วันพฤหัสบดีที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2566

หลักคิด 36

 ไม่ว่าราคาหุ้นจะเป็นเท่าไร ถ้าจำนวนหุ้นเท่าเดิมสัดส่วนความเป็นเจ้าของก็ยังเหมือนเดิมและเงินปันผลก็ยังได้ตามสัดส่วนเดิม


*******

ถ้าคุณเปิดบริษัทโดยลงทุนไป 5 ล้านบาท โดยที่บริษัทมีกำไร ปีละ 6 แสนบาท แล้วแบ่งจ่าย ปันผลปีละ 300,000 บาท หรือเท่ากับปันผลวันละ 821 บาท และแนวโน้มยังเป็นอย่างนี้หรือมากกว่านี้ต่อเนื่องไปได้อีกเป็น 10 ปี 


พูดง่ายง่ายคือคุณได้เงินปันผล “วันละ 821 บาท”  และสามารถรับต่อเนื่องได้อีก 10 ปีเป็นอย่างน้อย 


อยู่ดีๆมีคนมาขอซื้อ กิจการจากคุณในราคา 3 ลบ คุณจำเป็นต้องขายไหม ???


คุณจำเป็นต้องขายกิจการในราคาที่ขาดทุนสองล้านบาท หรือคุณจะเลือกรับปันผลวันละ 821 บาทต่อเนื่องไปอีกเป็น 10 ปีและอาจรับต่อเนื่องได้นานกว่านั้นโดยโดยที่อาจมีคนมาขอซื้อกิจการคุณในราคาที่มากกว่า 5 ลบในอนาคตอีกด้วย ???


เงินปันผล คือ ส่วนสำคัญอย่างนึง


*****


เมือคุณซื้อที่ราคาแพงเกินไป และมากเกินไป จะส่งผลให้คุณไม่สามารถถือสถานะได้นานอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก


นั่นอาจทำให้การตัดสินใจขายอย่างผิดพลาดตามมา ขายผิดราคา ผิดเวลา และเมื่อราคาหุ้นขึ้นคุณก็จะยึดติดกับราคาที่เคยขาย ทำให้คุณไม่กล้าซื้อ และพลาดรอบขาขึ้นไปอีกรอบ 


เรียกว่าโดนสองเด้ง ทั้งขาลงที่ขายขาดทุนและพลาดขาขึ้นทำให้อดได้กำไรที่ควรจะได้

*****


จะประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้นถ้าลงทุนในสิ่งที่มีความเชี่ยวชาญ รวมถึงมีวินัยไม่ก้าวออกจากความเชี่ยวชาญที่มี

และเพิ่มขอบเขตความเชี่ยวชาญก่อนที่จะขยายการลงทุน


*****


มีคนถามผมว่าผมไม่ชอบหุ้นเติบโตบ้างหรือ 

ชอบสิครับ ทำไมจะไม่ชอบ  ใครใครก็ชอบหุ้นเติบโตทั้งนั้น แต่ผมจะซื้อก็ต่อเมื่อสามารถซื้อหุ้นเติบโตได้ในราคาถูกและความเสี่ยงต่ำเท่านั้น

แต่ถ้าให้จ่ายเงินแพงๆ เพื่อซื้อหุ้นโดยคาดหวังว่าจะได้การเติบโตที่สูงในอนาคต ผมไม่ซื้อครับ 

ผมชอบเนื้อในมือ มากกว่าน้ำบ่อหน้าครับ 

แม้เนื้อจะชิ้นเล็กและน้ำจะมากกว่าก็ตาม ผมก็ยังชอบเนื้อในมือมากกว่า 

@@@@@@@@

การลงทุนใดๆที่มีอยู่ในพอร์ตแล้วไม่เข้ากับหลักเกณฑ์ แม้ว่ามันจะเข้ากับหลักเกณฑ์ในตอนแรกก็ตามแต่ถ้าในภายหลังมันไม่เข้ากับหลักเกณฑ์ นั่นคือการลงทุนที่ผิดพลาด ควรที่จะแก้ไขทันที โดยไม่สนใจ sunk cost

@@@@@@@@@


ในคนที่ใช้กระแสเงินสดอิสระเพื่อคำนวณมูลค่าหุ้นโดยหากระแสเงินสดอิสระแบบตรงตรงตามสูตรโดยที่ไม่ได้เข้าใจถึงโมเดลของบริษัทอาจทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนเป็นอย่างมากได้


นลท จำนวนไม่น้อย ใช้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานคำนวนหากระแสเงินสดอิสระ


พอกระแสเงินสดจากการดำเนินงานติดลบเอามาคำนวณก็จะกลายเป็นติดลบกันไปหมด


เนื่องจากกระแสเงินสดอิสระจะต้องหักออกด้วย งบลงทุนเพื่อการ บำรุงรักษาเครื่องจักรหรือ“สินทรัพย์เดิม” ให้มีสภาพที่สามารถใช้งานเพื่อผลิตกระแสเงินสดได้  (ไม่รวมงบเพื่อการลงทุนใหม่เพิ่มเติม)


แต่ในบางธุรกิจงบลงทุนเพื่อรักษาทรัพย์สินเดิมอาจจะไปปะปนอยู่กับงบลงทุนใหม่แบบแยกไม่ออก 


เมื่อธุรกิจกำลังอยู่ในช่วงขยายตัวซึ่งต้องขยายขยายการลงทุนใหม่  ทำให้กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ติดลบ


เพราะ กระแสเงินสดจากการดำเนินงานจะถูกหักลบ ด้วยค่าใช้จ่ายต่างๆทั้งหมดที่เป็นเงินสด รวมถึงเงินลงทุนเพื่อการขยายงานด้วย (ไม่ใช่เฉพาะงบเพื่อการ maintain ทรัพย์สินเดิมเท่านั้น)


และนี่แหละคือจุดบอดที่นักลงทุนส่วนมากหาไม่เจอ 


ตัวอย่างเช่นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หากอยู่ในช่วงขยายตัวจะเปิดโครงการใหม่เพิ่มขึ้นมากทำให้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานติดลบ และอาจส่งผลให้กระแสเงินสดอิสระติดลบจากการคำนวณที่ผิดพลาดได้ (เพราะนักลงทุนจำนวนมากใช้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นตัวตั้งต้นในการหากระแสเงินสดอิสระ)


ซึ่งตามหลักแล้ว ในบริษัทที่มีผู้บริหารที่เชี่ยวชาญจะรู้ว่าควรขยายโครงการเพิ่มในช่วงไหน เพื่อรองรับอนาคตช่วงถัดไป เนื่องจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต้องใช้เวลาระยะเวลาดังนั้นผู้บริหารจึงต้องมีการคาดการณ์ล่วงหน้า โดยที่ในปัจจุบันเศรษฐกิจอาจยังไม่ได้ดีมากแต่เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวในอนาคต เมื่อเศรษฐกิจเศรษฐกิจปัจจุบันไม่ได้ดีมากกระแสเงินสดปัจจุบันอาจจะไม่ได้มากแต่มีความจำเป็นต้องขยายโครงการเพื่อรองรับอนาคตนี่คือที่มาของกระแสเงินสดจากการดำเนินงานติดลบได้ ซึ่งมันจะส่งผลในช่วงถัดไปเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวโครงการพร้อมเสิร์ฟให้ลูกค้ากระแสเงินสดจะหลั่งไหลเข้ามาอย่างท่วมท้น

@@@@@

เวลาเห็นหุ้น IPO ที่มีรายชื่อเซียนเทรดหุ้นชื่อดัง ควรจะหลีกหนี ไม่ใช่เข้าหา เพราะ เซียนเทรดหุ้นที่ชื่อดังและพอร์ตใหญ่ คือการการันตีแล้ว ว่าเขากินเงินรายย่อยมามากแค่ไหน ดังนั้นควรจะเล่นคนละเวทีกับเค้า หรือ ถ้าบนเวทีเดียวกันต้องมั่นใจว่ามีต้นทุนที่ถูกกว่าเท่านั้น (เทรดไม่ใช่ลงทุน)


เทรดเดอร์หลายคนพอเห็น เซียนเทรดหุ้นชื่อดังมีหุ้นตัวไหนก็กระโดดเข้าตาม โดยไม่สนใจเลยว่าต้นทุนของเขาคือเท่าไหร่และของตนเองคือเท่าไหร่


เซียนเทรดไม่ใช่นักลงทุน

เซียนเทรดพอร์ตใหญ่ได้เพราะ "กินเงินรายย่อย" เป็นหลัก


ส่วนนักลงทุนจะเติบโตตามธุรกิจที่เติบโตเป็นหลัก


รายย่อยที่จะโดนเซียนเทรดกินเงินได้  คือ รายย่อยที่เล่นบนเวทีเดียวกับเขาเท่านั้น (ซื้อหุ้นตัวเดียวกับเขา และต้นทุนในมือแพงกว่าเขา) 


ถ้ารายย่อยเล่นคนละเวทีหรือมีต้นทุนถูกกว่า เซียนเทรดหุ้นจะกินเงินรายย่อยไม่ได้


เทรดเดอร์รายย่อยต้องปรับมุมมองใหม่ ต้องปรับการตีความข่าวให้ถูกต้อง 


จากหุ้นที่มีเซียนเทรดชื่อดังถือแล้วน่าคิดว่าสนใจ  เป็น หุ้นตัวไหนที่มีเซียนเทรดชื่อดังถือ ให้ระวังให้มากเป็นพิเศษ


@@@@@@


หนึ่งในข้อผิดพลาดที่นักลงทุนจำนวนไม่น้อยมักจะทำผิด คือการคิดว่าหุ้นวัฏจักรคือหุ้น growth แล้วซื้อในช่วงที่ดีของธุรกิจเพื่อลงทุนระยะยาว







@@@@@@@


ชอบมีคนถามว่า มีหุ้นดีแนะนำบ้างไหม


เรามักไม่ตอบ เพราะคำว่าหุ้นดีของคนทั่วไป มักหมายถึง ซื้อแล้วราคาวิ่งขึ้น


แต่หุ้นดีของเราคือธุรกิจดีโดยที่ราคาอาจไม่ไปไหนได้เป็นปีๆ ดังนั้นคำตอบของเรา กับที่คนส่วนมากคาดหวังมักไม่ตรงกัน 


ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้ คือ ไม่ตอบดีกว่า ขี้เกียจอธิบายเยอะ

@@@@@@


ถ้าคุณยอมซื้อหุ้นพีอีมากกว่า 40เท่า ไม่ว่ามันจะเติบโตแค่ไหน 


สุดท้ายแล้ว การซื้อของคุณจะทำให้คนที่มีหุ้นอยู่ก่อนรวยจากการซื้อของคุณ แต่คุณไม่รวยจากการซื้อของคุณ


ปล. หลักการนี้ใช้ไม่ได้กับหุ้นวัฎจักร และหุ้นเทิร์นอะราวด์



*******



เนื่องจากมีคนถามถึงมุมมองของการเติบโตของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 


จุดเด่นของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


- ต้นทุนเงินทุนต่ำกว่าบริษัทอสังหาที่อยู่นอก ตลท


- ทำโครงการได้จำนวนมากมากกว่าส่งผลให้มีความประหยัดต่อขนาดมากกว่าทั้งในด้านของการออกแบบ แล้วใช้ต่อจำนวนยูนิตที่มากกว่า ทั้งวัตถุดิบต่างๆ ที่สั่งในปริมาณมากและได้ราคาที่ถูกกว่า ยังรวมไปถึงประหยัดค่าใช้จ่ายในด้านการขาย เมื่อเทียบจำนวนเซลล์ต่อยอดยูนิตรวม


- เซลล์เก่งๆก็อยากที่จะอยู่กับบริษัทใหญ่มากกว่าเนื่องจากมีสวัสดิการและโบนัสที่สูงกว่า ที่ดึงดูดกว่า


- ในแง่ความเชื่อมั่นที่ลูกค้ามีให้ต่อโครงการ บริษัทใหญ่ก็มีความได้เปรียบกว่า


- ลูกค้ากู้กับธนาคารเพื่อซื้อโครงการจากบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ธนาคารก็ปล่อยกู้ได้ง่ายกว่า 


หากดูจากมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยทั้งประเทศของปี 2565 มีจำนวน 1,065,000 ล้านบาท


ในขณะที่รายได้ของ 16 บริษัท พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีรายได้ปี 2565 รวมเพียง 309,700 ล้านบาทเท่านั้น คิดเป็นประมาณ 30% ของมูลค่าการโอนอสังหาทั้งประเทศ 


และหากมองเข้าไปในราย บริษัทก็จะเห็นว่าอันดับหนึ่งคือเอพีมีรายได้เพียง 49,000 ล้านบาทเท่านั้นเมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดรวมที่มีสูงถึง หนึ่งล้านล้านบาท 


ดังนั้นการกินมาร์เก็ตแชร์เพื่อเติบโตนั้น ยังสามารถทำได้ต่อเนื่องอีกยาวนาน โดยอาศัยจุดเด่นดังที่กล่าวมาแล้ว


หมายคนอาจไม่ทราบบริษัทพัฒนาอสังหาแม้จะพัฒนาโครงการ ที่อยู่อาศัยมือหนึ่งแต่ก็มีบริษัทลูกที่ทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนบ้านมือสองด้วย รวมถึงหลายบริษัทก็มีการตั้งบริษัทลูกเพื่อทำนิติบุคคลเพื่อดูแลโครงการของหมู่บ้านหรือคอนโดด้วย


ซึ่งการลงทุนในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์นั้นส่วนตัวก็ชอบที่จะลงทุนในบริษัทใหญ่ ที่อยู่ใน 5-10 อันดับแรกของตลท ซึ่งบริษัทจะมีความได้เปรียบมีจุดเด่นอย่างครบถ้วนในทุกๆด้าน






********

ความรู้ในหนังสือแต่ละเล่มไม่ใช่ว่าอ่านแล้วจะสามารถเข้าใจมันได้อย่างลึกซึ้งภายในครั้งเดียว 

โดยมากจะต้องอ่านซ้ำหรือจำได้เมื่อเจอเหตุการณ์ที่ประจวบเหมาะแล้วนึกถึงบางประโยคในหนังสือบางข้อความในหนังสือ หรือบางครั้งเกิดจากการประสานความรู้จากหนังสือหลายเล่มที่นำมาต่อยอดกัน 

ดังนั้นการอ่านให้มากเข้าไว้ย่อมได้เปรียบในการที่จะนำข้อมูลความรู้ที่หลากหลายมาสอนประสานกัน

แต่ทั้งนี้ต้องเป็นหนังสือที่ดีให้ความรู้อย่างถูกต้องด้วย

*****

อาชีพนักลงทุน เป็นอาชีพที่จะค่อยๆปรับมุมมองของตัวคุณ ให้ระแวดระวังความเสี่ยงมากขึ้น  มองสิ่งรอบตัวอย่างสงสัยมากขึ้น คิดมากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับตัวคุณเองในอดีต


และเมื่อถึงจุดหนึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับคนส่วนมากโดยรวมแล้ว  คุณจะรู้สึกถึงความแตกต่าง ในด้านมุมมองของความเสี่ยง อย่างเห็นได้ชัด


*****


นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่ดูออกว่าผู้บริหารคนไหนที่เข้าตลาดเพื่อจะมาโกง เพื่อจะมา กวาดเอาเงินจากผู้ถือหุ้นรายย่อย 


แต่ก็อดเข้าไปร่วมวงไม่ได้เพราะราคาตลาดที่มันกระชากขึ้นกระชากลงมันดึงดูดใจ 


สุดท้ายก็กลายเป็นเป็นแมงเม่า บินเข้ากองไฟ






วันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2566

หลักคิด 35

 ทำไมในทางเศรษฐกิจตัวเลขจีดีพีจึงเป็นสิ่งสำคัญ 


เพราะการที่จีดีพีเป็นบวกมากขึ้นจะหมายความว่ามีการบริโภคมากขึ้นทำให้มีความต้องการต่อสินค้าต่างๆมากขึ้นด้วยนั่นแปลว่ามีสินค้าที่ขายได้มากขึ้นและสามารถปรับเพิ่มราคาได้มากกว่าเดิมการที่สินค้าขายได้มากขึ้นอันหมายถึงคนมีงานทำมากขึ้นได้ค่าแรงเพิ่มขึ้นซึ่งก็จะย้อนกลับทำให้เกิดการบริโภคที่มากขึ้นอีกทอด


*****

ไม่มีของถูกในหุ้น IPO เพราะ การไอพีโอครั้งแรกจะเป็นการระดมนักบัญชีนักวิเคราะห์ IB มาประเมินราคาหุ้น รวมถึงเจ้าของเองเค้ารู้ว่ามูลค่าหุ้นของบริษัทอยู่ที่ประมาณไหน มีแต่จะขายให้ได้ราคากว่ามูลค่าที่แท้จริง


นักลงทุนรายย่อยไม่มีทางรู้ดีไปกว่าเจ้าของนักบัญชี นักวิเคราะห์ IB ที่ทำหุ้นเข้าตลาดอยู่แล้ว 


ส่วนที่ราคาไอพีโอมันขึ้นต่อไปได้มากๆนั้นมันเป็นเรื่องของการเก็งกำไร  ไม่ใช่เรื่องของการวิ่งไปหามูลค่า 


ดังนั้นถ้าหวังจะเก่งกำไรก็สามารถที่จะซื้อหุ้นไอพีโอได้โดยดูจากความชอบของตลาดโดยรวมว่าชอบบริษัทและอุตสาหกรรมเหล่านั้นไหม  


แต่หากจะซื้อของถูกจาก IPO เพื่อลงทุน  น่าจะหาไม่เจอในหุ้นไอพีโอ เปรียบเสมือนงมเข็มในมหาสมุทร


ส่วนบรรดาเหล่านักลงทุนที่เก่งเก่งที่เห็นว่าได้ไอพีโอนั้น ส่วนมากไปดูเบื้องหลัง มักจะได้มาตั้งแต่ก่อนราคาไอพีโอหรือได้มาในราคาที่มีส่วนลด  เอาเป็นว่าได้คนละราคากับรายย่อยเป็นส่วนมาก


*****

โดยปกติแล้วราคาหุ้นในพอร์ตมักจะโตไวกว่าเงินปันผลเพราะมันถูก Gearing ด้วยค่าพีอีหรือพีบี ในขณะที่เงินปันผลจ่ายออกมาตรงๆ แต่ก็นั่นแหละเงินปันผลที่จ่ายออกมา มันสร้างความ secured  รวมถึงสร้างโอกาสที่จะมีเงินสดไปเลือกลงทุนในโอกาสใหม่ใหม่ได้


*****

สำหรับบุคคลทั่วไป ที่ไม่ได้ศึกษาหุ้นรายตัวแบบจริงจัง ไม่ได้ติดตามกิจการแบบจริงจัง จะเพราะไม่มีเวลาศึกษาหรือไม่มีเวลาติดตามก็แล้วแต่ 


การซื้อกองทุนหักภาษีโดยเฉพาะกองทุน SSF , SSFX ควรคำนวนว่านอกจากหักภาษีได้แล้ว การโดนบังคับถือ 10 ปีนั้น คุ้มค่าหรือไม่


ลองมองว่าดัชนี SET ณ ปัจจุบันหากผ่านไปสิบปี มีโอกาสที่ดัชนีจะสูงกว่านี้หรือไม่


หากคิดว่ายังไงอีกสิบปีข้างหน้า SET ต้องสูงกว่านี้แน่นอน เหมาะแก่การซื้อกองทุนรวม ถือยาวๆ SSF , SSFX จะได้คือ ได้ลดภาษีและได้ทั้ง Cap Gain ถ้าเลือกกองทุนได้ถูกกอง


แต่สำหรับ คนที่ติดตามหุ้นรายตัวเอง คงค้องเปรียบเทียบ ว่าการซื้อกองทุน ให้กองทุนบริหารเงินให้ + ได้ลดหย่อนภาษี  ผลตอบแทนมากกว่าที่ตนเองบริหารเองหรือไม่ หากไม่ ก็ไม่ต้องซื้อ SSF, SSFX ก็ได้


เช่น หากโดนเรทภาษี ขั้นสูงสุดที่ 15% ก็เท่ากับว่าเงินที่ซื้อกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษีได้ลดภาษี 15% บนระยะเวลาบังคับถือกองทุน 10 ปี เท่ากับได้ลดหย่อนภาษีเฉลี่ยปีละ 1.5%


แล้วนำ ปย ทางภาษีต่อปี มาบวกกับกำไรจาก nav  ที่กองทุนทำได้เฉลี่ยต่อปี  นั่นคือ ผล ปย ทั้งหมดที่ได้รับจากการซื้อ ssf, ssfx 


แล้วจึงนำมาเปรียบเทียบกับผลตอบแทนที่คาดว่าตนเองจะทำได้จากการซื้อหุ้นเอง


สมมติ ดัชนีประมาณ 1500 และอีกสิบปี ดัชนีไปที่แถว 2,000 จุด


เท่ากับเพิ่มมา 33% หรือเฉลี่ย 3.3% ต่อปี  (หากซื้อกองอิงดัชนี จะได้ผลตอบแทนประมาณเดียวกับดัชนี)


บวก ผล ปยทางภาษี (สมมติ effective tax rate 15% ) ก็เท่ากับได้ ปย ทางภาษีต่อปีที่ 1.5%


3.3%+1.5% = 4.8% ต่อปี เป็นเวลาสิบปี


หากเป็นไปตามตัวอย่าง แล้วมีทางเลือกอื่น เช่น นำไปค้าขาย ได้กำไรต่อปี มากกว่า 4.8%  เราก็ไม่มีความจำเป็นต้องซื้อ ssf, ssfx 


แต่หากไม่ได้นำเงินไปลงทุนอย่างอื่นเลย นอกจากฝากแบงค์  การซื้อ ssf, ssfx  เป็นทางเลือกที่ดี


สำหรับคนที่จำเป็นต้องซื้อ

หากต้องซื้อ ssf และไม่อยากลุ้นกับความสามารถของ ผู้จัดการกองทุนก็สามารถเลือก ซื้อเป็นกองทุนอิงดัชนีได้


การซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี มีจุดอ่อนอย่างใหญ่หลวงอยู่จุดหนึ่งก็คือ หากไปเจอกองทุนที่มีผู้จัดการกองทุนบริหารไม่ดี


ผลตอบแทนอาจจะติดลบ แถมด้วยการเสียโอกาสในการสร้างผลตอบแทนไปอีก 10 ปีเลยทีเดียว


คือจะเสียหายทั้งฝั่งเงินทุนและเสียหายทั้งฝั่งโอกาสที่จะได้กำไร  เรียกว่า เสียหายสองเด้ง


*****


เวลาตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้คนในตลาดจะ

- มีความโลภเพิ่มขึ้น

- มองโลกในแง่ดีมากขึ้น

- มีความมั่นใจสูงขึ้น

- กล้าแบกรับความเสี่ยงมากขึ้น

- มีความกระตือรือร้นที่จะรีบซื้อหุ้น


ในทางกลับกันหากเป็น ช่วงตลาดหมีที่ ดัชนีตลาดหุ้นไหลลงต่อเนื่อง ผู้คนจะ

- เริ่มกลัว

- ตกใจรีบขาย

- มองโลกในแง่ร้าย

- กลัวความเสี่ยง

- ขาดความมั่นใจ


*****


การลงทุน คือการเข้ารับความเสี่ยง แต่นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จจะพยายามรับความเสี่ยงให้ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่จะได้รับ


ส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างการเข้ารับความเสี่ยง การถือความเสี่ยงต่ำที่สุดบนผลตอบแทนที่คุ้มค่า ทำให้เกิดความสำเร็จตามมา

******


ถ้าซื้อหุ้นปันผลในช่วงที่ราคาร่วงหนัก เช่น สมมติ ช่วงปกติบริษัทเคยจ่ายเงินเงินปันผลอยู่ที่ประมาณ 4.50 บาทถึง 5 บาท (Div payout 40%) และราคาหุ้นสมมติ 66บาท คิดเป็นปันผล 6.8% ถึง 7.5%


แต่ต่อมาเกิดวิกฤติ ผลประกอบการแย่ลง จ่ายเงินปันผลลดเหลือ สมมติ 2.75 บาท แต่ราคาหุ้นเหลือ 54 บาท คิดเป็นเงินปันผลประมาณ 5.1% 


สมมุติว่าบริษัทใช้เวลาสามปีในการฟื้นตัวกลับไปที่เดิมเพื่อที่จะจ่ายปันผลที่ 4 บาท  

สมมติ 

ปีที่ 1 ปันผล 3.00 บาท 

ปีที่ 2 ปันผล 3.50 บาท

ปีที่ 3 ปันผล 4.00 บาท


เท่ากับคิดเป็นอัตราปันผล 

5.55%  6.48% และ 7.4% ของราคา 54 บาท


หรือพูดง่ายๆคือ สามปีได้ปันผลรวม 19.43% เพื่อที่จะรอราคาหุ้นกลับสู่ระดับที่ควรจะเป็น 


ปันผล คือ MOS “ส่วนเพิ่ม” จากเดิมที่มี MOS จากราคาหุ้นที่ต่ำ


เช่น สมมติเดิมมี MOS 30% พอถือหุ้นไปอีก 3ปี ได้ MOS เพิ่มมาอีกประมาณ 20% กลายเป็น 50%


ทำให้มันเป็นการลงทุนที่เซฟมากๆนั่นเอง โอกาสแพ้ยาก 


แน่นอนว่า ความผันผวนชั่วคราวของตลาดในระยะสั้น อาจทำให้มีการขาดทุนชั่วคราวได้ แต่ในระยะยาวแล้วโอกาสจะแพ้นั้นยากเหลือเกิน


******


การจะสร้างแผนการลงทุนที่แพ้ยาก มันไม่ใช่แค่เลือกหุ้นอย่างเดียว  มันต้องลงรายละเอียดมากกว่านั้น


****


ถ้าคุณใช้หลักการลงทุนที่ไม่เข้ากับ mindset ของตัวเอง สุดท้ายคุณจะทนการขาดทุนไม่ได้ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงการขาดทุนชั่งคราวก็ตาม และจุดที่คุณทนไม่ได้ มักจะเป็นจุดที่คุณขาดทุนหนักที่สุด


แต่ถ้าคุณเป็นเทรดเดอร์ แล้วใช้หลักการของเทรดเดอร์โดยที่ไม่มีวินัยเพียงพอ คุณจะเจอกับ whipsaw จนคุณเหนื่อยใจ กำไรเป็นกอบเป็นกำที่ได้มาไม่เคยรักษามันไว้ได้ หรือรักษามันไว้ได้น้อยเหลือเกิน

*****


เงินรางวัลล่อใจจำนวนมากๆ ดึงดูดคนโลภได้เสมอ 


ไม่ว่าจะเป็นลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง  หรือหุ้น 10 เด้งเด้ง 100 เด้งก็ตาม 


คนโลภจะวิ่งเข้าใส่โดยไม่เคยคิดเลยว่าโอกาสที่จะทำได้มีอัตราส่วนน้อยขนาดไหน

******


การเพิ่มทุนแบบ PP เป็นอะไรที่เราไม่ชอบมากที่สุด เพราะมีโอกาสโดนเอาเปรียบมากที่สุด 


การจะไม่โดนเอาเปรียบจากการเพิ่มทุน คือ ราคาเพิ่มทุนจะต้องใกล้เคียง หรือ มากกว่าราคาตลาด 


ลองคิดดูหากคนที่ซื้อหุ้นเพิ่มทุนสามารถซื้อได้ในราคาที่ต่ำกว่าตลาดมากๆ  เขาสามารถขายทำกำไรได้ทันที รายย่อยมีแต่เสียเปรียบ โดยเฉพาะการเพิ่มทุนแบบเจาะจง PP เท่ากับรายย่อยไม่มีสิทธิ์ในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนนั้นเลย มีแต่เป็นเป้านิ่งให้เค้าชก  


แต่หากราคาเพิ่มทุนสูงกว่าราคาตลาด  แน่นอนว่าอันนี้รายย่อยไม่เสียเปรียบ แถมบริษัทยังได้เงินเข้ามาเป็นสินทรัพย์เพิ่มขึ้นมากด้วย ซึ่งการเพิ่มทุนที่ราคาจองซื้อสูงกว่าราคาตลาดนั้นมักจะเป็นลักษณะการออกวอแรนท์ เพราะบริษัทจะมีเวลาในการดำเนินกิจการให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้ ราคาหุ้นสูงขึ้น มากกว่าราคาแปลง ทำให้คนอยากแปลง วอร์แรนท์เป็นหุ้นสามัญ  ซึ่งวิธีนี้จะเห็นได้ว่าผู้บริหารจะมุ่งมั่นทำให้กิจการดีขึ้น ต่างจากวิธีแรก ที่รายย่อยโดนมัดมือชก

******


ไม่เคยเจอนักลงทุนเก่งๆคนไหน ที่อ่านน้อยเลย 


(หมายถึง การอ่านทุกอย่าง ทั้งหนังสือ ทั้งข่าวสาร ทั้งบทวิเคราะห์ต่างๆ รวมถึงข้อมูลต่างๆที่หาเพื่อคลายข้อสงสัย)

*******

ความสามารถในการสร้างอัตราผลตอบแทนที่ดีที่ดี จะเกิดขึ้นได้จากความรู้และประสบการณ์ ซึ่งเกิดจากการเรียนรู้ ของเหล่านี้ไม่มีใครรู้มาตั้งแต่เกิด


เงินต้นที่มี  แน่นอนว่าถ้าฐานะทางบ้านดีก็ช่วยส่งเสริมได้แต่ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งหลักๆแล้วอยู่ที่ความประหยัด เก็บออม นักลงทุนหลายคนฐานะทางบ้านไม่ดีมากๆ แต่มีความสามารถในการเก็บออมสูง ใช้จ่ายอย่างประหยัดทำให้เงินต้นเหลือสำหรับลงทุน และเมื่อบวกกับความสามารถในการลงทุนที่พยายามสะสมเพิ่มที่พยายามเรียนรู้เพิ่ม ทำให้หลายหลายคนกลายเป็นคนมีฐานะ 


ซึ่งความสามารถในการสร้างผลตอบแทนและ การสะสมเงินต้นมาลงทุนนั้นหากเริ่มได้เร็วเท่าไหร่ก็จะมีระยะเวลาในการลงทุนมากขึ้นเท่านั้น 


เมื่อรวมกันทั้งสามสิ่งจะส่งผลให้ประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน


*******^^

หลักสำคัญในการลงทุนอย่างหนึ่งของเรา คือเวลาต้องอยู่ข้างเดียวเรา 


เราไม่ลงทุนในหลักการที่มีเวลาอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเรา


******


ถ้ายังยึดติดกับราคาหุ้นมากกว่ามูลค่าและกระแสเงินสดที่บริษัทสร้างได้ เวลาเจอตลาดหมี คุณจะร้อนรน คุณจะไม่มีวันเพิกเฉยต่อข่าวร้ายได้


เปรียเสมือน ถ้าคุณเปิดร้านอาหารที่มีลูกค้าแน่น และร้านสร้างกระแสเงินสดให้คุณต่อเนื่อง  แล้วมีคนบ้ามาเสนอซื้อร้านในราคา 50% 


ถ้าคุณยึดติดกับราคา คุณจะหัวฟัดหัวเหวี่ยง ใจเสีย ที่มีคนมาเสนอราคาเพียง 50% 


แต่ถ้าคุณยึดคิดกับสิ่งที่ร้านมี เช่น ลูกค้าจำนวนมาก(มันคือส่วนสำคัญของมูลค่าของร้าน) กระแสเงินสดที่ร้านสร้างได้  คุณจะหัวเราะใส่คนที่มาเสนอราคา แล้วคุณจะเพิกเฉยมันไปได้อย่างง่ายดาย