วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

หลักคิด 08

เมื่อใดก็ตามที่ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทตกต่ำ จนบริษัทประสบกับปัญหาทางการเงินหรือภาวะล้มละลาย มูลค่าของบริษัทจะไม่สูงไปกว่ามูลค่าการขายทอดตลาดของกิจการ

ในหุ้นปกติ ถ้าซื้อหุ้นได้ที่ราคาเสมือน ราคาขายทอดตลาด โอกาสขาดทุนก็จะต่ำมาก

***********

ความเสี่ยงของการประกอบธุรกิจไม่ได้ถูกวัดด้วยราคาของคนที่มาต่อราคาซื้อแบบต่ำๆ 
หากแต่ความเสี่ยงจะถูกวัดด้วยผลประกอบการของตัวธุรกิจต่างหาก

**********
ว่าด้วยเรื่อง P/E บ้าง 

- ค่า P/E คือราคาหุ้นหารด้วยกำไรต่อหุ้น อันนี้ใครๆก็รู้ 

- หากกำไรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นก็แปลว่าค่า PE มีแนวโน้มลดลง

- สิ่งที่ค่า พีอี ในขณะนั้นบอกเราได้อีกอย่างหนึ่งคือหากกำไรคงที่ ค่า P/E คือ จำนวนปีที่จะได้ทุนคืน 

- ค่า พีอี ยังแสดงความหมายได้อีกอย่างหนึ่ง คือเราต้องลงทุนเท่าไหร่ ต่อกำไร 1 บาท 

เช่น พีอี 7 เท่า หมายถึงถ้ากำไรไม่ได้เปลี่ยนแปลงเราจ่ายเงิน 7 บาทเพื่อให้ได้กำไร 1 บาทที่บริษัทสามารถหาได้ หรือค่า P/E 41 เท่าหมายถึงเราจ่ายเงิน 41 บาทเพื่อกำไรที่บริษัทหาได้ 1 บาท 

เพื่อกำไร 1 บาทในปัจจุบัน คุณยอมจ่ายเท่าไร ?

#พีอี #P/E

**********

มองหาการลงทุนที่คุณสามารถใช้เป็นที่สะสมความมั่งคั่งส่วนใหญ่ของคุณได้

หมายถึง เมื่อคุณจัดการกับความเสี่ยงแล้วคุณสามารถใส่ความมั่งคั่งของคุณเข้าไปได้อย่างเต็มที่

ไม่ใช่ว่า จัดการกับความเสี่ยงแล้ว แต่กลับใส่ความมั่งคั่งของคุณลงไปในการลงทุนนั้นได้เพียงไม่ถึง 10 ถึง 15% 

มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าคุณมีความมั่งคั่งอยู่ 100 แต่การลงทุนของคุณสามารถใส่เงินเข้าไปได้แค่ 10 หรือ 15 แล้วเงินที่เหลือของคุณ จะเอาไปไว้ที่จุดไหน 

คุณเคยเห็นคนที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัวจากธุรกิจ แล้วลงทุนด้วยเพียง 10 ถึง 15 เปอร์เซ็นต์ของเงินที่มีหรือไม่ 

จริงๆแล้วมันแทบไม่มี มีแต่ลงทุนเต็มร้อยในธุรกิจที่กำลังจะสร้างเนื้อสร้างตัว แถมยังกู้เพิ่มมาลงทุนอีกด้วย

หรือในคนที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัวและลงทุนในธุรกิจอย่าง conservative สักหน่อยก็อาจจะลงทุนด้วยเงินตัวเองทั้ง 100% ไม่เติมเงินกู้

แต่ถ้าใน asset ไหนที่คุณไปลงทุน แล้วมีแต่คนแนะนำว่า ลงทุนในจำนวนเงินที่คุณยอมรับได้ ถ้ามันกลายเป็นศูนย์ นั่นแสดงว่า ความเสี่ยงมันมหาศาล จนไม่ใช่การลงทุน

สมมติ พอร์ต 100 แต่สามารถนำเงินไปลงทุนได้เพียง 10 ผลกำไรที่เกิดจาก 10 นั้น เมื่อนำมาคิดจากฐาน 100 ผลตอบแทนมันอาจจะไม่ได้มากมายอะไรเลย แต่ถ้าคุณใส่ทั้งร้อยลงไปในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงสูงมาก โอกาสที่คุณจะหมดตัวก็จะมีสูงมากๆ

ดังนั้น รู้ไว้เลยว่านั่นไม่ใช่การลงทุน แต่มันคือการพนัน มันเหมือนพยายามจะซื้อลอตเตอรี่ 

พยายามเตือนสติตัวเองไว้ ว่าต้องการจะลงทุนหรือต้องการจะถูกหวยกันแน่

ทำไมจะต้องเล่นท่ายาก ไปลงทุนในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงสูงมากๆ ใส่เงินได้น้อยๆ แล้วผลตอบแทนเมื่อเทียบกับความมั่งคั่งรวมที่มี + ระยะเวลาที่รอคอย มันน้อยนิด แต่เต็มไปด้วยความเครียดที่สูงมาก (หรือจะกล้าใส่ความมั่งคั่งทั้งหมดลงไปแล้วยอมเสี่ยงกับโอกาสหมดตัวที่มีอย่างสูง)

**********

เราเชื่อว่า เกือบทุกคนสามารถที่จะดอยได้อย่างยาวนานถ้าหาก บ.ที่ดอย

- มีปันผลแต่ละปีมากกว่า 4% ในปีแรก และเพิ่มขึ้นทุกๆปีในปีถัดๆไป 

- บริษัทมีทรัพย์สิน ที่มีมูลค่าต่อหุ้นมากกว่าราคาหุ้นที่ซื้อ 

- บริษัทไม่ล้มหายตายจากในอีก 10 ถึง 15 ปีข้างหน้า 

เพียงเท่านี้ ถึงแม้จะดอยนาน ตลาดไม่เห็นค่า ก็อดทนได้ แต่ถ้ากลับกัน 

- ไม่มีปันผล หรือปันผลน้อยกว่าอัตราเงินเฟ้อ ปันผลไม่สม่ำเสมอ หรือบางปีไม่จ่ายปันผล

- ราคาหุ้นที่ซื้อแพงกว่าทรัพย์สินต่อหุ้น ที่ บ.มี หลายๆเท่าตัว 

- ไม่รู้ว่า บ.จะโดนดิสรัปเมื่อไร หรือมีเงินจ่ายหนี้ไหวไหม (ดูน่ากังวล)

ถ้าแบบนี้ อย่าว่าแต่จะให้ดอยนานๆเลย ดอยสั้นๆก็ยังอยากรีบขายหุ้น

°°°°°°°°°°°°°°

การสร้างพอร์ตหุ้นปันผล 
- เลือก บ. ที่มีการเติบโต 
- เลือก บ.ที่ไม่ล้มหายตายจากในอีก 10 ปีข้างหน้า
- เลือก บ.ที่มีหนี้สินต่ำ
- มี Div yield บนราคาที่ซื้ออย่างน้อย 3% ขึ้นไป 
- ที่สำคัญ ผบห ซื่อสัตย์ มีคุณธรรม ไม่เอาเปรียบ นลท รายย่อย

บ.ที่เติบโตสูง แต่ปันผลต่ำเมื่อเทียบกับราคาที่เราจ่ายนั้น ไม่ค่อยเหมาะกับพอร์ตปันผล 

สมมติ 
บ.A จ่ายปันผล 1% และมีการเติบโตปีละ 20% ราคาหุ้น 100 บาท 

ปีที่ 1 ได้ปันผล 1 บาท
ปีที่ 2 ได้ปันผล 1.20 บาท
ปีที่ 3 ได้ปันผล 1.44 บาท
ปีที่ 4 ได้ปันผล 1.72 บาท
ปีที่ 5 ได้ปันผล 2.07 บาท

เทียบกับอีก บ. สมมติ
บ. B จ่ายปันผล 3% และมีการเติบโตปีละ 5% ราคาหุ้น 100 บาท 

ปีที่ 1 ได้ปันผล 3 บาท
ปีที่ 2 ได้ปันผล 3.15 บาท
ปีที่ 3 ได้ปันผล 3.30 บาท
ปีที่ 4 ได้ปันผล 3.47 บาท
ปีที่ 5 ได้ปันผล 3.64 บาท

เห็นถึงความแตกต่างไหมครับ 

การถือหุ้นบริษัทมั่นคง ที่มีปันผลดี และมีการเติบโต เปรียบเสมือนกับการถือพันธบัตรที่จ่ายดอกเบี้ยสูง และดอกเบี้ยที่จ่ายให้นั้น เพิ่มขึ้นทุกปี เป็นอะไรที่หาไม่ได้ในพันธบัตร

°°°°°°°°°°°°°°

อิสระทางการเงิน คือการหยุดทำงานได้ในขณะเจ็บป่วย ในขณะไปเที่ยว ในในขณะที่ออกกำลังกาย หรือแม้แต่ในยามปกติ โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องรายได้ โดยที่รายได้ยังคงหลั่งไหลเข้าตลอดเวลา 

คุณเลือกได้ว่าคุณจะสร้างพอร์ตหุ้นของคุณให้เป็นที่สะสมหุ้นเก็งกำไรที่ต้องจับจังหวะในการซื้อขายตลอดเวลา เพื่อจะมีรายได้ 

หรือจะให้พอร์ตหุ้นเป็นที่สะสมธุรกิจชั้นเยี่ยม และถ้าตราบใดที่มันยังเป็นธุรกิจชั้นเยี่ยมแล้ว คุณก็คงไม่อยากจะขายมันออก เพราะมันจะจ่ายปันผลให้คุณอย่างต่อเนื่องได้เรื่อยๆ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้คุณได้เรื่อยๆ

**********
คนจำนวนไม่น้อย แยกไม่ออกระหว่างคำว่า "หุ้นราคาที่ลดลง" กับ "หุ้นราคาถูก" (หมายถึงราคาที่ต่ำกว่ามูลค่า) อย่างในตัวอย่างนี้ มันคือหุ้นที่ราคาลดลงต่อเนื่อง

เรื่องพื้นๆอย่างนี้ จริงๆแล้วสำคัญมาก เพราะมันสามารถสร้างความเข้าใจผิด ทำให้มี mind set แบบผิดๆ แล้วเกิด action ที่ผิดตามมา 

ลองคิดดูหากคุณเข้าใจผิดคิดว่ามันเป็นหุ้นราคาถูก แล้วคุณขาดทุนกับมันอย่างถาวร แล้วทำซ้ำบ่อยๆ คุณก็จะเข้าใจว่า หลักการนั้น "ผิด" ใช้งานไม่ได้จริง แน่นอนว่า มันคือการทำให้คุณมีความเข้าใจแบบผิดๆติดอยู่ในใจ

สาเหตุหนึ่งที่ทำให้แยกไม่ออกระหว่างคำว่าหุ้น ราคาที่ลดลง กับ หุ้นราคาถูก (หมายถึง ราคาต่ำกว่ามูลค่าอย่างแท้จริง) สาเหตุหลักเป็นเพราะ ไม่สามารถประเมินมูลค่าได้ ทำให้มองไม่ออกว่าราคาไหนคือคำว่า "ราคาถูก" 

ปล. รูปนี้เป็นตัวอย่างของหุ้นที่ราคาลดลง


**********

การที่ บ.ซื้อหุ้น บ.อื่น หรือเทคโอเวอร์ บ.อื่น ในราคาที่สูงกว่าความเป็นจริงไปมากๆนั้น แม้มูลค่าของดีลจะดูเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ ขนาดของ บ.ผู้ซื้อก็ตาม 

แต่มันแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ว่าไม่ใส่ใจต่อผลประโยชน์ผู้ถือหุ้น
***********

- อย่ายึดติดกับราคามากเกินไป

- ราคาเหมือนประตูทางเข้าและทางออก

- บ.ที่เติบโตมากขึ้น สูงขึ้น ประตูทางออกจะขยับสูงตาม แม้ว่าบางครั้งมันจะลอยสูงกว่ามูลค่า บ.หรือบางครั้งจะลอยต่ำกว่า แต่มันก็จะวนเวียนรอบๆมูลค่า บ.เสมอ

- มูลค่าต่างหาก ที่คาดหวังว่า บ.จะมีเพิ่มขึ้นจากการทำธุรกิจ

- ถือ บ.ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพิ่มเร็วบ้าง ช้าบ้าง ในบางจังหวะของ ศก แต่ก็เพิ่ม

- เป้าของ บ.เติบโตทุกปี บ.ที่ทำได้ดีกว่าเป้าบ้าง พลาดเป้าบ้าง ในระดับที่ไม่มากนัก เป็นเรื่องปกติของธุรกิจ 

- เมื่อ บ.มีกำไร มูลค่าย่อมเพิ่มขึ้น 

- ปีที่กำไรเพิ่มดีกว่าเป้า บ.จะโตเร็วขึ้น

- ปีที่ บ.กำไรพลาดเป้า บ.จะโตช้าลง แต่ยังไงก็โต 

- การพลาดเป้าหมายของ บ.แปลว่าโตช้ากว่าที่ บ.ต้องการแต่ไม่ได้แปลว่าจะไม่โต

- มูลค่าของ บ.เพิ่มขึ้นตามการเติบโต

- สิ่งไม่คาดคิดทางธุรกิจ มีทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย ถ้า บ.มีความพร้อม เมื่อเรื่องร้ายเข้ามา บ.ย่อมรับมือได้ และเมื่อมีเรื่องดีเข้ามา บ.ย่อมคว้าเอาไว้ได้

- ความพร้อม ของ บ. ต้องมีทั้งด้านการบริหารและการเงิน

- ฟ้าหลังฝนสดใสเสมอ ขอแค่ บ.มั่นคง มีการเตรียมพร้อม และมี ผบห ที่ดี
***********

ถ้าจะวิ่งมาราธอน คงไม่ฝึกการวิ่งด้วยหลักการของการวิ่งร้อยเมตร

การลงทุนก็เช่นกัน หากจะลงทุน ไม่ควรนำเอาหลักการของการเก็งกำไรมาใช้

**********
ตัวอย่าง การคำนวนราคา โดยอาศัยบทวิเคราะห์

จากบทวิเคราะห์ เห็นว่ากำไรต่อหุ้นในปี 2024 นั้นจะอยู่ที่ประมาณ 1.85 ถึง 1.88 บาทต่อหุ้น 
1. กำไรต่อหุ้นค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.86 บาทต่อหุ้น 
2. สมมุติคิดลดที่ 10% กำไรต่อหุ้นของปี 2024 จะอยู่ที่ประมาณ 1.674 บาทต่อหุ้น 
3. ค่า P/E ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 6.9 เท่า
4. ค่า P/E ในอดีตเคยสูงถึง 14-15 เท่า 
5. ดังนั้นค่า P/E เฉลี่ยหนังประมาณ 10 ปีจะอยู่ที่ประมาณ 10 เท่า

- ถ้าคำนวนแบบเต็ม ราคาจากการคำนวณ จะได้ช่วงราคาช่วงบนที่ EPS สูง × พีอีสูง จะได้ 1.88 × 14 เท่า ดังนั้นราคาจากการคำนวณจะอยู่ที่ 26.32 บาท           

- ถ้าคำนวณโดยใช้กำไรต่อหุ้นที่ 1.85 บาทต่อหุ้นและใช้ค่า PE ปัจจุบัน ที่ 6.9 เท่า จะได้ราคาประมาณ 12.75 บาท         

- แต่ถ้าคำนวณโดยใช้ EPS ค่าเฉลี่ย คือ 1.86 บาท แล้วคิดลดอีก 10% EPS ที่ใช้คำนวณจะเป็น 1.674 บาท 

ส่วนค่า P/E สูงสุดแถว 15 เท่า และค่า P/E ปัจจุบัน 6.9 เท่านำมาหาค่าเฉลี่ย ได้ค่า P/E 10.9 เท่า แล้วคิดลดค่า P/E ไปอีก 20% จะได้ค่า PE ที่ 8.7 เท่า

(การคิดลดทั้งกำไรต่อหุ้นที่เฉลี่ยแล้ว และค่า PE เฉลี่ย คิดลดลงไปอีกนั้น เพื่อให้สมมติฐานมีความ conservative มากขึ้น)

แล้วนำกำไรสุทธิต่อหุ้นหลังจากที่คิดลดแล้วมาคูณกับค่า P/E ที่คิดลดแล้วจะได้ราคาคำนวณ ที่ค่อนข้าง conservative โดยอิงจากบทวิเคราะห์

 จะได้ 1.674 × 8.7 = 14.56 บาท

ปล. จะเห็นว่าการคำนวณนั้นเป็นไปทั้ง 3 อย่าง คือกรณีที่ดีสุดตามบทวิเคราะห์ กรณีของค่าเฉลี่ย และกรณีที่แบบมีส่วนลด นี่ยังไม่ได้พูดถึงเงินปันผลที่จะได้รับในแต่ละปีอีกต่างหาก ส่วนตัวเลขที่จะคิดลดกี่เปอร์เซ็นต์นั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ 

จากกรณีนี้ที่ยกเป็นตัวอย่างจะคำนวณต่อให้ดูว่า มีอัพไซส์กี่เปอร์เซ็นต์ 

กรณีแรกที่คำนวณแบบดีสุดแล้วได้ราคาที่ 26.32 บาทนั้น เป็นราคาของผลประกอบการปี 2024 ที่ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 10.90 บาท 
เป็นกรณี Best case อย่างที่ว่า มีอัพไซส์สูงถึง 141% + ปันผลสมมุติปีละ 4% ปีก็อีก 8% 
สรุปคือในกรณีที่ดีที่สุด จะมีอัพไซส์สูงถึง 149%
ซึ่งแน่นอนว่าเราไม่มีทางรู้ว่ามันจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้หรือเปล่า 

กรณีต่อมาคือกรณีที่คำนวณแล้ว ราคาที่ 12.75 บาท ราคาปัจจุบัน 10.90 บาท เท่ากับมีอัพไซส์ประมาณ 17% + สมมุติว่าปันผลอีกปีละ 4% 2 ปีเป็น 8% สรุปในกรณีนี้ จะมี up size 25% บนเวลา 2 ปี

และในกรณีที่ ราคา 14.56 บาท หาปัจจุบัน 10.9 บาท เท่ากับมีอัพไซส์ 33% สมมุติปันผลปีละ 4% ปีก็ 8% สรุปได้ว่าในกรณีนี้ มีอัพไซส์ 41% บนเวลา 2 ปี

เพิ่งระลึกว่าเราไม่มีทางรู้ล่วงหน้า ว่าจะเกิดในกรณีไหน

#AP


************


ลงทุนในขอบเขตความรู้ของตนเอง ฟังเหมือนง่าย แต่เมื่อทำจริงจะไม่ง่ายอย่างที่คิด

เพราะ การรู้ขอบเขตความสามารถของตัวเองเป็นสิ่งที่ยากมาก เนื่องจากความคิดของคนเรา มักหลอกตัวเอง ว่าเราฉลาดว่าที่เราเป็น

**********