วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2565

หลักคิด 05

การตัดสินใจที่ดี มีความสำคัญต่อการลงทุน แต่การไม่ทำพลาดครั้งใหญ่ เป็นสิ่งสำคัญกว่า

**********

Player ในตลาดบ่อยครั้งที่เมื่อชนะครั้งใหญ่ จะมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้นเป็นอย่างมาก และมักจะวางเดิมพันมากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้นอีก 

กล้าที่จะรับความเสี่ยงมากขึ้น แต่เมื่อโชคไม่เข้าข้าง บนความเสี่ยงจำนวนมหาศาล ที่แบกรับเอาไว้ ทุกอย่างก็จะพังทลายลงมา

**********

สถานการณ์ที่ดีและสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างสุดขั้วนั้นจะอยู่ได้ไม่นาน เนื่องจากอุปสงค์และอุปทานจะปรับตัวของมันเองด้วยวิธีที่คาดเดาได้ยาก

**********

คนเรามีแนวโน้มที่จะเชื่อเรื่องราวที่สอดคล้องไปกับ ความคิด/ความต้องการ ของตนเอง แม้ว่าเรื่องราวเหล่านั้นจะเหลือเชื่อ หรือไม่มีวันเป็นจริงก็ตาม

**********

ความผันผวนระยะสั้นที่ทำให้ราคาหุ้นตกลงมา มันไม่ส่งผลต่อมูลค่าของบริษัท 

มูลค่าของบริษัทยังคงเดิม

**********

เป็นคนที่ดีขึ้นและหรูหราน้อยลง 

ไม่มีใครประทับใจในทรัพย์สมบัติของคุณมากกว่าตัวคุณ 

คุณอาจจะคิดว่าคุณอยากได้รถหรูและนาฬิกาดีๆ แต่บางทีสิ่งที่คุณต้องการจริงๆ อาจเป็นความเคารพและชื่นชม 

และคุณมีแนวโน้มที่จะได้รับสิ่งเหล่านั้นผ่านทางความเมตตาและความถ่อมตัวของคุณมากกว่าผ่านทางรถหรูหรือเครื่องประดับหรู

- The Psychology of Money

***********

คนที่เล่นพนันเสี่ยงโชคได้เสียทีละมากๆ การจะให้กลับไปทำงานหรือลงทุน คนจำนวนไม่น้อยแทบจะกลับไปทำงานไม่ได้เลย 

เพราะจะดูแคลนเงินที่ได้มาทีละเล็กทีละน้อย (สังเกตได้จากคำพูดด้วย เพราะติดการพนันแล้วจะเริ่มมีคำพูดประเภทดูแคลน การลงทุนการทำงาน)

รวมถึงจิตใจมันไม่จดจ่อกับงานที่น่าเบื่อหน่าย เพราะการเก็งกำไร/การพนันนั้น มันสร้างความตื่นเต้น ต่างจากการทำงานหรือการลงทุนที่ต้องมีความอดทนและดูน่าเบื่อ 

พูดง่ายๆก็คือการเก็งกำไรหรือการพนันนั้น คนไม่น้อยจะเสีย mindset ไปแล้ว 

การพนันหรือการเก็งกำไรนั้น ความเสียหายในเรื่องของการเงินก็เรื่องนึง สิ่งสำคัญคือความเสียหายด้านจิตใจ ที่แก้กลับคืนมาได้ยาก ยากมากๆ 

การพนันพอเล่นไปสักระยะก็ไม่ต่างกับยาเสพติด จะติดโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม แต่ก็จะบอกกับคนรอบข้างว่าตัวเองไม่ติด
**********

ว่าด้วยหุ้น IPO บ้าง 
โดยปกติ เราเองไม่ค่อยได้จองซื้อหุ้น IPO (จริงๆคือ ไม่ค่อยได้หรอก เพราะแทบไม่เทรดเลย 🤣🤣🤣)  

เอาจริงๆคือ หลายปีหลังมานี้ เราไม่ค่อยใส่ใจหุ้น IPO ถึงแม้จะมีโอกาสจองซื้อได้ก็ตาม เพราะ หุ้น ipo 

มักจะเอาเข้าตลาดในช่วงที่ตลาดกำลังร้อนแรง เพื่อที่จะขายได้ราคาดี 

มักจะมีการ แต่งตัว ปรับปรุงงบการเงินเพื่อเตรียมตัวที่จะนำเข้ามาขาย IPO หลายครั้งที่กำไรมักจะมาดีเกินจริง ในปีสุดท้ายก่อนที่จะขาย ipo 

ซึ่งทั้งหลาย ทั้งปวง ก็เพื่อจะขาย IPO ให้ได้ราคาดีๆ และเหนือสิ่งอื่นใด ส่วนตัว ไม่ค่อยเชื่อมั่นงบการเงินตอนที่ บ.อยู่นอกตลาด  (แม้ว่าตอนอยู่ในตลาด งบการเงินอาจมีการพยายาม manipulate แต่ก็ยังมีการตรวจสอบที่เข้มข้น) 

และหลายครั้งหุ้น ipo ก็มีการเก็งกำไรกันอย่างรุนแรงในวันแรกๆ 

ทั้งหมดนั้นทำให้ หุ้น ipo นั้น ลดความน่าสนใจลงไปมากๆ ในมุมมองของเรา

และแน่นอนเราย่อมพลาดการเก็งกำไรหุ้น ipo ทุกตัวเช่นกัน (ซึ่งเราไม่สนใจจะเก็งกำไรอยู่แล้ว)


**********
การเดินทางผ่านกาลเวลาด้วยพลังแห่งการทบต้นต้องอาศัยความเชื่อมั่นและการลงทุนที่ต่อเนื่องยาวนาน 

สิ่งที่ทำให้นักลงทุนพลาดพลังของการทบต้น จนหลุดออกจากการลงทุน เช่น

- การใช้ Leverage จนทำให้ถูกบีบและต้องยอมแพ้ในยามที่ตลาดผันผวนสูง

- รู้จักบริษัทไม่ดีพอ และไม่ยอมรับความผิดพลาดจากการเลือกหุ้นผิด 

- การเข้าใจผิดคิดว่าการแห่ตามฝูงชนเป็นการลงทุน (โมเมนตัมเทรด)

- การไม่เข้าใจจิตใจตนเองดีพอ (mindset) จิตตกไปกับสภาพตลาด จนลืมแผนการลงทุนที่วางเอาไว้จนหมดสิ้น

- และสิ่งสุดท้าย เผลอไปกันสิ่งล่อใจ สิ่งเร้าใจอย่างอื่น เช่น asset ที่ผันผวนสูง ไม่มีมูลค่า + ล่อใจว่าจะเป็นเทรนด์แห่งอนาคต จนละทิ้งการลงทุน หรือเข้าใจผิดว่าการเก็งกำไรใน asset เหล่านั้น คือการลงทุน
**********

อยากได้กำไรจากหุ้นมากๆ ต้องหันกลับมามองที่ตัวเองด้วยว่า กิจวัตรประจำวันที่ทำเพื่อการลงทุนนั้น มันคู่ควรกับกำไรมากๆจากตลาดหุ้นหรือไม่

ซื้อหุ้นเพราะ ข่าวลือ, เค้าบอกว่า, เพื่อนที่ทำงานใน บ.นั้นบอกว่า, เพื่อนมีอินไซด์มาเล่าให้ฟัง อื่นๆอีกมากมายสารพัดวิธี ยกเว้น การขยันหาข้อมูล ขยันติดตาม บ. (ทั้งๆที่เป็นวิธีที่ดีที่สุด) ด้วยสารพัดข้ออ้าง โดยข้ออ้างยอดฮิตคือ ไม่มีเวลา 

คือถ้าไม่มีเวลาสำหรับการลงทุน ทุกคนมี 24 ชม เท่ากัน ถ้าเวลาเพื่ออนาคตของตนเองจัดการไม่ได้ ก็ไม่แปลกที่จะขาดทุนกับหุ้น 

ถ้าหุ้นสำคัญมากพอ จะมีเวลาให้มันเสมอ

อินไซด์ทั้งหลาย ถ้ามันอินไซด์จริง มันไม่หลุดมาถึงคุณหรอก 

ข่าวที่ทำเงินได้ มันไม่หลุดมาถึงแน่ๆ มีแต่ข่าวลวงให้ไป "จ่าย" เท่านั้น ที่หลุดมาถึง 

คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร สำคัญแค่ไหน ข่าวอินไซด์ที่ทำเงินได้ ถึงจะมาถึงคุณ ??? 

ไม่พูดแบบนี้ มันไม่ซึ้งถึงหัวอกหัวใจ แบบนี้ จะทำให้จำได้แม่น 

ด้วยความปรารถนาดี 😊😊😊

**********

เวลาอยู่ในตลาดหุ้นไปซักระยะใหญ่ อาจมีอาการเมาหมัด หลงลืมจุดประสงค์ในการเข้าตลาดหุ้น หลงใหลไปกับแสงสี (ความตื่นเต้น ความเร้าใจที่ได้เทรด)

หยุดพักแล้วคิด หันไปมองย้อนหลัง ว่าที่ทำมานั้น เพื่อจุดประสงค์ที่เราต้องการอย่างแท้จริงใช่หรือไม่ 

เข้ามาในตลาดหุ้นลงทุน เพื่อสร้างพอร์ต เพื่อสร้างความมั่งคั่งทางการเงิน หรือเพื่อแสวงหาความตื่นเต้น เร้าใจ สนุกสนาน

เล่นหุ้นร้อนแรง ที่มีความผันผวนสูง เข้าออกเร็ว มันตื่นเต้น มันเร้าใจ มันดูเท่ห์ นั่นใช่จุดประสงค์ ที่เข้ามาอยู่ในตลาดหุ้นหรือไม่ ถ้ามันตอบโจทย์ของเป้าหมายหลักเรื่องความมั่งคั่งได้ ก็ไม่ผิดอะไร  

ดังนั้นอย่าลืม หยุดพัก หยุดคิด มองย้อนหลังดู ว่ามันตอบโจทย์เป้าหมายหลักหรือไม่

นอกจากหุ้นที่ผันผวนสูงแล้ว มันยังมีหุ้นที่สามารถลงทุนได้แบบไม่หวือหวา ค่อยๆสร้างพอร์ต ค่อยๆสร้างความมั่งคั่ง ไปเรื่อยๆ อย่างน่าเบื่อหน่าย แต่โอกาสสำเร็จมีสูง อยู่ด้วยเช่นกัน

จุดสำคัญของการลงทุน คือ ทัศนคติที่มีต่อการลงทุน และ หลักการที่ใช้ในการเลือกหุ้น

ทัศนคติของการลงทุน ไม่ใช่การเข้าไปฟาดฟันเพื่อหวังกินเงินของคนอื่นอย่างเร็วๆแบบแทงสูงแทงต่ำ แต่เป็นมุมมองที่ลงทุนเพื่อการทำธุรกิจ มองแบบการทำธุรกิจ

หลักการในการเลือกหุ้น ขึ้นอยู่กับทัศนคติที่มีต่อตลาดหุ้นเป็นหลัก ถ้ามองว่าตลาดหุ้นคือการเก็งกำไร หลักการเลือกหุ้นก็จะเป็นแบบนึง ถ้ามองว่าตลาดหุ้นคือการลงทุน หลักการเลือกหุ้นก็จะเป็นอีกอย่างหนึ่ง 

กำไรเร็วไม่สำคัญเท่ากำไรบนความเสี่ยงต่ำ

**********

หากราคาน้ำมันดีเซลขยับขึ้นไปจนถึงลิตรละ 35 บ. จากเดิมที่ 30 บาทต่อลิตร แสดงว่าราคาน้ำมันขึ้นไป ประมาณ 17 เปอร์เซ็นต์ 

สมมุติ รถเต็มถังที่ 60 ลิตร เท่ากับต้องจ่ายเพิ่มอีกถังละ 300 บาท 

ตัวเลขแบบนี้คนที่มีฐานะหน่อยก็อาจจะบอกว่านิดเดียวไม่เป็นไร 

นี่แสดงว่าคิดไม่ละเอียด คงลืมคิดไปว่า ราคาน้ำมันเป็นต้นทุนแฝงของสินค้าเกือบทุกประเภท ซึ่งสุดท้ายแล้วจะส่งผลต่อเงินเฟ้อให้มากเกินควร

สมมุติ ว่าเงินเฟ้อไปอยู่ที่ 5 เปอร์เซ็นต์ คนที่มีฐานะหน่อยสมมุติมีสัก 100 ล้าน โดนเงินเฟ้อไป 5% นั่นแปลว่าค่าเงินปีนึงจะหายไปประมาณ 5 ล้าน 

คนที่มี 200 ล้าน ก็เรียกว่าอยู่ดีๆ ค่าของเงินหายไป "ปีละ" 10 ล้าน

ยิ่งถ้าคนมีเป็นพันล้าน เงินเฟ้อ 5 เปอร์เซ็นต์ หมายถึงค่าของเงินจะหายไปปีละ 50 ล้าน 

ดังนั้น การที่ราคาน้ำมันขยับขึ้น อย่าบอกว่านิดเดียว เพราะมันสามารถไปด้อยค่าทรัพย์สินทั้งหมดที่คุณมีอยู่ คิดตามเป็นเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว 

นี่ยังไม่นับว่าส่งผลรวมต่อธุรกิจให้ดรอปลงอีกด้วย นั่นหมายความว่าเงินเฟ้อที่มากเกินไป นอกจากจะกัดกินมูลค่าของทรัพย์สินทั้งหมดที่มีแล้ว ยังไปลดกระแสเงินสดไหลเข้าจากธุรกิจ ไปลดความมั่งคั่งที่จะหาได้ในอนาคตอีกด้วย

**********
การละทิ้ง วิถีชีวิตที่ไม่ดีต่อสุขภาพ คือ การลงทุนอย่างนึง