จริงๆแล้วในการลงทุนนั้นนักลงทุนต้องการหุ้นหลักสำหรับพอร์ตเพียงตัวเดียวเท่านั้น ที่เลือกถูกตัว ที่คุณภาพดี มันสามารถทำให้พอร์ตเติบโตพุ่งทะยานได้นานหลายปี ไม่ได้ต้องการหุ้นจำนวนมากมายเลย
แต่ที่จำเป็นต้องมีการซื้อหุ้น เข้าพอร์ตเพิ่ม 5-10 ตัว เกิดจากความไม่มั่นใจในการคัดเลือกหุ้น หรือแม้แต่มั่นใจแล้วแต่ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันในอนาคตหรือไม่ ทำให้ต้องมีการกระจายความเสี่ยงในการซื้อหุ้นออกไปบ้าง
แต่อย่าลืมหัวใจหลักคือต้องการหุ้นที่โดดเด่นสุดสุดเพียงตัวเดียวและถืออย่างมีนัยยะ มีน้ำหนักต่อพอร์ตให้มากที่สุด
*****
เคยลงทุนในบริษัทประกัน ทำให้รู้คีย์พอยท์สำคัญในการทำธุรกิจ ทำให้เรารู้ว่า บ.ประกันสร้างรายได้จากเบี้ยประกันที่รับมาอย่างไร แน่นอนทำให้รู้ช่วงผลตอบแทนที่ บ.หาได้ ซึ่งต้องมาหักด้วยคชจ ต่างๆ และค่าใช้จ่ายที่สำคัญก็คือเงินเคลมประกันของผู้เอาประกันภัย
มันหมายความว่าผลตอบแทนตามสัญญาที่จะให้กับผู้เอาประกันภัยนั้นจะต้องไม่มากไปกว่าผลตอบแทนที่บริษัทหาได้จากเบี้ยประกัน ไม่งั้นแผนประกันนั้นจะเป็นแผนที่ขาดทุน
ซึ่งนั่นก็บอกเป็นนัยยะว่าผู้ซื้อประกันโดยรวมแล้วจะได้ผลตอบแทนค่าเฉลี่ยไม่เกินเท่าไหร่
ซึ่งผลตอบแทนที่บริษัทประกันหาได้จากเบี้ยประกันมักจะไม่ได้สูงมาก เพราะ ต้องนำไปลงทุนในพันธบัตรต่างๆตามกฎเกณฑ์ และส่วนที่เหลือก็ต้องนำไปลงทุนในสิ่งที่มีความมั่นคงค่อนข้างสูงซึ่งแน่นอนว่าผลตอบแทนก็จะต่ำลง
สรุปง่ายๆคือ ผลตอบแทน “จากเบี้ยประกัน” ก่อนหัก คชจ ต่างๆที่ บริษัทหาได้มักอยู่ในช่วง 5-6% ไม่เกินนี้ และค่าใช้จ่ายการเคลมเฉลี่ยของภาพรวมมักอยู่ในช่วง 35-45%
ดังนั้นผลตอบแทนตลอดอายุสัญญาของภาพรวมเฉลี่ย ของคนซื้อประกัน จะอยู่ประมาณ 2.2% ต่อปี บวกลบกว่านี้ไม่มาก
แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ควรซื้อประกันเลย เพราะการซื้อประกันเปรียบเสมือนมีเงินก้อนมาสำรองยามเจ็บป่วย แต่ด้วยเหตุผลที่ผลตอบแทนที่ต่ำมากจึงไม่ควรซื้อมากเกินไป
และในคนที่คิดว่า เงินสำรองมากเพียงพอในยามเจ็บป่วย ก็อาจประกันตัวเอง โดยไม่ซื้อประกันได้
คำว่าเงินสำรองเพียงพอนั้นหมายถึงต้องเป็นเงินก้อนที่มากพอสมควร ซึ่งหากเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาดก็จะไม่เก็บเงินเงินก้อนใหญ่ขนาดนั้นเอาไว้โดยไม่ลงทุน และเมื่อนำไปลงทุนก็ทำให้มีเงินก้อนสำรองไม่เพียงพอ จึงทำให้การซื้อประกันเป็นสิ่งจำเป็นอยู่ดี
แค่ซื้อให้เหมาะสมและอย่ามากเกินไปเท่านั้นเอง
ตัวเลขที่คำนวนเป็นตัวเลขจากประสบการณ์ส่วนตัวที่พบเจอมาเท่านั้น ในแต่ละบริษัทอาจมีความแตกต่างคลาดเคลื่อนจากนี้ได้
@@@@@
บริษัทที่แต่งงบการเงินและไซฟ่อนเงินของบริษัทออกไป มักจะแสดงในงบกำไรขาดทุนว่ามีกำไรดูดีอยู่ (เพราะมันเป็นการแต่งงบบัญชีให้ดูดี)
แต่เวลาเก็บเงินจริงจะมีปัญหาเก็บไม่ได้หรือเงินหายไปจากบริษัทจากการใช้จ่ายบางอย่าง
ดังนั้นจุดสังเกต ดูว่ามีลูกหนี้โป่งพองหรือไม่ ลูกหนี้เพิ่มขึ้นสะสมอย่างมีนัยยะ และค้างชำระมากขึ้นนานขึ้น
วงจรเงินสดยาวนานขึ้นผิดปกติ
มีค่าใช้จ่ายที่เป็นก้อนผิดปกติ และสุดท้ายบันทึกขาดทุนจากค่าใช้จ่ายก้อนนั้น
เช่น ไปวางมัดจำซื้อสินค้า โดยวางมัดจำเป็นจำนวนมาก แล้วยกเลิกโดนยึดมัดจำ (จริงๆแล้วอาจจะเป็นการไซฟ่อนเงินออกจากบริษัทก็ได้)
ส่วนการดูกระแสเงินสดจากการดำเนินงานนั้นหากจะดูว่าแค่เป็นบวกหรือติดลบแล้วตัดสินเลยทันทีนั้นอาจจะผิดพลาดได้
เพราะบริษัทที่มีการลงทุนใหม่เพิ่มเติมเป็นจำนวนมากเพื่อความก้าวหน้าในอนาคตของบริษัทอย่างจริงจัง ก็อาจจะมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ติดลบได้เป็นเรื่องปกติ
@@@@@
หลายคนอาจไม่ทราบ
งบกำไรขาดทุน จะแสดงเป็น “ช่วงเวลา” เช่น งบไตรมาส จะแสดง รายได้รวมของรอบบัญชี 3 เดือนหรือ งบ 9 เดือนจะแสดง รายได้รวมตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา
แต่ งบดุล จะแสดงฐานะการเงิน ณ เวลาตามงบเท่านั้น เช่น งบดุล ณ สิ้นสุดไตรมาส 2 จะแสดงทรัพย์สิน ณ 30 มิถุนายน (ยกเว้นจะกำหนดให้การสิ้นสุดไตรมาสสองเป็นเวลาอื่น)
คือ เป็นการแสดงฐานะ ณ “จุดของเวลา” ไม่ใช่ช่วงเวลา
ในขณะที่งบกระแสเงินสด จะแสดงการเปลี่ยนแปลงของกระแสเงินสดเข้าออกกิจการตั้งแต่ จุดเริ่มต้นของงบปีถึงสิ้นสุดไตรมาสที่งบออก เช่น ถ้าเป็น “งบของไตรมาสาม” ค่าเสื่อมจะเป็นตัวเลขรวมยอดค่าเสื่อม ตั้งแต่ 1 มค ถึง 30 กย (คือ ไม่ได้แสดงเป็นรายไตรมาสเหมือนงบกำไรขาดทุน)
@@@@@@@@@
Player ในตลาดหุ้น ส่วนมากรู้ข้อมูลแทบทุกอย่าง ไม่ว่า บริษัทมียอดขายเท่าไร กำไรเท่าไร พีอีเท่าไร ปันผลเท่าไร ใครคือผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัททำธุรกิจอะไร ราคาหุ้นปัจจุบันเป็นเท่าไร
แต่สิ่งเดียวที่เขาไม่รู้คือ ตัวเองต้องการผลตอบแทนขั้นต่ำจากการดำเนินธุรกิจของบริษัทเท่าไร
@@@@@@@@@
บริษัทขายสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างแม็คโคร โอกาสในการเติบโตต่อปีในภาวะปกติในสายตาเรามองว่า โดยเฉลี่ยไม่น่าจะเกินปีละ 8% ได้
ต่อให้เป็นบริษัทที่มั่นคงขนาดไหนก็ตาม ถ้าการเติบโตในระดับนี้ค่าพีอีในสายตาเราเต็มที่ก็ไม่ควรเกิน 18 เท่า
(ถ้าการเติบโตขนาดนี้ แล้วจะเล่นพีอีสูงกว่านี้ หาหุ้นตัวอื่นลงทุนจะดีกว่าไหม)
ราคาหุ้นเมื่อวานนี้ 25.50 บาทถ้าที่ พีอี 18 เท่า หมายถึงต้องการกำไรต่อหุ้นที่ประมาณ 1.41 บาท (เก้าเดือนแรกของปีนี้กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 0.51 บาท)
เราเลยไม่ได้สนใจหุ้นตัวนี้
ส่วนบทวิเคราะห์ที่เชียร์ให้คุณไปเล่นที่พีอี 30 เท่า 35 เท่าหรือแม้แต่ 40 เท่า เขามีสิทธิ์เชียร์
และคุณก็มีสิทธิ์ลงทุนเพราะนั่นมันเงินของคุณ แต่จำไว้อย่างเวลาขาดทุน คนเชียร์ไม่ได้มาขาดทุนกับคุณด้วย
@@@@@@@@
- ความต้องการที่จะซื้อหลักทรัพย์ต่างๆหดหาย
- ราคาทรัพย์สินส่วนใหญ่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
- มีการผิดนัดชำระหนี้มากขึ้น
-สถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการปล่อยกู้
- คนส่วนใหญ่ในตลาดมองในแง่ร้าย
-เศรษฐกิจชะลอตัวตัวเลขเศรษฐกิจรายงานแย่ลง
- ตลาดหุ้นดำดิ่ง
- นักลงทุนรู้สึกหดหู่
- มีแต่ความกลัวเข้าครอบงำตลาดหุ้น
- Seller มีจำนวนมากกว่า Buyer
- ราคาหุ้นทำจุดต่ำสุดใหม่อยู่เรื่อยเรื่อย
- คนที่ขายไปก่อนหน้า รู้สึกว่าตัวเองคิดถูก
นี่คือช่วงเวลาแห่งโอกาส
**********
หุ้นดีๆตัวเดียวกัน บางคนซื้อ แล้วมีกำไรมากมาย ในขณะที่บางคนซื้อแล้วขาดทุนมหาศาล สิ่งเดียวที่แตกต่าง คือ “ราคาที่ซื้อ”
ราคาซื้อเป็นตัวกำหนด การทำกำไร หรือ การขาดทุนของคุณ
ถ้าคุณซื้อหุ้นตามเสียงเชียร์ โดยที่ไม่รู้มูลค่า คุณก็เตรียมตัวขาดทุนได้เลย
*******
ตลาดหมีที่ยืดเยื้อ มันจะยืดเยื้อจนกว่า ผู้มีส่วนร่วมส่วนใหญ่จะเบื่อหน่าย ยอมแพ้และถอยออกจากตลาด
ยิ่งผู้มีส่วนร่วมมีความอดทนสูงมากขึ้นเท่าไหร่ ตลาดหมีก็จะยิ่งยืดเยื้อยาวนานและรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น
*******
สิ่งที่มือใหม่คาดหวังก็คือ ถ้ารู้หลักการลงทุนแล้วจะสามารถทำกำไรได้ทันที
สิ่งที่มือใหม่ไม่รู้ก็คือ ถ้าทำตามหลักการลงทุนที่ถูกต้องแล้วก็ยังสามารถขาดทุนได้เป็นปีๆ
@@@@@@@@@
ข้อดีของการลงทุนระยะยาว (ที่ไม่ใช่การเล่นรอบ ไม่ใช่การเก็งกำไรรายไตรมาส)
- ไม่ต้องแข่งขันกับ Trader ทั้งหลาย ไม่ว่าจะ Day trade , Scalping trade , Momentum trade หรือแม้แต่ Inside trader
- ไม่ต้องแข่งขันกับ Program trading , Algorithms trade , Bot ต่างๆ
แต่การลงทุนระยะยาวคุณต้องมีสายตาแหลมคมพอที่จะมองทะลุ โมเดลการทำธุรกิจ , นิสัย ผบห , งบการเงิน ปรเเมินมูลค่าของบริษัทเป็น รวมถึงต้องมีจิตใจที่มั่นคงในการลงทุนเพียงพอ
@@@@@@@
เวลาเห็นขาใหญ่โพสอวดว่าเข้าหุ้นตัวไหน อย่าลืมคิดว่าเป็นกี่ % ของพอร์ต
ขาใหญ่เค้าจะจำกัดความเสี่ยงหุ้นบางตัวไม่ได้ชัวร์มากนักเค้าซื้อเข้าไป 8 หลัก อาจเป็นแค่ 1% ของพอร์ต
รายย่อยไม่รู้เรื่องซื้อตามอัดเข้าไป 50% ของพอร์ต
เวลาหมดรอบ ความพังไม่เท่ากันนะครับ
รายย่อยเทออกหมดพอร์ตราคาหุ้นก็ไม่พัง แต่ถ้าขาใหญ่ออกทีเดียว ราคาหุ้นก็พัง
จะเห็นได้ว่าคนกำหนดราคาหุ้นไม่ใช่รายย่อยแน่นอน
แต่ความพังรายย่อยรับไปเต็มเต็มแน่นอน และเวลาพังแล้ว อย่าไปโทษขาใหญ่นะครับ เพราะเขาไม่ได้บังคับให้คุณซื้อตาม
คุณเลือกที่จะตามเอง ต้องรับผิดชอบตัวเอง
@@@@@@
นักลงทุนไม่น้อย ลงเข้าใจผิด คิดว่าหุ้นวัฏจักร เป็นหุ้นที่สามารถลงทุนระยะยาวได้ โดยมักจะเข้าใจผิดในช่วงที่บริษัททำกำไรได้สูงที่สุด ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาหุ้นก็จะสูงที่สุดด้วย แล้วทำการสะสมหุ้นวัธจักรเพื่อที่จะถือยาว
มันคือการหลงผิดบนช่วงที่ดีของหุ้นวัฏจักรว่าเป็นหุ้นเติบโต
บางครั้งเรารู้เราเห็น ว่ามีคนกำลังสะสม เราเตือนตรงตรงไม่ได้ พูดมากไปก็จะโดนคนเกลียดเอาซะเปล่าเปล่า เราได้แต่พยามเตือนทางอ้อม
ว่าให้ระวังอย่าสะสมหุ้นวัฏจักรในช่วงที่ธุรกิจกำลังไปได้ด้วยดีโดยหลงคิดว่าเป็นหุ้นเติบโต
แต่เหมือนคำเตือนจะไม่เป็นที่เข้าใจ
แต่ไม่เป็นไรสุดท้ายก็คงจะเอาตัวรอดได้ และก็จะเป็นคนเก่งที่มีประสบการณ์มากขึ้น อาจจะเสียเวลามากอีกหน่อยในการเรียนรู้เท่านั้นเอง