่บนเหตุผลที่มากขึ้น ตลาดจะเป็นคนสอน ตลาดจะให้บทเรียนเอง

จงสร้างผลงานของตัวเองและเขียนใส่กระดาษเอาไว้ จงเขียนเหตุผลขั้นพื้นฐานในการลงทุนทุกๆครั้งระบุตัวสร้างมูลค่าและตัวทำลายมูลค่าและความคาดหวังที่คุณมีต่อหุ้นเหล่านั้น 
ระบุราคาที่พร้อมจะขายตั้งแต่ตอนที่เขาซื้อมันศึกษาค้นคว้าและบันทึกไว้ในกระดาษ มันจะทำให้คุณเป็นคนที่คิดอย่างมีเหตุผล ชัดเจน โดยปราศจากอารมณ์ กระดาษแผ่นนี้ จะทำให้คุณใจสงบไม่ว่าตลาดจะผันผวนขนาดไหน

ผมทำกำไรจากการขายหุ้นเร็วเกินไป - เบอร์นาร์ด บารุช

เวลาเข้าไปเล่นใน zero sum game นั่นแสดงว่า คาดหวังจะไปกินเงินคนอื่น ดังนั้นเวลาโดนคนอื่นกินเงินตัวเองไปบ้าง อย่าเสียใจหนักจนเกินไป คิดซะว่ามันคนละที

แต่ให้หันมาปรับปรุงข้อผิดพลาดของตัวเอง ว่าเราด้อยกว่าเขาตรงไหนถึงไปโดนเขากินเงินได้ และต้องตระหนักว่าการจะกินเงินคนอื่น อาจโดนคนอื่นกินบ้างก็ได้ 

ดังนั้นต้องมี money management ที่ดี อย่าให้เงินที่สูญเสียจากการเก็งกำไร กระทบกับเงินที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน

ถ้าเบื่อจากวันวน zero sum game ที่สุดโต่งเกินไป ที่ไม่มีมูลค่าแท้จริงรองรับ ก็หันไปเก็งกำไรในทรัพย์สินที่มีมูลค่าแท้จริงรอบรับแทน เช่น โลหะมีค่า หุ้น อนุพันธุ์ต่างๆของหุ้น หรือของโลหะมีค่า เช่น ฟิวเจอร์ ออปชั่น

หรือหันไปลงทุนแทน ค้าขาย ทำธุรกิจ หรือซื้อหุ้นเพื่อการลงทุนในธุรกิจจริงๆก็ได้

- ขายเมื่อเกินมูลค่า 
- ขายเมื่อพื้นฐาน บ.เปลี่ยนอย่างมีนัยยะ
- สับเปลี่ยนเมื่อเจอโอกาสอื่นที่ดีกว่า และคุ้มค่าที่จะสับเปลี่ยน

คนฉลาด ไม่ใช่แค่ฉลาดพูดเท่านั้น
ต้องรู้จักนิ่งอย่างมีสติให้เป็นด้วย
ต้องรู้ในสิ่งที่ไม่ควรพูด
ให้มากยิ่งกว่าสิ่งที่ควรพูด

#พุทธทาสภิกขุ

ตลาดหุ้นจะส่งผลต่ออารมณ์ของเรา และอารมณ์จะทำให้เราไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง ตลาดพยายามจะล้างสมองเราและบีบให้เราทำในสิ่งตรงข้ามกับที่ควรจะทำ

ตลาดหมีมักจะทำให้เรารู้สึก "โง่" กว่าความเป็นจริง เพราะไม่ว่าจะซื้ออะไรก็มักจะขาดทุน

ส่วนตลาดกระทิงจะทำให้เรารู้สึก "ฉลาด" กว่าความเป็นจริง เพราะกำไรช่างได้มาอย่างง่ายดายเหลือเกิน

การลงทุน คือ การวิ่งมาราธอน อย่ายอมให้ตลาดมาเปลี่ยนให้เราไปวิ่ง 100 ม.

เป้าหมายในการซื้อหุ้น คือซื้อหุ้นของ บ.ที่ดีในราคาที่ถูกกว่ามูลค่า และขายออกเมื่อมันเต็มมูลค่า 

ไม่ใช่การพยายามซื้อให้ได้ที่จุดต่ำสุดของราคา และพยายามขายที่จุดสูงของราคา

แต่เรามักจะหลงลืม และพยายามจะคาดคะเน ราคาต่ำสุดและสูงสุด

ในโลกนี้การจะได้ผลประโยชน์อันยั่งยืนในระยะยาวต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดในระยะสั้นด้วยกันทั้งนั้น

หากต้องการจะเปลี่ยนชีวิต ก็ต้องเริ่มต้นที่เปลี่ยนตัวเอง การจะเปลี่ยนตัวเองก็ต้องเปลี่ยนที่การกระทำ หากจะเปลี่ยนการกระทำ ก็ต้องเริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนที่วิธีคิด

ความหวังไม่ใช่กลยุทธ์
การวิเคราะห์หุ้นต้องแสวงหาข่าว และอยู่บนความจริงให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 

การลงทุนเป็นเกมแห่งความเป็นไปได้ และความเสี่ยงที่ยังไม่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้แปลว่ามันไม่มีอยู่จริง

ทั้งชีวิตของคนเราเป็นเรื่องของการจัดการความเสี่ยงแต่ไม่ใช่กำจัดมัน - วอลเตอร์ ริสตัน

นอกจากคิดว่า หากถูกจะได้ผลตอบแทนเท่าไรแล้ว สิ่งที่ต้องนำมาคิดด้วยคือหากเราผิดต้นทุนของความผิดพลาดเป็นเท่าไร

วิธีที่ดีที่สุดในการสร้างผลตอบแทนจากตลาดหุ้นคือต้องลงทุนและลงทุนต่อเนื่องระยะยาว การซื้อขายระหว่างวันเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนและเสี่ยงเกินกว่าที่จะสร้างความมั่นคั่งในระยะยาว

ยามตลาดกระทิงอย่าหลงดีใจมากเกินไปและเวลาตลาดหมีมาก็อย่าท้อแท้หมดหวังมากเกินไป

มุ่งมั่นเอาจริงเอาจังด้วยความสุขุมรอบคอบเป็นหนทางที่จะสร้างผลตอบแทนให้เกิดขึ้นจริง

ต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งจึงจะสามารถมองข้ามความผันผวนในปัจจุบันได้ และต้องตระหนักอย่างแท้จริงว่าความมั่งคั่งที่มั่นคงในระยะยาวเกิดจากการลงทุนระยะยาวซึ่งต้องถือหุ้นไว้นานพอ

บางคนรู้ราคาของทุกสิ่งทุกอย่างแต่ไม่รู้คุณค่าของอะไรเลย - ฟิลลิป ฟิชเชอร์

ถ้าจะทำกำไรให้ได้มากจากการลงทุน มันมีความจำเป็นที่จะต้องมีความอดทน

มันเป็นเรื่องง่ายที่จะบอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับราคาหุ้นมากกว่า จะบอกว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่มันถึงจะเกิด ดังนั้นความอดทนจึงมีความสำคัญ

ลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งของตลาดหุ้นคือ ในตลาดหุ้นสิ่งที่คนส่วนมากกำลังทำในขณะนั้น จะดึงดูดให้เรารู้สึกอยากที่จะทำตาม ซึ่งสิ่งที่เราทำตามนั้น มักจะเป็นสิ่งที่ผิด

ปาฏิหาริย์อยู่ในรายละเอียด
ถ้าคุณเป็นหมอคุณทำงานละเอียดคุณก็ช่วยคนไข้ได้มาก
ถ้าคุณเป็นนักลงทุนคุณทำงานละเอียดคุณก็หาเงินได้มาก
การเก็บรายละเอียดได้มากกว่าคนอื่นจะทำให้เก่งกว่าคนอื่น

การซื้อหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชีมากพอเป็นกลยุทธ์การลงทุนที่ประสบความสำเร็จ

ข้อเสียคือแทบไม่มีธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแห่งไหนเลยที่มีราคาหุ้นอยู่ในระดับเดียวกับมูลค่าตามบัญชีหรือว่าต่ำกว่า อย่างมีนัยยะสำคัญ

ยกเว้นในยามวิกฤต

หากต้องการเปลี่ยนวิธีการเทรด/ลงทุน ต้องเริ่มที่การเปลี่ยนทัศนคติ

อย่าเสี่ยงทุกอย่างลงไปในการเทรดเพียงครั้งเดียว

อย่าเป็นคนฉลาดที่หมดตัว เพียงเพราะไม่รู้ว่าตลาดสามารถทำอะไรได้บ้าง หรือประเมินความสามารถของตลาดต่ำไป

นลท ไม่ได้ถูกหรือผิด เพราะคนอื่นเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับความคิดของเขา แต่เขาถูกเพราะข้อเท็จจริงและการวิเคราะห์ที่ถูกต้อง - เกรแฮม

ซื้อเมื่อไม่มีคนสนใจ และขายเมื่อมันเป็นที่ชื่นชอบของตลาด #ตลาดหุ้น

“คุณจะควบคุมได้มากขึ้น ถ้าคุณรู้ว่าสิ่งที่คุณควบคุมไม่ได้ มีมากแค่ไหน” - เบนจามินเกรแฮม

“สภาวะที่ดีผิดปกติหรือไม่ดีอย่างผิดปกติจะไม่คงอยู่ตลอดไป” - เบนจามินเกรแฮม

การไล่ซื้อในราคาที่แพงเพื่อที่จะขายได้ในราคาที่แพงกว่านั้น ท้ายที่สุดตลาดก็จะได้สติกลับคืนมา ความมีเหตุผลจะกลับมามีบทบาทอีกครั้ง

การซื้อหุ้นเพื่อลงทุน เป็นเรื่องระหว่างราคาและคุณค่าที่ได้รับกลับมา

การรู้ขอบเขตความสามารถของตัวเอง เป็นสิ่งที่ยากมาก เพราะความคิดของคนเรา มักหลอกตัวเอง ว่าเราฉลาดว่าที่เราเป็น

การเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จนั้นต้องอาศัยการตอบสนองอัตโนมัติแบบที่ถูกต้อง ซึ่งการจะมีการตอบสนองแบบนั้นได้ ต้องผ่านการฝึกฝนมา

ไม่มีใครที่จะสมบูรณ์แบบ แต่เราทุกคนสามารถพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆได้

นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ว่าจะฉลาดแค่ไหนก็มักจะไม่ประสบความสำเร็จถ้ามีพื้นฐานอารมณ์ที่ไม่เหมาะสม

หากเราสามารถขยายขีดความสามารถ ขยายขอบเขตของทักษะมากขึ้นเรื่อยๆได้ เราก็จะเป็นคนมีโอกาสในการประสบความสำเร็จได้สูง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการปรับใช้ด้วย

ใครๆก็อยากประสบความสำเร็จ แต่อย่าลืมถามตัวเองว่า เลือกทางถูกไหม + ทุ่มเทอย่างหนักมากเพียงพอที่จะคู่ควรกับความสำเร็จนั้นไหม

ความรู้ทักษะที่หลากหลาย สามารถช่วยส่งเสริมทักษะเดิมที่มีอยู่ ให้เก่งขึ้น ลึกขึ้นได้

การพัฒนาตัวเอง คืองานที่ไม่มีวันสิ้นสุด

แปลกอย่างนึง Player ในตลาดหุ้น ซื้อๆขายๆหุ้นกันอย่างมหาศาลในแต่ละวันโดยที่ คนส่วนมากประเมินมูลค่าไม่เป็น

ใครๆก็รักผลงานที่ทำด้วยใจ

ถ้าตลาดให้มูลค่าผิดพลาดเป็นเวลาที่นานเพียงพอ จะทำให้คนส่วนใหญ่คล้อยตามได้ไม่ยาก

ศัตรูของความสำเร็จ ก็คือความคิดลบของตัวเราเอง

ถ้าคิดว่าตัวเองเก่งอยู่แล้วก็จะไม่มีทางพัฒนาได้อีก

โฟกัสในสิ่งที่เราควบคุมได้

ถึงจะเป็นบริษัทที่เก่งมากแค่ไหนก็ตาม ถ้าราคาไม่ได้มีราคาที่เหมาะสม เราก็ไม่รู้จะลงทุนไปเพื่ออะไร

ต้องเลือกให้เป็น ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยกับดักปันผล บริษัทที่มีปัญหาอาจทุ่มจ่ายปันผลมากๆเพื่อเหตุผลบางอย่าง

การเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จนั้นต้องอาศัยการตอบสนองที่ได้รับการฝึกฝนมาแล้ว 

ถ้าคุณสามารถก้าวข้ามพฤติกรรมที่ทำให้เกิดการตัดสินใจแย่ๆได้ คุณก็จะได้เปรียบนักลงทุนคนอื่น

ถ้าซื้อหุ้นที่เน้นถูกกว่ามูลค่า ต้องอย่าลืมมองหาว่าอะไรจะเป็นตัวเร่งให้คนมาซื้อหุ้นในอนาคตด้วย ปันผลช่วยให้เรารอได้นานก็จริง แต่หากไม่มีตัวเร่ง บางทีก็ถือนานจนไม่รู้ว่าถึงเมื่อไหร่

อิงกับสิ่งที่ บ.มี
ไม่ใช่อิงกับสิ่งที่ตลาดจะให้

ซื้อหุ้นของ บ.ที่
-เราเข้าใจในธุรกิจนั้นจนมองอนาคตได้
-ราคาสมเหตุสมผล ราคาไม่เกินมูลค่า
-บ.มีความมั่นคงทางการเงินพอสมควร
-มีประวัติงบการเงินที่มีความสม่ำเสมอ
-มี ผบห ที่มีความสามารถและธรรมาภิบาล

หลักในการขายหุ้น
1. เมื่อพื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวร จากที่ได้คาดการณ์ไว้แต่ต้น
2. เมื่อเจอหุ้นของบริษัทอื่นที่มีโอกาสมากกว่า และความเสี่ยงต่ำกว่า
3.เมื่อราคาเกินกว่ามูลค่ามากๆ

ถ้าไม่เข้าทั้ง 3 ข้อนี้ก็ถือไปก่อน ไม่รีบร้อนขายหุ้น

ในการประเมินมูลค่าหุ้นเราจะเลือกใช้วิธีที่ง่ายๆพื้นฐาน basic ที่สุดก่อนเสมอ หากใช้วิธีนั้นแล้วมีหุ้นให้ซื้อ แต่หากไม่มีจึงค่อยใช้วิธีที่ Advance ขึ้น เนื่องจากวิธีที่ สลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น จะทำให้เกิดความผิดพลาดได้ง่าย การประเมินมูลค่าที่ผิดพลาดนำมาซึ่งความเสียหายอย่างร้ายแรง

เราสามารถเพิ่มคุณค่าให้ตนเองมากขึ้นด้วยการเรียนรู้และพัฒนาตนเองให้มากยิ่งขึ้น

ลำพังเพียง เวลา ไม่สามารถทำให้เราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้อย่างแท้จริง อุปสรรคต่างหาก ที่บ่มเพาะเราให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่

หยุดคิดถึงสิ่งที่แก้ไขอะไรไม่ได้ 
มุ่งทำในสิ่งที่สามารถทำได้

การลงทุนเพื่อให้มีความเสี่ยงต่ำนั้น ต้องเน้นไปที่ส่วนเผื่อความปลอดภัยเป็นหลัก (margin of safety) ส่วนการเติบโตหรือ growth จะเป็นเรื่องรอง แต่ไม่ใช่จะไม่พิจรณาเลย

**********

เวลาลงทุนในหุ้นหากนานพอ ปกติมักจะไม่ค่อยถอนเงินจากหุ้นมาใช้จ่ายกันอยู่แล้ว 

ดังนั้นกระแสเงินสดที่ได้รับจริง มักจะเป็นเงินปันผล ซึ่งมีความสำคัญสำหรับ นักลงทุนแบบ fulltime 

กำไรในพอร์ตมักสะสมต่อเนื่อง แต่ที่จับต้องได้จริงคือ เงินปันผล

จะมีอิสระการเงินได้หรือไม่นั้น เงินปันผลเป็นองค์ประกอบสำคัญ

บ.ที่ยังมีการเติบโตส่วนมากจ่ายปันผลไม่เกิน 30% - 50% ของกำไร (แต่ก็มีบาง บ.ที่เติบโตได้และไม่จำเป็นต้องเก็บกำไรไว้เพื่อเพิ่มเงินทุนของ บ. แต่มีน้อย) 

ดังนั้นเงินปันผลมักจะเป็นเพียงส่วนเดียวของกำไร ที่ผู้ถือหุ้นได้รับ กำไรส่วนที่เหลือที่สะสมใน บ.มักจะแสดงออกผ่านราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น

ต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง จึงจะสามารถมองข้ามความผันผวนในปัจจุบันได้ และต้องตระหนักอย่างแท้จริง ว่าความมั่งคั่งที่มั่นคงในระยะยาว เกิดจากการลงทุนระยะยาว 

ซึ่งการลงทุนระยะยาวต้องอาศัยวิธีการและ mindset ที่ต้องผ่านกระบวนการเรียนรู้ ที่ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ เพื่อปรับจิตใจค่อนข้างมาก

หลายคนเทรดเพื่อหาทุนก่อนแล้วจะค่อยลงทุนระยะยาว แต่กว่าจะถึงเวลานั้น การจะเปลี่ยน mindset ที่เคยชินกับการเทรด ให้มาเป็นการลงทุนนั้นไม่ง่ายเลย  

เหมือนกับการต้องเปลี่ยนนิสัยและวิธีการคิดใหม่หมดจากความเคยชินที่ยาวนาน มันไม่ง่ายเลยจริงๆ 

คนที่เคยทำอะไรที่ต้องฝืนนิสัยตัวเองนั้น จะรู้ว่ามันไม่ง่ายเลยจริงๆ โดยเฉพาะหากนิสัยนั้นใช้มายาวนานด้วยแล้ว

การรู้ขอบเขตความสามารถของตัวเองเป็นสิ่งสำคัญในการลงทุน 

แต่เป็นสิ่งที่ยากมาก เพราะความคิดของคนเรา มักหลอกว่าเราฉลาดกว่าที่เราเป็น

คนที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตอยู่กับความเพลิดเพลินของอารมณ์ สุดท้ายมักจะพาชีวิตเข้าสู่วัฏจักรแห่งความตกต่ำ

นักลงทุนที่ต้องการกำไรมากๆ
เทรดเดอร์ที่ต้องการกำไรสูงๆ
ผู้คนที่ต้องการความร่ำรวย

ต้องอย่าลืมถามตัวเองว่า ได้สร้างศักยภาพให้กับตนเองจนสมควรที่จะได้รับผลตอบแทนเหล่านั้นหรือไม่

มีความพยายาม ความอดทน ความมุ่งมั่น ต่อเนื่องยาวนาน จนเหมาะสมกับผลลัพธ์ที่ต้องการหรือไม่

ไม่มีใครบังคับให้คุณต้องซื้อหุ้นแพงๆ คุณสามารถรอได้จนกว่านายตลาด จะมอบหุ้นของ บ.ดีๆในราคาสมเหตุสมผล หรือในราคาถูกให้กับคุณ

เพราะว่าหุ้นของบริษัทดีที่มีราคาถูกนั้นจะต้องเป็นบริษัทที่โดนตลาดมองข้าม ราคาถึงจะถูกได้ และเมื่อตลาดมองข้ามมันแล้ว มันต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าตลาดจะกลับมามองเห็นคุณค่าของมัน ดังนั้นนักลงทุนเน้นคุณค่าต้องมีความอดทนสูง ต้องรอเป็น

ความเข้าใจในงบการเงินจะทำให้ มีความอดทนมากขึ้นในการถือหุ้น

กลุ่มโรงงานผลิตโดยส่วนใหญ่ มักจะมี Fixed cost ที่สูง และมี กำลังการผลิต อยู่ในระดับหนึ่งเท่านั้น นั่นหมายความว่า เวลา Order พุ่งเข้ามามากๆก็ผลิตเพิ่มได้ มากสุดแค่กำลังการผลิต ทำกำไรมากกว่านั้นไม่ได้ ต้องลงทุน เครื่องจักรเพิ่ม ในทางกลับกัน หากออเดอร์หาย

เช่น เจอ covid ต้องปิดโรงงาน จะทำให้ขาดทุนเอาได้ง่ายๆ เพราะ Fixed cost ที่สูง การลดค่าใช้จ่ายต่างๆเป็นไปได้อย่างยากลำบากและไม่ทันท่วงที ปรับตัวได้ช้า เรียกได้ว่าเป็นบุคลิกของกลุ่มโรงงานการผลิตที่ต้องระวัง

ตลาดมักให้น้ำหนักแก่หุ้นที่คุณภาพดีมากเกินไปจนลืมเรื่องราคา

ด้วยเหตุผลทางจิตวิทยา เมื่อเราขายหุ้น ที่ราคาขึ้นมาแล้ว เราก็มักจะไม่กลับไปซื้อหุ้นตัวเดิมในราคาที่แพงกว่าตอนที่ขายออกไป เท่ากลับหมดหุ้นดีไปอีกหนึ่งตัว 

การจะไปหาหุ้นดีตัวใหม่ ซึ่งไม่รู้ว่าจะดีกว่าเดิมหรือเปล่า เป็นเรื่องไม่ง่าย

นั่นทำให้ต้องพยายามถือหุ้นที่ดีที่มีให้ยาวที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

เวลาอ่านในเรื่องความเสี่ยงของบริษัท บางบริษัทอาจจะมีความเสี่ยงในด้านที่มีลูกค้ารายใหญ่ จำนวนไม่กี่ราย ที่มีผลต่อรายได้ของบริษัทเป็นจำนวนมาก วิธีป้องกันความเสี่ยงที่บริษัทมักจะเขียนไว้คือเรามีความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้ามานานนับ 10 ปี จึงไม่น่าที่จะ มีใครมาแย่งลูกค้าไปได้

หรือมองอีกมุมนึง เราควรจะพูดว่า มีลูกค้ามาเป็น 10 ปีแล้ว ไม่มีรายใหม่ๆเพิ่มขึ้นมาบ้างเลยหรือ ทำไมมีอยู่เพียงไม่กี่รายเท่าเดิม มันน่ากลัวนะ

การที่บริษัทมีกำไรสม่ำเสมอในระยะยาว และไม่ขาดทุนในยามวิกฤตเศรษฐกิจ นั่น มีนัยยะได้ว่าเป็นบริษัทที่สามารถทนแรงกดดัน จากความผันผวนทางเศรษฐกิจได้ดี โดยที่ยังมีความสามารถในการทำกำไรได้ในขณะที่เศรษฐกิจหดตัว และจะทำกำไรได้มากขึ้นในยามที่เศรษฐกิจมีการเติบโต

มันบอกเป็นนัยยะว่าผู้บริหารมีความสามารถในการบริหารสามารถนำพาบริษัทให้อยู่รอดได้ในยามที่มีวิกฤต

คัดเลือกบริษัทดีที่ราคายังไม่แพงเกินไปกระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุน ในหุ้นด้วยจำนวนตัวที่เหมาะสม ติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทที่เราซื้ออย่างต่อเนื่องและลงทุนระยะยาว

ควรวิเคราะห์และเลือกหุ้นด้วยตัวเอง คุณจะรู้เหตุผลในการเลือก และขายเมื่อเหตุผลนั้นหมดไป

การลงทุนระยะยาวถือว่าเป็นการลดความเสี่ยงในการลงทุนที่ดีที่สุด

ผู้บริหารที่ดี ควรจะต้องสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับปัญหา มีแผนชัดเจนสำหรับการจัดการกระแสเงินสดในปัจจุบันและในอนาคต และถือหุ้นของบริษัทเป็นจำนวนมาก โดยที ไม่ใช่การได้หุ้นจาก ESOP

สัดส่วนการถือหุ้นโดยสถาบันที่สูงกว่า 60% บ่งชี้ว่า หุ้นตัวนั้นเป็นที่รู้จักและอาจจะถูกถือครองมากเกินไปแล้ว และเมื่อไหร่ก็ตามที่สถาบันขาย พวกเขามักจะขายพร้อมกัน นั่นจะทำให้ราคาหุ้นตกลงไปมาก

การมีมูลค่าหนุนหลังมากพอ จะทำให้การลงทุนนั้นปลอดภัยมากขึ้น

เกณฑ์คร่าวในการเลือกหุ้นลงทุนแบบ conservative
-มีขนาดไม่เล็กเกินไป
-การเงินมั่นคง
-ปันผลต่อเนื่อง
-ไม่มีปีที่ขาดทุนในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา
- โดยรวม EPS เพิ่มต่อเนื่อง
-P/BV < 1.5
-P/E < 15

เราจะเปรียบเทียบตัวเลขผลกำไรต่อหุ้นในแต่ละปีตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมากับตัวเลขกำไรต่อหุ้นเฉลี่ยในช่วง 3 ปีก่อนหน้า เพื่อดูว่ามีการลดลงหรือไม่

ข้อสังเกต ใช้เป็นช่วงเวลามิได้ใช้ปีใดปีนึง

ช่วงภาวะวิกฤติ ควรเลือกหุ้นที่มีความแข็งแรงของงบการเงิน หุ้นที่จ่ายปันผล ซื้อหุ้นคืน และหนี้ลดลง มากกว่ามุ่งเน้นเลือกหุ้นเติบโตแต่พียงอย่างเดียว

สาเหตุหลักของความล้มเหลว คือ การใส่ใจต่อภาวะตลาดในขณะนั้นมากเกินไป - เกรแฮม

โดยพื้นฐานแล้วความผันผวนของราคา มีความสำคัญต่อนักลงทุนพันธุ์แท้ในแง่มุมเดียวเท่านั้น นั่นคือมันจะให้โอกาสพวกเขาซื้อหุ้น ในตอนที่ราคาลดลงอย่างหนัก และให้โอกาสพวกเขาขายออกเมื่อตลาดได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นไปอย่างมาก

ในช่วงเวลาอื่นๆการละเลยตลาดหุ้นและหันไปใส่ใจต่อเงินปันผลและการดำเนินงานของบริษัทเป็นสิ่งที่ดีกว่า

ทุกวันนี้ใน "หุ้นยอดนิยม" นั้น Players ในตลาดหุ้น มุ่งเน้นกับการคาดการณ์อนาคตกันจนราคาหุ้นได้สะท้อนเอาไว้หมดแล้ว 

ดังนั้นสิ่งที่คาดการณ์ แม้ด้วยความระมัดระวังจะเกิดขึ้นจริง ก็จะไม่ได้กำไรอยู่นั่นเอง 

แต่ถ้าหากมันไม่เกิดขึ้นอย่างที่คาดเอาไว้ ก็อาจจะเกิดการขาดทุนอย่างหนัก ซึ่งอาจจะเป็นการขาดทุนที่ถาวรด้วย

โอกาส จริงๆแล้วมันมาจากความเตรียมพร้อมของเรา คนเราถ้าไม่ได้เตรียมพร้อมเอาไว้ ต่อให้มีโอกาสดีแค่ไหนผ่านเข้ามาก็คว้าเอาไว้ไม่ได้ 

ทุกคนล้วนมีโอกาสดีๆผ่านเข้ามาในชีวิตเสมอ แต่จะคว้ามันเอาไว้ได้หรือไม่ได้นี่แหละที่สำคัญ 

ซึ่งการเตรียมพร้อมนั้น ต้องอาศัยความขยันและอดทน

การลงทุนนั้นเสียเวลาได้แต่อย่าเสียเงิน เพราะการเสียเงินนั่นหมายถึงเสียทั้งเงินและเสียทั้งเวลา

เราควรต้องวางเป้าหมายเสียก่อนว่าแท้จริงแล้วเราต้องการอะไรกันแน่ 

หากเป้าหมายของการลงทุนคือการมีอิสรภาพทางการเงิน ก็ต้องมากำหนดว่ามี factor ไหนบ้างที่จะให้เราประสบความสำเร็จตามเป้าหมายได้

ก็ต้องมาดูนิยามคำว่าอิสรภาพทางการเงินมันคืออะไร

จะมีอิสรภาพทางการเงินได้ปัจจัยหลักน่าจะเป็นเรื่องของกระแสเงินสดที่ไหลเข้ามาตลอดชีวิตเรามีให้เราได้ใช้จ่ายอย่างพอเพียงเป็นขั้นต่ำ (ไม่ใช่อย่างฟุ่มเฟือย) คือ มี passive income นั่นเอง

ผลข้างเคียงของการมีกระแสเงินสดที่ไหลเข้ามาตลอดอาจจะส่งผลให้เราร่ำรวยก็ได้หรือไม่ร่ำรวยก็ได้ จุดนี้ไม่ใช่ประเด็นหลัก

ดังนั้นเราก็ต้องมาดูว่าแฟกเตอร์ที่จะทำให้เราไปถึงเป้าหมายได้มีอะไรบ้าง

รายได้จากค่าเช่า จริงๆตัวนี้ถ้าเราไม่ได้จ้างเอเจนซี่ช่วยดูแลเสมือนเราก็ยังต้องทำงานอยู่ 

รายได้จากดอกเบี้ย อันนี้ต้องมีเงินมากพอสมควรดอกเบี้ยถึงจะเป็นกอบเป็นกำเพียงพอที่จะนำมาเป็นค่าใช้จ่ายโดยที่ไม่เดือดร้อน

รายได้จากเงินปันผล จริงๆแล้วมันคือรายได้จากธุรกิจที่เราลงทุนผ่านตลาดหุ้น ซึ่งถ้าเราเลือกธุรกิจที่ดีพอ รายได้จากเงินปันผลจะมากกว่ารายได้ดอกเบี้ยหลายเท่าตัวทีเดียว จึงเป็นช่องทางที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด ที่เราจะมี passive income เอาไว้ใช้จ่ายอย่างพอเพียง

เมื่อเราสามารถกำหนดได้เช่นนี้แล้ว บางคนอาจจะบอกว่าต้องการดอกเบี้ยให้เพียงพอกับค่าใช้จ่าย ก็ต้องมุ่งไปที่มีทรัพย์สินให้มากเพียงพอที่จะก่อให้เกิดดอกเบี้ยที่สูงเพื่อให้เป็น passive income สำหรับตนเองได้

บางคนมุ่งไปที่เงินปันผล ต้องการให้เงินปันผลเป็น passive income ก็จะต้องมุ่งไปที่บริษัทที่มั่นคง รายได้สม่ำเสมอจ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ และซื้อในราคาที่ไม่สูงจนเกินไปนัก เพราะ dividend yield นั้น เทียบจากเงินต้นที่เราจ่ายไปซื้อหุ้น

บางคนมุ่งไปที่การเก็บค่าเช่า เพื่อให้ค่าเช่าเป็น passive income ในจุดนี้คนที่เริ่มต้นใหม่ส่วนมากต้องทำงาน เพื่อให้มีรายได้ค่าเช่า หมายถึงต้องหาลูกค้ามาเช่า ต้องดูแลทรัพย์สินที่ให้เช่าให้อยู่ในสภาพที่พร้อมให้เช่า รวมถึงอาจจะต้องมีการตามทวงหนี้ค่าเช่า แต่หากลงทุนในกอง reit ภาระต่างๆก็อาจจะเบาลงไปได้ แค่รอรับเงินปันผลค่าเช่าจากกอง reit 

แต่กอง reit ในประเทศไทยส่วนมากเป็นแบบ lease hold คือเป็นแบบสัญญาเช่าช่วง ไม่ใช่แบบ free hold ที่กอง reit เป็นเจ้าของทรัพย์สินเอง

หลังจากที่มีอิสรภาพทางการเงินแล้ว หากมีทรัพย์สินส่วนเกินก็สามารถที่จะนำไปลงทุนในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงสูงเพิ่มขึ้นได้ เพราะนั้นจะไม่กระทบกับความเป็นอยู่ขั้นต่ำ 

แต่ถ้ายังชอบในแนวทางเดิม ก็ลงทุนเพิ่มเติมต่อเนื่องในทรัพย์สินเดิมที่สร้าง passive income เพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปเรื่อยๆได้เช่นกัน

ซื้อเมื่อไม่มีคนสนใจ และขายเมื่อมันเป็นที่ชื่นชอบของตลาด #ตลาดหุ้น

อย่าพยายามออกนอกหลักการลงทุนของตนเอง เพราะโอกาสผิดพลาดจะมีมากกว่า และถ้าหากไม่จำเป็นก็อย่าแก้ไขหลักการ ยกเว้นบางครั้งที่ราคาหุ้นถูกมากๆ แต่ต้องระลึกไว้เสมอ ว่าการออกนอกหลักการ โอกาสพลาดจะเพิ่มขึ้นสูงมาก

กำไรของบริษัทมีความสม่ำเสมอหรือไม่ ลองตั้งคำถามกับตนเองดูว่า ในอนาคตอีก 4-5 ปีข้างหน้า บริษัทน่าจะยังทำ กำไร ได้ในระดับนี้หรือเพิ่มขึ้นกว่านี้หรือไม่ ถ้าคำตอบคือไม่ หรือ ไม่แน่ใจ
แสดงว่ากำไรในปัจจุบัน เราอาจใช้ดูไม่ได้

เรื่องราวนอกตลาดหุ้นของ บมจ เป็นสิ่งที่น่าติดตามมากเสียยิ่งกว่าราคาหุ้น

จำไว้อย่างหนึ่งไม่ว่าราคาหุ้นจะขึ้นหรือจะลง สัดส่วนความเป็นเจ้าของยังเหมือนเดิม

คนไม่น้อยเวลาซื้อของอย่างอื่นต่อราคาแล้วต่อราคาอีก ถ้ามีคูปอง มีบัตรส่วนลด ต้องควักมาใช้ให้คุ้ม 
แต่เวลาซื้อหุ้น แพงแค่ไหนก็ เคาะขวา!!!

อย่าจ่ายแพงเกินไปไม่ว่าการลงทุนนั้นจะดูน่าตื่นเต้นขนาดไหนก็ตาม

ผลตอบแทนจากการลงทุนจะขึ้นอยู่กับราคาหุ้นในปัจจุบัน ยิ่งทุนของหุ้นที่ซื้อมาราคาสูงขึ้นเท่าไหร่ ผลตอบแทนก็จะยิ่งต่ำลงเท่านั้น

เป็นธรรมดาที่ทุกๆตลาดกระทิงจะต้องจบลงอย่างเจ็บปวด

ยิ่งตลาดมีพฤติกรรมแบบโง่เขามากขึ้นเท่าไหร่ โอกาสของนักลงทุนผู้คิดแบบนักธุรกิจก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น

สิ่งจำเป็นอย่างแท้จริงคือกรอบความคิดอันสมเหตุสมผลสำหรับใช้ในการตัดสินใจทางการลงทุน

การขึ้นปันผลบอกอะไรได้มากกว่าแค่คำพูดของผู้บริหาร มันสื่อได้ว่า 

"เรามีเงินสดมากพอที่จะจ่ายปันผลที่มากกว่าเดิมให้ผู้ถือหุ้น และพวกเราคาดว่าจะสามารถสร้างกระแสเงินสดได้มากขึ้นเรื่อยๆเพื่อรักษาอัตราการปันผล"

ข้อสังเกต บริษัทที่มีกระแสเงินสดถาวรสูงเท่านั้นที่จะจ่ายเงินปันผล ในขณะที่บริษัทที่มีกระแสเงินสดชั่วคราวสูงจะใช้วิธีซื้อหุ้นคืน

การขึ้นปันผลโดยทั่วไปแล้วเป็นสัญญาณบ่งบอกสถานะการเงินที่ดีของบริษัทและบ่งบอกถึงความน่าเชื่อถือ

แต่ละคนมี mindset ที่ต่างกัน แม้จะถือหุ้นตัวเดียวกัน บนวิธีการคัดเลือกเดียวกัน ไม่ใช่จะทนต่อแรงกดดันได้เท่ากัน หลายๆครั้งเพราะเหตุผลในใจต่างกัน

ถ้าภาพใหญ่ในการลงทุนของคุณเป็นภาพระยะยาว มันไม่มีเหตุผลอะไร คุณจะไปถกเถียงกับคนที่มีภาพการลงทุนระยะสั้น ที่ภาพการลงทุนนั้นเปลี่ยนไป แทบจะวันเว้นวัน

มีเพียง 2 ทางเท่านั้นที่จะเอาชนะตลาดหุ้นได้จริงๆ 
1 ซื้อหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงและรอจนกระทั่งตลาดรับรู้มูลค่า (หุ้น value)
2 ซื้อหุ้นบริษัทที่เพิ่มมูลค่าที่แท้จริงได้ไวกว่าบริษัททั่วๆไป (หุ้น Growth)

หุ้นที่อาจจะเติบโตเต็มที่แล้ว mature หุ้นกลุ่มนี้มักจะมีความแข็งแกร่ง มีความได้เปรียบในการแข่งขัน มีขนาดใหญ่ หุ้นกลุ่มนี้ค่อนข้างจะเติบโตช้า มีความเสี่ยงต่ำถึงปานกลาง แต่โตได้เรื่อยๆ

หุ้นของ บ.ที่ควรค้นหา คือหุ้นที่มีโอกาสการเติบโตในอนาคตตั้งแต่ปานกลางขึ้นไป ราคาปัจจุบันสมเหตุสมผลและมี Tangible asset รองรับพอสมควร

การไม่มี Tangible asset มารองรับมันหมายถึงการไขว่คว้าความฝัน หากคว้าได้อาจเป็นฝันที่ยิ่งใหญ่ แต่หากฝันสลาย ความเสียหายจะมากมายทีเดียว

หุ้นที่เราพยายามหาคือหุ้นที่มีโอกาสการเติบโตในอนาคตตั้งแต่ปานกลางขึ้นไป+ปัจจุบันมีราคาถูก+มี Tanguble asset รองรับพอสมควร

อารมณ์ของ เทรดเดอร์ /นักเก็งกำไร/นักพนัน การมีกำไร คือ ต้องกลับมาถือเงินสด และเงินสดคือทรัพย์สินหลัก จะหลับเต็มตาเมื่อถือเงินสด

อารมณ์ของ นักลงทุน การมีกำไรคือการลงทุนในกิจการแล้วกิจการเติบโต และทรัพย์สินหลัก คือ ความเป็นเจ้าของธุรกิจ มีเงินปันผล มีกระแสเงินสดรับจากธุรกิจ ดังนั้นการถือหุ้นตลอดเวลา คือหลับสบาย ถ้าถือเงินสดจะรู้สึกว่าเสียโอกาส

จะเป็นอะไร จะหนักในทางไหน ไม่มีถูกไม่มีผิด แต่ต้องรู้ตัวว่ามี mindset แบบไหน จะได้หาแนวทางของตัวเองได้ถูก 

#Trader #Gambler #Investor

หุ้นที่อาจจะเติบโตเต็มที่แล้ว (mature) 
หุ้นกลุ่มนี้มักจะมีความแข็งแกร่ง มีความได้เปรียบในการแข่งขัน เช่น มีหนี้ต่ำ มีลูกค้ากว้าง และเหนียวแน่น มีขนาดใหญ่ หุ้นกลุ่มนี้ค่อนข้างจะเติบโตช้า มีความเสี่ยงปานกลางถึงค่อนข้างต่ำ แต่โตได้เรื่อยๆ 

หากซื้อในช่วงวิกฤติ ขณะที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่า ก็เป็นการลงทุนที่ดีได้

ต้องเลือกให้เป็น ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยกับดักปันผล บริษัทที่มีปัญหาอาจทุ่มจ่ายปันผลมากๆเพื่อเหตุผลบางอย่าง

ถ้าซื้อหุ้นที่เน้นถูกกว่ามูลค่า ต้องอย่าลืมมองหาว่าอะไรจะเป็นตัวเร่งให้คนมาซื้อหุ้นในอนาคตด้วย ปันผลช่วยให้เรารอได้นานก็จริง แต่หากไม่มีตัวเร่ง บางทีก็ถือนานจนไม่รู้ว่ารอถึงเมื่อไหร่