วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

หลักคิด 07

อย่างแรกเลยผมมองว่า Plant base มันก็คือ "อาหารเจ" นะครับ 
ผมก็พยายามหาคำตอบ โดยเริ่มจากคำถาม

- กลุ่มคนอายุขนาดไหนจะทาน
- พ่อแม่จะยอมให้ลูกทานไหม สารอาหารที่เด็กได้รับจะครบไหม
- ถ้าไม่ยอมให้ลูกทาน (อาหารเจ) อาหารในบ้านก็ต้องใช้เนื้อสัตว์จริงตามปกติ แล้วพ่อแม่จะทนทานเจได้นานแค่ไหน
- เด็กวัยรุ่นจะทานอาหารเจไหม สารอาหารที่ได้รับจากครบไหม เป็นวัยที่มี activity สูง 
- คนวัยกลางคน ถ้าเป็นกลุ่มรักสุขภาพออกกำลังกายสร้างกล้ามเนื้อหรือนักวิ่ง จะยอมทานเจหรือไม่ ทานแล้วจะทำให้หมดแรงในการออกกำลังกายหรือไม่
- คนที่มีปัญหาสุขภาพ ไขมันสูงคนอ้วน ผู้ป่วยที่มีน้ำหนักเกิน และคนสูงอายุ อาจจะเหมาะ แต่ไม่ใช่ว่าจะชอบกันทุกคน ดังนั้น คนกลุ่มนี้น่าจะทานด้วยความจำเป็นทางสุขภาพ 
- Plant base พยายามจะทำอาหารเจ ออกมาขายในราคาที่แพงกว่าเนื้อสัตว์ปกติ โดยชูโรงเรื่องสุขภาพที่ดี ไขมันต่ำ (สารอาหารอื่นๆก็ได้ไม่ครบเหมือนเนื้อสัตว์ปกติ) ด้วยราคาและค่าใช้จ่าย มันจึงน่าจะเหมาะกับ ผู้ป่วยหรือคนสูงวัย ที่ทานเสมือนควบคุมอาหาร ควบคุมน้ำหนักมากกว่าจะทานไหมชีวิตประจำวันหรือเปล่า ???

***********

หุ้นที่พีอีสูง ราคาแพงกว่ามูลค่ามากๆ หุ้นที่ยังไม่มีกำไรจนต้องไปวัดด้วยค่า ราคาต่อยอดขาย เห็นได้ชัดว่าหุ้นเหล่านี้เป็นหุ้นยอดฮิต (ราคาถึงได้ขึ้นไปสูงขนาดนั้น) 

หุ้นยอดฮิต หมายถึงหุ้นที่คนจำนวนมากมีมันแล้ว แห่เข้าไปซื้อมันไว้แล้ว (ราคาถึงได้ขึ้นไปสูง)

เมื่อการปรับฐานของตลาดมาถึง หุ้นเหล่านี้จะเป็นหุ้นที่มีความผันผวนสูง มี Downside risk สูง 

ต้องอย่าลืมว่า คนส่วนมากที่ซื้อหุ้นเหล่านี้ ให้น้ำหนักในการซื้อกับ โมเมนตัมด้านราคามากกว่าจะสนใจเรื่องปัจจัยพื้นฐานหรือมูลค่า

ดังนั้นเมื่อราคาลงมาถึงจุด trigger แรงขายจำนวนมากจะเทราคาหุ้นลงมา และยิ่งราคาลงมามากเท่าไร ก็ยิ่งจะกวาดติด trigger มากขึ้นเรื่อยๆ

แรงเทขายจะไปส่งผลกระตุ้นให้เกิดแรงเทขาย และ แรงเทขายจำนวนมากก็จะยิ่งส่งผลกระตุ้นให้เกิดแรงเทขายมากขึ้นไปอีก 

การกระโจนเข้าสู่หุ้นยอดฮิต ไม่ต่างอะไรกับการเดินบนเชือก ที่ปลายเชือกทั้งสองข้างผูกอยู่บนยอดตึกสูง เวลาร่วงลงมา ก็จะร่วงลงได้ลึกมาก

**********

พอร์ตสำหรับลงทุนระยะยาว เราควรจะลดความสนใจด้านราคาลง และให้ความสนใจกับผลประกอบการ อนาคตของกิจการ พฤติกรรมของผู้บริหาร กำไรแต่ละปีของบริษัท กระแสเงินสดของบริษัท และเงินปันผล

**********

เวลาเลือกหุ้นลงทุน อย่ามองแต่ upside อย่างเดียว ช่วงที่เป็นตลาดหมีนี่แหละ ที่จะสอนให้รู้ว่า มูลค่า ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ทรัพย์สินที่บริษัทมี และเงินปันผล เป็นสิ่งที่จะมารองรับแรงกระแทก ป้องกัน downside ไม่ให้มากจนเกินไป

**********

เลือกหุ้นที่
- พื้นฐานดี 
- งบการเงินแข็งแรง 
- ผบห.ดี 
- สินค้าของ บ.อยู่ในใจผู้บริโภค
- มีปันผลพอใช้ได้

หากซื้อได้ในราคาต่ำกว่ามูลค่าแล้ว จากนั้นที่ต้องทำคือ "รอ" รอให้เป็น ถือหุ้นให้ได้อย่างน้อย 2-3 ปี อย่าวอกแวกไปกับทางลัด แล้วสิ่งดีๆจะทยอยเข้ามาเอง 💕
**********

อัตราการเติบโตที่สูง เป็นสิ่งล่อตาล่อใจนักลงทุนมากกว่ากำไรที่เติบโตต่ำแต่มีความสม่ำเสมอ 

ดังนั้น นลท จึงแห่กันดันราคาหุ้นที่มีการเติบโตสูง ทำให้ราคาหุ้นแพงเป็นอย่างมาก จนมันไม่ใช่การลงทุนที่ดีอีกต่อไป แม้จะเป็นบริษัทที่ดีก็ตาม

***********

เราเชื่อว่า เกือบทุกคนสามารถที่จะดอยได้อย่างยาวนานถ้าหาก บ.ที่ดอย

- มีปันผลแต่ละปีมากกว่า 4% ในปีแรก และเพิ่มขึ้นทุกๆปีในปีถัดๆไป 

- บริษัทมีทรัพย์สิน ที่มีมูลค่าต่อหุ้นมากกว่าราคาหุ้นที่ซื้อ 

- บริษัทไม่ล้มหายตายจากในอีก 10 ถึง 15 ปีข้างหน้า 

เพียงเท่านี้ ถึงแม้จะดอยนาน ตลาดไม่เห็นค่า ก็อดทนได้ แต่ถ้ากลับกัน 

- ไม่มีปันผล หรือปันผลน้อยกว่าอัตราเงินเฟ้อ ปันผลไม่สม่ำเสมอ หรือบางปีไม่จ่ายปันผล

- ราคาหุ้นที่ซื้อแพงกว่าทรัพย์สินต่อหุ้น ที่ บ.มี หลายๆเท่าตัว 

- ไม่รู้ว่า บ.จะโดนดิสรัปเมื่อไร หรือมีเงินจ่ายหนี้ไหวไหม (ดูน่ากังวล)

ถ้าแบบนี้ อย่าว่าแต่จะให้ดอยนานๆเลย ดอยสั้นๆก็ยังอยากรีบขายหุ้น

******

บริษัท ที่ราคาต่ำกว่ามูลค่า โดยที่มีการประเมินมูลค่าอย่าง conservative นั่นหมายถึงตลาดยังไม่ได้ให้ค่ากับมัน และมันก็หมายถึง ราคาหุ้นไม่ได้ถูกผลักดันด้วย easy money 

หุ้นที่ไม่มี easy money ผลักดันราคาอยู่ ย่อมผันผวนต่ำกว่าหุ้นที่มี easy money แฝงตัวอยู่ในราคา 

และในยามที่ easy money โดนดึงกลับ (จาก FED ลด QE) ผลกระทบต่อหุ้นที่มี easy money หนุนราคาอยู่ย่อมมีความผันผวนสูง

******
เนื่องจาก UST ให้ APY 19% (สูงเกินจริง แบบแชร์ลูกโซ่ เอาผลตอบแทนสูงๆมาดึงเงินคน)

ดอกเบี้ย และเงินต้นที่หายไปจากจาก UST , LUNA แตก ยังไม่แสดงผลกระทบออกมาทั้งหมด 

มีหลายกองทุนที่เอาเงินไปวางกลับ UST เพื่อรับดอกเบี้ยแล้วส่งต่อให้กับผู้ถือหน่วย ได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน เพียงแต่ต้องรอเวลาอย่างน้อยให้มันได้แสดงผลอีกสัก 1-3 เดือน 

ผลกระทบจาก แชร์ลูกโซ่ LUNA จะทยอยแสดงตัวออกมาเรื่อยๆหลังจากนี้ 

DEFI ไม่มีอยู่จริง โด ควอน 
- ควบคุมปริมาณจำนวนเหรียญ 
- กำหนด APY สูงเกินจริง
- และ อิสระให้เงินไหลเข้า ผ่าน อัลกอริทึม 

โด ควอน ทำตัวเป็นเหมือนธนาคารกลางของประเทศที่ผิดพลาดทางการเงิน และจงใจสร้างแชร์ลูกโซ่ผ่าน APY สูงๆ 

ถ้าคุณไม่เชื่อถือแบงค์ชาติ แต่คุณกลับไปเชื่อใครสักคนที่ไม่รู้ที่มาที่ไปแทนแบงค์ชาติ เอาเงินที่คุณมีไปฝากเขาแทนธนาคารปกติ ที่อยู่มาอย่างยาวนาน คุณมีวิธีคิดที่ผิดแน่ๆ แค่จะรู้ตัวหรือไม่เท่านั้นเอง

#Crypto #LUNA
*****
การสร้างพอร์ตหุ้นปันผล 
- เลือก บ. ที่มีการเติบโต 
- เลือก บ.ที่ไม่ล้มหายตายจากในอีก 10 ปีข้างหน้า
- เลือก บ.ที่มีหนี้สินต่ำ
- มี Div yield บนราคาที่ซื้ออย่างน้อย 3% ขึ้นไป 
- ที่สำคัญ ผบห ซื่อสัตย์ มีคุณธรรม ไม่เอาเปรียบ นลท รายย่อย

บ.ที่เติบโตสูง แต่ปันผลต่ำเมื่อเทียบกับราคาที่เราจ่ายนั้น ไม่ค่อยเหมาะกับพอร์ตปันผล 

สมมติ 
บ.A  จ่ายปันผล 1% และมีการเติบโตปีละ 20% ราคาหุ้น 100 บาท 

ปีที่ 1 ได้ปันผล 1 บาท
ปีที่ 2 ได้ปันผล 1.20 บาท
ปีที่ 3 ได้ปันผล 1.44 บาท
ปีที่ 4 ได้ปันผล 1.72 บาท
ปีที่ 5 ได้ปันผล 2.07 บาท

เทียบกับอีก บ. สมมติ
บ. B จ่ายปันผล 3% และมีการเติบโตปีละ 5% ราคาหุ้น 100 บาท 

ปีที่ 1 ได้ปันผล 3 บาท
ปีที่ 2 ได้ปันผล 3.15 บาท
ปีที่ 3 ได้ปันผล 3.30 บาท
ปีที่ 4 ได้ปันผล 3.47 บาท
ปีที่ 5 ได้ปันผล 3.64 บาท

เห็นถึงความแตกต่างไหมครับ 

การถือหุ้นบริษัทมั่นคงที่มีปันผลและมีการเติบโต เปรียบเสมือนกับการถือพันธบัตรที่จ่ายปันผลสูงและดอกเบี้ยที่จ่ายให้นั้นเพิ่มขึ้นทุกปี  เป็นอะไรที่หาไม่ได้ในพันธบัตร

**********

คนที่ไม่เคยผ่านวิกฤติการลงทุนมาก่อน ไม่มีประสบการณ์ ไม่มีความรู้ในการรับมือกับความเสี่ยง ไม่มี money management ที่ดี แล้วคิดว่าการเล่นกับความผันผวน คือ เรื่องสนุก 

ส่วนมากต้องออกจากเกมแบบยาวๆ 

หลายคนสะสมทุนกลับเข้ามาใหม่ 
หลายคนออกถาวร 

(ซึ่งคนที่จะมี mm ที่ดีได้นั้น ต้องศึกษา + มีความรู้ มีปสก ระดับนึง)

***********

หุ้นตัวนี้ดีนะครับพี่ กำลังจะ turn around จะทำกำไรได้มหาศาลในเวลาอันรวดเร็ว
 
- ตามสบายเลยครับ ผมเล่นหุ้น turn around ไม่เป็น ผมยอมพลาดกำไรก้อนใหญ่ที่ไม่ได้มาจากการลงทุนในแนวทางของผมครับ 

ตัวนี้กำไรเติบโตสูงเลยนะครับ เป็นหุ้นที่ดีมากๆ มีเซียนเข้าหลายคนเลยนะครับ 

- ตามสบายเลยครับ ผมยอมพลาดทำไรก้อนโตจากหุ้นเติบโตสูง ที่ราคาแพงเกินไปครับ 

หุ้นปิโตรเคมีช่วงนี้น่าซื้อนะครับ รอบขาขึ้น

- ตามสบายเลยครับ ยอมพลาดกำไรก้อนโตจากธุรกิจที่ผมไม่เข้าใจมันครับ

ถ้าเราทำกำไรได้จากหุ้นที่มาจากหลักการของเรา ในแนวทางของเรา ก็ย่อมจะต้องพลาดกำไรจากหุ้นอื่นๆ ที่อยู่นอกหลักการของเรา "เพราะกระสุนเรามีจำกัด" เป็นธรรมดาที่จะต้อง trade off กันไป

คิดจะทำกำไรจากทุกแนวทาง แม้กระทั่ง แนวทางนั้นจะเป็นแนวทางที่ตนเองไม่ถนัด นั่นคือหนทางสู่ความเสียหายอย่างแท้จริง

**********

อย่าปล่อยให้ความคิดเก็งกำไร 
ส่งผลต่อแผนการลงทุน

**********

ความผิดพลาดของนักลงทุนที่พบเจอได้บ่อย

- หลงผิด แยกไม่ออกว่าอะไรคือการลงทุน อะไรคือการเก็งกำไร

- ขาดความอดทน รอไม่เป็น ขยัน Action คิดว่าการซื้อๆขายๆ จะดีต่อพอร์ต

- โลภมากเกินไป รวยธรรมดาไม่พอ ต้องการรวยเร็วแบบสายฟ้าฟาด ซึ่งจะทำให้แผนการลงทุนให้ความสำคัญในสิ่งที่ผิดๆ

- ไม่รู้ว่าความเสี่ยงแท้จริงเกิดจากอะไร ความเสี่ยงเกิดจากการไม่รู้ในธุรกิจนั้นมากพอ ดีพอ ก่อนลงทุน

- ไม่รู้ว่าตนเองไม่รู้อะไร เพราะการรู้ว่าตนเองไม่รู้อะไร จะทำให้รู้จุดอ่อนของตนเองเพื่อปรับปรุง หรือหลีกเลี่ยงการลงทุนบนจุดอ่อนของตนเอง

- ยอมลุยซื้อทุกราคา แค่ขอให้เป็นหุ้นดี ราคาไหนก็ยอมซื้อ (หุ้นที่ดี อาจไม่ใช่การลงทุนที่ดี ถ้าซื้อแพงเกินไป)

- ไม่เตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ เมื่อโอกาสเข้ามาก็คว้าไม่ทัน พลาดโอกาสอย่างน่าเสียดาย

**********

ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักลงทุนจะหดหายไปเมื่อเกิดความโลภ และ อัตราการเติบโตที่สูงๆ นั้นคือ ปัจจัยที่ทำให้เกิดความโลภได้มากที่สุด
***********

วิธีการคำนวน ขนาด position ของ Trader เพื่อควบคุมความเสี่ยง 

สมมติ พอร์ตมีเงินลงทุน 1 ลบ แล้วจะ bet ให้ได้ 20 ครั้ง เท่ากับแต่ละครั้งจะขาดทุนได้ไม่เกิน 1,000,000 ÷ 20 = 50,000 บาท

เลือก "เครื่องมือ" ที่ใช้เป็นจุด stop loss อันนี้ยกเป็นตัวอย่าง

สมมติ ใช้เส้นค่าเฉลี่ยที่ low เดิมลงมาแตะแล้วเด้ง เป็นจุดคัท ในที่นี้จุดคัทจะอยู่ที่ 9.25 บาท ราคาหุ้นอยู่ที่ 9.80 บาท หากราคาแตะ 9.20 จะ stop loss
แปลว่าจะขาดทุน 0.60 บาท 

จากที่คำนวณข้างบน การ bet แต่ละครั้งจะยอมขาดทุนมากสุด 50,000 บาท 

ดังนั้น จะซื้อหุ้นได้ 50,000 บาท ÷ 0.60 บาท = 83,300 หุ้น 

แต่ปกติเวลาราคาไหลลงมักจะมี slippage ดังนั้นการเพื่อค่า slippage อาจซื้อเพียง 80,000 หุ้น 
ก็พอ

อันนี้ แนวทางการควบคุมความเสี่ยงอย่างนึงของเทรดเดอร์  

*** เครื่องมือที่ใช้เป็นจุด stop loss แต่ละคนจะใช้ไม่เหมือนกัน

การคำนวน position เพื่อคุม risk ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ควรทำ มันยังมีปัจจัยอื่น เช่น สภาพตลาดแบบไหน ถึงควร bet สภาพตลาดแบบไหนควรพัก รวมถึงยังมีปัจจัยด้านอื่นๆเฉพาะตัวของหุ้น เช่น ไม่เล่นหุ้นต่ำบาท ไม่เล่นหุ้นสภาพคล่องต่ำ และอื่นๆอีกมาก 

เล่าเพื่อคนที่เป็นเทรดเดอร์มือใหม่ จะได้คุมความเสี่ยงเป็น ^^