วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

หลักคิด 09

ความล้มเหลวของนักลงทุนส่วนใหญ่  เกิดจากตนเองเป็นหลัก ตัวนักลงทุนเอง คืออุปสรรคที่ใหญ่ที่สุด

*****
ซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าด้วยวิธีการประเมินอย่างระมัดระวัง อย่างอนุรักษ์นิยม รวมถึงเน้นซื้อหลักทรัพย์ที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าสินทรัพย์สุทธิหากบริษัทปิดกิจการ (ไม่ได้หมายความว่าบริษัทต้องปิดกิจการจริงๆ)
*****
ถึงแม้ว่าจะประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย แสดงถึงความฉลาดหรือไหวพริบก็ตาม แต่เนื่องจากประสบการณ์ทางธุรกิจน้อย ทำให้เกิดความเสียเปรียบในการทำดิว 

โดยปกติเวลาทำดิวธุรกิจ จำได้ว่าบริษัทใหญ่บางบริษัทจะมีสัญญาห้ามเปิดเผยข้อมูลก่อนที่จะมีการตกลงซื้อขายกันเรียบร้อยแล้ว 

เพราะว่าการเปิดเผยข้อมูลนั้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจนำไปใช้หาผลประโยชน์ได้ จนส่งผลทำให้ดิวนั้นล่มได้  

อีกอย่างระหว่างการทำข้อตกลงบันทึกความเข้าใจ ไม่ควรทิ้งระยะเวลายาวนานเกินไปในการวางมัดจำ บางส่วนก่อนที่จะทำดิว

หรือไม่ก็ควรจะมี ข้อตกลง ในบันทึกความเข้าใจ ว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงไปจากนี้ ผู้ซื้อแสดงเจตนาที่จะไม่ซื้อ ไปจากข้อตกลงจะต้องมีการปรับเงิน เหมือนที่ อีลอน มัส์ค อาจถูกปรับได้ถ้าหากไม่ซื้อ twitter

ประสบการณ์นั้นสำคัญ
*****

ความผิดพลาด เปรียบเสมือนแมลงสาบ มันมีจำนวนมาก และไม่สามารถที่จะหนีจากมันได้ทั้งหมด ทางเดียวที่จะรอด ก็คือ ต้องมีส่วนเผื่อความผิดพลาด
*****

เคยโพสแล้ว แต่คิดว่ามีประโยชน์ โดยเฉพาะช่วงนี้ มีสายเทรดเยอะมากๆ 😄

เคยมีคนถามว่า อยากเทรดหุ้นหาค่ากับข้าว ไม่เอามากแค่วันละ 1,000-1,500 มีทางทำได้ไหม

ฟังคำถามแล้ว เหนื่อยใจ ผิดตั้งแต่วิธีคิด, ผิดทั้ง mindset

ถ้าจะตอบคงบอกว่าให้ลองหาหนังสืออ่านให้มากๆก่อน

กำไรทุกวัน ทุกครั้งที่เทรด แค่วิธีคิดตั้งต้นก็ผิดแล้ว

อย่างแรกทำไมวิธีคิดแบบนี้ถึงผิด
เพราะไม่มีทางทำกำไรได้ทุกวัน ไม่มีทางถูกทุกครั้งที่เทรด เพราะการเทรดบนระยะเวลาสั้นๆที่จะ take profit รายวันนั้นสิ่งที่ใช้เทรดคือ

1.เทรดตามกราฟ ซึ่งกราฟคือการใช้สถิติ และหาโอกาสความน่าจะเป็น คำว่าโอกาสความน่าจะเป็นแปลว่าไม่ใช่ 100% ดังนั้น ถูกทุกการเทรดจึงเป็นไปไม่ได้  

2.เทรดตามข่าวลือ อันนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่จะถูกทุกการเทรด

3.เทรดตามความรู้สึกอันนี้ไม่ต่างกับการพนันไม่มีหลักการอะไรเลย

4.เทรดโดยใช้ระบบเทรด การใช้ระบบจะเป็นการเทรดที่ใช้หลักการคือ เวลาผิดต้องเสียให้น้อยและถูกต้องได้ให้มาก ซึ่งเรื่องระบบเทรดก็ต้องใช้เวลาเช่นกัน อาจใช้เวลาพอๆกับการลงทุนด้วยซ้ำไป

ส่วนการลงทุนนั้นต้องใช้เวลา ไม่ใช่การทำกำไรรายวัน

ในตลาดหุ้น มีสองทางหลักๆ ที่สามารถทำได้ 

1.เป็นเทรดเดอร์ ใช้ระบบเทรด มีหลักการเทรดที่ถูกต้องและเข้ากับจริต เข้ากับ mindset ของแต่ละบุคคล ซึ่งการใช้ระบบเทรดก็ต้องใช้เวลาเพื่อให้ระบบแสดงผลงาน ไม่ใช่จะกำไรทุกวัน

2.เป็นนักลงทุนที่ใช้พื้นฐาน อันนี้ใช้เวลาแน่นอน

ว่าด้วยเรื่องระบบเทรด
ระบบเทรดหุ้น หลักๆแล้วขึ้นอยู่กับสมการนี้
(%win× win size) - (%loss×loss size)

สมมติ
เงินทุน 1 ล้าน ซื้อหุ้น 5 ตัวเท่าๆกัน จะได้ตัวละสองแสน
Run trend ด้วยเงื่อนไข A และตั้งจุด cut ด้วยเงื่อนไข B
ผลว่ามีสองตัวได้กำไรตัวละ 30% และขาดทุนสามตัว cut ที่ตัวละ 10%

ชนะสองตัวจากห้าตัว, %win 2/5=40%
กำไรตัวละ 30%, win size=30%
แพ้สามตัวจากห้าตัว, %loss 3/5=60%
ขาดทุนตัวละ 10%, Loss size=10%
(%win× win size) - (%loss×loss size)
40%×30% = 12%
60%×10% = 6%
12% - 6% = Net profit 6%

คนส่วนมากพยายามเทรดใหได้ %win 100% คือพยายามจะชนะทุกตัวที่เทรดซึ่งจริงๆแล้วเป็นไปไม่ได้เลยในการเทรด ที่จะชนะทุกครั้ง ทุกตัว เพราะเวลาเทรดจะใช้เงื่อนไข A ในการรันเทรนด์ ดังนั้นจึงพยายามหาเงื่อนไข A ที่ดีที่สุด เรียกว่าพยายามหา Holy Grail นั่นแหละ มันไม่มีอยู่จริง เพราะ

เครื่องมือที่ใช้ในการกำหนดเงื่อนไข ล้วนมาจากสถิติ ที่นำสถิติมาหาโอกาสในความน่าจะเป็น แล้วนำมาสร้างเงื่อนไข A

แต่คำว่า "น่าจะเป็น" แปลว่าต้องมีทั้งเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ปนอยู่ ดังนั้น เงื่อนไข A ที่จะทำให้ชนะ 100% จึงขัดกับแหล่งที่มาของเงื่อนไขเอง

ตัวต่อมาคือ win size ตัวนี้ทุกคนคงอยากให้สูงที่สุด พอคิดว่าสูงสุดแล้วจึงขายหุ้น นั่นก็จะมีคำว่าขายหมูตามมา เมื่อขายหมูบ่อยๆ ก็ไม่ยอมขายหมู กลายเป็นพอกำไรมากแล้วไม่ขาย พอราคาลงก็รอหวังให้ราคาขึ้นไปเท่าเดิมจะขาย แต่สุดท้ายกลายเป็นขาดทุน จึงเป็นที่มาของการหาเงื่อนไข A มาใช้เพราะหากขายด้วยอารมณ์ เดวก็ขายหมูบ้าง เดวก็ถือจนกำไรกลายเป็นขาดทุนบ้าง ดังนั้นต้องมีเงื่อนไขในการขายที่ชัดเจน จึงพยายามหาเงื่อนไข A ก็วนกลับไปที่พยายามหา Holy Grail อีก

เงื่อนไขในการคัดหุ้นเข้าเทรดกับเงื่อนไขในการรันเทรนด์มันต้อง match กัน มันถึงจะไปด้วยกันได้ รวมๆกันอยู่ในเงื่อนไข A ซึ่งมันก็ส่งผลต่อ %loss โดยปริยาย เพราะหาก %win สูง, %lossย่อมต่ำลงโดยอัตโนมัติ

ส่วน Loss Size นั้น คงเคยได้ยินคำพูดว่าว่า เวลากำไรต้องกำไรให้มาก เวลาขาดทุนต้องขาดทุนให้เล็ก เพราะหากขาดทุนมากก็จะไปกินกำไรที่ทำได้จนหมด ดังนั้นจึงต้องพยายาม cut loss แต่เวลาทำจริงๆ คัททีไรราคาวิ่งขึ้นทุกที ครั้งไหนไม่คัทมันก็ลงได้ใจเหลือเกิน จริงไหม 😂 ทำให้การคัทเป็นเรื่องยาก

ดังนั้นจึงต้องมีตัวช่วยให้การคัทลอส เป็นเรื่องเป็นราว จึงมีเงื่อนไข B มาช่วย

ซึ่งเงื่อนไข B ก็มีที่มาจาก สถิติอีกนั่นแหละ อะไรที่มาจากสถิติแปลว่า มันมี "ความน่าจะเป็น" ซึ่งแปลได้อีกอย่างนึงคือ ไม่ 100%

หุ้นบางตัวใช้เงื่อนไข B คัทแล้ว ราคาหุ้นกลับเด้งขึ้นยาวๆๆๆ เลยก็มี ลงมาเพื่อให้คัทแล้วขึ้นให้เจ็บใจเล่น ทุกคนที่ใช้ระบบจึงพยายามหาเงื่อนไข B ที่ดีที่สุดมาใช้

และทั้งเงื่อนไข A และ B ก็ทำโดยการ Optimize กับ data เก่าแต่ละช่วงเวลา ซึ่งมันก็คือการใช้ สถิติอีกแล้ว

เมื่อการ optimize มันสร้างมาจากดาต้าเก่า มันจึงอาจไม่ได้เหมาะกับช่วงเวลาในอนาคตเสมอไปก็ได้ มันอาจจะใช้กับช่วงเวลาในอนาคตได้ระยะหนึ่ง พอเลยระยะเวลานั้นไปแล้วก็ใช้ไม่ได้อีกต่อไป ดังนั้นจึงต้องทำการ Optimize กันอยู่ตลอดเวลา Dig data กันไปเรื่อย

บ้างก็ขยายขอบเขตของ Data จากเดิมที่ใช้แต่ Data เชิงปริมาณ ก็นำ Data เชิงคุณภาพมาใช้ เพราะ Data เชิงปริมาณขุดกันจนพรุนไปหมดแล้ว
จะเห็นได้ว่าจริงๆแล้วนักลงทุนที่ใช้ระบบเทรด จะต้องขวนขวายหาความรู้ และโค้ดดิ้งเป็น ไม่งั้นก็จะสู้ เด็กรุ่นใหม่ๆ ไม่ได้

อีกอย่างเชื่อว่าเทรดเดอร์ที่ใช้ระบบเทรด ส่วนมาก ไม่ได้จบมาจากสายสถิติ หรือสายที่โค้ดดิ้งโดยตรง พอต้องมาเจอกับเด็กรุ่นใหม่ ที่เรียนจบด้านนี้โดยตรง เมื่อไหร่ที่เด็กรุ่นใหม่มี ปสก มากพอ วันนึงก็ต้องโดนเด็กรุ่นใหม่แซง

เงื่อนไขในการเทรด (เช่น เงื่อนไข A , B) ยิ่งคนรู้มากยิ่งใช้ไม่ได้ผล

ตัวอย่าง สมมติ ใช้ Cut ที่ ราคาต่ำกว่า ema10 พอคนรู้มากๆเข้า จ้าวอาจลากราคาให้หลุด ema10 เพื่อเขย่าคนออกแล้วค่อยลากขึ้นต่อ

นี่คือเหตุผลนึง ที่บอกว่า เงื่อนไขในการเทรดยิ่งคนรู้มากยิ่งใช้ไม่ได้ผล

ทั้งหมดนี้ คือพูดถึงการเทรดที่ใช้ระบบ ไม่ได้เกี่ยวกับการลงทุน คนละวิธีคิดกับการลงทุน

*****
การลงทุนระยะยาว จะมองภาพใหญ่ของ บ. เป็นหลัก ผลประกอบการดีชั่วคราว 1-2 ไตรมาสนั้น แม้จะเป็นเรื่องดี แต่มันสำคัญน้อยมาก เมื่อเทียบกับผลประกอบการระยะยาวหลายสิบไตรมาส

การลงทุนระยะยาว ไม่ใช่การไล่ล่างบรายไตรมาส แล้วก็ขายเปลี่ยนตัว ถ้าเป็นแบบนั้น ก็ไม่ต่างจากพอร์ตเทรด ที่หยุดไล่ล่า หยุดเทรดเมื่อไร พอร์ตก็จะไม่โต ทำให้ต้องเริ่มต้นใหม่ตลอดเวลา

*****

หลักสำคัญของ เบนจมิน เกรแฮม คือการประเมินมูลค่า และซื้อหุ้นให้ได้ในราคาที่มีส่วนเผื่อความปลอดภัย 

หลักสำคัญของ ฟิลลิป ฟิชเชอร์ คือการพยายามค้นหาหุ้นที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน ผู้บริหารที่ซื่อสัตย์ เชื่อถือได้ เห็นแก่ประโยชน์ของผู้ถือหุ้นเป็นหลัก พยายามค้นหาบริษัท ที่เราจะเข้าไปเพื่อเป็นหุ้นส่วนกิจการ และเมื่อมันเป็นกิจการที่ดีแล้ว มีแนวโน้มว่าจะถือมันตลอดไปตราบเท่าที่มันยังดีอยู่ 

ลองคิดดู ถ้าหากมีใครสักคน ที่สามารถซื้อบริษัท หรือร่วมเป็นหุ้นส่วนกับบริษัท ที่มันดี มีความได้เปรียบทางการแข่งขันอย่างยั่งยืน มีผู้บริหารที่มีความสามารถและมีความซื่อสัตย์สุจริต ในราคาที่มีส่วนเผื่อความปลอดภัย และเป็นหุ้นส่วนกับบริษัทนั้นไปอีกนานตราบเท่าที่มันยังดีอยู่ มันจะดีแค่ไหน

และใช่ ใครสักคนที่ว่า คือ ปู่ Warren Buffett นั่นเอง
*****
สิ่งที่สำคัญมากที่สุดในการลงทุน ไม่ใช่ IQ แต่มันคือความมีวินัย

สัญชาตญาณ (ความโลภและความกลัว) สามารถที่จะบดบังสติปัญญาอันเฉียบแหลมได้ ไม่ว่าคนนั้นจะฉลาดสักเพียงใดก็ตาม

ในยามที่ สัญชาตญาณครอบงำสติ สิ่งเดียวที่จะช่วยให้ยึดติดอยู่กับหลักการลงทุนได้ คือ ความมีวินัย
*****
คนที่มี ความโลภ + ความไม่รู้ แล้วเข้าตลาดหุ้น รับรองได้เลยว่าจะจนลงในพริบตา 

ความโลภคงไม่ต้องอธิบายมาก 

แต่ความไม่รู้ นี่สิ มันมีความหมายได้ 2 ทาง 
คือไม่รู้ในสิ่งที่ควรรู้ เช่น ความรู้ต่างๆ  
และ ไม่รู้ในสิ่งที่ไม่รู้ คือไม่รู้ว่าตนเองไม่รู้อะไรบ้าง

*****

ตัวอย่างโมเดลหุ้นเติบโต พีอีสูงกับ หุ้นมั่นคงพีอีต่ำ "ระยะยาว" แล้วอะไรให้ผลตอบแทนมั่นคงกว่ากัน 

ตารางแรกเป็นตัวแทนหุ้นเติบโตที่มีการเติบโต 20% ไปสมมุติให้ซื้อที่ PE 30 เท่า

 ซึ่งแน่นอนว่าอัตราการเติบโตในระดับที่สูง มักจะคงอยู่ได้ไม่นาน จึงสมมุติให้อัตราการเติบโตลดลงปีละ 1% (ดูในช่องอัตราการเติบโตของกำไร จาก 20% ลดลงจนเหลือ 6% กลายเป็นหุ้นปันผล)

ตั้งสมมติฐานไว้ว่า เมื่ออัตราการเติบโตค่อยๆลดลงปีละ 1% ค่า PE ก็จะค่อยๆลดลงเช่นกัน 

โดยกำหนดให้ปีแรกที่มีอัตราการเติบโตของกำไร 20% นั้นตลาดให้ค่า PE ที่ 30 เท่า PE และการเติบโตทยอยลดลงไปจนอยู่ที่ PE 6 บนการเติบโต 6% ที่เราเรียกว่าเป็นหุ้นปันผล

ตามตารางแรกของการสมมติฐานจะเห็นว่าราคาหุ้นเพิ่มสูงสุดที่ประมาณปีที่ 8-9 จะได้กำไรจากราคาหุ้นเพิ่มประมาณ 84 ถึง 85% 

หากมองในแง่ของกำไรสุทธิที่ได้รับมาแต่ละปีแล้วสะสมเพิ่มขึ้นทุกปีจะเห็นว่าหากถือยาวถึงปีที่ 15 ผลตอบแทนสะสมจากกำไรที่อยู่ที่ 179% (ในช่องอัตราผลตอบแทนสะสมจาก EPS)

ในแง่ของเงินปันผลสมมุติให้มีอัตราการจ่ายปันผลที่ 50% ของกำไรสุทธิเงินปันผลสะสมทุกปีตั้งแต่ปีที่ 1 ถึงปีที่ 15 จะได้ที่ 26.88 บาท

ลองนำตัวเลขที่กล่าวมาข้างต้นในแต่ละข้อ ไปเทียบกับตารางที่ 2 ที่เป็นหุ้นปันผล ที่สมมุติให้ซื้อที่ PE 6 เท่า เปรียบเทียบในปีที่ 8-9 และในปีที่ 15

โดยต้องไม่ลืมว่าหุ้นที่มีอัตราการเติบโตปีละ 6% ต่อเนื่องในระยะยาวนั้น มีความเป็นไปได้ตามคาดการณ์สูงกว่า หุ้นที่ต้องการการคาดการณ์การเติบโตที่ระดับสูงๆ (หุ้นที่คาดการณ์การเติบโตในระดับสูงนั้นมีโอกาสผิดคาดได้มากกว่า)

แน่นอนนี่เป็นเพียงโมเดลที่สมมุติขึ้นมา มันอาจจะมีหุ้นเติบโตที่ดีแบบเหลือเชื่อกว่านี้อยู่แล้ว เพียงแต่จะหามันเจอไหม ซื้อมันได้ที่ PE เท่าไหร่ เพราะโดยมากหุ้นเติบโตสูงที่เห็นได้อย่างเด่นชัด ก็มักจะซื้อขายกันที่ PE สูงลิบๆยิ่งกว่านี้ 

*** นี่เป็นเพียงการสมมุติเท่านั้น เพื่อการศึกษาเท่านั้น
**************

ถ้าผลตอบแทนของพอร์ตไม่สามารถยืนระยะได้นานพอ ต้องคิดให้หนักว่าที่ผ่านมาคือ ฝีมือหรือว่าโชคกันแน่

**********

ก่อนหน้านี้เคยได้โพสต์ไปแล้วเรื่องโมเดลการศึกษาระหว่างหุ้น growth กับหุ้นปันผล แต่เนื่องจากโพสต์ก่อนหน้าให้หุ้นทั้ง 2 แบบมี dividend pay out ratio เท่ากันที่ 50% ซึ่งดูจะไม่สมจริงในจุดนี้

เพราะโดยมากหุ้นเติบโตจะปันผลอยู่ในประมาณ 20-30% เท่านั้น ส่วนในหุ้นปันผลจริงๆแล้วจะจ่ายปันผลตั้งแต่ประมาณ 50-70%

จุดที่ 1 ดังนั้นจึงมีการปรับค่า dividend payout ratio ในหุ้นเติบโตให้เป็น 30% เพื่อจะได้สมจริงยิ่งขึ้น ในหุ้นปันผล dividend pay out ratio ที่ 50% 

จุดที่ 2 ที่มีการปรับโมเดล อัตราการเติบโตสุดท้ายของหุ้นเติบโตให้ที่ 6.5% สูงกว่าหุ้นปันผลที่ให้ที่ 6% ตลอดช่วงอายุ (แม้ว่าความจริงแล้วหุ้นเติบโตเมื่อกลายเป็นหุ้นปันผลอาจจะมีการเติบโตเท่ากับหุ้นปันผลปกติก็ตาม)

จุดที่ 3 ค่า P/E ของหุ้นปันผลจากเดิมที่ให้ไว้ที่ 6 เท่า ปรับเปลี่ยนเป็น 6.5 เท่า หมายถึงซื้อหุ้นปันผลในราคาที่แพงขึ้นมาจากโมเดลเดิมอีกสักหน่อย 

หากดูจากราคาหุ้น จะเห็นว่าหุ้นเติบโตที่มี P/E สูง ราคาจะพีคที่ประมาณปีที่ 9 โดยตามโมเดลจะอยู่ที่ประมาณ 60 บาท ขณะที่หุ้นปันผลในปีที่ 9 นั้นราคาหุ้นตามโมเดลจะอยู่ที่ประมาณ 50 บาทเท่านั้น แต่เดี๋ยวก่อน (ถ้าคนที่ติดตามโพสต์ของผมตั้งแต่เช้าของวันนี้จะทราบว่า return ของหุ้นไม่ได้วัดกันที่ราคาหุ้นแต่เพียงอย่างเดียว มันต้องนับ return รวมทั้งหมด คือ ราคาหุ้น+ปันผลด้วย) 

ดังนั้นเพื่อให้ง่ายผมจึงทำช่องด้านหลังที่อยู่ในกรอบสีแดง อธิบายในรูปแรก
ช่องแรกคือเงินปันผลสะสม วิธีการดูก็คือสมมุติในปีที่ 9 เราต้องการรู้ว่ารับเงินปันผลรวมตั้งแต่ปีที่ 1 ถึงปีที่ 9 เป็นเงินเท่าไหร่ ก็ให้ดูช่องปันผลสะสม ตามโมเดลคือ 6.75 บาท และในปีที่ 9 ราคาหุ้นตาม model อยู่ที่ 60.35 บาท หักกับราคาหุ้นที่ซื้อที่ 30 บาท ดังนั้นจะมีกำไรจากราคาหุ้นที่ 30.35 บาท หรือดูในช่องผลตอบแทนจากราคาหุ้นของปีที่ 9 

และเมื่อนำเงินปันผลสะสมมารวมกับกำไรจากราคาหุ้น ก็คือช่องถัดไป "ผลตอบแทนราคาหุ้น+เงินปันผลสะสม" ในปีที่ 9 ก็จะได้ที่ 6.75 + 30.35 = 37.10 บาท นี่คือ total return และเมื่อนำมาคำนวณจากต้นทุนที่ 30 บาท จะคิดเป็นผลตอบแทนรวมทั้งหมดทั้งจากราคาหุ้นและจากเงินปันผล 123.65%***

(ทำไมถึงดูที่ปีที่ 9 เพราะเป็นปีที่ราคาหุ้นพีคที่สุด เพราะคนส่วนมากสนใจดูแค่ราคาหุ้น ดังนั้นจึงคำนวณในปีที่ราคาพีคที่สุดเป็นตัวอย่าง)

คราวนี้ถ้าไปดูที่หุ้นปันผลในปีที่ 9 จะพบว่า ราคาหุ้นของหุ้นปันผลนั้นสู้หุ้นเติบโตไม่ได้ เพราะหุ้นปันผลตามโมเดลราคาจะอยู่ที่ 50.68 บาทเท่านั้น เมื่อเทียบกับหุ้นเติบโตตามโมเดลราคาอยู่ที่ 60.35 บาท แต่เดี๋ยวก่อน ณปีที่ 9 เงินปันผลสะสมของหุ้นปันผลนั้นสูงถึง 30.42 บาท เมื่อรวมกำไรจากราคาหุ้น 20.68 บาทบวกกับปันผลสะสมที่ 30.42 บาท total return จะอยู่ที่ 51.10 บาทต่อหุ้น คิดเป็นผลตอบแทน 170.34%***

สรุป วิธีการดูโมเดลให้ง่ายและไว ดูที่ช่องสุดท้ายในกรอบสีแดง ช่องหัวข้อ "อัตราผลตอบแทนจากราคาหุ้น+เงินปันผลสะสม"  

ปล.คนส่วนมากโดนหลอกให้ดูแค่ราคาหุ้นแต่เพียงอย่างเดียว จริงๆแล้วปันผลสะสมนั้นสำคัญมากสำหรับการลงทุนระยะยาว เชื่อว่าคนที่ต้องการจะสร้างพอร์ตลงทุนเพื่อการเกษียณไม่มีใครอยากได้พอร์ตลงทุนระยะสั้น คนต้องการลงทุนระยะยาวกันทั้งสิ้น 

โมเดลนี้เป็นเพียงโมเดลเพื่อการศึกษาเท่านั้น ในตลาดจริงๆแล้วมีความหลากหลายมากกว่าโมเดลที่ทำขึ้นมานี้เยอะมาก 

ส่วนลิงค์นี้คือโพสต์ก่อนหน้า https://www.facebook.com/100000554563052/posts/5784470048248090/?app=fbl

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

หลักคิด 08

เมื่อใดก็ตามที่ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทตกต่ำ จนบริษัทประสบกับปัญหาทางการเงินหรือภาวะล้มละลาย มูลค่าของบริษัทจะไม่สูงไปกว่ามูลค่าการขายทอดตลาดของกิจการ

ในหุ้นปกติ ถ้าซื้อหุ้นได้ที่ราคาเสมือน ราคาขายทอดตลาด โอกาสขาดทุนก็จะต่ำมาก

***********

ความเสี่ยงของการประกอบธุรกิจไม่ได้ถูกวัดด้วยราคาของคนที่มาต่อราคาซื้อแบบต่ำๆ 
หากแต่ความเสี่ยงจะถูกวัดด้วยผลประกอบการของตัวธุรกิจต่างหาก

**********
ว่าด้วยเรื่อง P/E บ้าง 

- ค่า P/E คือราคาหุ้นหารด้วยกำไรต่อหุ้น อันนี้ใครๆก็รู้ 

- หากกำไรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นก็แปลว่าค่า PE มีแนวโน้มลดลง

- สิ่งที่ค่า พีอี ในขณะนั้นบอกเราได้อีกอย่างหนึ่งคือหากกำไรคงที่ ค่า P/E คือ จำนวนปีที่จะได้ทุนคืน 

- ค่า พีอี ยังแสดงความหมายได้อีกอย่างหนึ่ง คือเราต้องลงทุนเท่าไหร่ ต่อกำไร 1 บาท 

เช่น พีอี 7 เท่า หมายถึงถ้ากำไรไม่ได้เปลี่ยนแปลงเราจ่ายเงิน 7 บาทเพื่อให้ได้กำไร 1 บาทที่บริษัทสามารถหาได้ หรือค่า P/E 41 เท่าหมายถึงเราจ่ายเงิน 41 บาทเพื่อกำไรที่บริษัทหาได้ 1 บาท 

เพื่อกำไร 1 บาทในปัจจุบัน คุณยอมจ่ายเท่าไร ?

#พีอี #P/E

**********

มองหาการลงทุนที่คุณสามารถใช้เป็นที่สะสมความมั่งคั่งส่วนใหญ่ของคุณได้

หมายถึง เมื่อคุณจัดการกับความเสี่ยงแล้วคุณสามารถใส่ความมั่งคั่งของคุณเข้าไปได้อย่างเต็มที่

ไม่ใช่ว่า จัดการกับความเสี่ยงแล้ว แต่กลับใส่ความมั่งคั่งของคุณลงไปในการลงทุนนั้นได้เพียงไม่ถึง 10 ถึง 15% 

มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าคุณมีความมั่งคั่งอยู่ 100 แต่การลงทุนของคุณสามารถใส่เงินเข้าไปได้แค่ 10 หรือ 15 แล้วเงินที่เหลือของคุณ จะเอาไปไว้ที่จุดไหน 

คุณเคยเห็นคนที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัวจากธุรกิจ แล้วลงทุนด้วยเพียง 10 ถึง 15 เปอร์เซ็นต์ของเงินที่มีหรือไม่ 

จริงๆแล้วมันแทบไม่มี มีแต่ลงทุนเต็มร้อยในธุรกิจที่กำลังจะสร้างเนื้อสร้างตัว แถมยังกู้เพิ่มมาลงทุนอีกด้วย

หรือในคนที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัวและลงทุนในธุรกิจอย่าง conservative สักหน่อยก็อาจจะลงทุนด้วยเงินตัวเองทั้ง 100% ไม่เติมเงินกู้

แต่ถ้าใน asset ไหนที่คุณไปลงทุน แล้วมีแต่คนแนะนำว่า ลงทุนในจำนวนเงินที่คุณยอมรับได้ ถ้ามันกลายเป็นศูนย์ นั่นแสดงว่า ความเสี่ยงมันมหาศาล จนไม่ใช่การลงทุน

สมมติ พอร์ต 100 แต่สามารถนำเงินไปลงทุนได้เพียง 10 ผลกำไรที่เกิดจาก 10 นั้น เมื่อนำมาคิดจากฐาน 100 ผลตอบแทนมันอาจจะไม่ได้มากมายอะไรเลย แต่ถ้าคุณใส่ทั้งร้อยลงไปในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงสูงมาก โอกาสที่คุณจะหมดตัวก็จะมีสูงมากๆ

ดังนั้น รู้ไว้เลยว่านั่นไม่ใช่การลงทุน แต่มันคือการพนัน มันเหมือนพยายามจะซื้อลอตเตอรี่ 

พยายามเตือนสติตัวเองไว้ ว่าต้องการจะลงทุนหรือต้องการจะถูกหวยกันแน่

ทำไมจะต้องเล่นท่ายาก ไปลงทุนในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงสูงมากๆ ใส่เงินได้น้อยๆ แล้วผลตอบแทนเมื่อเทียบกับความมั่งคั่งรวมที่มี + ระยะเวลาที่รอคอย มันน้อยนิด แต่เต็มไปด้วยความเครียดที่สูงมาก (หรือจะกล้าใส่ความมั่งคั่งทั้งหมดลงไปแล้วยอมเสี่ยงกับโอกาสหมดตัวที่มีอย่างสูง)

**********

เราเชื่อว่า เกือบทุกคนสามารถที่จะดอยได้อย่างยาวนานถ้าหาก บ.ที่ดอย

- มีปันผลแต่ละปีมากกว่า 4% ในปีแรก และเพิ่มขึ้นทุกๆปีในปีถัดๆไป 

- บริษัทมีทรัพย์สิน ที่มีมูลค่าต่อหุ้นมากกว่าราคาหุ้นที่ซื้อ 

- บริษัทไม่ล้มหายตายจากในอีก 10 ถึง 15 ปีข้างหน้า 

เพียงเท่านี้ ถึงแม้จะดอยนาน ตลาดไม่เห็นค่า ก็อดทนได้ แต่ถ้ากลับกัน 

- ไม่มีปันผล หรือปันผลน้อยกว่าอัตราเงินเฟ้อ ปันผลไม่สม่ำเสมอ หรือบางปีไม่จ่ายปันผล

- ราคาหุ้นที่ซื้อแพงกว่าทรัพย์สินต่อหุ้น ที่ บ.มี หลายๆเท่าตัว 

- ไม่รู้ว่า บ.จะโดนดิสรัปเมื่อไร หรือมีเงินจ่ายหนี้ไหวไหม (ดูน่ากังวล)

ถ้าแบบนี้ อย่าว่าแต่จะให้ดอยนานๆเลย ดอยสั้นๆก็ยังอยากรีบขายหุ้น

°°°°°°°°°°°°°°

การสร้างพอร์ตหุ้นปันผล 
- เลือก บ. ที่มีการเติบโต 
- เลือก บ.ที่ไม่ล้มหายตายจากในอีก 10 ปีข้างหน้า
- เลือก บ.ที่มีหนี้สินต่ำ
- มี Div yield บนราคาที่ซื้ออย่างน้อย 3% ขึ้นไป 
- ที่สำคัญ ผบห ซื่อสัตย์ มีคุณธรรม ไม่เอาเปรียบ นลท รายย่อย

บ.ที่เติบโตสูง แต่ปันผลต่ำเมื่อเทียบกับราคาที่เราจ่ายนั้น ไม่ค่อยเหมาะกับพอร์ตปันผล 

สมมติ 
บ.A จ่ายปันผล 1% และมีการเติบโตปีละ 20% ราคาหุ้น 100 บาท 

ปีที่ 1 ได้ปันผล 1 บาท
ปีที่ 2 ได้ปันผล 1.20 บาท
ปีที่ 3 ได้ปันผล 1.44 บาท
ปีที่ 4 ได้ปันผล 1.72 บาท
ปีที่ 5 ได้ปันผล 2.07 บาท

เทียบกับอีก บ. สมมติ
บ. B จ่ายปันผล 3% และมีการเติบโตปีละ 5% ราคาหุ้น 100 บาท 

ปีที่ 1 ได้ปันผล 3 บาท
ปีที่ 2 ได้ปันผล 3.15 บาท
ปีที่ 3 ได้ปันผล 3.30 บาท
ปีที่ 4 ได้ปันผล 3.47 บาท
ปีที่ 5 ได้ปันผล 3.64 บาท

เห็นถึงความแตกต่างไหมครับ 

การถือหุ้นบริษัทมั่นคง ที่มีปันผลดี และมีการเติบโต เปรียบเสมือนกับการถือพันธบัตรที่จ่ายดอกเบี้ยสูง และดอกเบี้ยที่จ่ายให้นั้น เพิ่มขึ้นทุกปี เป็นอะไรที่หาไม่ได้ในพันธบัตร

°°°°°°°°°°°°°°

อิสระทางการเงิน คือการหยุดทำงานได้ในขณะเจ็บป่วย ในขณะไปเที่ยว ในในขณะที่ออกกำลังกาย หรือแม้แต่ในยามปกติ โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องรายได้ โดยที่รายได้ยังคงหลั่งไหลเข้าตลอดเวลา 

คุณเลือกได้ว่าคุณจะสร้างพอร์ตหุ้นของคุณให้เป็นที่สะสมหุ้นเก็งกำไรที่ต้องจับจังหวะในการซื้อขายตลอดเวลา เพื่อจะมีรายได้ 

หรือจะให้พอร์ตหุ้นเป็นที่สะสมธุรกิจชั้นเยี่ยม และถ้าตราบใดที่มันยังเป็นธุรกิจชั้นเยี่ยมแล้ว คุณก็คงไม่อยากจะขายมันออก เพราะมันจะจ่ายปันผลให้คุณอย่างต่อเนื่องได้เรื่อยๆ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้คุณได้เรื่อยๆ

**********
คนจำนวนไม่น้อย แยกไม่ออกระหว่างคำว่า "หุ้นราคาที่ลดลง" กับ "หุ้นราคาถูก" (หมายถึงราคาที่ต่ำกว่ามูลค่า) อย่างในตัวอย่างนี้ มันคือหุ้นที่ราคาลดลงต่อเนื่อง

เรื่องพื้นๆอย่างนี้ จริงๆแล้วสำคัญมาก เพราะมันสามารถสร้างความเข้าใจผิด ทำให้มี mind set แบบผิดๆ แล้วเกิด action ที่ผิดตามมา 

ลองคิดดูหากคุณเข้าใจผิดคิดว่ามันเป็นหุ้นราคาถูก แล้วคุณขาดทุนกับมันอย่างถาวร แล้วทำซ้ำบ่อยๆ คุณก็จะเข้าใจว่า หลักการนั้น "ผิด" ใช้งานไม่ได้จริง แน่นอนว่า มันคือการทำให้คุณมีความเข้าใจแบบผิดๆติดอยู่ในใจ

สาเหตุหนึ่งที่ทำให้แยกไม่ออกระหว่างคำว่าหุ้น ราคาที่ลดลง กับ หุ้นราคาถูก (หมายถึง ราคาต่ำกว่ามูลค่าอย่างแท้จริง) สาเหตุหลักเป็นเพราะ ไม่สามารถประเมินมูลค่าได้ ทำให้มองไม่ออกว่าราคาไหนคือคำว่า "ราคาถูก" 

ปล. รูปนี้เป็นตัวอย่างของหุ้นที่ราคาลดลง


**********

การที่ บ.ซื้อหุ้น บ.อื่น หรือเทคโอเวอร์ บ.อื่น ในราคาที่สูงกว่าความเป็นจริงไปมากๆนั้น แม้มูลค่าของดีลจะดูเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ ขนาดของ บ.ผู้ซื้อก็ตาม 

แต่มันแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ว่าไม่ใส่ใจต่อผลประโยชน์ผู้ถือหุ้น
***********

- อย่ายึดติดกับราคามากเกินไป

- ราคาเหมือนประตูทางเข้าและทางออก

- บ.ที่เติบโตมากขึ้น สูงขึ้น ประตูทางออกจะขยับสูงตาม แม้ว่าบางครั้งมันจะลอยสูงกว่ามูลค่า บ.หรือบางครั้งจะลอยต่ำกว่า แต่มันก็จะวนเวียนรอบๆมูลค่า บ.เสมอ

- มูลค่าต่างหาก ที่คาดหวังว่า บ.จะมีเพิ่มขึ้นจากการทำธุรกิจ

- ถือ บ.ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพิ่มเร็วบ้าง ช้าบ้าง ในบางจังหวะของ ศก แต่ก็เพิ่ม

- เป้าของ บ.เติบโตทุกปี บ.ที่ทำได้ดีกว่าเป้าบ้าง พลาดเป้าบ้าง ในระดับที่ไม่มากนัก เป็นเรื่องปกติของธุรกิจ 

- เมื่อ บ.มีกำไร มูลค่าย่อมเพิ่มขึ้น 

- ปีที่กำไรเพิ่มดีกว่าเป้า บ.จะโตเร็วขึ้น

- ปีที่ บ.กำไรพลาดเป้า บ.จะโตช้าลง แต่ยังไงก็โต 

- การพลาดเป้าหมายของ บ.แปลว่าโตช้ากว่าที่ บ.ต้องการแต่ไม่ได้แปลว่าจะไม่โต

- มูลค่าของ บ.เพิ่มขึ้นตามการเติบโต

- สิ่งไม่คาดคิดทางธุรกิจ มีทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย ถ้า บ.มีความพร้อม เมื่อเรื่องร้ายเข้ามา บ.ย่อมรับมือได้ และเมื่อมีเรื่องดีเข้ามา บ.ย่อมคว้าเอาไว้ได้

- ความพร้อม ของ บ. ต้องมีทั้งด้านการบริหารและการเงิน

- ฟ้าหลังฝนสดใสเสมอ ขอแค่ บ.มั่นคง มีการเตรียมพร้อม และมี ผบห ที่ดี
***********

ถ้าจะวิ่งมาราธอน คงไม่ฝึกการวิ่งด้วยหลักการของการวิ่งร้อยเมตร

การลงทุนก็เช่นกัน หากจะลงทุน ไม่ควรนำเอาหลักการของการเก็งกำไรมาใช้

**********
ตัวอย่าง การคำนวนราคา โดยอาศัยบทวิเคราะห์

จากบทวิเคราะห์ เห็นว่ากำไรต่อหุ้นในปี 2024 นั้นจะอยู่ที่ประมาณ 1.85 ถึง 1.88 บาทต่อหุ้น 
1. กำไรต่อหุ้นค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.86 บาทต่อหุ้น 
2. สมมุติคิดลดที่ 10% กำไรต่อหุ้นของปี 2024 จะอยู่ที่ประมาณ 1.674 บาทต่อหุ้น 
3. ค่า P/E ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 6.9 เท่า
4. ค่า P/E ในอดีตเคยสูงถึง 14-15 เท่า 
5. ดังนั้นค่า P/E เฉลี่ยหนังประมาณ 10 ปีจะอยู่ที่ประมาณ 10 เท่า

- ถ้าคำนวนแบบเต็ม ราคาจากการคำนวณ จะได้ช่วงราคาช่วงบนที่ EPS สูง × พีอีสูง จะได้ 1.88 × 14 เท่า ดังนั้นราคาจากการคำนวณจะอยู่ที่ 26.32 บาท           

- ถ้าคำนวณโดยใช้กำไรต่อหุ้นที่ 1.85 บาทต่อหุ้นและใช้ค่า PE ปัจจุบัน ที่ 6.9 เท่า จะได้ราคาประมาณ 12.75 บาท         

- แต่ถ้าคำนวณโดยใช้ EPS ค่าเฉลี่ย คือ 1.86 บาท แล้วคิดลดอีก 10% EPS ที่ใช้คำนวณจะเป็น 1.674 บาท 

ส่วนค่า P/E สูงสุดแถว 15 เท่า และค่า P/E ปัจจุบัน 6.9 เท่านำมาหาค่าเฉลี่ย ได้ค่า P/E 10.9 เท่า แล้วคิดลดค่า P/E ไปอีก 20% จะได้ค่า PE ที่ 8.7 เท่า

(การคิดลดทั้งกำไรต่อหุ้นที่เฉลี่ยแล้ว และค่า PE เฉลี่ย คิดลดลงไปอีกนั้น เพื่อให้สมมติฐานมีความ conservative มากขึ้น)

แล้วนำกำไรสุทธิต่อหุ้นหลังจากที่คิดลดแล้วมาคูณกับค่า P/E ที่คิดลดแล้วจะได้ราคาคำนวณ ที่ค่อนข้าง conservative โดยอิงจากบทวิเคราะห์

 จะได้ 1.674 × 8.7 = 14.56 บาท

ปล. จะเห็นว่าการคำนวณนั้นเป็นไปทั้ง 3 อย่าง คือกรณีที่ดีสุดตามบทวิเคราะห์ กรณีของค่าเฉลี่ย และกรณีที่แบบมีส่วนลด นี่ยังไม่ได้พูดถึงเงินปันผลที่จะได้รับในแต่ละปีอีกต่างหาก ส่วนตัวเลขที่จะคิดลดกี่เปอร์เซ็นต์นั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ 

จากกรณีนี้ที่ยกเป็นตัวอย่างจะคำนวณต่อให้ดูว่า มีอัพไซส์กี่เปอร์เซ็นต์ 

กรณีแรกที่คำนวณแบบดีสุดแล้วได้ราคาที่ 26.32 บาทนั้น เป็นราคาของผลประกอบการปี 2024 ที่ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 10.90 บาท 
เป็นกรณี Best case อย่างที่ว่า มีอัพไซส์สูงถึง 141% + ปันผลสมมุติปีละ 4% ปีก็อีก 8% 
สรุปคือในกรณีที่ดีที่สุด จะมีอัพไซส์สูงถึง 149%
ซึ่งแน่นอนว่าเราไม่มีทางรู้ว่ามันจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้หรือเปล่า 

กรณีต่อมาคือกรณีที่คำนวณแล้ว ราคาที่ 12.75 บาท ราคาปัจจุบัน 10.90 บาท เท่ากับมีอัพไซส์ประมาณ 17% + สมมุติว่าปันผลอีกปีละ 4% 2 ปีเป็น 8% สรุปในกรณีนี้ จะมี up size 25% บนเวลา 2 ปี

และในกรณีที่ ราคา 14.56 บาท หาปัจจุบัน 10.9 บาท เท่ากับมีอัพไซส์ 33% สมมุติปันผลปีละ 4% ปีก็ 8% สรุปได้ว่าในกรณีนี้ มีอัพไซส์ 41% บนเวลา 2 ปี

เพิ่งระลึกว่าเราไม่มีทางรู้ล่วงหน้า ว่าจะเกิดในกรณีไหน

#AP


************


ลงทุนในขอบเขตความรู้ของตนเอง ฟังเหมือนง่าย แต่เมื่อทำจริงจะไม่ง่ายอย่างที่คิด

เพราะ การรู้ขอบเขตความสามารถของตัวเองเป็นสิ่งที่ยากมาก เนื่องจากความคิดของคนเรา มักหลอกตัวเอง ว่าเราฉลาดว่าที่เราเป็น

**********

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

หลักคิด 07

อย่างแรกเลยผมมองว่า Plant base มันก็คือ "อาหารเจ" นะครับ 
ผมก็พยายามหาคำตอบ โดยเริ่มจากคำถาม

- กลุ่มคนอายุขนาดไหนจะทาน
- พ่อแม่จะยอมให้ลูกทานไหม สารอาหารที่เด็กได้รับจะครบไหม
- ถ้าไม่ยอมให้ลูกทาน (อาหารเจ) อาหารในบ้านก็ต้องใช้เนื้อสัตว์จริงตามปกติ แล้วพ่อแม่จะทนทานเจได้นานแค่ไหน
- เด็กวัยรุ่นจะทานอาหารเจไหม สารอาหารที่ได้รับจากครบไหม เป็นวัยที่มี activity สูง 
- คนวัยกลางคน ถ้าเป็นกลุ่มรักสุขภาพออกกำลังกายสร้างกล้ามเนื้อหรือนักวิ่ง จะยอมทานเจหรือไม่ ทานแล้วจะทำให้หมดแรงในการออกกำลังกายหรือไม่
- คนที่มีปัญหาสุขภาพ ไขมันสูงคนอ้วน ผู้ป่วยที่มีน้ำหนักเกิน และคนสูงอายุ อาจจะเหมาะ แต่ไม่ใช่ว่าจะชอบกันทุกคน ดังนั้น คนกลุ่มนี้น่าจะทานด้วยความจำเป็นทางสุขภาพ 
- Plant base พยายามจะทำอาหารเจ ออกมาขายในราคาที่แพงกว่าเนื้อสัตว์ปกติ โดยชูโรงเรื่องสุขภาพที่ดี ไขมันต่ำ (สารอาหารอื่นๆก็ได้ไม่ครบเหมือนเนื้อสัตว์ปกติ) ด้วยราคาและค่าใช้จ่าย มันจึงน่าจะเหมาะกับ ผู้ป่วยหรือคนสูงวัย ที่ทานเสมือนควบคุมอาหาร ควบคุมน้ำหนักมากกว่าจะทานไหมชีวิตประจำวันหรือเปล่า ???

***********

หุ้นที่พีอีสูง ราคาแพงกว่ามูลค่ามากๆ หุ้นที่ยังไม่มีกำไรจนต้องไปวัดด้วยค่า ราคาต่อยอดขาย เห็นได้ชัดว่าหุ้นเหล่านี้เป็นหุ้นยอดฮิต (ราคาถึงได้ขึ้นไปสูงขนาดนั้น) 

หุ้นยอดฮิต หมายถึงหุ้นที่คนจำนวนมากมีมันแล้ว แห่เข้าไปซื้อมันไว้แล้ว (ราคาถึงได้ขึ้นไปสูง)

เมื่อการปรับฐานของตลาดมาถึง หุ้นเหล่านี้จะเป็นหุ้นที่มีความผันผวนสูง มี Downside risk สูง 

ต้องอย่าลืมว่า คนส่วนมากที่ซื้อหุ้นเหล่านี้ ให้น้ำหนักในการซื้อกับ โมเมนตัมด้านราคามากกว่าจะสนใจเรื่องปัจจัยพื้นฐานหรือมูลค่า

ดังนั้นเมื่อราคาลงมาถึงจุด trigger แรงขายจำนวนมากจะเทราคาหุ้นลงมา และยิ่งราคาลงมามากเท่าไร ก็ยิ่งจะกวาดติด trigger มากขึ้นเรื่อยๆ

แรงเทขายจะไปส่งผลกระตุ้นให้เกิดแรงเทขาย และ แรงเทขายจำนวนมากก็จะยิ่งส่งผลกระตุ้นให้เกิดแรงเทขายมากขึ้นไปอีก 

การกระโจนเข้าสู่หุ้นยอดฮิต ไม่ต่างอะไรกับการเดินบนเชือก ที่ปลายเชือกทั้งสองข้างผูกอยู่บนยอดตึกสูง เวลาร่วงลงมา ก็จะร่วงลงได้ลึกมาก

**********

พอร์ตสำหรับลงทุนระยะยาว เราควรจะลดความสนใจด้านราคาลง และให้ความสนใจกับผลประกอบการ อนาคตของกิจการ พฤติกรรมของผู้บริหาร กำไรแต่ละปีของบริษัท กระแสเงินสดของบริษัท และเงินปันผล

**********

เวลาเลือกหุ้นลงทุน อย่ามองแต่ upside อย่างเดียว ช่วงที่เป็นตลาดหมีนี่แหละ ที่จะสอนให้รู้ว่า มูลค่า ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ทรัพย์สินที่บริษัทมี และเงินปันผล เป็นสิ่งที่จะมารองรับแรงกระแทก ป้องกัน downside ไม่ให้มากจนเกินไป

**********

เลือกหุ้นที่
- พื้นฐานดี 
- งบการเงินแข็งแรง 
- ผบห.ดี 
- สินค้าของ บ.อยู่ในใจผู้บริโภค
- มีปันผลพอใช้ได้

หากซื้อได้ในราคาต่ำกว่ามูลค่าแล้ว จากนั้นที่ต้องทำคือ "รอ" รอให้เป็น ถือหุ้นให้ได้อย่างน้อย 2-3 ปี อย่าวอกแวกไปกับทางลัด แล้วสิ่งดีๆจะทยอยเข้ามาเอง 💕
**********

อัตราการเติบโตที่สูง เป็นสิ่งล่อตาล่อใจนักลงทุนมากกว่ากำไรที่เติบโตต่ำแต่มีความสม่ำเสมอ 

ดังนั้น นลท จึงแห่กันดันราคาหุ้นที่มีการเติบโตสูง ทำให้ราคาหุ้นแพงเป็นอย่างมาก จนมันไม่ใช่การลงทุนที่ดีอีกต่อไป แม้จะเป็นบริษัทที่ดีก็ตาม

***********

เราเชื่อว่า เกือบทุกคนสามารถที่จะดอยได้อย่างยาวนานถ้าหาก บ.ที่ดอย

- มีปันผลแต่ละปีมากกว่า 4% ในปีแรก และเพิ่มขึ้นทุกๆปีในปีถัดๆไป 

- บริษัทมีทรัพย์สิน ที่มีมูลค่าต่อหุ้นมากกว่าราคาหุ้นที่ซื้อ 

- บริษัทไม่ล้มหายตายจากในอีก 10 ถึง 15 ปีข้างหน้า 

เพียงเท่านี้ ถึงแม้จะดอยนาน ตลาดไม่เห็นค่า ก็อดทนได้ แต่ถ้ากลับกัน 

- ไม่มีปันผล หรือปันผลน้อยกว่าอัตราเงินเฟ้อ ปันผลไม่สม่ำเสมอ หรือบางปีไม่จ่ายปันผล

- ราคาหุ้นที่ซื้อแพงกว่าทรัพย์สินต่อหุ้น ที่ บ.มี หลายๆเท่าตัว 

- ไม่รู้ว่า บ.จะโดนดิสรัปเมื่อไร หรือมีเงินจ่ายหนี้ไหวไหม (ดูน่ากังวล)

ถ้าแบบนี้ อย่าว่าแต่จะให้ดอยนานๆเลย ดอยสั้นๆก็ยังอยากรีบขายหุ้น

******

บริษัท ที่ราคาต่ำกว่ามูลค่า โดยที่มีการประเมินมูลค่าอย่าง conservative นั่นหมายถึงตลาดยังไม่ได้ให้ค่ากับมัน และมันก็หมายถึง ราคาหุ้นไม่ได้ถูกผลักดันด้วย easy money 

หุ้นที่ไม่มี easy money ผลักดันราคาอยู่ ย่อมผันผวนต่ำกว่าหุ้นที่มี easy money แฝงตัวอยู่ในราคา 

และในยามที่ easy money โดนดึงกลับ (จาก FED ลด QE) ผลกระทบต่อหุ้นที่มี easy money หนุนราคาอยู่ย่อมมีความผันผวนสูง

******
เนื่องจาก UST ให้ APY 19% (สูงเกินจริง แบบแชร์ลูกโซ่ เอาผลตอบแทนสูงๆมาดึงเงินคน)

ดอกเบี้ย และเงินต้นที่หายไปจากจาก UST , LUNA แตก ยังไม่แสดงผลกระทบออกมาทั้งหมด 

มีหลายกองทุนที่เอาเงินไปวางกลับ UST เพื่อรับดอกเบี้ยแล้วส่งต่อให้กับผู้ถือหน่วย ได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน เพียงแต่ต้องรอเวลาอย่างน้อยให้มันได้แสดงผลอีกสัก 1-3 เดือน 

ผลกระทบจาก แชร์ลูกโซ่ LUNA จะทยอยแสดงตัวออกมาเรื่อยๆหลังจากนี้ 

DEFI ไม่มีอยู่จริง โด ควอน 
- ควบคุมปริมาณจำนวนเหรียญ 
- กำหนด APY สูงเกินจริง
- และ อิสระให้เงินไหลเข้า ผ่าน อัลกอริทึม 

โด ควอน ทำตัวเป็นเหมือนธนาคารกลางของประเทศที่ผิดพลาดทางการเงิน และจงใจสร้างแชร์ลูกโซ่ผ่าน APY สูงๆ 

ถ้าคุณไม่เชื่อถือแบงค์ชาติ แต่คุณกลับไปเชื่อใครสักคนที่ไม่รู้ที่มาที่ไปแทนแบงค์ชาติ เอาเงินที่คุณมีไปฝากเขาแทนธนาคารปกติ ที่อยู่มาอย่างยาวนาน คุณมีวิธีคิดที่ผิดแน่ๆ แค่จะรู้ตัวหรือไม่เท่านั้นเอง

#Crypto #LUNA
*****
การสร้างพอร์ตหุ้นปันผล 
- เลือก บ. ที่มีการเติบโต 
- เลือก บ.ที่ไม่ล้มหายตายจากในอีก 10 ปีข้างหน้า
- เลือก บ.ที่มีหนี้สินต่ำ
- มี Div yield บนราคาที่ซื้ออย่างน้อย 3% ขึ้นไป 
- ที่สำคัญ ผบห ซื่อสัตย์ มีคุณธรรม ไม่เอาเปรียบ นลท รายย่อย

บ.ที่เติบโตสูง แต่ปันผลต่ำเมื่อเทียบกับราคาที่เราจ่ายนั้น ไม่ค่อยเหมาะกับพอร์ตปันผล 

สมมติ 
บ.A  จ่ายปันผล 1% และมีการเติบโตปีละ 20% ราคาหุ้น 100 บาท 

ปีที่ 1 ได้ปันผล 1 บาท
ปีที่ 2 ได้ปันผล 1.20 บาท
ปีที่ 3 ได้ปันผล 1.44 บาท
ปีที่ 4 ได้ปันผล 1.72 บาท
ปีที่ 5 ได้ปันผล 2.07 บาท

เทียบกับอีก บ. สมมติ
บ. B จ่ายปันผล 3% และมีการเติบโตปีละ 5% ราคาหุ้น 100 บาท 

ปีที่ 1 ได้ปันผล 3 บาท
ปีที่ 2 ได้ปันผล 3.15 บาท
ปีที่ 3 ได้ปันผล 3.30 บาท
ปีที่ 4 ได้ปันผล 3.47 บาท
ปีที่ 5 ได้ปันผล 3.64 บาท

เห็นถึงความแตกต่างไหมครับ 

การถือหุ้นบริษัทมั่นคงที่มีปันผลและมีการเติบโต เปรียบเสมือนกับการถือพันธบัตรที่จ่ายปันผลสูงและดอกเบี้ยที่จ่ายให้นั้นเพิ่มขึ้นทุกปี  เป็นอะไรที่หาไม่ได้ในพันธบัตร

**********

คนที่ไม่เคยผ่านวิกฤติการลงทุนมาก่อน ไม่มีประสบการณ์ ไม่มีความรู้ในการรับมือกับความเสี่ยง ไม่มี money management ที่ดี แล้วคิดว่าการเล่นกับความผันผวน คือ เรื่องสนุก 

ส่วนมากต้องออกจากเกมแบบยาวๆ 

หลายคนสะสมทุนกลับเข้ามาใหม่ 
หลายคนออกถาวร 

(ซึ่งคนที่จะมี mm ที่ดีได้นั้น ต้องศึกษา + มีความรู้ มีปสก ระดับนึง)

***********

หุ้นตัวนี้ดีนะครับพี่ กำลังจะ turn around จะทำกำไรได้มหาศาลในเวลาอันรวดเร็ว
 
- ตามสบายเลยครับ ผมเล่นหุ้น turn around ไม่เป็น ผมยอมพลาดกำไรก้อนใหญ่ที่ไม่ได้มาจากการลงทุนในแนวทางของผมครับ 

ตัวนี้กำไรเติบโตสูงเลยนะครับ เป็นหุ้นที่ดีมากๆ มีเซียนเข้าหลายคนเลยนะครับ 

- ตามสบายเลยครับ ผมยอมพลาดทำไรก้อนโตจากหุ้นเติบโตสูง ที่ราคาแพงเกินไปครับ 

หุ้นปิโตรเคมีช่วงนี้น่าซื้อนะครับ รอบขาขึ้น

- ตามสบายเลยครับ ยอมพลาดกำไรก้อนโตจากธุรกิจที่ผมไม่เข้าใจมันครับ

ถ้าเราทำกำไรได้จากหุ้นที่มาจากหลักการของเรา ในแนวทางของเรา ก็ย่อมจะต้องพลาดกำไรจากหุ้นอื่นๆ ที่อยู่นอกหลักการของเรา "เพราะกระสุนเรามีจำกัด" เป็นธรรมดาที่จะต้อง trade off กันไป

คิดจะทำกำไรจากทุกแนวทาง แม้กระทั่ง แนวทางนั้นจะเป็นแนวทางที่ตนเองไม่ถนัด นั่นคือหนทางสู่ความเสียหายอย่างแท้จริง

**********

อย่าปล่อยให้ความคิดเก็งกำไร 
ส่งผลต่อแผนการลงทุน

**********

ความผิดพลาดของนักลงทุนที่พบเจอได้บ่อย

- หลงผิด แยกไม่ออกว่าอะไรคือการลงทุน อะไรคือการเก็งกำไร

- ขาดความอดทน รอไม่เป็น ขยัน Action คิดว่าการซื้อๆขายๆ จะดีต่อพอร์ต

- โลภมากเกินไป รวยธรรมดาไม่พอ ต้องการรวยเร็วแบบสายฟ้าฟาด ซึ่งจะทำให้แผนการลงทุนให้ความสำคัญในสิ่งที่ผิดๆ

- ไม่รู้ว่าความเสี่ยงแท้จริงเกิดจากอะไร ความเสี่ยงเกิดจากการไม่รู้ในธุรกิจนั้นมากพอ ดีพอ ก่อนลงทุน

- ไม่รู้ว่าตนเองไม่รู้อะไร เพราะการรู้ว่าตนเองไม่รู้อะไร จะทำให้รู้จุดอ่อนของตนเองเพื่อปรับปรุง หรือหลีกเลี่ยงการลงทุนบนจุดอ่อนของตนเอง

- ยอมลุยซื้อทุกราคา แค่ขอให้เป็นหุ้นดี ราคาไหนก็ยอมซื้อ (หุ้นที่ดี อาจไม่ใช่การลงทุนที่ดี ถ้าซื้อแพงเกินไป)

- ไม่เตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ เมื่อโอกาสเข้ามาก็คว้าไม่ทัน พลาดโอกาสอย่างน่าเสียดาย

**********

ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักลงทุนจะหดหายไปเมื่อเกิดความโลภ และ อัตราการเติบโตที่สูงๆ นั้นคือ ปัจจัยที่ทำให้เกิดความโลภได้มากที่สุด
***********

วิธีการคำนวน ขนาด position ของ Trader เพื่อควบคุมความเสี่ยง 

สมมติ พอร์ตมีเงินลงทุน 1 ลบ แล้วจะ bet ให้ได้ 20 ครั้ง เท่ากับแต่ละครั้งจะขาดทุนได้ไม่เกิน 1,000,000 ÷ 20 = 50,000 บาท

เลือก "เครื่องมือ" ที่ใช้เป็นจุด stop loss อันนี้ยกเป็นตัวอย่าง

สมมติ ใช้เส้นค่าเฉลี่ยที่ low เดิมลงมาแตะแล้วเด้ง เป็นจุดคัท ในที่นี้จุดคัทจะอยู่ที่ 9.25 บาท ราคาหุ้นอยู่ที่ 9.80 บาท หากราคาแตะ 9.20 จะ stop loss
แปลว่าจะขาดทุน 0.60 บาท 

จากที่คำนวณข้างบน การ bet แต่ละครั้งจะยอมขาดทุนมากสุด 50,000 บาท 

ดังนั้น จะซื้อหุ้นได้ 50,000 บาท ÷ 0.60 บาท = 83,300 หุ้น 

แต่ปกติเวลาราคาไหลลงมักจะมี slippage ดังนั้นการเพื่อค่า slippage อาจซื้อเพียง 80,000 หุ้น 
ก็พอ

อันนี้ แนวทางการควบคุมความเสี่ยงอย่างนึงของเทรดเดอร์  

*** เครื่องมือที่ใช้เป็นจุด stop loss แต่ละคนจะใช้ไม่เหมือนกัน

การคำนวน position เพื่อคุม risk ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ควรทำ มันยังมีปัจจัยอื่น เช่น สภาพตลาดแบบไหน ถึงควร bet สภาพตลาดแบบไหนควรพัก รวมถึงยังมีปัจจัยด้านอื่นๆเฉพาะตัวของหุ้น เช่น ไม่เล่นหุ้นต่ำบาท ไม่เล่นหุ้นสภาพคล่องต่ำ และอื่นๆอีกมาก 

เล่าเพื่อคนที่เป็นเทรดเดอร์มือใหม่ จะได้คุมความเสี่ยงเป็น ^^

วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

หลักคิด 06

เวลาซื้อ Asset เพื่อการเก็งกำไร จ่ายเงินเพื่อซื้อ "ราคา" แต่การลงทุน จ่ายเงินเพื่อซื้อ "มูลค่า"

ดังนั้นเวลาดูความผันผวนของ assets เพื่อ การเก็งกำไรดูที่ราคา ส่วนการดูความผันผวนของการลงทุนแท้จริงแล้วควรดูที่ "มูลค่า"  

เนื่องจากมูลค่าเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ไม่ชัดเหมือนกับราคาตลาด มันจึงดูความผันผวนของมูลค่าได้ยาก  

สิ่งหนึ่งที่จะใช้ดูความผันผวนของมูลค่าโดยเทียบเคียงได้ ก็คือดูไปที่กระแสเงินสดอิสระที่บริษัทหาได้ในแต่ละปี ว่ามีความผันผวนเพิ่มขึ้นลดลงหวือหวาขนาดไหน (ถ้ากระแสเงินสดอิสระมีการขึ้นลงแบบวูบวาบมากๆ แบบนี้คือมีความผันผวนมาก)

เวลามีคนบอกว่า หุ้นที่ซื้อเพื่อการลงทุนนั้นมี ความผันผวนมาก (โดยดูจากราคา) แปลว่าเขายังไม่เข้าใจ หรือไม่มี หลักการลงทุนที่ยึดโยงกับมูลค่าเป็นหลัก (อาจเป็นเพราะยังไม่เข้าใจหลักการลงทุนมากพอ หรือ ยังมี mindset แบบการเก็งกำไรอยู่มาก)

**********
การลงทุนนั้น ปัจจัยหลักไม่ใช่เรื่องของพรสวรรค์   แต่มันคือระบบคิด หลักการที่ใช้ และ ความเชื่อที่มี

**********

https://www.facebook.com/201021659949869/posts/5394452260606757/?sfnsn=mo

**********

ความโลภทำให้ นลท ที่เก่งอยู่แล้ว  ยอมหลับตาข้างนึงบนหลักการที่ดีอยู่แล้วของตัวเอง ซึ่งสุดท้ายแล้วมักจะจบด้วยความเจ็บปวด

**********

- ธุรกิจ คือ ผลิตสินค้าและบริการ 

- นักลงทุน คือ คนที่ลงทุนในธุรกิจ

- นักเก็งกำไร และเทรดเดอร์ สนใจแค่ราคาที่เพิ่มขึ้นของ asset ที่ถือครอง ไม่ว่ามันจะเป็นธุรกิจ หรือไม่ก็ตาม

- ทรัพย์สินหลายชนิดเป็น วัตถุดิบของการผลิตสินค้าของธุรกิจ มีราคาขยับทำให้มีคนมาเทรด มาเก็งกำไร และมี real demand เพื่อการผลิตสินค้าและบริการ 

- ทรัพย์สินบางชนิดไม่ได้เป็นวัตถุดิบของสินค้าและบริการ ไม่ได้มี real demand คนที่ซื้อเพื่อต้องการเอามาเร่ขายต่อ พยายามหาคนที่ยอมซื้อแพงกว่า โดยคนที่ซื้อต่อก็ไม่ได้เอาไปผลิตสินค้าและบริการ แต่ซื้อไปเพื่อเอาไปเร่ขายต่ออีกทีเป็นทอดๆเท่านั้น (สร้างฟองสบู่) 

ซึ่งแน่นอน ราคาย่อมไม่มีวันขึ้นได้ตลอด (ไม่งั้นคงสูงทะลุฟ้า) และเมื่อฟองสบู่ของทรัพย์สินนั้นแตก เหมือนผึ้งแตกรัง แห่ขายถล่มทลาย ทิ้งไว้เพียงความเสียหายยับเยิน ที่ไม่ได้มีผลิตผลใดๆทั้งสิ้น ไม่มีทั้งสินค้าและบริการใดทั้งสิ้น นอกจากการเก็งกำไร และความเสียหายที่เกิดจากการพนันนั้น ส่งผลให้เกิดปัญหาสังคมตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นักเก็งกำไรอาจจะรอด อาจจะโชคดีได้ในบางวัน ในบางครั้ง แต่ไม่เคยมีใครรอดได้ทุกครั้ง หรือโชคดีได้ทุกครั้ง

***********

คนที่มีประสบการณ์ในตลาดหุ้นน้อยๆ โดยมากมักเข้าตลาดมาพร้อมด้วยอีโก้สูงๆ 

เข้ามาถึงมักจะหวังผลตอบแทนสูงๆ รวยเร็วๆ สามปีชั้นต้องรวยทำนองนี้ เข้ามากะว่าจะมาฟาดฟันเอากำไรจากตลาดมากๆ 

โดยที่ลืมไปว่า การจะรวยเร็วๆจากตลาดหุ้น คือ ต้องเทรด ต้องฟาดฟันเพื่อกินเงินคนอื่นที่อาจอยู่ในตลาดมานานกว่า มี ปสก มากกว่า และอาจจะมีเงินมากกว่า เรียกรวมๆ คือ เป็นคนที่เก๋าเกมกว่า 

แล้วมือใหม่ด้อย ปสก กลับคิดว่าการจะกินเงินคนอื่นในตลาดเป็นเรื่องง่าย

ถ้ารอดอยู่ในตลาดนานพอ อีโก้จะค่อยๆลดลงไปเอง ความหวังจะตั้งอยู่บนเหตุผลที่มากขึ้น ตลาดจะเป็นคนสอน ตลาดจะให้บทเรียนเอง

**********

เงินเฟ้อ สาเหตุหลัก
1. Cost push น้ำมันแพง สินค้าทุกชนิดขึ้นราคา 
2. Demand pull ความต้องการสินค้ามีมาก ประชาชนหาเงินได้ง่ายมีกำลังซื้อสูง ส่งผลให้สินค้าขึ้นราคา จากกำลังซื้อที่ดี

การขึ้นดอกเบี้ยจะไปลด การทำธุรกรรมที่ต้องใช้การกู้ยืม เช่นการซื้อสินค้าชิ้นใหญ่ที่ต้องกู้ยืม การทำธุรกิจที่ต้องใช้เงินกู้สูง ทำให้ลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจลง ส่งผลให้เงินเฟ้อลดลง พูดง่ายๆคือไปลดที่ demand pull 

แต่จะเห็นได้ว่า ประเทศไทยเงินเฟ้อเกิดจาก น้ำมันแพงส่งผลให้สินค้าทุกประเภทขยับตัวขึ้น ประกอบกับเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวดี พูดง่ายๆ คือ เศรษฐกิจไทย เงินหายาก สินค้าราคาแพง สาเหตุเกิดจาก Cost push

ประกอบกับเศรษฐกิจของไทยพึ่งเครื่องยนต์หลัก คือ การส่งออกและการท่องเที่ยว ซึ่งจะได้รับผลดี ค่าเงินบาทอ่อน 

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ในประเทศไทยนั้น "ยังไม่ถึงเวลาที่จะขึ้นดอกเบี้ย" 

เพราะการขึ้นดอกเบี้ยไม่ได้ทำให้ราคาน้ำมันถูกลง 

หมายถึงว่า สมมุติถ้าขึ้นดอกเบี้ยเงินเฟ้อก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม แก้อะไรไม่ได้ และยังไปซ้ำเติมเศรษฐกิจ ที่ยังไม่ฟื้นตัวดี ให้ทรุดลงไปอีก

แต่หากไม่ขึ้นดอกเบี้ย แล้วเงินต่างชาติไหลออก ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อน ประเทศจะได้ผลดีจากการท่องเที่ยวและการส่งออกที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน และเป็นจังหวะที่ดีที่จะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนลง โดยไม่โดนกล่าวหาว่าเข้าไปแทรกแซงค่าเงินอีกด้วย 

แต่ต้องคอยเฝ้าดู จับตาดู เงินบาทค่อยๆอ่อนค่าลง อย่าให้เงินบาทอ่อนค่าลงเร็ว แรงเกินไป

**********

เห็นตลาดหุ้นทางอเมริกาลงแรง คิดว่าหลายคนเช้านี้คงจะกังวลกันไม่น้อย

หากซื้อหุ้นเพื่อการลงทุน อยากจะเตือนสติ 

ถ้าจ่ายเงินซื้อหุ้นของบริษัท เพราะซื้อมูลค่า ซื้อเพราะผลการดำเนินงานของบริษัท ซื้อเพื่อให้ได้สัดส่วนของบริษัทมาเป็นเจ้าของ 

ก่อนจะกังวลอะไรนั้น อย่าลืมคิดว่าความผันผวนของราคา 
- ส่งผลต่อมูลค่าหรือไม่ 
- ส่งผลต่อการดำเนินงานของบริษัทหรือไม่ 
- ที่แน่ๆก็คือ ว่าราคาจะผันผวนแค่ไหน สัดส่วนความเป็นเจ้าของในบริษัทยังเหมือนเดิมตามจำนวนหุ้นที่ถือ ไม่ใช่ตามราคาตลาดที่ขยับขึ้นลง

แต่ถ้าซื้อหุ้นเพื่อเก็งกำไร ก็อีกเรื่องนึง คนละหลักคิดกัน

**********

หนังสือประเภท แค่กระพริบตาก็รวยหุ้น เล่นหุ้น รวย เร็ว แรง fast & furious อะไรทำนองนี้ ทำให้มือใหม่อ่านแล้วกลายเป็นเม่า 

ตั้งเป้าเข้าตลาดหุ้นจะเป็น Hunter ตั้งเป้าจะเข้ามาฟาดฟันเอาเงินมากๆจากตลาดหุ้น 

จนผ่านไปได้สักระยะถึงรู้ตัวว่าไม่ได้เป็น Hunter นินา เป็นได้แค่หมูในอวย

เคยมีคนบอกว่า ถ้าคุณเล่น poker ผ่านไปสัก 2-3 รอบแล้ว คุณยังไม่รู้ว่าใครเป็นหมู
คุณแหละเป็นหมู 

และจนกว่าจะมีประสบการณ์ที่มากเพียงพอ + หลักการที่ถูกต้อง ถึงจะเลิกเม่า

ดังนั้นเลือกหนังสือที่จะอ่านให้ดีๆ มันจะย้ำอยู่ในหัวเรา มันจะกลายเป็นหลักให้เรายึด ถ้าเลือกหนังสือผิด หลักที่ได้ก็จะเป็นหลักแบบผิดๆ

****************

ในการลงทุน ไม่จำเป็นต้องซื้อหรือขายหุ้นอยู่ตลอดเวลา

บางช่วงไม่มีหุ้นราคาถูกให้ซื้อ ก็ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนที่จะซื้อ 

การรอเป็น เป็นสิ่งสำคัญ 
อย่าดิ้นรนที่จะซื้อ จะขาย อยู่ตลอดเวลา

**********

ถ้าคุณจัดสถานะของ พอร์ตให้อิงอยู่บนราคาหุ้น วันหนึ่งก็ต้องเจอกับ max dd กำไรที่สวยหรู ต้องเผื่อสำหรับหัก max drawdown (ถ้าคุณไม่ใช่ระดับเทพจริงๆ max drawdown ระดับ 20-30% เป็นเรื่องปกติมากที่จะต้องพบเจอ)

แต่ถ้าคุณจัดสถานะของพอร์ตหุ้นให้อิงอยู่กับมูลค่าของบริษัท สถานะของพอร์ตคุณจะขึ้นอยู่ความสามารถในการดำเนินธุรกิจของบริษัท
**********
เราวัดความสำเร็จของเรา โดยดูจากความก้าวหน้าของบริษัท มากกว่าที่จะมองถึงการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น  - วอร์เรน บัฟเฟตต์
**********
เลือกวิธีการ "ลงทุน"  ให้อิงกับความก้าวหน้าและผลการดำเนินงานของบริษัท ไม่ใช่ราคาหุ้น แล้วคุณจะไม่ต้องกังวลกับสภาพตลาดอีกต่อไป

ปล. จัดพอร์ตแบบ สมมติว่า ตลาดหุ้นต้องหยุดการซื้อขายไปสามปี ก็ยังอยู่ได้ แบบไม่เดือดร้อนกับการไม่ได้ซื้อขายหุ้น
**********