วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2556

มุมมองต่อ Advanc

มุมมองส่วนตัวต่อ Advanc
ข้อดี
-ใบอนุญาต 3G 2100 มีระยะเวลา 15ปี ดังนั้นเหมือนเป็นหลักประกันอย่างนึง ว่า บ.ยังคงอยู่อีกอย่างน้อย 15ปี
-advanc เป็นหุ้นที่มีการเติบโตของกำไรสุทธิมากกว่าเงินเฟ้อ
-กระแสเงินสดของ บ.ค่อนข้างดีแม้จะต้องลงทุนหนักก็ตาม
-มีอัตราปันผลที่พอสมควร เมื่อเทียบกับราคาหุ้น
-งบการเงินแข็งแกร่ง ROE ROA อยู่ในอัตราที่ดี D/E อยู่ในระดับที่เหมาะสม
-การเติบโตของรายได้ยังมีอยู่จาก Mobile Data และแนวโน้มการใช้ Mobile Data ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
-ด้วยเทคโนโลยีที่ดีขึ้นครอบคลุมมากขึ้นเรื่อยๆ และอาจมี 4G มาเสริมในอนาคต ทำให้อาจมีกลุ่มลูกค้าย้ายการใช้งานด้าน DATA ทดแทนการใช้ DATA ผ่านดาวเทียม
-รายได้เสริมที่อาจคาดหวังในอนาคต รอดูความเป็นไปได้จากการให้บริการ แอพพลิเคชั่นต่างๆ
-รายได้คาดหวังจากการเปิด AEC เนื่อจากคนเดินทางไปมาสะดวกขึ้น การติดต่อกลับประเทศตัวเอง ย่อมมีมากขึ้น การ Roaming ทั้ง Voice และ DATA จึงเป็นสิ่งที่ถูกคาดหวัง ว่าจะเป็นรายได้เสริมเข้ามาอีกทางหลังเปิด AEC
-ด้านค่าใช้จ่ายต่างๆ ในอนาคตมีแนวโน้มจะลดลง
-ค่าเสื่อมต่างๆ ที่ปัจจุบันยังทับซ้อนกันของ โครงข่าย GSM900 และ 3G 2100 ซึ่งค่าเสื่อมของ GSM900 จะหมดไปใน กย 2015
-โครงข่ายที่สร้างขึ้นและเป็นทรัพย์สินของ บ. เมื่อหักค่าเสื่อมหมดแล้ว บางส่วนยังสามารถใช้งานต่อได้อีกนาน โดยมีการซ่อมบำรุงบ้าง (ส่วนที่เป็นอุปรณ์อิเลกทรอนิค และ Software จะต้องเปลี่ยนเมื่อถึงอายุ หรือเมื่อล้าสมัย)

ข้อเสีย
-มี "โอกาส" ที่จะเกิดการแข่งขันด้านราคา เหมือนที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ แต่ทั้งนี้ เงื่อนไขและองค์ประกอบหลายอย่างแตกต่างกันพอสมควร
-จำนวนซิมทั้งประเทศ มากกว่าจำนวนประชากรทั้งประเทศ แสดงว่าการเติบโตจากการเพิ่มยอดซิม มีอย่างจำกัดมาก
-4G ยังต้องรอการประมูล ซึ่งอาจล่าช้ากว่าที่คาด จากเหตุการทางการเมือง
-ยอดการใช้ voice จะลดลงอย่างแน่นอน แต่จะใช้ data ทดแทน
-อาจมี คชจ ในการเช่าโครงข่าย 2G ในอนาคต
-เป็นหุ้นขนาดใหญ่ ที่ต่างชาติถือจำนวนมาก ดังนั้นหากเงินทุนเคลื่อนย้ายออกจากประเทศ ย่อมส่งผลต่อราคาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


ในรูปตั้งแต่ 4Q56 เป็นต้นไปเป็นการคาดการณ์นะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

กองทุนรวม TRUEGIF


กองทุนรวม TRUEGIF


  • ชื่อโครงการจัดการ (ไทย) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ทรูโกรท
  • บริษัทจัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จากัด
  • ผู้ดูแลผลประโยชน์ ธนาคารกสิกรไทย จากัด (มหาชน)


เป็นกองทุนรวมชนิดที่เสนอขายหน่วยลงทุนต่อผู้ลงทุนเป็นการทั่วไป
ประเภทไม่รับซื้อคืนหน่วยลงทุน ซึ่งบริษัทจัดการจะยื่นขอจดทะเบียน
หน่วยลงทุนเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

สิท ธิป ร ะ โ ย ช น์แ ล ะนโยบายการจ่ายเงินปันผลและการคืนเงินลงทุน
การจ่ายเงินแบ่งปันส่วนทุนให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถกระทำได้เป็นครั้งคราว
ในรูปของการจ่ายเงินปันผลและการคืนเงินลงทุนด้วยการลดทุนตามที่โครงการ
จัดการกองทุนและกฎหมายหลักทรัพย์ให้กระทาได้
   กองทุนมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนอย่างน้อยปีละสองครั้ง
ในกรณีที่กองทุนมีกำไรเพียงพอ โดยเมื่อรวมแล้วในแต่ละรอบปีบัญชี จ่ายใน
อัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของกาไรสุทธิที่ปรับปรุงแล้ว
กองทุนอาจจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน
จากกาไรสะสมได้ อย่างไรก็ตาม บริษัทจัดการจะไม่จ่ายเงินปันผลไม่ว่าจะเป็น
การจ่ายจากกำไรสุทธิที่ปรับปรุงข้างต้น หรือจากกาไรสะสมในกรณีที่กองทุนยังมี
ยอดขาดทุนสะสมอยู่

ความเสี่ยงของกองทุน อยู่ในระดับ 8 ซึ่งเป็นความเสี่ยงสูงสุดของกองทุนรวม


  • ทรัพย์สินที่ลงทุน 






  • กรรมสิทธิ์ในเสาโทรคมนาคมจานวน 6,000 เสา

    • และโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมประเภท Passive อื่นที่เกี่ยวข้องที่ใช้สาหรับการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่
    • เป็นทรัพย์สินเสาโทรคมนาคมส่วนเพิ่มซึ่งทรูจะส่งมอบหรือดาเนินการให้มีการส่งมอบเสาโทรคมนาคมจานวน
    • 3,000 เสา ภายในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2557 และ เสาโทรคมนาคมจานวน 3,000 เสา ภายในวันที่ 31
    • ธันวาคม พ.ศ. 5228 (ข) กรรมสิทธิ์ในระบบใยแก้วนาแสงหลัก (core fiber optic cable grid) และอุปกรณ์ระบบ
    • สื่อสัญญาณที่เกี่ยวข้อง และระบบบรอดแบนด์ในเขตพื้นที่ต่างจังหวัด





  • สิทธิในการรับประโยชน์จากรายได้สุทธิที่เกิดขึ้นจากการให้เช่าทรัพย์สินโทรคมนาคมบางประเภท



  • คาดว่า กสท. โทรคมนาคม จะยังคงใช้ทรัพย์สิน
    โทรคมนาคมที่มีการขายรายได้สุทธิที่เกิดจากการให้เช่า ให้แก่กองทุนต่อไปจนกว่าสัญญาเช่าเครื่องและอุปกรณ์HSPA จะสิ้นสุด

    ทั้งนี้ กองทุนจะไม่มีสิทธิในรายได้ใด ๆ ที่จะเกิดจากการให้บริการดาเนินงานและการบารุงรักษาโดย BFKT ตามสัญญาเช่าเครื่องและอุปกรณ์ HSPA ในส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์สินโทรคมนาคมของ BFKT และเสาโทรคมนาคมของ AWC และกองทุนจะไม่มีสิทธิในรายได้ใด ๆ ที่เกิดจากการให้เช่าโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมประเภท Active อันรวมถึง Node B ซึ่งใช้ในการให้บริการ 3G ของ กสท. โทรคมนาคม บนคลื่นความถี่ในย่านความถี่ 820 MHz ยกเว้นอุปกรณ์ระบบสื่อสัญญาณ



    ตามสัญญาโอนขายทรัพย์สินและสิทธิรายได้ที่กองทุนจะเข้าทากับ BFKT นั้น BFKT จะให้สิทธิแก่
    กองทุนในการซื้อ (call option) เสาโทรคมนาคมของ BFKT จานวน 1,432 เสา กองทุนไม่สามารถรับรองได้ว่ากองทุนจะได้ใช้สิทธิในการซื้อ (call option) ทรัพย์สินโทรคมนาคมของ BFKT อย่างแน่นอน

    กองทุนจะมีสิทธิในการรับ
    รายได้สุทธิจากเสาโทรคมนาคมกว่า 5,845 เสา และกองทุนจะซื้อทรัพย์สินเสาโทรคมนาคมส่วนเพิ่มซึ่งประกอบด้วยเสาโทรคมนาคมอีกจานวน 6,000 เสา ทาให้กองทรัพย์สินเสาโทรคมนาคมของกองทุน (ทั้งที่เป็นกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินและสิทธิในการรับประโยชน์จากรายได้สุทธิ) จะเพิ่มขึ้นเป็น 11,845 เสาภายในสิ้นปี พ.ศ.2558

    โดย Analysys Mason
    ประมาณการว่าผู้ใช้บริการข้อมูลเคลื่อนที่จะเติบโตขึ้นในอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ร้อยละ 46 ตั้งแต่ปี พ.ศ.2556 ถึงปี พ.ศ. 2560 และจานวนการรับส่งข้อมูลผ่านโครงข่ายทั้งหมดจะเติบโตขึ้นในอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ร้อยละ 23 ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน

    กองทุนจะมีสิทธิได้รับค่าเช่าจากผู้เช่าและบริหารจัดการหลักบนเสาโทรคมนาคมส่วนเพิ่มที่เป็น
    กรรมสิทธิ์ของกองทุน โดยกาหนดระยะเวลาผูกพันถึงปี พ.ศ. 2570 ภายใต้สัญญาเช่า ดาเนินการและบริหารจัดการหลักกับเรียลฟิวเจอร์ โดยมีอัตราค่าเช่าตั้งต้นที่คงที่ซึ่งจะมีการปรับเพิ่มขึ้นเป็นรายปีโดยเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 ในอัตราคงที่ซึ่งจะสะท้อนถึงแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น
    ทั้งนี้ อัตราค่าเช่าที่ปรับขึ้นจริงนั้นอาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ก็ได้

    จานวนเสาโทรคมนาคมเริ่มต้นทั้งสิ้น 5,845 เสา ที่กองทุนจะมีสิทธิในรายได้สุทธิแบ่งเป็น เสา
    โทรคมนาคมของ BFKT จานวน 1,482 เสา และเสาโทรคมนาคมของ AWC จานวน 4,360 เสา 
    เสาโทรคมนาคมส่วนนี้จะถูกนาออกให้เช่าโดย BFKT แก่ กสท. โทรคมนาคม แต่เพียงผู้เดียวตามระยะเวลาที่กาหนดไว้ในสัญญาเช่าเครื่องและอุปกรณ์ HSPA โดยค่าเช่าในส่วนที่เป็นเสาโทรคมนาคมของ BFKT จะเป็นค่าเช่าคงที่หลังหักค่าใช้จ่ายในอัตราเริ่มต้นที่ 19,565 บาทต่อเสาต่อเดือน ในปี พ.ศ. 5227 และ พ.ศ. 5228 และในส่วนที่เป็นเสาโทรคมนาคมของ AWC ในอัตราเริ่มต้นที่ 22,000 บาทต่อเสาต่อเดือน ในปี พ.ศ. 5227 และ พ.ศ. 5228

    นอกจากนี้ ทรูได้ตกลงที่จะส่งมอบหรือดาเนินการให้มีการส่งมอบเสาโทรคมนาคมเพิ่มเติมให้แก่กองทุนจานวน6,000 เสา ซึ่ง เสาโทรคมนาคม 3,000 เสาในจานวนนั้นจะส่งมอบให้แก่กองทุนภายในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2557 และเสาโทรคมนาคมที่เหลือ 3,000 เสาจะส่งมอบให้แก่กองทุนภายในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ทั้งนี้เรียลฟิวเจอร์ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มทรูที่ได้ใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ในย่านความถี่ 2100 MHz จะเป็นผู้เช่าและบริหารจัดการหลักสาหรับทรัพย์สินเสาโทรคมนาคมส่วนเพิ่มจานวน 6,000 เสานี้ และตกลงที่จะเช่าพื้นที่ (slots)บนเสาเพิ่มเติม โดยเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 รวมทั้งสิ้น 15,249 พื้นที่ (slots) บนเสาโทรคมนาคมเหล่านี้โดยประมาณ โดยคาดว่าภายในต้นปี พ.ศ. 2560 อัตราการใช้พื้นที่ (occupancy rate) โดยเฉลี่ยของทรัพย์สิน
    เสาโทรคมนาคมส่วนเพิ่มจานวน 6,000 เสานี้จะเท่ากับ 2.54 ต่อเสา โดยประมาณ เปรียบเทียบกับพื้นที่ที่ทรัพย์สินเสาโทรคมนาคมส่วนเพิ่มจะมีความสามารถในการรองรับโดยเฉลี่ยต่อเสาโทรคมนาคมที่ 3.76

    ทั้งนี้ กองทุนจะเป็นเจ้าของ หรือมีสิทธิในการรับประโยชน์จากรายได้ที่เกิดจากการให้เช่า เสาโทรคมนาคมรวม 11,842 เสา ซึ่งประกอบด้วยเสาที่ตั้งอยู่บนพื้นดินจานวน 9,088 เสา เสาที่ตั้งอยู่บนดาดฟ้าจานวน 5,522 เสา และ ระบบ Distributed Antenna System จานวน 205 เสา

    (คัดลอกข้อมูลบางส่วนจาก หนังสือชี้ชวน  หาอ่านฉบับเต็มได้จาก หนังสือชี้ชวน)


    -----------------------------------------------------------------------






    ความเห็นส่วนตัว
    เป็นกองทุนที่มีรายละเอียดปลีกย่อยเยอะมาก ทั้งทางเทคนิคการเงิน ข้อตกลงต่างๆ สัญญาต่างๆ
    ส่วนตัวคิดว่ากองทุนนี้ นลท รายย่อยไม่สามารถเข้าใจรายละเอียดได้ทั้งหมด ไม่เหมาะกับ นลท รายย่อย มีการใช้เครื่องมือทางการเงิน  call option ของสัญญาอีกด้วย

    จากที่อ่านเข้าใจว่า ทรัพย์สินหลักคือ เสาจำนวนไม่เกิน 12,000 ต้น
    รายได้คือค่าเช่า สูงสุด ได้ต้นละ 22,000 บ ต่อเดือน
    ลองคำนวนดู  12,000ต้น *22,000 บาทต่อเดือน *12เดือน = 3168M ต่อปี
    รายได้ก่อนหัก คชจ ต่อปีอยู่ที่ 3,168MB (เป็นกรณีสูงสุด เพราะค่าเช่าไม่ได้ที่ 22,000 บต่อเดือนทุกต้น และ จำนวนเสาไม่ใช่ 12,000 ต้น ตั้งแรกแรกเริ่ม เป็นการทยอยส่งมอบ)

    ลองดูด้านมูลค่ากองทุน คาดว่ามูลค่าจะประมาณ 58,080 ล้านบาท

    คำนวนหาผลตอบแทนกองทุนดูนะครับ    (แบบคร่าวๆนะครับ)
      (3,168/58,080)*100 = 5.45%  

    เป็นอย่างสูงคือเป็น กรณี Best case นะครับ อย่างที่บอก คำนวนจาก ค่าเช่าเดือนละ 22,000 บต่อเดือน และคำนวนจากจำนวนเสา 12,000 ต้น

    ได้ทราบมาว่า true จะถือหุ้นนกองนี้ประมาณ 18%
    ปกติที่ผมเจอมา บ.ที่ออกกองอสังหาต่างๆ จะถือหุ้นในกองประมาณ 25%-30% 
    ทำให้คิดว่าผลตอบแทนไม่จูงใจให้ บ.แม่ถือ ???


    --------------------------------------------------------------------


    การปรากฏข้อมูลรายละเอียดของร่างหนังสือชี้ชวนเสนอขายหน่วยลงทุน เวอร์ชั่นแรก ที่เกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ทรูโกรท (TRUEGIF) ผ่าน www.sec.or.th ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทำให้แนวโน้มความจริงที่จะจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเริ่มมีความชัดเจนยิ่งขึ้นโดยเฉพาะมีกระแสข่าวที่ระบุว่า ดีลการตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน โทรคมนาคม ทรูโกรท (TRUEGIF) ของ บมจ.ทรูคอร์ปอเรชั่น คาดกองทุน TRUEGIF จะเสนอขายหน่วยลงทุนในวันที่ 11-12 ธันวาคม 2556 นี้ โดยจะการทำ book building และขายในวันเดียวกันนอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องผลตอบแทนจากการลงทุนที่ คาดว่าจะอยู่ที่ 7.0-8.5% เพิ่มขึ้นจากเดิม เพราะได้รวมความเสี่ยงทางการเมืองเข้าไปด้วย ส่วนวงเงินการระดมทุนนั้น ขึ้นอยู่กับผลการสำรวจความต้องการจองซื้อ ของผู้ลงทุนสถาบัน ที่จะมีการกำหนดราคาเสนอขายเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ขึ้นหนังสือชี้ชวนการเสนอขายกองทุน TRUEGIF แล้ว แต่ยังไม่ได้ระบุถึงวงเงินจากการเสนอขายหน่วยลงทุนและช่วงเวลาการเสนอขายหน่วยลงทุนดังกล่าวกองทุนตั้งเป้าหมายจะมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด 6-8 หมื่นล้านบาท โดย TRUE จะถือหุ้น 18% ในกองทุนนี้ หลังจากนำกองทุนเข้าจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดย TRUEGIF จะเป็นกองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของไทย หลังการจดทะเบียนกองทุนมูลค่า 2.13 พันล้านดอลลาร์ ของ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง ในช่วงที่ผ่านมาโดยมี เครดิต สวิส และธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นผู้ประสานงานร่วมในการ เสนอขายกองทุน TRUEGIF ในระดับโลก และเป็นนายทะเบียน ร่วมกับแบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ และยูบีเอส ขณะที่สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด เป็นผู้นำการจัดจำหน่าย- เปิดร่างหนังสือชี้ชวน TRUEGIFสำหรับภาพรวมการลงทุนของกองทุนฯ ทรูโกรทนี้ จัดตั้งขึ้นเป็นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานซึ่งมีการจำหน่ายลงทุนให้แก่ผู้ลงทุนเป็นการทั่วไป ซึ่งเป็นช่องทางให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนให้ได้มีโอกาสลงทุนในทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมของกองทุน ซึ่งวัตถุประสงค์หลักของกองทุน คือการลงทุนในกิจการโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งมีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนเพื่อเป็นรายได้ให้แก่กองทุนเพื่อให้กองทุนสามารถจ่ายผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนได้ในระยะยาวบริษัทจัดการจะดำเนินการให้กองทุนนำเงินที่ได้จากการเสนอขายครั้งแรกไปลงทุนในทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ประกอบด้วย กรรมสิทธิ์ในเสาโทรคมนาคมจำนวน 6 พันเสา และโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมประเภท Passive อื่นที่เกี่ยวข้องที่ใช้สำหรับการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่เป็นทรัพย์สินเสาโทรคมนาคมส่วนเพิ่ม ซึ่งทรู จะส่งมอบหรือดำเนินการให้มีการส่งมอบเสาโทรคมนาคม จำนวน 3,000 เสา ภายในวันที่ 31 ธ.ค. 2557 และเสาโทรคมนาคมจำนวน 3,000 เสา ภายในวันที่ 31 ธ.ค. 2558นอกจากนี้ยังมีกรรมสิทธิ์ในระบบใยแก้วนำแสงหลัก (core fiber optic cable grid) และอุปกรณ์ระบบสื่อสัญญาณที่เกี่ยวข้อง และระบบบรอดแบรด์ในเขตพื้นที่ต่างจังหวัด รวมถึงสิทธิในการรับประโยชน์จากรายได้สิทธิที่เกิดขึ้น และรวมถึงวันเริ่มคำนวณรายได้จนถึงวันครบกำหนดสัญญา HSPA ที่เกิดจากการให้เช่าทรัพย์สินโทรคมนาคม ของบริษัท บีเอฟเคที (ประเทศไทย) หรือ BFKT และเสาโทรคมนาคมของบริษัท เอเชีย ไวร์เลส คอมมิวนิเคชั่น หรือ AWC ดังต่อไปนี้1.เสาโทรคมนาคมจำนวนหนึ่ง และโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมประเภท Passive อื่นที่เกี่ยวข้อง 2.ระบบใยแก้วนำแสงสำหรับจุดเด่นของกองทุน บริษัทจัดการมีวัตถุประสงค์หลักที่จะทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนได้รับเงินปันผลเพื่อการสร้างผลตอบแทน ในระยะยาว โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่ได้รับต่อการพัฒนาและเพิ่มคุณภาพของทรัพย์สินกิจการโครงสร้างพื้นฐานที่กองทุนรวมเข้าลงทุน โดยกองทุนมีจุดเด่นและมีกลยุทธ์การบริหารทรัพย์สินกิจการโครงสร้างพื้นฐานที่กองทุนรวมเข้าลงทุน ดังนี้1.การมีกองทรัพย์สินซึ่งประกอบไปด้วยเสาโทรคมนาคม และโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมอื่นๆ ทั้งที่เป็นกรรมสิทธิในทรัพย์สินและสิทธิในการรับประโยชน์จากรายได้สิทธิ จำนวนมาก และกระจายอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งกองทุนจะได้รับประโยชน์จากการที่เป็นผู้บุกเบิกในอุตสาหกรรม ซึ่งการเข้ามาในตลาดมีอุปสรรคอย่างมากเนื่องจากบริษัทจัดการเชื่อว่า กองทรัพย์สินอันประกอบด้วยทรัพย์สินที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมที่มีลักษณะเฉพาะของกองทุนจะเป็นหนึ่งในกองทรัพย์สินที่มีขนาดใหญ่และมีความหลากหลายที่สุดของประเทศไทย และทำให้กองทุนสามารถบริการโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมประเภท Passive ที่มีความครบถ้วนสมบูรณ์แก่ผู้เช่าและบริหารจัดการทรัพย์สินของกองทุนได้ ณ วันที่กองทุนลงทุน กองทุนจะมีสิทธิในการรับรายได้สุทธิจากเสาโทรคมนาคมอีก จำนวน 5,845 เสา และกองทุนจะซื้อทรัพย์สินเสาโทรคมนาคมส่วนเพิ่มซึ่งประกอบด้วยเสาโทรคมนาคม อีกจำนวน 6,000 เสา ทำให้กองทรัพย์สินเสาโทรคมนาคมของกองทุนทั้งที่เป็นกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินและสิทธิในการรับประโยชน์จากรายได้สิทธิ จะเพิ่มขึ้นเป็น 11,845 เสา ภายในสิ้นปี 2558 โดยเสาโทรคมนาคมของกองทุนจะตั้งอยู่ในทุก 77 จังหวัด ของประเทศไทย ซึ่งกองทรัพย์สินที่เป็นเสาโทรคมนาคมนี้จะทำให้กองทุนสามารถนำเสนอเสาโทรคมนาคม ที่ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ ให้แก่ผู้เช่าและบริหารจัดการทรัพย์สินของกองทุนและทำให้โครงข่ายของผู้เช่าและบริหารจัดการหลักของกองทุนสามารถครอบคลุมจำนวนประชากรมากกว่า 90% บนคลื่นความถี่ในย่านความถี่ 850MHz และ 2100MHz ได้ภายในอีกสามปีข้างหน้า2.กองทุนอยู่ในสถานะที่ดีที่จะได้รับประโยชน์จากการขยายโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วจากการเปลี่ยนไปใช้บริการระบบ 3G และ 4G LTE ในประเทศไทย3.การจำกัดความเสี่ยงจากการพึ่งพาการเติบโตของการใช้จ่ายของผู้บริโภคในประเทศไทย จากรายได้จากสัญญาระยะยาว และสิทธิในการได้รับรายได้สิทธิ ซึ่งเป็นฐานในการจัดสรรผลตอบแทนการลงทุนที่ต่อเนื่องให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนในระยะยาวและ 4.เสาโทรคมนาคมของกองทุนมีพื้นที่รองรับเพิ่มที่รองรับเพิ่มเติมจำนวนมาก และอยู่ในสถานที่ตั้งที่ดีที่จะเติบโตได้จากการเพิ่มการเช่าพื้นที่ร่วม ทำให้สามารถมีรูปแบบทางธุรกิจที่พร้อมเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และมีความสามารถในการรักษาระดับของต้นทุนในการดำเนินการ- โครงสร้างกองทุน TRUEGIFบมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น TRUE เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการเห็นชอบให้บริษัทฯ และ/หรือบริษัทย่อย เข้าทำธุรกรรมกับกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (กองทุน) ซึ่งอยู่ระหว่างการขออนุมัติจัดตั้งกองทุนกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยมูลค่าของสินทรัพย์ที่จะมีการจำหน่ายไปในธุรกรรมขายทรัพย์สินและรายได้และให้เช่าทรัพย์สินจะไม่ต่ำกว่า 70,000 ล้านบาท และมูลค่าของสินทรัพย์ที่จะมีการได้มาในธุรกรรมเช่ากลับและเช่า/เช่าช่วงจะไม่เกิน 55,000 ล้านบาท (ระยะเวลาการเช่าไม่เกิน 15 ปี)สำหรับธุรกรรมการขายทรัพย์สินและรายได้และให้เช่าทรัพย์สิน ได้แก่ (1) เสาโทรคมนาคม (ซึ่งรวมทั้งเสาที่ตั้งบนพื้นดินเสาที่ตั้งบนดาดฟ้าและโครงข่าย Distributed Antenna System) จำนวนประมาณ 13,000 เสา (2) โครงข่ายใยแก้วนำแสง (Fiber OpticCable, “FOC") อุปกรณ์ระบบสื่อสัญญาณ จำนวน 45,000 คอร์กิโลเมตร (core-km) และ 9,000 ลิ้งค์ และ (3) โครงข่ายบรอดแบนด์ในเขตพื้นที่ต่างจังหวัด มีจำนวน 1.2 ล้านพอร์ตรวมทั้งขายสิทธิรายได้ สิทธิในการรับประโยชน์จากรายได้ที่เกิดจากการให้เช่าอุปกรณ์ 3G HSPA (Node B และอุปกรณ์โครงข่ายหลัก) จำนวน 13,500 สถานีฐาน และให้เช่าทรัพย์สิน เสาโทรคมนาคม ไม่เกิน 100 เสาทั้งนี้ ทรัพย์สินที่ขายให้แก่กองทุนเป็นทรัพย์สินสำหรับกิจการโครงสร้างพื้นฐานซึ่งสามารถใช้ร่วมกันกับผู้ประกอบการรายอื่นได้ โดยบริษัทฯ และ/หรือบริษัทย่อยมีความตั้งใจจะเช่าทรัพย์สินที่ขายให้แก่กองทุนกลับมาเพื่อใช้ประโยชน์ ซึ่งมิใช่การเช่าทรัพย์สินทั้งหมดที่ขายให้แก่กองทุนแต่จะเช่ากลับมาเฉพาะส่วนที่บริษัทฯ และ/หรือบริษัทย่อยต้องการใช้ประโยชน์เท่านั้นสำหรับทรัพย์สินส่วนที่บริษัทฯ และ/หรือบริษัทย่อยยังมิได้ใช้ประโยชน์นั้น กองทุนสามารถนำไปหาประโยชน์โดยการให้ผู้ประกอบการรายอื่นเช่าได้ ซึ่งจะเป็นไปตามข้อกำหนด เงื่อนไขที่ระบุในสัญญาเช่าหลักและสัญญาอื่นที่เกี่ยวข้องซึ่งบริษัทฯ และ/หรือบริษัทย่อยและกองทุนจะได้ตกลงกันเพื่อเข้าทำสัญญาดังกล่าวต่อไปบริษัทฯจะนำเงินที่ได้จากการจำหน่ายทรัพย์สินรายได้ และ/หรือการให้เช่าทรัพย์สินไปชำระหนี้สินบางส่วนซึ่งรวมถึงเงินกู้ที่บริษัทฯ และ/หรือบริษัทย่อยกู้ยืมมาจากสถาบันการเงินซึ่งจะช่วยปรับโครงสร้างเงินทุนของบริษัทฯให้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญอันจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการลงทุน นอกจากนี้ บริษัทฯ และ/หรือบริษัทย่อยอาจนำเงินบางส่วนไปลงทุนในโครงการอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนอกจากนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทยังมีมติให้ขายเงินลงทุนในบริษัทย่อยที่มิใช่ธุรกิจหลักของบริษัทฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการปรับโครงสร้างทางธุรกิจให้มีความชัดเจนและรองรับการจัดโครงสร้างของกลุ่มบริษัทฯ ในระยะยาว ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทสามารถมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจที่เป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯสามารถลดค่าใช้จ่าย และเงินลงทุนต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลัก- โบรกฯ เชียร์ซื้อเป้าหมาย 14.20 บ.ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำซื้อหุ้นTRUE โดยให้ราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 14.20 บาทภายหลังจากที่หนังสือชี้ชวน กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ทรูโกรท หรือ TRUEGIF ขึ้น Website ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) แล้ว แม้ว่ายังไม่ใช่การอนุมัติอย่างเป็นทางการจาก ก.ล.ต. แต่การที่หนังสือชี้ชวนถูกโพสขึ้น Website ของ ก.ล.ต. เท่ากับว่าหนังสือชี้ชวนไม่ติดประเด็นที่มีนัยสำคัญกับ ก.ล.ต. แล้ว รอเพียงการพิจารณาขั้นสุดท้ายซึ่งจะใช้เวลาอีกไม่เกิน 2 สัปดาห์ ในระหว่างนี้ TRUE สามารถทำการโรดโชว์เพื่อนำเสนอขายหน่วยลงทุนของกองทุน TRUEGIF (กองทุนโครงสร้างพื้นฐานทรูโกรท) แก่สาธารณะได้ แต่ยังไม่สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลตอบแทนของกองทุนได้จนกว่าจะได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการ ทำให้ TRUE ขายกองทุนได้ทันปีนี้ แต่กระบวนการในการจดทะเบียนกองทุนในตลาดหลักทรัพย์ และการบันทึกกำไรพิเศษจะเกิดขึ้นปีนี้หรือต้นปีหน้า ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญTRUEGIF สำคัญอย่างไรกับ TRUEเป็นบวกจากการนำ TRUEGIF เข้า IPO เพื่อระดมเงินทุนเราคาดเงินสดจากการขายกองทุนฯ หักส่วนที่TRUE ถืออยู่ที่ราว 52,150 ล้านบาท และนำไปชำระหนี้ราว 60% ของเงินสดทั้งหมด ทำให้ดอกเบี้ยจ่ายหายไปราว 40-60% ต่อปี เงินที่เหลือนำไปลงทุนต่อได้โดยไมต้องกู้เงินเพิ่ม และกำไรพิเศษราว 22,750 ล้านบาท (หลังภาษี) ทำให้ฐานทุนสูงขึ้นคาด DE ratio ปี 2556 ที่ 5.8 เท่า (กรณีกำไรพิเศษรับรู้ทันปี 2556) ลดลงจาก 11.9 เท่าในปี 2555 และจะลดลงเป็น 4.8 ในปี 2557 และ Net Debt / EBITDA ลดลงจาก 5.6 เท่าในปี 2555 เป็น 3.8 เท่าในปี 2556 และ 3.3 เท่าในปี 2557ผลต่อความสามารถทำกำไรปัจจุบัน TRUE หมดอายุสัมปทานระบบ 2จี มีประเด็นบวกคือทำให้ย้ายลูกค้ามาอยู่บนคลื่นใหม่ได้เร็ว ลดค่าใช้จ่ายส่วนแบ่งรายได้ลงได้ เป็นบวกต่ออัตรากำไรขั้นต้น และการใช้งาน Non-voice มากขึ้นของ Prepiad เป็นบวกต่อ ARPU การนำเงินไปชำระหนี้ก่อนกำหนดทำให้ดอกเบี้ยจ่ายปี 2557 จะลดลงเราคาดที่ 4,758 ล้านบาท จากระดับปกติที่ 7,000 – 8,000 ล้านบาท แม้เรายังคงคาด SG&A เพิ่มขึ้น 6% YoY และมีค่าเช่าจ่ายให้ IFF (TRUEGIF) เพิ่มขึ้น เสียรายได้จาก CAT ให้ IFF และเพื่อประมาณการแบบระมัดระวังยังไม่รวมรายได้เงินปันผลจากกองทุนฯ ในปี 2557 TRUE จะมีกำไรปกติในปี 2557 ที่ 2,648 ล้านบาท จากปี 2556 คาดขาดทุนปกติราว 7,865 ล้านบาทสำหรับผลประกอบการสุทธิอาจมีค่าใช้จ่ายพิเศษจากการตัดค่าเสื่อมราคาของโครงข่ายระบบ 2 จี ที่จะหมดช่วงเวลาต่ออายุชั่วคราวในเดือน ก.ย. 2557 ราว 5,000 ล้านบาท ทำให้ขาดทุนสุทธิ 2,352 ล้านบาท แต่ค่าใช้จ่ายดังกล่าวไม่ใช่เงินสด จึงไม่กระทบการประเมินมูลค่า อย่างไรก็ตามหาก SG&A ของบริษัทลดลงได้จะเป็นบวกต่อประมาณการของเราและ Consensus ให้ปรับประมาณการขึ้นได้หุ้น Turnaround ของผู้รับคามเสี่ยงได้สูงด้วยการที่ผลประกอบการเพิ่มถึงจุด Turnaround ในปี 2557 จึงเหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงเพื่อคาดหวังกำไรจากส่วนต่างราคามากกว่าเงินปันผล เนื่องจากหากบริษัทมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าที่ประเมินเป็นความเสี่ยงให้ผลประกอบการต่างจากที่ประเมินไว้ได้ จากผลของการปรับประมาณหลังเกิด TRUEGIF และปรับไปใช้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2557 ทำให้ราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 14.20 บาท (DCF, WACC 1.4%) จากเดิมที่ 10.10 บาท มี Upside gain 57% เพิ่มคำแนะนำเป็น ซื้อ จาก TRADING BUY แม้ยังไม่คาดหวังการจ่ายเงินปันผล แต่หากบริษัทลดพาร์ล้างขาดทุนสะสมและจ่ายเงินปันผลได้จะเป็น Positive surprise

    ---------------------------------------------------------------------------------
    กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ทรูโกรท หรือ TRUEGIF ได้ฤกษ์ขายไอพีโอวันจันทร์ที่ 9-16 ธันวาคมนี้ เคาะราคาไอพีโอที่ 10 บาทต่อหน่วยลงทุน บลจ.ไทยพาณิชย์คาดเงินที่นักลงทุนจะได้รับในปีแรกประมาณ 8.8% โดยแบ่งเป็นเงินปันผล 6.87% และการจ่ายลดทุน 1.93% อันเนื่องจากสภาพคล่องส่วนเกินที่เกิดจากค่าเช่าล่วงหน้า

    นายนพปฎล เดชอุดม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ทรูโกรท (ทรูจีไอเอฟ หรือ TRUEGIF) ถือเป็นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมที่จัดขึ้นเป็นรายแรกในประเทศไทย สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐในการสนับสนุนให้เกิดการใช้ระบบโครงสร้างพื้นฐานร่วมกันเพื่อลดการลงทุนซ้ำซ้อนของผู้ประกอบการ

    โดยทรัพย์สินที่กองทุนจะเข้าลงทุนครั้งแรก ได้แก่ (1) กรรมสิทธิ์ในเสาโทรคมนาคม จำนวน 6,000 เสา (2) กรรมสิทธิ์ในระบบใยแก้วนำแสงหลัก และอุปกรณ์ระบบสื่อสัญญาณที่เกี่ยวข้องความยาว 5,112 กิโลเมตร และระบบบรอดแบนด์ในเขตพื้นที่ต่างจังหวัด จำนวน 1.2 ล้านพอร์ต และ (3) สิทธิในการรับประโยชน์จากรายได้สุทธิที่เกิดจากการให้เช่าเสาโทรคมนาคม จำนวน 5,845 เสา และระบบใยแก้วนำแสงและอุปกรณ์ระบบสื่อสัญญาณความยาว 47,250 กิโลเมตร รวมถึงกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินดังกล่าวจำนวนหนึ่งซึ่งกองทุนมีสิทธิในการซื้อ หรือรับโอนตามเงื่อนไข และเวลาที่กำหนด

    นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.ไทยพาณิชย์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทุน กล่าวว่า กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ทรูโกรท ได้รับอนุมัติจากสำนักงาน ก..ต.แล้วเมื่อวันที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน สำหรับประมาณการเงินที่นักลงทุนจะได้รับในปีแรกประมาณ 8.8% จะแบ่งเป็นประมาณการการจ่ายเงินปันผล 6.87% และการจ่ายลดทุน 1.93% อันเนื่องจากสภาพคล่องส่วนเกินที่เกิดจากค่าเช่าล่วงหน้า ทั้งนี้ การจ่ายลดทุนจะเกิดเฉพาะ 2 ปีแรกเท่านั้น ในขณะที่ค่าเช่าที่กองทุนจะได้รับจะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เงินที่นักลงทุนได้รับในแต่ละปีจะค่อนข้างคงที่

    ทั้งนี้ TRUEGIF เป็นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมรายแรกในประเทศไทย มีมูลค่าการเสนอขายประมาณ 58,080 ล้านบาท ราคาเสนอขายหน่วยละ 10.00 บาท โดยจะมีจำนวนหน่วยลงทุนที่เสนอขายต่อผู้จองซื้อทั่วไปประมาณ 2,381.28 ล้านหน่วย ซึ่งจำนวนหน่วยลงทุนขั้นต่ำของการจองซื้อ 5,000 หน่วย และเพิ่มเป็นจำนวนทวีคูณของ 1,000 หน่วย และจะประกาศผลการจัดสรรหน่วยลงทุนภายในวันที่ 18 ธันวาคม 2556 ต่อไป

    โดยจะมีการเปิดจองซื้อหน่วยลงทุนสำหรับผู้จองซื้อทั่วไประหว่างวันที่ 9-15 ธันวาคม 2556 ตามเวลาทำการของแต่ละสาขาของผู้จัดการการจัดจำหน่ายหน่วยลงทุนในประเทศ หรือผู้สนับสนุนการขายหน่วยลงทุน และวันที่ 16 ธันวาคม 2556 ตั้งแต่เวลาเปิดทำการจนถึงเวลา 12.00 น.

    ----------------------------------------------------------------------------------

    จาก PAPER บางโบรค บอกว่า  TRUEGIF ให้ผลตอบแทนที่ 7.XX% 
    และ ทรูอาจถือหุ้น 18% โดยให้เหตุผลในการถือหุ้นน้อยว่า ความคุ้มค่าของการลด ดอกเบี้ยคุ้มกว่าเงินปันผล

    อ่านแล้วก็ งง ในจุดนี้ เพราะหากสามารถปันผลได้  7.XX% เงินปันผลย่อมคุ้มกว่า ดบ เงินกู้แน่นอน
    หรือปันผลได้ 7.xx% จริง แต่ทรูมีเหตุผลอื่นที่ไม่อยากถือเสาไว้เองในระยะยาว เช่น อนาคตการขึ้นค่าเช่า ขึ้นได้น้อยกว่าอัตราเงินเฟ้อ ทำให้ระยะยาวด้อยค่าลงเรื่อยๆ  หรือ มีเทคโนโลยีใหม่ ที่อาจเข้ามาในระยะ 1x ปี ที่ไม่ต้องใช้ "เสา" อีกต่อไป หรือ หากการส่ง DATA ผ่านดาวเทียม มี คชจ ถูกลง จนคุ้มค่าที่จะแข่งขัน เสาอาจไร้ราคา ค่าเช่าลดลงในอนาคต เหล่านี้ล้วนน่าคิด ว่าเป็นสาเหตุให้ทรูถือกองทุนนี้ในสัดส่วนน้อยๆ


    BWG Company Visit 27/11/2013

    BWG Company Visit 27-Nov-2013

    Participants : คุณเอกรินทร์ เหลืองวิริยะ รองกรรมการผู้จัดการ , คุณทัศนีย์ ทองดี , คุณสุทัศ (CFO)

    ธุรกิจในปัจจุบัน
    ธุรกิจการฝังกลบขยะ 
    ยังไงเมืองไทยก็ต้องมีการฝังกลบ เพราะขยะบางส่วนเผาไม่ได้ ตอนนี้มีทำกันแค่สองเจ้า BWG และ GENCO (แต่ GENCO ตอนนี้รับขยะได้น้อยมาก เพราะหลุมที่ Maptaput เต็มแล้ว ต้องขนขยะมาแยกที่ ศุนย์แสมดำก่อนแล้วจึกขนต่อมาฝังที่ สวนผึ้ง ซึ่งจะต้อง double handing
    ภาพรวมตลาดขยะฝังกลบ โตไปเรื่อยๆตามอุตสาหกรรมทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ยิ่งมีการผลิตเยอะยิ่งมีขยะเยอะ
    ทุกวันนี้ประเทศไทยมีขยะทั้งระบบจากโรงงานมากมาย (ประมาณ 20 กว่าล้านตันต่อปี) แต่สามารถเอามากำจัดแบบถูกวิธีแค่ประมาณ 10%
    เนื่องจากระยะหลังกรมโรงงานเข้มงวด โรงงานต่างๆมากขึ้น โดยปรกติ โรงงานทั่วไปต้องต่อใบอนุญาติ ร.ง. 4 กันกรมโรงงานอยู่แล้วทุกปี เวลาเค้ามาต่อใบอนุญาติ กรมโรงงานก็จะขอตรวจว่าเอาwasteไปกำจัดถูกวิธีหรือเปล่า ต้องshow ว่าเอาไปฝังกับ BWG , GENCO หรือเอาไปเผาถูกวิธีหรือเปล่า ถ้าดูแล้วทำถูกก็จะต่อใบ ร.ง.4 ให้ ด้วยวิธีนี้จะค่อยๆทำให้ขยะนอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบมากขึ้น และโรงงานใหม่ๆที่มี ISO18000 จะมีระบบคอยตรวจสอบให้มีการกำจัดwaste ให้ถูกวิธี 
    นอกเนือจาก volume ที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทาง BWG ก็ได้ทำการทะยอยปรับราคาขายขึ้น โดยจะปรับราคากับลูกค้าที่หมดสัญญาก่อน
    ที่ผ่านมาที่ฝังกลบที่สระบุรีไม่เคยถูกน้ำท่วม 

    BWT (Better World Transport) 
    ช่วงนี้ยังไม่ค่อยมีกำไรเพราะเพิ่งลงทุนซื้อรถใหม่จำนวนมาก โดยตัดค่าเสื่อม 5 ปี
    และอาจจะมีการลงทุนทำลานจอดรถขนาดใหญ่เพื่อรองรับการขยายงาน ไม่ค่อยมีผลกระทบจากราคาน้ำมันเพราะสามารถผลักให้ลูกค้าได้
    ปัจจุบันรถขนwaste มีการแข่งขันไม่มาก เพราะรถประเภทนี้เป็นรถจำเพาะที่ต้องมีใบอนุญาติพิเศษทั้งรถละคนขับ ตอนนี้ลูกค้าต้องต่อคิวเพื่อจองรถไปขนwaste BWG ดูแลคนขับดีมากบางคนมีรายได้เดือนล่ะ 30000 บาท
    ตอนนี้รับขนขยะให้เฉพาะลูกค้า BWG ในอนาคตอาจจะรับขนขยะให้เจ้าอื่นด้วย
    และอาจจะนำ BWT เข้าตลาดในอนาคตข้างหน้า

    นโยบายจ่ายปันผล จะอยู่ที่ 50% ของกำไรจาก”งบเดี่ยว”

    AKP ที่กำไรดูค่อนข้างต่ำเพราะมีค่าเสื่อมเยอะจากการปรับปรุงเตาเผา

    อาจจะมีการย้าย office โดยมีแผนจะสร้าง office ใหม่แถวลาดพร้าว(ใช้เงิน 70 ล้าน แบ่งเป็นที่ดิน 20 ล ,อาคาร 50 ล)
    จากปัจจุบันที่เช่าอยู่ในอาคารค่อนข้างเก่า

    New Project

    1.RDF Project ดูรูปข้างล่าง
    เป็นการเอาขยะมาย่อยจากชิ้นใหญ่ลงมาเป็นเล็กๆ และใช้ฟิล์มพลาสตอกห่อไว้เป็นแท่งๆ ให้พร้อมส่งเตาเผาต่อไป

    เอาขยะจากไหนมาทำ RDF ?

    ขยะใหม่ non-hazardจากโรงงานต่างๆ (พวกเศษผ้า เศษกระดาษ เศษไม้ พลาสติก หรือสิ่งที่มี heating value) และขยะเก่าจากหลุมnon-hazardที่มีอยู่ล้านกว่าตัน แต่การจะเปิดหลุมเอาขยะเก่าขึ้นมาจะทำได้แค่บางช่วงเวลา เพราะกลัวกลิ่นจะรบกวนชาวบ้าน

    เฟส1 Capacity : ประมาณ 250 ตันต่อวัน (2 กะ) แต่ตอนนี้ผลิตวันล่ะ 100-150 ตันต่อวัน (เดินเครื่องประมาณวันล่ะ 8 - 10 ชม) เริ่มผลิตตั้งแต่ตุลาคม 56 ทดลองขายให้ลูกค้าไปแล้ว 4 เจ้า ทั้งโรงปูนและ โรงไฟฟ้าชีวะมวล (แต่ไม่เปิดเผยว่าขายให้ที่ไหน)
    เงินลงทุนเฟสแรก ประมาณ200 ล้านบาท (ตัดค่าเสื่อม 10ปี)

    ข้อเด่นของproject RDF คือนอกจากจะขายได้ราคาดีแล้ว ยังช่วยประหยัดพื้นที่ฝังกลบด้วย 
    แทนที่จะใช้พื้นที่ฝังกลบหมดถายใน 20 ปี ก็ช่วยยึดอายุไปได้

    RDF ที่ผลิตมี heating value ประมาณครึ่งนึงของราคาถ่านหิน (ถ่านหินที่โรงปูนใช้ราคาตันล่ะ 3500 บาท)
    ราคา RDF ที่ขายให้โรงปูนช่วงทดลองจะขายให้ตันล่ะ 1000 บาท แต่หลังจากนี้จะปรับราคาขึ้นไปเป็นตันล่ะ 1500 บาท

    ต้นทุนการผลิต RDF ตันล่ะ 600 - 700 บาทต่อตัน base on การผลิต 100 - 150 ตันต่อวัน ถ้าผลิตมากกว่านี้ ต้นทุนจะถูกลง ต้นทุนหลักๆจะเป็นค่าเสื่อม ค่าใช้จ่ายอื่นๆไม่มากนัก (ค่าไฟ ค่าน้ำมัน ค่าคนงาน)

    ระยะเวลาคืนทุนของ RDF เฟส 1 ประมาณ 4 ปี

    RDFเฟส 2 
    เงินลงทุน 2-3 ร้อยล้าน จะทำให้เพิ่ม "capacity รวม" เป็น 500 ตันต่อวัน คาดว่าจะเริ่มลงทุนต้นปี 57 เริ่มผลิตปลายปี 57 เป็นอย่างเร็ว

    2.โรงไฟฟ้าขยะ 
    "ตอนนี้กำลัง ศึกษาความเป็นไปได้นะครับ ยังไม่ได้มีแผนเป็นทางการนะครับ"
    เตรียมการสร้างโรงไฟฟ้าขยะ โดยใช้วัตถุดิบจาก RDF ประมาณวันล่ะ 300 ตัน
    คาดว่า จะสร้างโรงฟ้าขนาด 9.8 MW ที่แก่งคอย เนื้อที่ประมาณ 42 ไร่ 
    Adder ประมาณ 3.5 บาท (โรงไฟฟ้าชีวะมวลได้ Adder 2.5 บาท)
    เงินลงทุนโดยประมาณ ยังไม่แน่ใจ แต่ไม่เพิ่มทุน จะกู้เงินแบงค์และใช้กระแสเงินสด
    เบื้องต้นBWGจะถือหุ้น 100% , IRR โรงไฟฟ้าประมาณ 20% , อย่างเร็วสุดคาดจะสร้างเสร็จในปี 59
    EIA ไม่ต้องทำชุดใหญ่ ทำแค่ Mini EIA เพราะอยู่ในเขตการนิคม และขนาดโรงไฟฟ้าไม่เกิน 10 MW 
    ประกอบกับโรงไฟฟ้าจะมีการควบคุมมลพิษที่เข้มงวด น่าจะผ่านได้ไม่ยาก

    =====
    ขอบคุณพี่ๆที่ช่วยประสานงานในการจัด company visit ในครั้งนี้ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ

    บทความจากคุณ Tarzann ไทยวิ นะครับ

    --------------------------------------------------------------------------

    ***  ผมเพิ่มเติม งบรายไตรมาส และ chart รายได้เข้ามาด้วย เพื่อความสะดวกในการหาข้อมูล

    วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2556

    มุมมองต่อความมั่งคั่งและอิสระภาพทางการเงิน

    มุมมองต่อความมั่งคั่งและอิสระภาพทางการเงิน

    มีคำพูดอยู่ประโยคนึง ได้ยินมาแล้วจำได้แม่นมาคิดดูก็ว่ามีเหตุผล
    "คนที่จะมีความมั่งคั่งและมีอิสระภาพทางการเงินได้นั้น ต้องมีรายได้อย่างน้อย สามทางนี้ ค่าเช่า ดอกเบี้ย และเงินปันผล"

    หากเรามีเงินแต่ขาดรายได้ มันก็ไม่ต่างกับสามล้อถูกหวย
    สิ่งสำคัญคือ รายได้ที่เข้ามา หรือที่เรียกว่า "กระแสเงินสด"

    ดังนั้นมุมมองต่อทรัพย์สินที่เราสะสม แท้จริงแล้วการสะสมเงิน อาจไม่นำมาซึ่งอิสรภาพทางการเงินอย่างแท้จริงก็ได้
    (ยกเว้นว่าดอกเบี้ยรับเกินกว่า คชจ แต่สุดท้ายก็ยังแพ้เงินเฟ้อ)
    การสะสม Asset ที่สร้างกระแสเงินสดได้ต่างหาก ที่จะสร้างอิสรภาพทางการเงินอย่างแท้จริง

    คำว่า "การสะสม Asset" นั่นหมายถึงการเพิ่มจำนวนของ asset
    สำหรับ นลท ที่มองเงินเป็น Asset ที่สร้างรายได้ได้มากกว่าเงินเฟ้อ และ คชจ ก็ไม่ผิดที่จะสะสมเงิน และสำหรับ นลท ที่มอง Asset ตัวอื่นเป็นทรัพย์สิน ที่สร้างรายได้ ก็ไม่จำเป็นต้องสะสมเงิน ขึ้นกับมุมมอง

    เช่น คนทำ โรงแรม ที่สามารถสร้างกระแสเงินสดได้ ก็ย่อมอยากมี "จำนวน" โรงแรมในมือมากขึ้น

    เช่นเดียวกัน หากมีหุ้นที่มั่นใจว่าในอนาคตระยะยาว มีมูลค่าเพิ่มขึ้น (เพราะมองเห็นการเติบโตของ บ.) ก็อาจจะอยากได้ "จำนวน" มากขึ้น
    แต่หุ้นมีข้อดีคือ สามารถ เทรดลดทุนได้

    คนที่สะสมคอมโมก็เช่นกัน ตัวอย่างเช่นทอง
    หากเชื่อว่าในระยะยาวสุดท้ายก็หนีเงินเฟ้อได้ และมีมูลค่าเพิ่มขึ้น สิ่งที่ นลท ต้องการก็คือการเพิ่ม "จำนวน"
    และลดต้นทุน แต่คอมโมนั้นไม่สามารถปันผลได้
    ดังนั้น การเทรด เพื่อสร้าง "กระแสเงินสด" จึงสำคัญ

    คนที่มีอคติ มองวิธีการที่แตกต่างจากตน แล้วโต้เถียงกันนั้น มันไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย การเรียนรู้ มุมมอง วิธีคิด ระบบเทรด หลากหลายต่างหาก ที่จะช่วยพัฒนาตนเองได้ แม้ว่าจะนำมาใช้หรือไม่ก็ตาม แต่อย่างน้อยจะทำให้เข้าใจวิธีคิด จุดซื้อ จุดขาย ของคนแต่ละกลุ่มในตลาด ที่แตกต่างจากเราได้

    วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2556

    คาดงบ น้าแอด 3Q56

    คาดงบน้าแอด 3Q56



    งบออกแล้ว  ผิดคาด สิ่งที่ไม่ได้รวมอยู่ในคาดการณ์(นอกเหนือคาดการณ์)
     คือ ค่า IC ที่ลดลงจาก 1บ เหลือ 45สต ทำให้รายได้ลดลง
    เป็นเหตุให้คาดการณ์คลาดเคลื่อนไปเยอะพอสมควร






    วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2556

    วิกฤตต้มยำกุ้ง

    วิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย

    (อังกฤษ1997 Asian financial crisis) หรือเรียกทั่วไปในประเทศไทยว่า วิกฤตต้มยำกุ้ง เป็นช่วงวิกฤตการณ์เงินซึ่งส่งผลกระทบถึงหลายประเทศในทวีปเอเชียเริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2540 ก่อให้เกิดความกลัวว่าจะเกิดการล่มสลายทางเศรษฐกิจทั่วโลกเนื่องจากการแพร่ระบาดทางการเงิน
    วิกฤตดังกล่าวเริ่มขึ้นในประเทศไทย เมื่อค่าเงินบาทลดลงอย่างมากอันเกิดจากการตัดสินใจของรัฐบาลไทย ซึ่งมีพลเอกชวลิต ยงใจยุทธเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ลอยตัวค่าเงินบาท ตัดการอิงเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ หลังจากความพยายามทั้งหมดที่จะสนับสนุนค่าเงินบาทเมื่อเผชิญกับการแผ่ขยายแบบเกินเลยทางการเงิน (financial overextension) อย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนขับเคลื่อนอสังหาริมทรัพย์ ในเวลานั้น ประเทศไทยมีภาระหนี้สาธารณะซึ่งทำให้ประเทศอยู่ในสภาพล้มละลายก่อนหน้าการล่มสลายของค่าเงิน และเมื่อวิกฤตดังกล่าวขยายออกนอกประเทศ ค่าเงินของประเทศส่วนใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และญี่ปุ่นก็ได้ทรุดตัวลงเช่นกัน ตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงและรวมไปถึงราคาสินทรัพย์อื่น ๆ และทำให้หนี้เอกชนเพิ่มสูงขึ้น[1]
    แม้จะทราบกันดีแล้วว่าวิกฤตการณ์นี้มีอยู่และมีผลกระทบอย่างไร แต่ที่ยังไม่ชัดเจนคือสาเหตุของวิกฤตการณ์ดังกล่าว เช่นเดียวกับขอบเขตและทางแก้ไขอินโดนีเซีย เกาหลีใต้ และไทยได้รับผลกระทบมากที่สุดจากวิกฤตการณ์ดังกล่าว ฮ่องกง มาเลเซีย ลาวและฟิลิปปินส์ก็เผชิญกับปัญหาค่าเงินทรุดเช่นกัน สาธารณรัฐประชาชนจีน อินเดีย ไต้หวัน สิงคโปร์ บรูไนและเวียดนามได้รับผลกระทบน้อยกว่า ถึงแม้ว่าทุกประเทศที่กล่าวมานี้จะได้รับผลกระทบจากการสูญเสียอุปสงค์และความเชื่อมั่นตลอดภูมิภาค
    สัดส่วนหนี้ต่างประเทศต่อจีดีพีเพิ่มสูงขึ้นจาก 100% เป็น 167% ในสี่ประเทศใหญ่อาเซียน ระหว่างปี พ.ศ. 2536-38 ก่อนจะขึ้นไปสูงถึง 180% ในช่วงที่วิกฤตการณ์เลวร้ายที่สุด ในเกาหลีใต้ สัดส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้นจาก 13% เป็น 21% และแตะระดับสูงสุดที่ 40% ขณะที่ประเทศอุตสาหกรรมใหม่ที่อยู่ทางเหนือได้รับผลกระทบน้อยกว่ามาก มีเพียงในไทยและเกาหลีใต้เท่านั้นที่หนี้สัดส่วนบริการต่อการส่งออกเพิ่มขึ้น[2]
    ถึงแม้ว่ารัฐบาลส่วนใหญ่ในเอเชียได้ออกนโยบายการเงินที่ดูแล้วสมบูรณ์ แต่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ได้ก้าวเข้ามาเพื่อริเริ่มโครงการมูลค่า 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อรักษาเสถียรภาพของสกุลเงินในเกาหลีใต้ ไทย และอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากวิกฤตการณ์ดังกล่าว ความพยายามที่จะยับยั้งวิกฤตการณ์เศรษฐกิจระดับโลกได้ช่วยรักษาเสถียรภาพสถานการณ์ในประเทศในอินโดนีเซียได้เพียงเล็กน้อย ประธานาธิบดีซูฮาร์โตถูกบีบให้ลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2541 หลังจากครองอำนาจมายาวนานกว่า 30 ปี ท่ามกลางการจลาจลที่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายซึ่งมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าอย่างรุนแรง อันเป็นผลมาจากค่าเงินรูเปียห์อ่อนตัวลงอย่างร้ายแรง ผลกระทบของวิกฤตการณ์ดังกล่าวกินเวลาไปจนถึงสิ้นปี พ.ศ. 2541 ในปีเดียวกันนั้น อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ลดลงจนเกือบเป็นศูนย์ มีเพียงสิงคโปร์และไต้หวันเท่านั้นที่พิสูจน์แล้วว่าเกือบจะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในวิกฤตการณ์เลย แต่ทั้งสองประเทศก็ยังได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงตามปกติ สิงคโปร์ได้รับผลกระทบมากกว่าเนื่องจากขนาดและที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่อยู่ระหว่างมาเลเซียกับอินโดนีเซีย อย่างไรก็ตาม จนถึงปี พ.ศ. 2542 นักวิเคราะห์ได้มองเห็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจเอเชียกำลังเริ่มฟื้นตัว

    จนถึง พ.ศ. 2540 ทวีปเอเชียได้ดึงดูดการไหลเข้าของทุนรวมเกือบครึ่งเข้าไปในประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งได้รักษาอัตราดอกเบี้ยที่สูงซึ่งดึงดูดนักลงทุนต่างชาติที่กำลังมองหาผลตอบแทนในอัตราที่สูง ผลคือ เศรษฐกิจในภูมิภาคมีเงินไหลเข้าในปริมาณมากและมูลค่าสินทรัพย์สะสมเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในขณะเดียวกัน เศรษฐกิจภูมิภาคอย่างไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์และเกาหลีใต้มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงมาก คิดเป็น 8-12% ของจีดีพี ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 และต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 สัมฤทธิ์ผลดังกล่าวได้รับการกล่าวถึงโดยสถาบันการเงิน ซึ่งรวมไปถึงไอเอ็มเอฟและธนาคารโลก และเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นส่วนหนึ่งของ "ปาฏิหาริย์เศรษฐกิจเอเชีย"
    ในปี พ.ศ. 2537 นักเศรษฐศาสตร์ผู้มีชื่อเสียง พอล ครุกแมน ได้ตีพิมพ์บทความซึ่งโจมตีแนวคิด "ปาฏิหาริย์เศรษฐกิจเอเชีย" เขาโต้แย้งว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกนั้นตามประวัติศาสตร์แล้วเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของการลงทุน อย่างไรก็ตาม ปัจจัยรวมในด้านผลิตภาพเพิ่มขึ้นอย่างจำกัดหรือไม่เพิ่มขึ้นเลย ครุกแมนแย้งอีกว่ามีเพียงการเติบโตในผลิตภาพปัจจัยรวม มิใช่การลงทุน เท่านั้นที่สามารถนำไปสู่ความมั่งคั่งในระยะยาวได้ หลังจากวิกฤตการณ์การเงินอุบัติขึ้น หลายคนมองว่าครุกแมนสามารถรู้ล่วงหน้า แม้เขาว่า เขาไม่ได้ทำนายถึงวิกฤตการณ์หรือคาดการณ์ความลึกของมันได้

    จากวิกิพีเดีย

    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    วิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง ตอน “6 สาเหตุ ที่ทำให้… ประเทศไทยเข้าสู่..วิกฤต !!”
    คณะกรรมการการศึกษาและเสนอแนะ
    มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการระบบการเงินของประเทศ(ศปร.)
    ได้จัดทำรายงานผลการวิเคราะห์และวินิจฉัย “ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวิกฤตทางเศรษฐกิจ”
    ซึ่งได้วิเคราะห์ปัญหาความผิดพลาดของการดำเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทย
    และสาเหตุของการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ……………….
    ที่นำไปสู่การปล่อยให้ค่าเงินบาทลอยตัวในปี 2540 ซึ่งมีประเด็นสำคัญ ดังนี้


    1.การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด

    ปี 2530 – 2539 ในช่วงที่เศรษฐกิจของไทยเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง
    ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยก็มีการขาดดุล และเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง
    ประเทศไทยต้องประสบปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดถึง 14,350 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
    ซึ่งเป็นผลมาจากการส่งออกที่หดตัวลง 1.9% จากที่เคยขยายตัวสูงในปีก่อนหน้าถึง 24.82%
    อันเป็นผลสืบเนื่องจากการพัฒนาเศรษฐกิจที่เน้นการผลิตเพื่อ……………………………..  “การส่งออก”       เป็นสำคัญ





    2.ปัญหาหนี้ต่างประเทศ

    …ปี 2533   ไทยรับพันธะสัญญาข้อที่ 8 ของไอเอ็มเอฟ  เพื่อเปิดระบบการเงินของไทยสู่สากล
    …เดือนเมษายน พ.ศ. 2534   ประกาศผ่อนคลายการปริวรรตเงินตราต่างประเทศ
    …เดือนกันยายน 2535 รัฐบาลอนุมัติให้ธนาคารพาณิชย์สามารถจัดตั้งกิจการวิเทศธนกิจไทย
    (Bangkok International Banking Facilities : BIBF)
    …เดือนมีนาคม 2536    มีธนาคารพาณิชย์ 46 แห่งได้รับมอบใบอนุญาตให้ดำเนินการได้
    ทำให้เกิดการขยายตัวของระบบการเงินของประเทศ
    ที่ส่งผลต่อการก่อหนี้ด้อยสภาพขึ้นมากในสถาบันการเงิน
    และการกู้เงินจากสถาบันการเงินต่างประเทศเพื่อปล่อยกู้ให้กับธุรกิจในเมืองไทย
    ปลายปี 2540 หนี้ต่างประเทศของไทยเพิ่มขึ้น
    ในระดับสูงถึง 109,276 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
    โดยเฉพาะ   หนี้ต่างประเทศระยะสั้นที่มีสัดส่วนถึง 65% ของหนี้ต่างประเทศรวม
    นั่นหมายถึง ถ้าต่างชาติ…เรียกคืน “หนี้ระยะสั้น” ทันที
    คนไทยคงจะไม่มีปัญญาหาเงิน…มาจ่าย..แน่
    สรุปคือ  ระหว่างปี 2532-37 มีการเปิดเสรีทางการเงิน หลายต่อ…หลายครั้ง
    ทำให้ประเทศไทยสามารถพึ่งพาเงินทุนจากต่างประเทศได้สะดวก
    โดยไม่มีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
    เนื่องจากค่าเงินที่กำหนดไว้ที่ 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
    ทำให้คนไทยที่กู้เงินนอก………. ไม่เคยคิดว่า อัตราแลกเปลี่ยน………. 25 บาทต่อดอลลาร์
    วันดีคืนดี………. มันจะกลายไปเป็น………………………………………..  55 บาทต่อดอลลาร์

    3.การลงทุนเกินตัว และฟองสบู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

    ในช่วงปี 2530-2539  ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้เติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก
    ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน สนามกอล์ฟ สวนเกษตร
    เนื่องจากผู้ประกอบการมีการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ
    และระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศที่กำลังร้อนแรงได้ง่าย
    เพื่อมาลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั่วประเทศ
    นอกจากนั้นแล้ว ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
    ทำให้เกิดความต้องการเก็งกำไร
    ซึ่งได้ดึงดูดให้มีผู้เข้ามาลงทุนในธุรกิจอย่างมาก
    เช่น การซื้อขายใบจอง บ้าน ทาวน์เฮ้าส์ คอนโด เป็นต้น
    จนกลายเป็นภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่

    4.ประสิทธิภาพในการดำเนินงานของสถาบันการเงิน

    …ปลายปี 2539 เกิดปัญหาความไม่เชื่อมั่นอย่างรุนแรงต่อสถาบันการเงินในประเทศ
    รัฐบาลสั่งปิดบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ 18 แห่ง ปิดธนาคารพาณิชย์ 3 แห่ง
    …เดือนมีนาคม 2540  กระทรวงการคลังมีคำสั่งให้สถาบันการเงินเพิ่มทุนอีก 10 แห่ง
    …วันที่ 27 มิถุนายน 2540 ต้องสั่งปิด 16 บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์
    …วันที่ 5 สิงหาคม 2540 ปิดอีก 42 บริษัท รวมเป็น 58 สถาบันการเงิน

    รัฐบาลใช้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน
    ซึ่งเป็นหน่วยงานของธนาคารแห่งประเทศไทย
    เข้าสนับสนุนให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ต่าง ๆ
    สิ้นเงินไปมากกว่า 6 แสนล้านบาท
    เมื่อลูกหนี้เริ่มไม่สามารถชำระหนี้ได้
    โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีการลงทุนเกินกว่าความต้องการซื้อ
    ทำให้ธนาคารมีปัญหาสภาพคล่อง หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอลพุ่งขึ้นสูง
    โดยเอ็นพีแอลสูงสุดที่ 52.3% ของสินเชื่ออสังหาฯ รวม เมื่อเดือนพฤษภาคม 2542
    นั่นหมายถึง มากกว่า……………. ครึ่งหนึ่ง… ของสินเชื่อบ้าน  ทั้งระบบ  
    ลูกหนี้ ไม่มีตัง…………………….. ไม่มีตัง…………………………….  จ่าย !

    5.ความไม่มีประสิทธิภาพในการดำเนินนโยบาย

    นโยบายการเปิดให้มีการจัดตั้งกิจการวิเทศธนกิจเมื่อปี 2536
    ที่อนุญาตให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนอย่างเสรี
    โดยไม่มีการเตรียมความพร้อมหรือการกำกับดูแลอย่างมีประสิทธิภาพ
    ในขณะที่ยังคงใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่อยู่
    ทำให้ระบบการเงินและเศรษฐกิจของประเทศไม่มีเสถียรภาพ

    ปริมาณเงินในระบบได้สูงขึ้นจากเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศ
    เมื่อแบงก์ชาติพยายามดูดซับสภาพคล่องโดยการขายพันธบัตร
    ยิ่งทำให้อัตราดอกเบี้ยที่ ……………………………… สูงอยู่แล้ว …………………..ไม่ลดลง
    ยิ่งทำให้เกิดมีเงินทุน ………………………………….ไหลเข้ามามากยิ่งขึ้น
    6.การโจมตีค่าเงินบาท

    ปัญหาเศรษฐกิจที่สั่งสมมานานดังกล่าว
    ทำให้นักลงทุนต่างชาติถือโอกาส ……………………………………… โจมตีค่าเงินบาทของไทย
    ซึ่งเป็นนักลงทุนขนาดใหญ่และนักลงทุนสถาบันที่ระดมทุนมาเก็งกำไรค่าเงินหรือ
    โจมตีค่าเงินโดยตั้งเป็นกองทุนมีชื่อเรียกว่า Hedge Funds
    เช่น กองทุน Quantum Fund ซึ่งดูแลโดยนาย George Soros
    และนักเก็งกำไรอื่นๆ …………………………………………… ที่คอยผสมโรง ..โจมตีค่าเงินบาท





    นอกจากนี้ธนาคารพาณิชย์ทั้ง ……………………… ไทยและเทศ
    ก็เป็นอีกกลุ่มที่แสวงหากำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเช่นกัน
    ในการเก็งกำไรค่าเงินบาทนั้น นักเก็งกำไรอาศัยข้ออ้างจากปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ
    จากการที่ประเทศ ………………………………………………ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจำนวนมาก
    และหนี้ระยะสั้นสูง ……………………………………..เมื่อเทียบกับเงินสำรองทางการ
    เพื่อใช้เป็นข่าวลือว่าจะ ………………………………………… มีการลดค่าเงินบาท  ในเร็วๆนี้




    ธนาคารแห่งประเทศไทยนำเงินทุนสำรองทางการถึง 24,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
    หรือคิดเป็น 2 ใน 3 ของเงินสำรองทั้งหมด มาใช้เพื่อปกป้องค่าเงินบาท
    จนทำให้ …………………………. ณ.วันที่ 2 ก.ค. 40
    มีเงินสำรองทางการเหลืออยู่เพียง  ……………………… 2,850 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
    เทียบกับเมื่อปลายปี 2539 ที่เคยมีถึง …………………. 38,7 00 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
    และเป็นวันที่ นายเริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าแบงค์ชาติ ประกาศ “ลอยตัวค่าเงินบาท”
    และยังถือเป็นวันเริ่มต้นแห่งการเข้าสู่ “วิกฤตเศรษฐกิจ” ครั้งที่เลวร้ายที่สุดของ.. ประเทศไทย

    เครดิต บทความจาก  ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์

    -----------------------------------------------------------------------------------------------------


    ผลกระทบ และสิ่งที่เกิดขึ้นตามมา 
              - สัดส่วนระหว่าง หนี้ต่างประเทศ กับ GDP เพิ่มสูงขึ้นมาก เช่น ประเทศในอาเซียนเพิ่มจาก 100% กลายเป็น 180% ในช่วงที่เลวร้ายที่สุดของวิกฤติการณ์
              - IMF (หรือ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ) เข้ามารักษาเสถียรภาพสกุลเงินของ ประเทศอินโดนีเซีย ไทย และเกาหลีใต้ โดยการลงทุน 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพราะ 3 ประเทศดังกล่าวได้รับผลกระทบมากที่สุด
              - ประเทศสิงคโปร์ และไต้หวัน ถือว่าได้รับผลกระทบน้อยมาก จนอาจกล่าวได้ว่า ไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจนี้
              - ธุรกิจของเอกชน ไม่ว่าจะเป็น สถาบันการเงิน บ้านจัดสรร ปิดกิจการ พนักงานถูกปลด มีหนี้เกิดขึ้นมาก มีการกดดันให้รัฐบาลลาออก
              - ธนาคารแห่งประเทศไทยพยายามพยุงค่าเงินบาท โดยใช้เงินสำรองเงินตราต่างประเทศจนหมด และต้องกู้จาก IMF จำนวน 17,200 ล้านเหรียญสหรัฐ

              - สำหรับการแก้ไขนั้น ไม่มีแนวทางที่ชัดเจน IMF ให้แนวทางโดยดำเนินนโยบายทางการเงินที่เข้มงวด และปรับโครงสร้างสถาบันการเงิน แต่ก็ส่งผลให้ปัญหาหนักขึ้น โดยราคาสินค้า และค่าบริการต่าง ๆ แพงขึ้น รัฐบาลชวน หลีกภัย ซึ่งรับตำแหน่งต่อจาก พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จึงเพียงประคองสถานการณ์ และให้ประชาชนหันมาใช้ “เศรษฐกิจพอเพียง” ต่อมา รัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร จึงเริ่มสร้างโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินและการทำธุรกิจ โดยมีการสนับสนุน SMEs กองทุนหมู่บ้าน OTOP ประชาชนจึงมีรายได้เพิ่มขึ้น