วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

หลักคิด 06

เวลาซื้อ Asset เพื่อการเก็งกำไร จ่ายเงินเพื่อซื้อ "ราคา" แต่การลงทุน จ่ายเงินเพื่อซื้อ "มูลค่า"

ดังนั้นเวลาดูความผันผวนของ assets เพื่อ การเก็งกำไรดูที่ราคา ส่วนการดูความผันผวนของการลงทุนแท้จริงแล้วควรดูที่ "มูลค่า"  

เนื่องจากมูลค่าเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ไม่ชัดเหมือนกับราคาตลาด มันจึงดูความผันผวนของมูลค่าได้ยาก  

สิ่งหนึ่งที่จะใช้ดูความผันผวนของมูลค่าโดยเทียบเคียงได้ ก็คือดูไปที่กระแสเงินสดอิสระที่บริษัทหาได้ในแต่ละปี ว่ามีความผันผวนเพิ่มขึ้นลดลงหวือหวาขนาดไหน (ถ้ากระแสเงินสดอิสระมีการขึ้นลงแบบวูบวาบมากๆ แบบนี้คือมีความผันผวนมาก)

เวลามีคนบอกว่า หุ้นที่ซื้อเพื่อการลงทุนนั้นมี ความผันผวนมาก (โดยดูจากราคา) แปลว่าเขายังไม่เข้าใจ หรือไม่มี หลักการลงทุนที่ยึดโยงกับมูลค่าเป็นหลัก (อาจเป็นเพราะยังไม่เข้าใจหลักการลงทุนมากพอ หรือ ยังมี mindset แบบการเก็งกำไรอยู่มาก)

**********
การลงทุนนั้น ปัจจัยหลักไม่ใช่เรื่องของพรสวรรค์   แต่มันคือระบบคิด หลักการที่ใช้ และ ความเชื่อที่มี

**********

https://www.facebook.com/201021659949869/posts/5394452260606757/?sfnsn=mo

**********

ความโลภทำให้ นลท ที่เก่งอยู่แล้ว  ยอมหลับตาข้างนึงบนหลักการที่ดีอยู่แล้วของตัวเอง ซึ่งสุดท้ายแล้วมักจะจบด้วยความเจ็บปวด

**********

- ธุรกิจ คือ ผลิตสินค้าและบริการ 

- นักลงทุน คือ คนที่ลงทุนในธุรกิจ

- นักเก็งกำไร และเทรดเดอร์ สนใจแค่ราคาที่เพิ่มขึ้นของ asset ที่ถือครอง ไม่ว่ามันจะเป็นธุรกิจ หรือไม่ก็ตาม

- ทรัพย์สินหลายชนิดเป็น วัตถุดิบของการผลิตสินค้าของธุรกิจ มีราคาขยับทำให้มีคนมาเทรด มาเก็งกำไร และมี real demand เพื่อการผลิตสินค้าและบริการ 

- ทรัพย์สินบางชนิดไม่ได้เป็นวัตถุดิบของสินค้าและบริการ ไม่ได้มี real demand คนที่ซื้อเพื่อต้องการเอามาเร่ขายต่อ พยายามหาคนที่ยอมซื้อแพงกว่า โดยคนที่ซื้อต่อก็ไม่ได้เอาไปผลิตสินค้าและบริการ แต่ซื้อไปเพื่อเอาไปเร่ขายต่ออีกทีเป็นทอดๆเท่านั้น (สร้างฟองสบู่) 

ซึ่งแน่นอน ราคาย่อมไม่มีวันขึ้นได้ตลอด (ไม่งั้นคงสูงทะลุฟ้า) และเมื่อฟองสบู่ของทรัพย์สินนั้นแตก เหมือนผึ้งแตกรัง แห่ขายถล่มทลาย ทิ้งไว้เพียงความเสียหายยับเยิน ที่ไม่ได้มีผลิตผลใดๆทั้งสิ้น ไม่มีทั้งสินค้าและบริการใดทั้งสิ้น นอกจากการเก็งกำไร และความเสียหายที่เกิดจากการพนันนั้น ส่งผลให้เกิดปัญหาสังคมตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นักเก็งกำไรอาจจะรอด อาจจะโชคดีได้ในบางวัน ในบางครั้ง แต่ไม่เคยมีใครรอดได้ทุกครั้ง หรือโชคดีได้ทุกครั้ง

***********

คนที่มีประสบการณ์ในตลาดหุ้นน้อยๆ โดยมากมักเข้าตลาดมาพร้อมด้วยอีโก้สูงๆ 

เข้ามาถึงมักจะหวังผลตอบแทนสูงๆ รวยเร็วๆ สามปีชั้นต้องรวยทำนองนี้ เข้ามากะว่าจะมาฟาดฟันเอากำไรจากตลาดมากๆ 

โดยที่ลืมไปว่า การจะรวยเร็วๆจากตลาดหุ้น คือ ต้องเทรด ต้องฟาดฟันเพื่อกินเงินคนอื่นที่อาจอยู่ในตลาดมานานกว่า มี ปสก มากกว่า และอาจจะมีเงินมากกว่า เรียกรวมๆ คือ เป็นคนที่เก๋าเกมกว่า 

แล้วมือใหม่ด้อย ปสก กลับคิดว่าการจะกินเงินคนอื่นในตลาดเป็นเรื่องง่าย

ถ้ารอดอยู่ในตลาดนานพอ อีโก้จะค่อยๆลดลงไปเอง ความหวังจะตั้งอยู่บนเหตุผลที่มากขึ้น ตลาดจะเป็นคนสอน ตลาดจะให้บทเรียนเอง

**********

เงินเฟ้อ สาเหตุหลัก
1. Cost push น้ำมันแพง สินค้าทุกชนิดขึ้นราคา 
2. Demand pull ความต้องการสินค้ามีมาก ประชาชนหาเงินได้ง่ายมีกำลังซื้อสูง ส่งผลให้สินค้าขึ้นราคา จากกำลังซื้อที่ดี

การขึ้นดอกเบี้ยจะไปลด การทำธุรกรรมที่ต้องใช้การกู้ยืม เช่นการซื้อสินค้าชิ้นใหญ่ที่ต้องกู้ยืม การทำธุรกิจที่ต้องใช้เงินกู้สูง ทำให้ลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจลง ส่งผลให้เงินเฟ้อลดลง พูดง่ายๆคือไปลดที่ demand pull 

แต่จะเห็นได้ว่า ประเทศไทยเงินเฟ้อเกิดจาก น้ำมันแพงส่งผลให้สินค้าทุกประเภทขยับตัวขึ้น ประกอบกับเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวดี พูดง่ายๆ คือ เศรษฐกิจไทย เงินหายาก สินค้าราคาแพง สาเหตุเกิดจาก Cost push

ประกอบกับเศรษฐกิจของไทยพึ่งเครื่องยนต์หลัก คือ การส่งออกและการท่องเที่ยว ซึ่งจะได้รับผลดี ค่าเงินบาทอ่อน 

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ในประเทศไทยนั้น "ยังไม่ถึงเวลาที่จะขึ้นดอกเบี้ย" 

เพราะการขึ้นดอกเบี้ยไม่ได้ทำให้ราคาน้ำมันถูกลง 

หมายถึงว่า สมมุติถ้าขึ้นดอกเบี้ยเงินเฟ้อก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม แก้อะไรไม่ได้ และยังไปซ้ำเติมเศรษฐกิจ ที่ยังไม่ฟื้นตัวดี ให้ทรุดลงไปอีก

แต่หากไม่ขึ้นดอกเบี้ย แล้วเงินต่างชาติไหลออก ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อน ประเทศจะได้ผลดีจากการท่องเที่ยวและการส่งออกที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน และเป็นจังหวะที่ดีที่จะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนลง โดยไม่โดนกล่าวหาว่าเข้าไปแทรกแซงค่าเงินอีกด้วย 

แต่ต้องคอยเฝ้าดู จับตาดู เงินบาทค่อยๆอ่อนค่าลง อย่าให้เงินบาทอ่อนค่าลงเร็ว แรงเกินไป

**********

เห็นตลาดหุ้นทางอเมริกาลงแรง คิดว่าหลายคนเช้านี้คงจะกังวลกันไม่น้อย

หากซื้อหุ้นเพื่อการลงทุน อยากจะเตือนสติ 

ถ้าจ่ายเงินซื้อหุ้นของบริษัท เพราะซื้อมูลค่า ซื้อเพราะผลการดำเนินงานของบริษัท ซื้อเพื่อให้ได้สัดส่วนของบริษัทมาเป็นเจ้าของ 

ก่อนจะกังวลอะไรนั้น อย่าลืมคิดว่าความผันผวนของราคา 
- ส่งผลต่อมูลค่าหรือไม่ 
- ส่งผลต่อการดำเนินงานของบริษัทหรือไม่ 
- ที่แน่ๆก็คือ ว่าราคาจะผันผวนแค่ไหน สัดส่วนความเป็นเจ้าของในบริษัทยังเหมือนเดิมตามจำนวนหุ้นที่ถือ ไม่ใช่ตามราคาตลาดที่ขยับขึ้นลง

แต่ถ้าซื้อหุ้นเพื่อเก็งกำไร ก็อีกเรื่องนึง คนละหลักคิดกัน

**********

หนังสือประเภท แค่กระพริบตาก็รวยหุ้น เล่นหุ้น รวย เร็ว แรง fast & furious อะไรทำนองนี้ ทำให้มือใหม่อ่านแล้วกลายเป็นเม่า 

ตั้งเป้าเข้าตลาดหุ้นจะเป็น Hunter ตั้งเป้าจะเข้ามาฟาดฟันเอาเงินมากๆจากตลาดหุ้น 

จนผ่านไปได้สักระยะถึงรู้ตัวว่าไม่ได้เป็น Hunter นินา เป็นได้แค่หมูในอวย

เคยมีคนบอกว่า ถ้าคุณเล่น poker ผ่านไปสัก 2-3 รอบแล้ว คุณยังไม่รู้ว่าใครเป็นหมู
คุณแหละเป็นหมู 

และจนกว่าจะมีประสบการณ์ที่มากเพียงพอ + หลักการที่ถูกต้อง ถึงจะเลิกเม่า

ดังนั้นเลือกหนังสือที่จะอ่านให้ดีๆ มันจะย้ำอยู่ในหัวเรา มันจะกลายเป็นหลักให้เรายึด ถ้าเลือกหนังสือผิด หลักที่ได้ก็จะเป็นหลักแบบผิดๆ

****************

ในการลงทุน ไม่จำเป็นต้องซื้อหรือขายหุ้นอยู่ตลอดเวลา

บางช่วงไม่มีหุ้นราคาถูกให้ซื้อ ก็ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนที่จะซื้อ 

การรอเป็น เป็นสิ่งสำคัญ 
อย่าดิ้นรนที่จะซื้อ จะขาย อยู่ตลอดเวลา

**********

ถ้าคุณจัดสถานะของ พอร์ตให้อิงอยู่บนราคาหุ้น วันหนึ่งก็ต้องเจอกับ max dd กำไรที่สวยหรู ต้องเผื่อสำหรับหัก max drawdown (ถ้าคุณไม่ใช่ระดับเทพจริงๆ max drawdown ระดับ 20-30% เป็นเรื่องปกติมากที่จะต้องพบเจอ)

แต่ถ้าคุณจัดสถานะของพอร์ตหุ้นให้อิงอยู่กับมูลค่าของบริษัท สถานะของพอร์ตคุณจะขึ้นอยู่ความสามารถในการดำเนินธุรกิจของบริษัท
**********
เราวัดความสำเร็จของเรา โดยดูจากความก้าวหน้าของบริษัท มากกว่าที่จะมองถึงการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น  - วอร์เรน บัฟเฟตต์
**********
เลือกวิธีการ "ลงทุน"  ให้อิงกับความก้าวหน้าและผลการดำเนินงานของบริษัท ไม่ใช่ราคาหุ้น แล้วคุณจะไม่ต้องกังวลกับสภาพตลาดอีกต่อไป

ปล. จัดพอร์ตแบบ สมมติว่า ตลาดหุ้นต้องหยุดการซื้อขายไปสามปี ก็ยังอยู่ได้ แบบไม่เดือดร้อนกับการไม่ได้ซื้อขายหุ้น
**********