วันอังคารที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

หลักคิด 33

ตอนซื้อไม่ได้ใช้กราฟ แต่ใช้การประเมินมูลค่า สนใจหุ้นเมกาช้าไปหน่อยเลยเริ่มซื้อตอนขยับขึ้นมาแล้ว แต่กล้าซื้อแม้ราคาวิ่งขึ้น เพราะมั่นใจในการประเมินมูลค่า

*********


คนที่เป็นเศรษฐี ไม่เคยกังวลว่าจะตายก่อนใช้เงินหมด ไม่เคยกังวลว่าจะตายก่อนได้ใช้เงิน 


ส่วนคนที่กลัวว่าจะใช้เงินไม่หมดก่อนตาย จึงไม่เก็บออมและต้องรีบใช้นั้น


ผลที่ได้คือ “จนก่อนตาย”  ลำบากไปอีก




**********

ปัญหาไม่ได้เกิดจากสิ่งที่ไม่รู้ 
แต่เกิดจากสิ่งที่คิดไปเองว่ารู้

******

ที่ต้องทำคือ เตรียมพอร์ตการลงทุนให้พร้อมรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆให้ดีที่สุด

ตราบใดที่เตรียมความพร้อมให้มากพอไม่ว่าจะคาดการณ์อนาคตถูกหรือผิดมันก็จะไม่สำคัญ

********

ที่ต้องทำคือ เตรียมพอร์ตการลงทุนให้พร้อมรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆให้ดีที่สุด

ตราบใดที่เตรียมความพร้อมให้มากพอไม่ว่าจะคาดการณ์อนาคตถูกหรือผิดมันก็จะไม่สำคัญ

******

เมื่อไหร่ที่นักลงทุนเชื่อว่าความเสี่ยงต่ำแล้ว เมื่อนั้นแหละความเสี่ยงจะสูงขึ้น เพราะนักลงทุนเชื่อมั่นมากเกินไป

******

Temporary bad is an opportunity, permanent bad is bad.
******

อุปสรรคมันมีอยู่ และรู้อยู่แล้ว หากต้องการจะทำให้สำเร็จ ต้องยอมรับว่าอุปสรรคต่างๆคือความรับผิดชอบของเรา และต้องแก้ไขมันให้ได้

หากใครคิดว่าการเดินทางสู่ความสำเร็จจะเรียบง่ายเหมือนวิ่งอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ แปลว่าโลกสวยและอ่อนประสบการณ์เกินไป

*****

หลายๆครั้ง ความสำเร็จเป็นตัวรั้งเราไว้ไม่ให้ก้าวไปข้างหน้า เพราะมัวแต่ยึดคิดกับวิธีการเดิมๆที่เคยทำให้ประสบความสำเร็จ


*****


หุ้นทุกตัว มันมีเวลาของมัน

*****


ระหว่างเส้นทางการลงทุน จะเต็มไปด้วยจุดต่างๆ ที่พร้อมให้นักลงทุนทำผิดพลาดด้วยความเต็มใจของนักลงทุนเองเต็มไปหมด


เปรียบเสมือนการเดินในซอยที่เต็มไปด้วย “ขี้หมา” ถ้าสุ่มสี่สุ่มห้าเดิน โดยไม่ดูาม้าตาเรือ โอกาสเหยียบขี้หมาก็จะมีสูงมาก โดนเฉพาะคนที่ใจร้อนอยากรีบเดินไวๆหรือวิ่งเร็วๆ จะยิ่งมีโอกาสสูงมากที่จะเหยียบขี้หมา


มีแต่คนที่และมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลาเท่านั้นที่จะเดินผ่าน ได้อย่างปลอดภัย


*****


ถ้าสังเกตคนที่ลงทุนใน STARK จะเป็นการพยายามลงทุนในหุ้นที่เป็นผู้ชนะ ซึ่งต่างจากการเลือกลงทุนที่พยายามหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสในการแพ้สูง

*****


เราต่างเคยเจอนักลงทุนที่สูงอายุ และเราก็เคยเจอนักลงทุนที่กล้าบ้าบิน แต่ไม่มีนักลงทุนที่กล้าบ้าบิ่นอายุยืน - Howard Marks


*****


ในตลาดหุ้นมันเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องอยู่ให้รอดก่อน ถึงจะค่อยคิดถึงเรื่องการทำกำไร


*****


ผลงานใดๆ ที่สามารถทำซ้ำได้บ่อยๆ ทำซ้ำได้อย่างสม่ำเสมอสามารถพูดได้ว่าผลงานเกิดจากทักษะ ความสามารถ


ส่วนผลงานที่เกิดจากโชคนั้น  ไม่สามารถทำซ้ำได้หรือทำซ้ำได้ยากมาก


******


อันนี้ คือมุมมองของเรา ที่อาศัยปัจจัยการเมืองมองอนาคต ศก และการลงทุน เป็นมุมมองส่วนตัวเท่านั้น


ศก อนาคตดูสดใสขึ้นกว่าที่ผ่านมามาก ทำให้ภาพครั้งหน้าดูเป็นบวก


ตัวเลข NPL และกรณี STARK ส่งผลให้การปล่อยกู้ น่าจะมีความเข้มงวดมากขึ้น ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้นอยู่


ทำให้นักลงทุนต่างๆมีมุมมองที่ค่อนข้างระมัดระวัง 


เป็นที่ชัดเจนว่าไม่ใช่ช่วงฟองสบู่


ซึ่งทำให้เหมาะสมที่จะหาหุ้นราคาต่ำกว่ามูลค่า ซื้อสะสมเพื่อการลงทุนระยะยาวได้

*****


การใช้ Leverage ในอัตราที่สูง เพื่อ bet กับโอกาสเพียงเล็กน้อย โดยหวังจะได้กำไรจำนวนมาก มันคือการแบกความเสี่ยงอย่างมหาศาล

*****


ผลตอบแทนในอนาคตจะยิ่งต่ำลงตามราคาซื้อในปัจจุบันที่แพงขึ้น

*****


สำหรับบุคคลทั่วไป ที่ไม่ได้ศึกษาหุ้นรายตัวแบบจริงจัง ไม่ได้ติดตามกิจการแบบจริงจัง จะเพราะไม่มีเวลาศึกษาหรือไม่มีเวลาติดตามก็แล้วแต่ 


การซื้อกองทุนหักภาษีโดยเฉพาะกองทุน SSF , SSFX ควรคำนวนว่านอกจากหักภาษีได้แล้ว การโดนบังคับถือ 10 ปีนั้น คุ้มค่าหรือไม่


ลองมองว่าดัชนี SET ณ ปัจจุบันหากผ่านไปสิบปี มีโอกาสที่ดัชนีจะสูงกว่านี้หรือไม่


หากคิดว่ายังไงอีกสิบปีข้างหน้า SET ต้องสูงกว่านี้แน่นอน เหมาะแก่การซื้อกองทุนรวม ถือยาวๆ SSF , SSFX จะได้คือ ได้ลดภาษีและได้ทั้ง Cap Gain ถ้าเลือกกองทุนได้ถูกกอง


แต่สำหรับ คนที่ติดตามหุ้นรายตัวเอง คงค้องเปรียบเทียบ ว่าการซื้อกองทุน ให้กองทุนบริหารเงินให้ + ได้ลดหย่อนภาษี  ผลตอบแทนมากกว่าที่ตนเองบริหารเองหรือไม่ หากไม่ ก็ไม่ต้องซื้อ SSF, SSFX ก็ได้


เช่น หากโดนเรทภาษี ขั้นสูงสุดที่ 15% ก็เท่ากับว่าเงินที่ซื้อกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษีได้ลดภาษี 15% บนระยะเวลาบังคับถือกองทุน 10 ปี เท่ากับได้ลดหย่อนภาษีเฉลี่ยปีละ 1.5%


แล้วนำ ปย ทางภาษีต่อปี มาบวกกับกำไรจาก nav  ที่กองทุนทำได้เฉลี่ยต่อปี  นั่นคือ ผล ปย ทั้งหมดที่ได้รับจากการซื้อ ssf, ssfx 


แล้วจึงนำมาเปรียบเทียบกับผลตอบแทนที่คาดว่าตนเองจะทำได้จากการซื้อหุ้นเอง


ดัชนีตอนนี้ประมาณ 1500 

สมมติ อีกสิบปี ดัชนีไปที่แถว 2,000 จุด


เท่ากับเพิ่มมา 33% หรือเฉลี่ย 3.3% ต่อปี  (หากซื้อกองอิงดัชนี จะได้ผลตอบแทนประมาณเดียวกับดัชนี)


บวก ผล ปยทางภาษี (สมมติ effective tax rate 15% ) ก็เท่ากับได้ ปย ทางภาษีต่อปีที่ 1.5%


3.3%+1.5% = 4.8% ต่อปี เป็นเวลาสิบปี


หากเป็นไปตามตัวอย่าง แล้วมีทางเลือกอื่น เช่น นำไปค้าขาย ได้กำไรต่อปี มากกว่า 4.8%  เราก็ไม่มีความจำเป็นต้องซื้อ ssf, ssfx 


แต่หากไม่ได้นำเงินไปลงทุนอย่างอื่นเลย นอกจากฝากแบงค์  การซื้อ ssf, ssfx  เป็นทางเลือกที่ดี


สำหรับคนที่จำเป็นต้องซื้อ

หากต้องซื้อ ssf และไม่อยากลุ้นกับความสามารถของ ผู้จัดการกองทุนก็สามารถเลือกซื้อเป็น กองทุนอิงดัชนีได้


การซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี มีจุดอ่อนอย่างใหญ่หลวงอยู่จุดหนึ่งก็คือ หากไปเจอกองทุนที่มีผู้จัดการกองทุน “ห่วย” 


ผลตอบแทนอาจจะติดลบ แถมด้วยการเสียโอกาสในการสร้างผลตอบแทนไปอีก 10 ปีเลยทีเดียว


คือจะเสียหายทั้งฝั่งเงินทุนและเสียหายทั้งฝั่งโอกาสที่จะได้กำไร  เรียกว่า เสียหายสองเด้ง


***********


การเป็นนักลงทุน สิ่งที่ยากยิ่งกว่าการหาความรู้ คือการนั่งนิ่งๆให้เป็น

******


คนที่ไม่เรียนรู้จากอดีต ก็มักจะทำผิดซ้ำซากอยู่ร่ำไป


*****


นักเก็งกำไรที่คิดว่าสามารถเป็นนักลงทุนระยะยาวได้ สุดท้ายแล้วจะเปลี่ยนการขาดทุนชั่วคราว ให้กลายเป็นการขาดทุนถาวร

*****


คนที่ซื้อหุ้นตามเซียน บางครั้งไม่เคยรู้ว่าเซียนเค้าคุมความเสี่ยงที่จะส่งผลเสียหายต่อพอร์ตไว้  เช่น หุ้นที่เสี่ยงสูง บางทีเซียนอาจซื้อแบบเหมือนวางเดิมพัน(แบบหวังถูกรางวัลที่หนึ่ง) ซื้อด้วยสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับพอร์ตรวม อาจซื้อจะแบบ 2% ของพอร์ต โดยหวังถ้าเป็นตามที่คิดอาจกำไรหลายเด้งจากราคาหุ้น


แต่คนที่ซื้อตามเซียนอาจไม่รู้ แล้วไปซื้อตามแบบมั่นใจเพราะเห็นเซียนซื้อ เลยอัดซื้อไป 50% ของพอร์ต


พอความเสียหายเกิดขึ้น เช่น ราคาหุ้นลงไป 30% เซียนแทบไม่รู้สึก อาจเสียหายสัก -0.6% ของพอร์ตรวม (2% * -30%)


แต่คนซื้อตามจะเสียหายมากถึง 15% ของพอร์ตรวม (50% * -30% )


ราคาหุ้นลงเท่ากันแต่เซียนรอด  คนซื้อตามเจ็บหนักกว่ามาก เพราะเชื่อใจเซียน ส่วนเซียนเค้าจะรู้ดีว่าความเสี่ยงมากแค่ไหน ควรซื้อในสัดส่วนเท่าไร เพราะคำนวนเอง หาข้อมูลเอง (ไม่งั้นคงไม่รอดมาจนเป็นเซียน) ส่วนคนซื้อตามอาจไม่ได้ทำการบ้านมากพอ ไม่รู้ลึกมากพอ ทำให้มองข้ามความเสี่ยง มีแต่ความมั่นใจในตัวเซียนมากเกินเหตุ


money management ต่างกัน risk/reward ต่างกัน เพราะความมั่นใจต่างกันจากข้อมูลที่รู้ต่างกัน


**********


มนุษย์เราเป็นนักสะสมความผิดพลาด เพียงแต่มีสองสิ่งที่สำคัญ คือ 

1. จะต้องไม่ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ที่ฝืนมโนธรรมมากเกินไป

2. เมื่อผิดพลาดแล้วต้องปรับปรุงแก้ไขไม่ให้เกิดความผิดพลาดซ้ำสอง


แต่จะมีมนุษย์อีกกลุ่มนึงแพ้ใจตนเอง แล้วถูกล่อลวงให้ทำผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยสิ่งที่ชอบ


******


หุ้นที่เป็นผู้ชนะที่อยู่ในพอร์ตมันจะดูแลตัวมันเองได้ คุณเพียงแต่ดูแลหุ้นที่เป็นผู้แพ้อย่าให้เสียหายหนักได้ก็พอ

*****



เวลาโยนเหรียญ โอกาสออกหัวและก้อย จะเป็น 50:50 แต่บนความเป็นจริง เมื่อโยนเหรียญด้วยจำนวนครั้งที่น้อยๆ เช่น 5 ครั้ง ผลที่ได้อาจออกหัวทั้ง 5 ครั้งเลยก็ได้ แต่หากโยนเหรียญสักพันครั้ง โอกาสออกหัวออกก้อยจะกลับมาเป็น 50:50


ผลลัพธ์ระยะสั้นอาจผิดเพี้ยนไปจากความน่าจะเป็นระยะยาวได้ และมันเป็นอะไรที่เจอได้บ่อยจนเป็นเรื่องปกติ


ดังนั้นการสร้างพอร์ตหุ้นจึงควรให้พอร์ตสามารถอยู่ได้ในระยะยาวจนมันกลับสู่ความน่าจะเป็นที่เราคำนวนได้ ดังนั้นการสร้างพอร์ตโดยให้เวลาอยู่ข้างเดียวกับเราจึงเป็นสิ่งสำคัญ


และรวมถึงพอร์ตควรทนทานพอที่จะรองรับความผิดปกติในระยะสั้นให้ได้ด้วย


**********

ปัญหาหลักของ Player ในตลาดหุ้น ไม่ใช่การทำกำไรไม่ได้ แต่เป็นการรักษากำไรไว้ไม่ได้ต่างหาก

*****

สิ่งสำคัญที่สุด ในการเป็นนักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้น คือ “การอ่าน”

เลือกเนื้อหาที่จะอ่านเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ ไม่น้อยไปกว่าการอ่านให้มาก เพื่อหาแนวทางของตนเอง

******

การตัดสินใจ โดยใช้สติใคร่ครวญเหตุผลอย่างถี่ถ้วน 

“จะทำให้สามารถยึดมั่นในการตัดสินใจนั้นได้นานกว่าและมีความมั่นใจมากกว่า”  การตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่น

ซึ่งมันจำเป็นมาก เมื่ออยู่ในตลาดหุ้น

********

ข้อมูลที่มีผลทางจิตใจ แต่ไม่มีประโยชน์ในการตัดสินใจนั้นไม่มีความหมายอะไรเลย

*****

 ชอบพรรคการเมืองไหนชอบได้
เชียร์พรรคการเมืองไหนเชียร์ได้

แต่อย่าให้ความชอบทางการเมืองมามีอคติ จนบดบังความแจ่มใสทางความคิดในทางเศรษฐกิจ 

เพราะมันจะทำให้เกิดการลงทุนผิดพลาดไปอย่างน่าเสียดาย  
*********

ว่าด้วยเรื่องของร้านทองบ้างละกัน
ความนิยมการใส่ทองลดลงมาก ประเภทใส่ทองเส้นใหญ่ๆ คงจะเหลือแต่เพียงแม่ค้าในตลาดสดเป็นส่วนมาก ที่คนส่วนมากไม่นิยมใส่ทองรูปพรรณเส้นใหญ่ๆ เพราะ
- อันตรายต่อตัวเอง เสมือนตั้งค่าหัวให้ตัวเองตลอดเวลา
- หากจะสะสมทองนิยมทองแท่งซื้อมาขายไป
- คนส่วนมากล้วนคุ้นเคยการซื้อกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษี  ทำให้คุ้นเคยกับการซื้อกองทุนทองคำไปด้วย 
- การเก็บรักษาทองรูปพรรณหรือทองแท่งไว้ที่บ้านค่อนข้างอันตรายและลำบากกว่าการซื้อกองทุนทองคำ 
- ให้ความรู้สึกดูขี้อวดแบบตลาดล่าง ภาพพจน์ทองรูปพรรณเส้นใหญ่จึงดูเสียไป
- โดยมากถ้าอยากจะอวดความมั่งมี มักจะอวดเป็นใส่นาฬิการาคาแพงมากกว่ามันดูดีกว่า  ใส่ทองเส้นละ 10 บาทมูลค่า 300,000 กว่าบาทมันดูล่อตาโจร  เสี่ยงจะโดนทำร้ายมากกว่าใส่นาฬิกาเรือนละล้าน 
- แม่ค้าตามตลาดสดชอบใส่ทอง  อันนี้เป็นความเคยชินของเค้ามาแต่ไหนแต่ไร  แต่คนทำงานออฟฟิศมักจะไม่ชอบใส่   แต่มักชอบซื้อกองทุนทองคำแทน เพราะไม่ต้องกังวลเรื่องเก็บรักษา
- อีกกลุ่มคืออยากซื้อนะ แต่ไม่มีความพร้อมที่จะจ่าย

ทั้งหลายทั้งปวงทำให้ ทองรูปพรรณ อยู่ในฐานะ อุตสาหกรรม  SUN SET (เทรนด์ขาลง) ซึ่งทำให้ ธุรกรรมการจำนำทองมีแนวโน้มลดลงในภาพรวม  เพราะความนิยมทองรูปพรรณลดลงเรื่อยเรื่อย 

ปล. เป็นการวิเคราะห์เพื่อการลงทุนเท่านั้น  หากกระทบจิตใจคนชอบทองรูปพรรณก็ขออภัยด้วย

******

คนที่ยังไม่เคยโดนความผันผวนขนาดหนักเล่นงานมาก่อน มักจะชอบความผันผวน ยิ่งมากยิ่งดี เพราะมองว่าเป็นโอกาส 

แท้ที่จริงแล้ว ทุกคนมีจิตใจที่สามารถรองรับกับความผันผวนของทรัพย์สินได้แตกต่างกัน 

ความผันผวนระดับที่เหมาะสมกับจิตใจเท่านั้น ที่จะสร้างโอกาสได้

และจิตใจจะสามารถรองรับความผันผวนได้ดียิ่งขึ้น มากยิ่งขึ้น ถ้าหากรู้ด้วยความมั่นใจถึงมูลค่า และความสามารถในการทำกำไรของกิจการ

*********

3 ข้อที่จะสกรีนหุ้นของ บ.หลอกลวงได้มากกกกพอสมควร ก็คือ

- เลือกหุ้นที่จ่ายปันผลมากกว่า 3% แบบต่อเนื่อง
- มีหนี้สินต่ำ ถึงต่ำมากๆเท่านั้น
- ซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ประเมินอย่างคอนเซอเวทีฟ โดยอาศัยข้อมูลที่จริงในปัจจุบัน และอดีต ไม่ใช่ข้อมูลที่วาดฝันในอนาคต

การจ่ายปันผลในระดับที่ดีพอสมควรแบบต่อเนื่อง จะเป็นการคัดเอาบริษัทที่มีงบการเงินอ่อนแอออกไปได้มากพอสมควร

บริษัทที่มีหนี้สินต่ำ เงินที่จะเอามาจ่ายปันผลแบบต่อเนื่องได้นั้นจะไม่ได้มาจากการกู้ แต่จะมาจากการดำเนินงานที่มีกำไรเป็นกระแสเงินสดจริงๆ

ราคาหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าของผลงานในปัจจุบันและอดีต จะเป็นตัวกำหนดว่าราคาไม่เฟ้อจากการปั่นหุ้นของจ้าวมือและนายตลาด

และหากลองไปตรวจดู ทุกบริษัทที่ผิดนัดชำระหุ้นกู้ ก็มักเป็นบริษัทที่  “ไม่ผ่านเกณฑ์” สามข้อนี้แทบทั้งนั้นด้วย