วันพฤหัสบดีที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2566

หลักคิด 36

 ไม่ว่าราคาหุ้นจะเป็นเท่าไร ถ้าจำนวนหุ้นเท่าเดิมสัดส่วนความเป็นเจ้าของก็ยังเหมือนเดิมและเงินปันผลก็ยังได้ตามสัดส่วนเดิม


*******

ถ้าคุณเปิดบริษัทโดยลงทุนไป 5 ล้านบาท โดยที่บริษัทมีกำไร ปีละ 6 แสนบาท แล้วแบ่งจ่าย ปันผลปีละ 300,000 บาท หรือเท่ากับปันผลวันละ 821 บาท และแนวโน้มยังเป็นอย่างนี้หรือมากกว่านี้ต่อเนื่องไปได้อีกเป็น 10 ปี 


พูดง่ายง่ายคือคุณได้เงินปันผล “วันละ 821 บาท”  และสามารถรับต่อเนื่องได้อีก 10 ปีเป็นอย่างน้อย 


อยู่ดีๆมีคนมาขอซื้อ กิจการจากคุณในราคา 3 ลบ คุณจำเป็นต้องขายไหม ???


คุณจำเป็นต้องขายกิจการในราคาที่ขาดทุนสองล้านบาท หรือคุณจะเลือกรับปันผลวันละ 821 บาทต่อเนื่องไปอีกเป็น 10 ปีและอาจรับต่อเนื่องได้นานกว่านั้นโดยโดยที่อาจมีคนมาขอซื้อกิจการคุณในราคาที่มากกว่า 5 ลบในอนาคตอีกด้วย ???


เงินปันผล คือ ส่วนสำคัญอย่างนึง


*****


เมือคุณซื้อที่ราคาแพงเกินไป และมากเกินไป จะส่งผลให้คุณไม่สามารถถือสถานะได้นานอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก


นั่นอาจทำให้การตัดสินใจขายอย่างผิดพลาดตามมา ขายผิดราคา ผิดเวลา และเมื่อราคาหุ้นขึ้นคุณก็จะยึดติดกับราคาที่เคยขาย ทำให้คุณไม่กล้าซื้อ และพลาดรอบขาขึ้นไปอีกรอบ 


เรียกว่าโดนสองเด้ง ทั้งขาลงที่ขายขาดทุนและพลาดขาขึ้นทำให้อดได้กำไรที่ควรจะได้

*****


จะประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้นถ้าลงทุนในสิ่งที่มีความเชี่ยวชาญ รวมถึงมีวินัยไม่ก้าวออกจากความเชี่ยวชาญที่มี

และเพิ่มขอบเขตความเชี่ยวชาญก่อนที่จะขยายการลงทุน


*****


มีคนถามผมว่าผมไม่ชอบหุ้นเติบโตบ้างหรือ 

ชอบสิครับ ทำไมจะไม่ชอบ  ใครใครก็ชอบหุ้นเติบโตทั้งนั้น แต่ผมจะซื้อก็ต่อเมื่อสามารถซื้อหุ้นเติบโตได้ในราคาถูกและความเสี่ยงต่ำเท่านั้น

แต่ถ้าให้จ่ายเงินแพงๆ เพื่อซื้อหุ้นโดยคาดหวังว่าจะได้การเติบโตที่สูงในอนาคต ผมไม่ซื้อครับ 

ผมชอบเนื้อในมือ มากกว่าน้ำบ่อหน้าครับ 

แม้เนื้อจะชิ้นเล็กและน้ำจะมากกว่าก็ตาม ผมก็ยังชอบเนื้อในมือมากกว่า 

@@@@@@@@

การลงทุนใดๆที่มีอยู่ในพอร์ตแล้วไม่เข้ากับหลักเกณฑ์ แม้ว่ามันจะเข้ากับหลักเกณฑ์ในตอนแรกก็ตามแต่ถ้าในภายหลังมันไม่เข้ากับหลักเกณฑ์ นั่นคือการลงทุนที่ผิดพลาด ควรที่จะแก้ไขทันที โดยไม่สนใจ sunk cost

@@@@@@@@@


ในคนที่ใช้กระแสเงินสดอิสระเพื่อคำนวณมูลค่าหุ้นโดยหากระแสเงินสดอิสระแบบตรงตรงตามสูตรโดยที่ไม่ได้เข้าใจถึงโมเดลของบริษัทอาจทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนเป็นอย่างมากได้


นลท จำนวนไม่น้อย ใช้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานคำนวนหากระแสเงินสดอิสระ


พอกระแสเงินสดจากการดำเนินงานติดลบเอามาคำนวณก็จะกลายเป็นติดลบกันไปหมด


เนื่องจากกระแสเงินสดอิสระจะต้องหักออกด้วย งบลงทุนเพื่อการ บำรุงรักษาเครื่องจักรหรือ“สินทรัพย์เดิม” ให้มีสภาพที่สามารถใช้งานเพื่อผลิตกระแสเงินสดได้  (ไม่รวมงบเพื่อการลงทุนใหม่เพิ่มเติม)


แต่ในบางธุรกิจงบลงทุนเพื่อรักษาทรัพย์สินเดิมอาจจะไปปะปนอยู่กับงบลงทุนใหม่แบบแยกไม่ออก 


เมื่อธุรกิจกำลังอยู่ในช่วงขยายตัวซึ่งต้องขยายขยายการลงทุนใหม่  ทำให้กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ติดลบ


เพราะ กระแสเงินสดจากการดำเนินงานจะถูกหักลบ ด้วยค่าใช้จ่ายต่างๆทั้งหมดที่เป็นเงินสด รวมถึงเงินลงทุนเพื่อการขยายงานด้วย (ไม่ใช่เฉพาะงบเพื่อการ maintain ทรัพย์สินเดิมเท่านั้น)


และนี่แหละคือจุดบอดที่นักลงทุนส่วนมากหาไม่เจอ 


ตัวอย่างเช่นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หากอยู่ในช่วงขยายตัวจะเปิดโครงการใหม่เพิ่มขึ้นมากทำให้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานติดลบ และอาจส่งผลให้กระแสเงินสดอิสระติดลบจากการคำนวณที่ผิดพลาดได้ (เพราะนักลงทุนจำนวนมากใช้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นตัวตั้งต้นในการหากระแสเงินสดอิสระ)


ซึ่งตามหลักแล้ว ในบริษัทที่มีผู้บริหารที่เชี่ยวชาญจะรู้ว่าควรขยายโครงการเพิ่มในช่วงไหน เพื่อรองรับอนาคตช่วงถัดไป เนื่องจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต้องใช้เวลาระยะเวลาดังนั้นผู้บริหารจึงต้องมีการคาดการณ์ล่วงหน้า โดยที่ในปัจจุบันเศรษฐกิจอาจยังไม่ได้ดีมากแต่เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวในอนาคต เมื่อเศรษฐกิจเศรษฐกิจปัจจุบันไม่ได้ดีมากกระแสเงินสดปัจจุบันอาจจะไม่ได้มากแต่มีความจำเป็นต้องขยายโครงการเพื่อรองรับอนาคตนี่คือที่มาของกระแสเงินสดจากการดำเนินงานติดลบได้ ซึ่งมันจะส่งผลในช่วงถัดไปเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวโครงการพร้อมเสิร์ฟให้ลูกค้ากระแสเงินสดจะหลั่งไหลเข้ามาอย่างท่วมท้น

@@@@@

เวลาเห็นหุ้น IPO ที่มีรายชื่อเซียนเทรดหุ้นชื่อดัง ควรจะหลีกหนี ไม่ใช่เข้าหา เพราะ เซียนเทรดหุ้นที่ชื่อดังและพอร์ตใหญ่ คือการการันตีแล้ว ว่าเขากินเงินรายย่อยมามากแค่ไหน ดังนั้นควรจะเล่นคนละเวทีกับเค้า หรือ ถ้าบนเวทีเดียวกันต้องมั่นใจว่ามีต้นทุนที่ถูกกว่าเท่านั้น (เทรดไม่ใช่ลงทุน)


เทรดเดอร์หลายคนพอเห็น เซียนเทรดหุ้นชื่อดังมีหุ้นตัวไหนก็กระโดดเข้าตาม โดยไม่สนใจเลยว่าต้นทุนของเขาคือเท่าไหร่และของตนเองคือเท่าไหร่


เซียนเทรดไม่ใช่นักลงทุน

เซียนเทรดพอร์ตใหญ่ได้เพราะ "กินเงินรายย่อย" เป็นหลัก


ส่วนนักลงทุนจะเติบโตตามธุรกิจที่เติบโตเป็นหลัก


รายย่อยที่จะโดนเซียนเทรดกินเงินได้  คือ รายย่อยที่เล่นบนเวทีเดียวกับเขาเท่านั้น (ซื้อหุ้นตัวเดียวกับเขา และต้นทุนในมือแพงกว่าเขา) 


ถ้ารายย่อยเล่นคนละเวทีหรือมีต้นทุนถูกกว่า เซียนเทรดหุ้นจะกินเงินรายย่อยไม่ได้


เทรดเดอร์รายย่อยต้องปรับมุมมองใหม่ ต้องปรับการตีความข่าวให้ถูกต้อง 


จากหุ้นที่มีเซียนเทรดชื่อดังถือแล้วน่าคิดว่าสนใจ  เป็น หุ้นตัวไหนที่มีเซียนเทรดชื่อดังถือ ให้ระวังให้มากเป็นพิเศษ


@@@@@@


หนึ่งในข้อผิดพลาดที่นักลงทุนจำนวนไม่น้อยมักจะทำผิด คือการคิดว่าหุ้นวัฏจักรคือหุ้น growth แล้วซื้อในช่วงที่ดีของธุรกิจเพื่อลงทุนระยะยาว







@@@@@@@


ชอบมีคนถามว่า มีหุ้นดีแนะนำบ้างไหม


เรามักไม่ตอบ เพราะคำว่าหุ้นดีของคนทั่วไป มักหมายถึง ซื้อแล้วราคาวิ่งขึ้น


แต่หุ้นดีของเราคือธุรกิจดีโดยที่ราคาอาจไม่ไปไหนได้เป็นปีๆ ดังนั้นคำตอบของเรา กับที่คนส่วนมากคาดหวังมักไม่ตรงกัน 


ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้ คือ ไม่ตอบดีกว่า ขี้เกียจอธิบายเยอะ

@@@@@@


ถ้าคุณยอมซื้อหุ้นพีอีมากกว่า 40เท่า ไม่ว่ามันจะเติบโตแค่ไหน 


สุดท้ายแล้ว การซื้อของคุณจะทำให้คนที่มีหุ้นอยู่ก่อนรวยจากการซื้อของคุณ แต่คุณไม่รวยจากการซื้อของคุณ


ปล. หลักการนี้ใช้ไม่ได้กับหุ้นวัฎจักร และหุ้นเทิร์นอะราวด์



*******



เนื่องจากมีคนถามถึงมุมมองของการเติบโตของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 


จุดเด่นของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


- ต้นทุนเงินทุนต่ำกว่าบริษัทอสังหาที่อยู่นอก ตลท


- ทำโครงการได้จำนวนมากมากกว่าส่งผลให้มีความประหยัดต่อขนาดมากกว่าทั้งในด้านของการออกแบบ แล้วใช้ต่อจำนวนยูนิตที่มากกว่า ทั้งวัตถุดิบต่างๆ ที่สั่งในปริมาณมากและได้ราคาที่ถูกกว่า ยังรวมไปถึงประหยัดค่าใช้จ่ายในด้านการขาย เมื่อเทียบจำนวนเซลล์ต่อยอดยูนิตรวม


- เซลล์เก่งๆก็อยากที่จะอยู่กับบริษัทใหญ่มากกว่าเนื่องจากมีสวัสดิการและโบนัสที่สูงกว่า ที่ดึงดูดกว่า


- ในแง่ความเชื่อมั่นที่ลูกค้ามีให้ต่อโครงการ บริษัทใหญ่ก็มีความได้เปรียบกว่า


- ลูกค้ากู้กับธนาคารเพื่อซื้อโครงการจากบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ธนาคารก็ปล่อยกู้ได้ง่ายกว่า 


หากดูจากมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยทั้งประเทศของปี 2565 มีจำนวน 1,065,000 ล้านบาท


ในขณะที่รายได้ของ 16 บริษัท พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีรายได้ปี 2565 รวมเพียง 309,700 ล้านบาทเท่านั้น คิดเป็นประมาณ 30% ของมูลค่าการโอนอสังหาทั้งประเทศ 


และหากมองเข้าไปในราย บริษัทก็จะเห็นว่าอันดับหนึ่งคือเอพีมีรายได้เพียง 49,000 ล้านบาทเท่านั้นเมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดรวมที่มีสูงถึง หนึ่งล้านล้านบาท 


ดังนั้นการกินมาร์เก็ตแชร์เพื่อเติบโตนั้น ยังสามารถทำได้ต่อเนื่องอีกยาวนาน โดยอาศัยจุดเด่นดังที่กล่าวมาแล้ว


หมายคนอาจไม่ทราบบริษัทพัฒนาอสังหาแม้จะพัฒนาโครงการ ที่อยู่อาศัยมือหนึ่งแต่ก็มีบริษัทลูกที่ทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนบ้านมือสองด้วย รวมถึงหลายบริษัทก็มีการตั้งบริษัทลูกเพื่อทำนิติบุคคลเพื่อดูแลโครงการของหมู่บ้านหรือคอนโดด้วย


ซึ่งการลงทุนในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์นั้นส่วนตัวก็ชอบที่จะลงทุนในบริษัทใหญ่ ที่อยู่ใน 5-10 อันดับแรกของตลท ซึ่งบริษัทจะมีความได้เปรียบมีจุดเด่นอย่างครบถ้วนในทุกๆด้าน






********

ความรู้ในหนังสือแต่ละเล่มไม่ใช่ว่าอ่านแล้วจะสามารถเข้าใจมันได้อย่างลึกซึ้งภายในครั้งเดียว 

โดยมากจะต้องอ่านซ้ำหรือจำได้เมื่อเจอเหตุการณ์ที่ประจวบเหมาะแล้วนึกถึงบางประโยคในหนังสือบางข้อความในหนังสือ หรือบางครั้งเกิดจากการประสานความรู้จากหนังสือหลายเล่มที่นำมาต่อยอดกัน 

ดังนั้นการอ่านให้มากเข้าไว้ย่อมได้เปรียบในการที่จะนำข้อมูลความรู้ที่หลากหลายมาสอนประสานกัน

แต่ทั้งนี้ต้องเป็นหนังสือที่ดีให้ความรู้อย่างถูกต้องด้วย

*****

อาชีพนักลงทุน เป็นอาชีพที่จะค่อยๆปรับมุมมองของตัวคุณ ให้ระแวดระวังความเสี่ยงมากขึ้น  มองสิ่งรอบตัวอย่างสงสัยมากขึ้น คิดมากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับตัวคุณเองในอดีต


และเมื่อถึงจุดหนึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับคนส่วนมากโดยรวมแล้ว  คุณจะรู้สึกถึงความแตกต่าง ในด้านมุมมองของความเสี่ยง อย่างเห็นได้ชัด


*****


นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่ดูออกว่าผู้บริหารคนไหนที่เข้าตลาดเพื่อจะมาโกง เพื่อจะมา กวาดเอาเงินจากผู้ถือหุ้นรายย่อย 


แต่ก็อดเข้าไปร่วมวงไม่ได้เพราะราคาตลาดที่มันกระชากขึ้นกระชากลงมันดึงดูดใจ 


สุดท้ายก็กลายเป็นเป็นแมงเม่า บินเข้ากองไฟ