วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2565

หลักคิด 18

หากสามารถซื้อบริษัทที่ยอดเยี่ยมได้ในราคาสมเหตุสมผลแล้วละก็ การถือหุ้นเอาไว้นานๆ คอยดูราคาหุ้นที่ค่อยๆเติบโตไปพร้อมกับธุรกิจเป็นเรื่องที่ดี 

แต่ก่อนอื่นนั้น ต้องมองให้ออกก่อนว่าบริษัทที่คุณซื้อนั้นเป็นบริษัทที่ยอดเยี่ยมหรือเปล่า

**********
ฃในโลกของการลงทุน คุณสามารถทำผิดพลาดได้เสมอ เช่น ขายหุ้นแล้วราคาหุ้นขึ้นต่อ ไม่ขายหุ้นแล้วราคาหุ้นไหลลงแรง หรือหุ้นตัวที่ได้แต่เล็ง แต่ราคากลับขึ้นไม่หยุด 

ความผิดพลาดมีไว้ให้เรียนรู้ แต่ไม่ใช่ให้นำมาคิดโทษตัวเองซ้ำๆ 

เรียนรู้แล้วมองไปข้างหน้า อย่าคิดซ้ำวนลูบโทษตัวเองอยู่กับความผิดพลาดไม่รู้จบ มันไม่เกิดประโยชน์

**********

การเลือกหนังสือในการเสพนั้นสำคัญมาก เสียเวลาในการอ่าน แล้วดันได้ความรู้ผิดๆ นี่คือเสียหายหนักมาก ดังนั้นถ้าซื้อหนังสือมาอ่านแล้วรู้สึกว่าความรู้นั้นไม่ใช่ มันปลอม มันกลวง อย่าเสียดาย อย่าเสียเวลาอ่านต่อ 

เสียเงินไม่เท่าไร แต่เสียเวลาที่จะไปอ่านเล่มอื่นที่ดีๆ รวมทั้งหากไปจดจำความรู้ผิดๆมาใช้ อันนั้นจะเสียหายหนักมาก 

เลือกหนังสือที่จะอ่านสำคัญมาก บทความต่างๆก็เช่นกัน

***********

นักลงทุนระยะยาวโดยเนื้อแท้แล้วชอบมองหาการเติบโตปกติของธุรกิจ ส่วนการเติบโตแบบก้าวกระโดดที่ผิดปกตินั้นก็ดี แต่มองเป็น benefits มากกว่า 

จะแตกต่างกับนักเก็งกำไร ที่ชอบพยายามจะมองหาการเติบโตที่ผิดปกติ เพราะหวังจะรวยเร็วๆ 

แต่โดยมากมักจะไปซื้อช่วงท้ายๆของการไล่ราคา ก็จะดอยหนักมากไปตามระเบียบ

ส่วนพวกเข้าไปต้นเทรนด์ รู้ข้อมูลธุรกิจ และอุตสาหกรรม รู้ลึกจริงๆ เข้าไปรอ เพื่อให้เม่าเข้าตาม ตอนออกมักจะออกอย่างรวดเร็วแบบขายเท ขายเท และแน่นอนที่สุด คือได้กินเงินเม่า

*********

เวลาวางแผนธุรกิจ มักต้องมีเวลาให้ธุรกิจได้ดำเนินงานเพื่อแสดงผลงาน อย่างน้อยเบื้องต้นก็ 1 ปี หรือจะเห็นชัดเจนก็ 3 ปี

แต่เวลานักลงทุนซื้อหุ้นของ บ.เพื่อลงทุนกลับต้องการเห็นผลงานในระดับไม่กี่วัน ถ้าต้องรอระดับสัปดาห์จะบอกว่าเริ่มนานแล้ว ยิ่งหากต้องรอเป็นเดือน เป็นไตรมาส บางคนถึงขั้นขายหุ้นทิ้งเพราะรอไม่ได้ 

ลืมไปหริอเปล่าว่ามูลค่าของหุ้นขึ้นอยู่กับผลงานที่สำเร็จของบริษัท ดังนั้นการลงทุนในหุ้น ก็ควรต้องให้เวลาบริษัทในการดำเนินงานด้วย 

ซื้อหุ้นถ้าจะเห็นผลงานที่ชัดเจนของบริษัท อย่างน้อยควรถือหุ้นไม่น้อยกว่าสามปี เพื่อให้เวลาบริษัทได้ดำเนินกิจการ

ธุรกิจกว่าจะเห็นผลงานใช้เวลาเป็นปี แต่นักลงทุนจะเอากำไรรายวัน

ต้องหัดกระดิกตีนรอ (อย่างที่อาจารย์นิเวศน์สอน) ให้เป็น 🤣🤣🤣

***********

ซื้อหุ้นตามเซียนโดยเฉพาะ ซื้อตามเซียนสายเทคนิค ต้องระวัง เพราะการเทรดมันคือ zero sum game หมายถึงมีคนได้กำไรต้องมีคนขาดทุนเสมอ 

คราวนี้พอคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเซียนสายเทคนิค หมายถึงเขาทำกำไร(จากเงินคนอื่น)ได้มาก เขากินเงินคนอื่นเก่ง 

คำว่าคนอื่น คือใคร ก็คือคนที่เข้าไปเล่นหุ้นตัวเดียวกับเขานั่นเอง

ดังนั้นการเล่นหุ้นตามเซียน หมายถึง การเล่นหุ้นตาม "คนที่กินเงินคนอื่น" ได้เก่งกว่าเรา ดังนั้นการเล่นตามเซียนสายเทรด ต้องถามตัวเองด้วยว่า ตัวเองเทรดเก่งพอจะไม่โดนเซียนกินเงินหริอไม่ ?

#เซียนสายเทคนิค

**********

ทักษะที่สำคัญอย่างหนึ่งของนักลงทุน คือการคาดการณ์กำไร และประเมินมูลค่าของบริษัทได้อย่างสมเหตุสมผล

**********

คำถามที่นักลงทุนควรจะหาคำตอบก่อนที่จะซื้อหุ้น

- บริษัทมีรายได้ กำไร และกระแสเงินสดเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในระยะยาวหรือไม่ 

- ในระยะยาวบริษัทมีหนี้สินลดลงเมื่อเทียบกับส่วนผู้ถือหุ้นหรือไม่ และ/หรือ เพิ่มขึ้นในระยะสั้นเพราะการเร่งขยายงาน

- บริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาวหรือไม่ หรือสามารถกินมาร์เก็ตแชร์เพิ่มเติมได้หรือไม่

- ทีมผู้บริหารมีความมั่นคงแน่วแน่และมีความชำนาญในธุรกิจหรือไม่

- ผู้บริหารมีการตั้งเป้าหมายและมีการแจ้งความคืบหน้าเป็นระยะหรือไม่

- บริษัทมีการขยายงาน ขยายบริการหรือสินค้าออกไปอย่างประสบความสำเร็จหรือไม่ 

- ข้อที่สำคัญที่สุด ผู้บริหารเป็นคนที่ซื่อสัตย์และปฏิบัติต่อผู้ถือหุ้นอย่างเป็นธรรมหรือไม่
**********

รูปนี้แสดงให้เห็น ถึงการจ่ายเงินเพื่อซื้อทรัพย์สินถาวร โดยเปรียบเทียบกับสินทรัพย์รวม

จะเห็นได้ว่า VIH จ่ายเงินลงลงทุนซื้อสินทรัพย์ถาวรเป็นอัตราส่วนมากที่สุด รองลงมาเป็น RJH WPH TNH ตามลำดับ

ในขณะที่หากมองเป็นเม็ดเงินจะเห็นว่า BDMS จ่ายเงินเพื่อซื้อทรัพย์สินถาวรเป็นจำนวนมากที่สุด (ตามข่าวก็จะพบว่ามีโครงการการลงทุนขนาดใหญ่)

ในด้านของ BCH นั้น ช่วงก่อนเกิดโควิด มี 12 โรงพยาบาล 1 โพลีคลินิก และขณะนี้มี 15 โรงพยาบาล 1 โพลีคลินิก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเพิ่งผ่านช่วงลงทุนหนักๆไป ช่วงครึ่งปีแรกแม้จะมีการซื้อทรัพย์สินถาวรไป 600 กว่าล้าน แต่เงินสดจากกิจกรรมลงทุนก็เป็นบวก เนื่องจากมีเงินสดรับจากการจำหน่ายเงินลงทุน
**********

"เงินสดสุทธิได้มาจาก(ใช้ไป)กิจกรรมจัดหาเงิน"
ชื่อก็บอกอยู่แล้ว กิจกรรมจัดหาเงิน มันมีด้านที่เกี่ยวข้องสองด้าน คือ 

หนี้สินไม่ว่าจะกู้ยืมหรือจ่ายคืน ก็นับเป็นการได้มาหรือใช้ไปในกิจกรรมจัดหาเงิน
และด้านที่เกี่ยวกับผู้ถือหุ้น ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มทุน ลดทุน จ่ายปันผล 

กระแสเงินสดในหมวดนี้ ตัวเลขลบ จะเป็นเรื่องดีไม่ว่าจะเป็นการจ่ายหนี้เพื่อลดหนี้สินลงหรือจะจ่ายเงินปันผลก็ตาม

จากรูปจะเห็นว่ามีเพียง 2 บริษัทที่จ่ายเงินชำระหนี้สินแบบเป็นเนื้อเป็นน้ำ และมีการจ่ายปันผลเป็นจำนวนเงินค่อนข้างมาก คือ BCH และ BDMS ซึ่งแน่นอนว่าการจะมีเงินมาจ่ายชำระหนี้และมาจ่ายปันผลได้นั้นแสดงว่าจะต้องมีกระแสเงินสดเข้าที่ค่อนข้างดีด้วย (ไม่เช่นนั้นจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายหนี้และจ่ายเงินปันผลได้) 

อีกประการหนึ่งก็คือ บริษัทจะต้องมีสภาพคล่องที่ดีมากและเหลือโดยอาจจะพึ่งผ่านการลงทุนหนักไปแล้วทำให้ไม่มีเหตุที่จะต้องใช้เงินในระยะสั้น หรืออาจจะมีการลงทุนขยายงานในอนาคตแต่ยังไม่ได้รีบใช้เงินในระยะสั้น ทำให้มีสภาพคล่องที่ดีมาก จึงได้ชำระหนี้เพื่อลดดอกเบี้ยจ่าย และ/หรือ จ่ายเป็นเงินปันผลออกมา

บริษัทที่มีสภาพคล่องที่สูง ลดความเสี่ยงจากการล้มละลายในภาวะวิกฤต และยังลดความเสี่ยงจากการเพิ่มทุนอีกด้วย 

เงินสดสุทธิที่ได้มาจาก(ใช้ไป) ในกิจกรรมจัดหาเงิน หากมีตัวเลขเป็นบวกโดยมากมักจะมาจากการกู้ยืมที่มากขึ้น (บริษัทมีหนี้สินที่เพิ่มขึ้น)

**********

การลงทุนใน บ.ที่ดีแต่ยังมีจุดอ่อนของอุตสาหกรรมอยู่บ้างนั้น ต้องเลือกลงทุนในราคาที่มีส่วนเผื่อความปลอดภัยให้มากพอ 

ต่างจากการลงทุนในบริษัทที่ยอดเยี่ยม ที่มีส่วนเผื่อความปลอดภัยบ้างและเป็นการลงทุนบนราคาที่สมเหตุสมผล ความแข็งแกร่งของบริษัทและการเติบโตของบริษัท เปรียบเสมือนเป็นกันชน เปรียบเสมือนเป็นส่วนเผื่อความปลอดภัยที่มากพอสำหรับการลงทุน

********
ค่าความนิยม (Goodwill) จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการซื้อกิจการหรือควบรวมกิจการ โดยผู้ซื้อจ่ายเงินแพงกว่ามูลค่าตามบัญชีของกิจการที่ถูกซื้อ เงินส่วนต่างที่จ่ายแพงกว่าบันทึกในชื่อ ค่าความนิยม (Goodwill) 

ฟังอย่างนี้เหมือนเป็นการซื้อแพง แต่อีกมุมนึงก็คือเปรียบเสมือนการจ่ายส่วนต่างเพื่อซื้อแบรนด์ หรือซื้อฐานลูกค้าของอีกกิจการ อย่างไรก็ดีในฝั่งคนซื้อย่อมไม่อยากจ่ายส่วนนี้แพงเกินไป หรือกิจการไหนที่ยอมจ่ายแพงเกินไปมากๆอาจถูกมองว่าใช้เงินไม่คุ้มค่าได้ 

ในรูปจะเป็นอัตราส่วนระหว่างค่า ความนิยมต่อทรัพย์สินรวม กิจการใดที่มีการเร่งการทำ M&A มักจะมีค่าความนิยมบันทึกในบัญชีค่อนข้างสูง

(ซื้อ "มักจะ" แพงกว่าสร้างเอง แต่ถ้าคุ้มค่าก็ซื้อได้ ดังนั้นส่วนตัวจึงคิดว่าซื้อได้บ้างแต่อย่ามากเกิน น่าจะดีที่สุด)

#กลุ่มโรงพยาบาล

************

ทำงาน คือ ลงแรงแล้วได้เงิน
ถ้าลงแรงด้วยทักษะที่หายาก จะยิ่งได้เงินมาก ทักษะที่หายาก คือ ทักษะที่เรียนรู้ได้ยาก เช่น หมอ โดยเฉพาะหมอเฉพาะทาง โปรแกรมเมอร์ที่สามารถโค้ดดิ้งได้เก่งๆ และอื่นๆ

ส่วนการลงทุน ต้องมีเงินทุนและต้องมีทักษะการลงทุนด้วย หากไม่มีทุนไม่ต้องพูดถึงอาชีพลงทุนเลย การจะมีทุนคือ เบื้องต้นต้องสะสมทุนก่อน จากการทำงานหรือถ้าโชคดีก็จากความมั่งคั่งของครอบครัว แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องมีทักษะการลงทุนด้วย และต้องรู้จักสะสมทุนไว้เป็นบัฟเฟอร์เพื่อผิดพลาดด้วย นักลงทุนไม่มีใครไม่เคยขาดทุน แม้คนเก่งๆภาพรวมต่อปีจะมีกำไรแต่ในรายละเอียดของแต่ละออเดอร์ไม่มีใครสามารถกำไรได้ทุกครั้ง ไม่มีใคร win ได้ทั้ง 100% โดยไม่มีพลาดเลย 

นักลงทุนจึงสำคัญที่ต้องมี เงินทุนสำรองไว้เป็น "กันชน" ในยามผิดพลาด 

ถ้าไม่มีทุน ก็ไม่ใช่นักลงทุน

******
หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย เป็นได้ทั้งหนี้ที่ดีและหนี้ที่เลว หนี้สินที่กู้ยืมมาในอัตราส่วนที่เหมาะสมจะช่วยเร่งการเติบโตของบริษัทได้  

หากมีโอกาสเข้ามาแต่ บ.เลือกที่จะไม่ยอมให้มีหนี้สินเลย+เงินทุนไม่พอ เท่ากับเป็นการเสียโอกาสไป

แต่หากมีหนี้สินมากเกินไปก็จะไปเพิ่มความเสี่ยงในด้านสภาพคล่อง หากมากถึงจุดหนึ่งอาจจะมีการเพิ่มทุนได้

**************

เป็นวาทะที่ VI ตัวจริงเกือบทุกคนยึดถือ 
จริงแล้วการซื้อของมันคือการตอบสนองความอยาก โดยเฉพาะของที่ไม่จำเป็นแต่เป็นของหรูราคาแพง มันไม่ได้แค่ตอบสนองความอยากแต่เพียงอย่างเดียวแต่มันตอบสนองอีโก้อีกด้วย (ความอยากอวด) 

แน่นอนว่าคนเราย่อมมีความอยากมากบ้างน้อยบ้างกันทุกคน แต่แค่อย่าอยากชิ้นใหญ่ อย่าเสียเงินไปกับของชิ้นใหญ่เท่านั้นก็ช่วยได้มากแล้ว ลำพังอยากได้ชิ้นเล็กๆ จำนวนเงินไม่มาก ตอบสนองเพื่อความพึงใจได้บ้าง เป็นเรื่องปกติ  

ทั้งปู่บัฟเฟตต์และ อาจารย์นิเวศน์ เป็นตัวอย่างที่ดี ของเรื่องเล่าที่ VI ทุกคนรู้ดีเรื่องการใช้รถที่ใช้ทนและทนใช้ 😆 (แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆก็คงต้องเปลี่ยน)

เงินหนึ่งล้านบาท + ผลตอบแทนทบต้น 12% บนเวลา 30 ปี จะกลายเป็น 30 ล้าน

ซึ่งทั้งปู่บัฟเฟตต์และอาจารย์นิเวศน์ ล้วนมีผลงานผลตอบแทนทบต้นเกิน 12% ต่อปีอย่างยาวนาน

**********

ถ้าคุณไม่มีความได้เปรียบในการแข่งขันแล้วล่ะก็ อย่าไปแข่งเลย - Jack Welch

***********

ถ้าการลงทุนของคุณเป็นการลงทุนระยะยาว คุณควรอยู่ให้ห่างจากอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วและคาดเดาไม่ได้

**********

แต่ละคน มาจากสิ่งแวดล้อมที่ต่างกัน มาจากประสบการณ์ที่ต่างกัน ส่งผลให้ความรู้ ความสามารถในการมองธุรกิจแตกต่างกันด้วย

หลายคนมองกลุ่มพลังงานขาด บางคนมองกลุ่มเทคโนโลยีออก บางคนคุ้นเคยกับกลุ่มประกัน 

ถ้ามองออกจนสามารถอธิบายอย่างละเอียดให้คนอื่นเข้าใจได้ รู้จุดแข็ง จุดอ่อน เข้าใจโมเดลธุรกิจ หามูลค่าได้ แสดงว่ารู้จริง ลงทุนกับมันได้  

การรู้จริงเพียงไม่กี่กลุ่มธุรกิจก็สามารถลงทุนเพื่อสร้างรายได้ระยะยาวได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องรู้ทั้งตลาด 

แต่แน่นอนยิ่งรู้กว้าง ยิ่งดี เป็นการเพิ่มขอบเขตความสามารถให้กับตนเองและย่อมเพิ่มโอกาสด้วยเช่นกัน

***********

คนเราอย่าปล่อยให้ตัวเองมีเวลาว่างมากเกินไป ไม่งั้นจะคิดมากในเรื่องไม่เป็นเรื่อง จะฟุ้งซ่านในเรื่องไร้สาระ นิดหน่อยก็เก็บมาคิด 

หางานอดิเรกทำ อ่านหนังสือ หาความรู้เพิ่ม เดินห้าง ดูหนัง ออกกำลังกาย 

หรือไม่ก็ เรียนแต่งหน้า นั่งสมาธิ ดำน้ำ ปลูกปะการัง ทำอาหาร นวดสปา ปลูกป่า ดำนา ดูดิสนีย์ออนไอซ์ แรลลี่ตีกอล์ฟ ล่องเรือ ส่องสัตว์ ช๊อปปิ้ง ดูงิ้ว ดูละครเวที ดูคอนเสิร์ต ดินเนอร์ ทำขนม จัดดอกไม้ เที่ยวตลาดน้ำ เรียนถ่ายรูป ดูกายกรรม ชมเมืองเก่า เข้าสัมมนา ทัวร์ธรรมมะ เรียนเต้นแล้วก็ร้องเพลง

จะช่วยลดความฟุ้งซ่าน ลดความคิดมา ลดความกังวลใจ ไปได้มาก ยิ่งแก่ตัวลง ยิ่งมีเวลาว่างมาก ยิ่งฟุ้งซ่านได้ง่าย ต้องระวัง หางานอดิเรกทำแต่เนิ่นๆ พออายุมากขึ้นจะได้มีงานอดิเรกที่ชอบทำ

**********

มันไม่ใช่ตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ มันไม่ใช่อัตราดอกเบี้ย ที่ทำร้ายนักลงทุน 

แต่เป็นการซื้อขาย เป็นการเทรดอย่างบ้าคลั่งต่างหากที่ทำร้ายนักลงทุน

**********


ถ้าเก็บเงินเดือนละ 30,000 บาทลงทุนได้ผลตอบแทนปีละ 10% 
10 ปีจะกลายเป็นเงินประมาณ 6 ล้านกว่าบาท 
20 ปีจะกลายเป็นเงินประมาณ 21 ล้าน
และ 30 ปีจะกลายเป็นเงินประมาณ 62 ล้าน

โดยมีข้อแม้ว่า
1. ลงทุนได้ผลตอบแทนปีละ 10%
2. ผลตอบแทนนั้นใส่เข้าไปลงทุน "ทบต้น" ไม่ถอนออกมาใช้

วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2565

หลักคิด 17

บาง บ. ผู้ก่อตั้งอายุมากๆแล้ว (แบบมากกว่ากว่า 80 ปี ไรงี้) ส่งต่อหุ้นให้ลูกๆ แต่ลูกๆก็ไม่ได้เป็นกรรมการหรือ ผบห เหมือนไม่ได้อยู่ในสายอาชีพนั้น อาศัย ผบห บริหารกันไป 

แบบนี้เราก็มองว่าเป็นความเสี่ยงอย่างนึงน่ะ

************
ตัวอย่าง การตั้งสำรองที่แตกต่างและส่งผลต่อกำไรของบริษัทเป็นอย่างมาก

BLA 2Q65 yoy
เบี้ยประกันภัยรับสุทธิ 7291 ลบ (-5-5%)
รวมรายได้ 11,034 ลบ (-1.2%)

ค่าใช้จ่าย
สำรองประกันภัยสำหรับสัญญาประกันภัยระยะยาวเพิ่มขึ้น 694 ลบ (-75%)
 ( 2Q64 : 2,787 ลบ)
รวม คชจ 9,626 ลบ (-6.5%)

กำไรส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัท 1,189 ลบ +58%

ปล. ข้อสังเกต เงินสำรองลดลงจาก 2,787 ลบ ใน 2Q64 เหลือสำรองเพียง 694 ลบ ใน 2Q65 เท่ากับค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองลดไปถึง 2,093 ลบ เทียบกับกำไรของงวดที่ 1,189 ลบ

***************

- ปกติ ภาษี คือรายจ่าย
การที่ บ.มีรายได้ทางภาษี อาจเกิดเพราะ จ่ายภาษีไว้เกิน , มีรายการขาดทุนที่รับรู้ ทำให้ภาษีจ่าย กลายเป็นต้องได้เครดิตภาษีคืน  

รายได้ทางภาษี ไม่นับเป็นรายได้จากการดำเนินงาน ไม่เกี่ยวกับความสามารถในการสร้างกำไรของ บ. และเป็นรายได้ไม่ประจำ

- รายได้จาก minority เกิดจาก การรวมงบ โดยที่ บ.แม่มีกำไร แต่ บ.ลูกขาดทุน ปกติหากมีกำไรทั้ง บ.แม่ และ บ.ลูก กำไรจะโดนหักออกเป็นกำไร ของส่วนผู้ถือหุ้นของ บ.ใหญ่ และ กำไรของ minority แต่ในกรณีที่ บ.ลูกขาดทุน ผลขาดทุนจึงต้องนำมาบวกกลับให้ กำไรของส่วนผู้ถือหุ้นของ บ.ใหญ่

กรณี สมมติ ตัวอย่าง 

บ. A มีรายได้จากการขาย ปีที่ 1 และ ปีที่ 2 ปีละ 2,000 ลบ มีกำไร ปีละ 200 ลบ (รายได้และกำไรปีที่ 1 เทียบกับปีที่ 2 yoy นั้นไม่เพิ่ม) และถือหุ้นใน บ. B 30% แต่ บ.A มีอำนาจควบคุม บ. B จึงรวมงบการเงินของ บ.B มาในงบรวม
โดยที่ บ.B มีรายได้ 1000 ลบ และผลกำไรขาดทุนอยู่ (-100 ลบ)

พอรวมงบการเงิน งบรวมของ บ.A รายได้จะกลายเป็น 2000+1000 = 3000 ลบ จะเห็นว่างบรวมรายได้เพิ่มจากการรวมงบถึง +50% yoy (ทั้งๆที่ก่อนรวมงบ รายได้ไม่เพิ่ม) ทั้งๆที่ บ. A ถือหุ้น บ.B แค่ 30% แต่เอารายได้ของ บ.B มารวมทั้ง 100% ดังนั้นในงบรวม นอกจากรายได้ที่เกินมา 70% จาก บ.B แล้ว ก็ยังมี กำไร/ขาดทุน ที่เกินมาอีก 70% ของ บ.B เกินจริงมาอยู่ในงบรวมของ บ.A อีกด้วย

ในส่วนของกำไรบรรทัดสุดท้าย จึงต้องมีการหัก กำไร/ขาดทุน ส่วนเกิน 70% ออกจาก "กำไรสำหรับงวด" จึงจะเป็นกำไรแท้จริง ที่เรามักเรียกย่อๆว่า กำไรสุทธิ (แต่จริงแล้วควรเรียกว่า "กำไรที่เป็นส่วนของ บ.ใหญ่" ) 

ตามตัวอย่าง กำไรของ บ.A ก่อนรวมงบคือ 200 ลบ ส่วน บ.B ขาดทุน -100 ลบ 

พอรวมงบ "กำไรสำหรับงวด" จึงเหลือ 100 ลบ (ซึ่งมันรวมการขาดทุนของ บ.B ไว้ทั้ง 100% ทั้งๆที่ บ.A ถือหุ้น บ.B แค่ 30%)

ดังนั้นการหา "กำไรส่วนของ บ.ใหญ่" จึงต้องหัก ขาดทุน 70% ของ บ.B ที่ บ.A ไม่ได้ถือหุ้นออก จะได้ -100 ลบ × 70% = -70 ลบ

ผลที่บันทึกในบัญชีคือ 

กำไรส่วนของ บ.ใหญ่ 170 มาจาก (100 - (-70))
กำไรของ minority -70
กำไรสำหรับงวด 100 ลบ

หรือ คิดอีกทางจากความจริงคือ 
บ. A กำไร 200 ลบ + ถือหุ้นใน บ.B 30% บ.Bขาดทุน 100 ลบ , บ.A ต้องรับรู้ผลขาดทุนจาก บ.B -30 ลบ ดังนั้น บ.A จะมีกำไรจริงที่ 200-30 = 170 ลบ

*************

การรวมงบลักษณะนี้จะทำให้นักลงทุนที่ไม่อ่านงบให้ละเอียด เข้าใจผิดพลาดได้ 

เพราะนักลงทุนส่วนมากมักมองแค่ 2 บรรทัด คือบรรทัดรายได้และบรรทัดกำไร 

ตามตัวอย่างจะเห็นว่ารายได้เพิ่ม จากการรวมงบทั้ง 100% ของบริษัทลูกเข้ามา หมายถึงรวมรายได้ในส่วนที่บริษัทใหญ่ไม่ได้เป็นเจ้าของเข้ามาไว้ในงบด้วย ทำให้รายได้ดูเหมือนเพิ่มขึ้นเยอะมากเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าที่ยังไม่ได้รวมงบ 

ในส่วนของบรรทัดกำไรบรรทัดสุดท้าย คือรายได้แท้จริง ที่รวมกำไรตามสัดส่วนที่ถือหุ้นในบริษัทลูก 

ในกรณีตามตัวอย่าง (ต้องคิดเสมอว่าบริษัทแม่ถือหุ้นในบริษัทลูกแค่ 30%) แต่ รายได้ในงบรวมนั้น รวมรายได้มาทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ ส่วน บรรทัดสุดท้ายคือกำไรสุทธิรวมขาดทุนมาแค่ 30% ตามสัดส่วน แต่หากมีรายได้จากภาษีก็ต้องตัดออกก่อนเนื่องจากไม่ใช่รายได้จากการดำเนินงาน 

ปล. ผมไม่ใช่นัก บช อธิบายตามความเข้าใจส่วนตัวเท่านั้น หากมีผิดพลาด แจ้งให้ผมทราบด้วยครับ

**********

เห็นมีพาดข่าวว่ามีกำไรเพิ่มขึ้นเยอะ เลยลองดูงบการเงินสักหน่อย (ในใจคิดอยู่แล้วว่าไม่น่าใช่ผลดำเนินงานปกติ) 

SIRI 2Q65 yoy
รายได้จากการริบเงินจองและเงินค่างวด 384 ลบ +3313% (ส่วนตัวมองว่ารายได้ตัวนี้ไม่ค่อยดีเลย แสดงถึงว่าลูกค้ามีปัญหา อาจส่งผลต่อรายได้ปกติในอนาคตได้)
รายได้จากการขายที่ดิน 62 ลบ +1809%
รวมรายได้ 7,837 ลบ -2.5% 

รวมค่าใช้จ่าย -4.5% 
กำไรจากกิจกรรมดำเนินงาน 1,288 ลบ+8.7% 
(ถ้าไม่มีรายได้จากการริบเงินจองและขายที่ดินกำไรจากกิจกรรมดำเนินงานก็จะลดไปเยอะพอสมควร)

ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในการร่วมค้า 52 ลบ (เพิ่มเติมในรูป)
รายได้ทางการเงิน 56 ลบ ( คืออัลไลลลล ???)

กำไรสำหรับงวด 918 ลบ (เทียบกับรายได้จากการริบเงินจอง 384 ลบ + ขายที่ดิน 62 ลบ อืมมม)
****************

One-time gain ไม่ใช่ผู้ร้ายเสมอไป ถ้า

- เป็นรายได้ที่เป็นกระแสเงินสดเข้า บ.จริง เพราะเงินสดนั้นสามารถนำไปลดหนี้หรือทำให้บริษัทเกิดสภาพคล่องมากขึ้นได้

- ถ้า Core business หรือกำไรจากการดำเนินงานปกติของบริษัทเติบโตขึ้นในทุกมิติ 

แต่ One-time gain จะกลายเป็นตัวร้ายหากเข้าไปปกปิดผลการดำเนินงานที่ "แย่ลงของธุรกิจปกติ" ทำให้นักลงทุนเข้าใจผิด คิดว่า บ.มีผลประกอบการที่ดี

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากนักวิเคราะห์ออกเปเปอร์โดยไม่พูดถึงกำไร One time Gain ที่ปกปิดผลการดำเนินงานปกติที่แย่ลง แถมยังเชียร์แค่บรรทัดสุดท้ายว่าเติบโต อันนี้ถือว่าเป็นอะไรที่ 🙄🙄🙄 (มองบน)

**********
ในการลงทุนนั้น อย่าได้ถามหาการรับประกันใดๆจากคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของหลักการ เรื่องของการเลือกหุ้น หรือแม้แต่เรื่องของมูลค่า เพราะเรื่องเหล่านี้มันขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆอีกมากมาย แม้แต่ปู่บัฟเฟตต์ กับปู่ชาร์ลี ก็ยังคำนวณได้มูลค่าที่แตกต่างกัน 

จำไว้อย่างว่า ในตลาดหุ้นทุกคนมีอิสระในการลงทุน ในการเลือกที่จะเชื่อ ที่จะใช้หลักการใดก็ได้ในการลงทุน แต่ไม่มีใครรับประกันอะไรให้คุณได้แม้แต่อย่างเดียว

ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำก็การช่วยเหลือตัวเอง อ่านให้มาก ศึกษาให้มาก จนสามารถมั่นใจได้ด้วยตัวเอง เมื่อมั่นใจด้วยตนเองแล้ว ก็จะเลิกถามหาความมั่นใจจากผู้อื่น

*********

ใส่ใจไปที่มูลค่าระยะยาวของบริษัทที่คำนวณได้ หากมีการคำนวณเผื่อไว้มากพอ, มี MOS มากพอ
แล้วละก็ เหตุการณ์ความเสียหาย ระหว่างทางเล็กๆน้อยๆของการดำเนินธุรกิจ จะไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกเลย 

แม้ว่าตลาดอาจจะให้ความสนใจกับมัน (เหตุการณ์ความเสียหายเล็กน้อยระหว่างทาง) ก็ตาม แต่นั่นก็จะเป็นเพียงระยะสั้นและเป็นโอกาสในการซื้อเพิ่ม 

บ้างก็มองเป็นวิกฤต บ้างก็มองเป็นโอกาส 

"สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม อีกคนตาแหลมคม เห็นดวงดาวอยู่พราวพราย"

**********

คงเคยได้ยินประโยคที่ว่า
ให้หาหุ้นยอดเยี่ยมในอุตสาหกรรมยอดแย่ 
เพราะในอุตสาหกรรมที่มันแย่นั้นคู่แข่งจะน้อย 

หุ้นร้อนแรงในอุตสาหกรรมที่ร้อนแรง แน่นอนย่อมจะดึงดูดนักลงทุน และคู่แข่ง เข้าไปเป็นจำนวนมาก 

หากมองในภาพใหญ่ สมมุติให้ประเทศเป็นตัวแทนอุตสาหกรรม ประเทศไทยคงไม่ใช่อุตสาหกรรมที่ร้อนแรงเหมือนเวียดนาม ที่เหลือก็เพียงแต่หาหุ้นยอดเยี่ยมให้เจอเท่านั้นเอง
**********

Players ในตลาดหุ้นกลัวการขาดทุนระยะสั้นมากเสียจน ยอมที่จะขาดทุนถาวรมากกว่า

**********

การซื้อขายหุ้น ให้มองที่เหตุผลของเราเป็นหลักโดยต้องเป็นเหตุผลที่มาจากการศึกษาบริษัทอย่างละเอียดเพียงพอ ไม่ต้องไปคิดแทนคนอื่นว่าเขาขายหุ้นเพราะอะไร หรือคนอื่นซื้อหุ้นเพราะอะไร 

รู้เพียงว่าเราไม่อยู่ในสภานะเสียเปรียบในการซื้อขายหุ้นก็พอ

**********

คำถามสำคัญของข้อ ที่ควรตอบให้ได้ก่อนจะซื้อหุ้นใดๆก็ตาม 

ผลตอบแทนคาดหวังขั้นต่ำจากการซื้อหุ้นคือเท่าไร และ คำนวณมูลค่าของ บ.ได้เท่าไร

**************

บนการลงทุนระยะยาว ที่นักลงทุนต้องทำก็คือ 
- มองหาบริษัทที่มีหนี้สินเหมาะสม ค่อนไปทางต่ำ ไม่สูง 
- บริษัทที่มีความยั่งยืนไม่ปิดกิจการในอีก 10-15 ปีข้างหน้า 
- บริษัทที่มีการเติบโต มีการขยายงานตามโมเดลที่ประสบความสำเร็จแล้ว โดยการ copy & paste
- ผู้บริหารไว้ใจได้ และมีผลประโยชน์ไปในทิศทางเดียวกับผู้ถือหุ้นรายย่อย 

จากนั้นก็เพียงแต่ซื้อเมื่อราคาเหมาะสมแล้วถือลงทุนระยะยาว ระหว่างทางของการทำธุรกิจ หากมีผลกระทบแบบชั่วคราว ที่ player ในตลาดมองว่าไม่ดี นั่นก็คือจังหวะซื้อเพิ่ม (เพราะนายตลาดขี้ตกใจ อยากจะรีบขายทิ้งแบบถูกๆเมื่อบริษัทมีข่าวร้ายแม้จะเป็น "เรื่องร้ายในเรื่องดี" ก็ตาม) 

คำว่า "เรื่องร้ายในเรื่องดี" เช่นอะไรบ้าง 

เช่น โดยปกติแล้วหากบริษัทมีการขยายสาขา ตามโมเดล copy & paste มันเป็นเรื่องปกติมาก ที่สาขาใหม่จะต้องมีค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้นมา และรายได้จะค่อยๆตามมาในภายหลัง 

ซึ่งการขยายกิจการนั้นใครๆก็รู้ว่าเป็นเรื่องดี เราคงไม่อยากซื้อบริษัทที่ไม่มีการเติบโต 


เมื่อค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมา เพราะการขยายงาน (มันคือเรื่องร้ายชั่วคราวในเรื่องดี) แต่ในตลาดก็มักจะตกใจ อยากขายหุ้นทิ้งในราคาถูกๆ 

และแน่นอนนักลงทุนผู้ชาญฉลาด ย่อมเลือกที่จะทยอยลงทุนในจังหวะแบบนี้ หากราคานั้นลงมาเหมาะสมหรือต่ำกว่ามูลค่า 

การร่วมตกใจไปกับนายตลาด หมายถึงว่าเราทำตัวเป็นนายตลาดเสียเอง 

จริงๆหลักการพวกนี้ น่าจะอ่านซ้ำๆกันจนขึ้นใจแล้ว ว่าให้ซื้อเมื่อราคาเหมาะสมและต่ำกว่ามูลค่า ว่าให้ซื้อยามที่ตลาดแตกตื่นตกใจ แต่ส่วนมากทำกันไม่ค่อยได้ ชอบที่จะเป็นนายตลาดกันซะมากกว่า

ต้องหมั่นมีสติ 😅

***********

การซื้อหุ้นเพื่อเก็งกำไร เพื่อการเทรด แล้วไม่ตั้งจุด stop loss หรือ ตั้งจุด stop loss แล้วแต่ไม่ทำตาม เป็นความผิดพลาดของ "ขาออก"

แต่การซื้อหุ้นเพื่อลงทุนที่แพงกว่ามูลค่า ไม่ว่าจะเป็นเพราะการไม่ประเมินมูลค่าหรือประเมินมูลค่าผิดพลาดก็แล้วแต่ มันเป็นความผิดพลาดตั้งแต่ตอนซื้อ เป็นความผิดพลาดของ "ขาเข้า"

การรู้จุดผิดพลาดจะทำให้ครั้งหน้าระมัดระวังมากยิ่งขึ้น เช่นถ้ารู้ว่าผิดพลาดเพราะเป็นที่ "ขาออก" ครั้งหน้าก็ต้องทำตามจุด stop loss อย่างเคร่งครัด 

ส่วนการรู้ว่าเป็นความผิดพลาดตั้งแต่ตอนซื้อที่เป็นความผิดพลาดตั้งแต่ "ขาเข้า" โอกาสต่อไปในการซื้อหุ้นจะได้เอาไว้เป็นบทเรียน ทำการประเมินมูลค่าหุ้นก่อนที่จะซื้อทุกครั้ง ไม่ซื้อหุ้นที่แพงกว่ามูลค่า

การวิเคราะห์จุดผิดพลาดเป็นเรื่องสำคัญเพื่อที่จะได้เกิดการเรียนรู้และเกิดการพัฒนา

*********

ทักษะการแยกแยะข่าวที่มากระทบกับบริษัท ที่มากระทบกับตลาดหุ้นโดยรวม มันสำคัญ 

หากแยกแยะไม่ออกว่าสิ่งใดคือข่าวดีจริงๆ สิ่งใดคือข่าวดีลวงๆ ข่าวใดคือเรื่องร้ายแบบถาวร ข่าวใดคือเรื่องร้ายแบบชั่วคราวบนระยะสั้น 

หากแยกไม่ออกแล้วล่ะก็ การลงทุนก็ย่อมจะไขว้เขวผันผวนไปตามข่าวลือ ข่าวลวง และข่าวจริงที่มีผลกระทบระยะสั้นได้ 

อย่าให้ผลกระทบระยะสั้น ทำให้การลงทุนระยะยาวของเราไขว้เขว เพียงเพราะหลงไปกับข่าว เพียงเพราะไม่แยกแยะข่าว
***********

หลักการง่ายๆอย่างนึงที่จะทำให้ การลงทุนปลอดภัยมากยิ่งขึ้น คือ ทำประมาณการล่วงหน้าให้ต่ำเข้าไว้ ต่ำชนิดมี MOS เหลือเฟือ 

หากทำประมาณการแบบกดคะแนนแล้ว ผลที่ได้ยังมีอัพไซด์เพียงพออย่างน่าสนใจแล้วละก็ นั่นหมายความว่าหุ้นตัวนั้นน่าสนใจมาก และซื้อเข้าพอร์ตได้

โดยก่อนจะกำหนดให้เป็นตัวที่เก็บเข้าพอร์ตได้นั่นต้องผ่านเกณฑ์ต่อไปนี้
- มีหนี้สินต่ำ งบการเงินมั่นคง บ.ไม่มีทางล้มหายตายจากในระยะเวลา 10-15 ปีนี้แน่นอน
- มีอำนาจในการต่อรองราคาสูงสามารถส่งต่ออัตราเงินเฟ้อได้ 
- มีการขยายกิจการต่อเนื่อง สร้างการเติบโตต่อเนื่อง
- ผบห มีผลประโยชน์ไปในทิศทางเดียวกับ ผู้ถือหุ้นรายย่อย 
- ผบห มีวิสัยทัศน์ มีความมุ่งมั่นสูงที่ต้องการให้กิจการมีการเติบใหญ่ 
- อยู่ในอุตสหกรรมกำลังเติบโต เช่น ฐานลูกค้าที่จะมาใช้บริการกำลังเพิ่มขึ้น

ยกตัวอย่าง 

กรณีล่าสุด บ.B "ผ่านเกณฑ์ต่างๆ" ที่เราได้พิจรณาทั้งหมดแล้ว และ เราตั้งสมมติฐานว่า ปี 2565 บ. B จะมีกำไร 1700 ลบ บนราคาปัจจุบันจะได้ค่าพีอีที่เหมาะสม จะมีอัพไซด์เหมาะสม 

ทั้งๆที่ความจริงแล้ว 6 เดือนที่ผ่านมา บ.B กลับมีกำไรถึง 3170 ลบไปแล้ว

นี่แสดงให้เห็นว่า ถึงแม้จะมีเรื่องร้ายอะไรเข้ามากระทบให้ราคาลดลง นั่นเป็นโอกาสซื้อเพิ่ม ตามหลักการลงทุนระยะยาว ที่บอกว่า "ลงทุนบนพื้นฐานระยะยาวของกิจการ และซื้อเพิ่มเมื่อมีข่าวร้ายชั่วคราวมากระทบ" 

ยิ่งเป็นการลงทุนระยะยาว ยิ่งอยากให้ราคาลงมาเพื่อเปิดโอกาสในการซื้อเพิ่ม 

ใครๆก็อยากได้ของดีราคาถูก การได้ของดีที่ราคาถูกย่อมเป็นเรื่องดี นี่จึงเป็นที่มาของคำว่าควร "ทยอยซื้อเป็นไม้ๆ ตามจุดต่างที่ตั้งไว้ ไม่ไล่ราคา"

ปัญหาตอนนี้ คือ ทำยังไงให้กองทุนยอมขายหุ้นตัวนี้ออกมาในราคาถูกๆ (หุ้นไซส์นี้ถ้ามัวแต่รอรายย่อยขาย ราคาถูกมากๆคงไม่มีให้เห็น) 🤣🤣🤣

**********

ธุรกิจโรงพยาบาล โดยปกติแล้วจะต้องมีการสั่งยามาสำรองและเก็บรักษาให้ได้ตามมาตรฐานในยาบางตัวที่ต้องการการควบคุมอุณหภูมิ ก็จะมีผู้เชี่ยวชาญดูแล ยาบางชนิดมีการใช้ไม่บ่อย แต่จำเป็นต้องมีเพราะในกรณีฉุกเฉินหากไม่มีไว้ใช้คนไข้อาจถึงแก่ชีวิตได้ 

การมียาอย่างพอเพียงก็เป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นเรื่องยาเหลือจนหมดอายุต้องทิ้ง เราเชื่อว่าเป็นเรื่องปกติของธุรกิจโรงพยาบาลเช่นกัน 

แน่นอนว่าทั้งหมดเหล่านี้ล้วนเป็นต้นทุนแฝงส่วนเพิ่ม ที่โรงพยาบาลจะต้องมีการบริหารจัดการกันจนเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว 

บางบริษัทยาจึงมีการให้ส่วนลดเปอร์เซ็นต์ หรือให้จำนวนยาเพิ่มสำหรับเผื่อหมดอายุ ตามปริมาณการสั่งของโรงพยาบาล 

การบริหารจัดการยาว่าจะเหลือยาหมดอายุมากน้อยแค่ไหนนั้น ถือว่าเป็นฝีมือของฝ่ายบริหาร 

ซึ่งโรงพยาบาลที่มีเครือโรงพยาบาลก็จะมีความได้เปรียบในจุดเหล่านี้เนื่องจากสามารถแชร์ยากันได้

รวมถึงความเก๋าเกมของผู้บริหาร ในการบริหารสต๊อกยา ในการดูแลค่าใช้จ่ายต่างๆของโรงพยาบาล 

สิ่งเหล่านี้คงไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้หมดนอกจากใช้คำว่า 

"ต้องมีความไว้วางใจต่อฝีมือของผู้บริหาร" 

ว่าจะสามารถจัดการได้อย่างดีที่สุดตามแต่ละสถานการณ์

************

การขาดทุนก้อนใหญ่ของนักลงทุนมักจะมาจากการ "ซื้อหุ้นคุณภาพต่ำในเวลาที่ธุรกิจกำลังไปได้สวย"

ตัวอย่าง
หุ้นผลิตถุงมือยาง แท้จริงแล้วถุงมือยางเป็นสินค้า commodity คือในแง่ของผู้ใช้งาน ถุงมือยางก็คือถุงมือยางไม่ว่าจากโรงงานไหนก็ไม่แตกต่างกันมาก ไม่มี Power ที่จะสามารถตั้งราคาแตกต่างจากคู่แข่งได้ 

วัตถุดิบก็เป็น commodity มีต้นทุนราคาที่ผันผวน การซื้อวัตถุดิบก็ขึ้นอยู่กับราคาตลาดโลก แพงก็ต้องซื้อถูกก็ต้องซื้อแล้วไปบริหารจัดการกันเอง 

สำหรับเราแล้ว เรามองว่าหุ้นคอมโมดิตี้ เป็นหุ้นคุณภาพต่ำ จะกำไรมากตอนที่ทุกอย่างเอื้ออำนวยพร้อมๆกันเท่านั้น ซึ่ง ณ เวลานั้นมันคือ "หุ้นคุณภาพต่ำที่ธุรกิจกำลังไปได้สวย" 

นักลงทุนที่ไม่ได้ศึกษามาเป็นอย่างดีก็จะแห่เข้าไปซื้อ บนราคาแสนแพงที่มารองรับ กำไรที่ดูดีมากในข่วงนั้น แต่พอธุรกิจกลับสู่ภาวะปกติ นักลงทุนเหล่านั้นก็จะติดดอยสูงมากกกกกก 

เรียกได้ว่าเป็นดอยอันหนาวเหน็บที่แสนจะยาวนาน เพราะรอบถัดไปที่ "ธุรกิจจะไปได้สวย" นั้น ส่วนมากมักต้องรอนานนับสิบปี
************

ทำไมเฟดขึ้นดอกเบี้ยแล้วหุ้นถึงต้องลง ?

เพราะ พออัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยง ขยับสูงขึ้น นลท ก็ต้องการ ผลตอบแทนจากหุ้นสูงตาม 

แต่หุ้น (บริษัท) ทำกำไรจากผลประกอบการได้ประมาณเดิม หรือด้อยกว่าเดิม เพราะเมื่อดอกเบี้ยขึ้น เพราะต้นทุนเงินทุน (ดบ จ่าย เงินกู้สูงขึ้น) 

ดังนั้นทางเดียวที่ นลท จะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนสูงขึ้น เมื่อดอกเบี้ยพันธบัตรขยับสูงขึ้น ก็คือ ต้องซื้อหุ้นที่ราคาต่ำลง (ผ่านการคำนวนคิดลด discount rate)

จึงเป็นที่มาของหุ้นร่วงเมื่ออัตราดอกเบี้ยพันธบัตรขยับสูงขึ้น ยกเว้นแต่ว่าเศรษฐกิจดีจนทำให้ผลประกอบการของบริษัทดีขึ้น  

ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยพันธบัตรมักจะเกิดขึ้นเมื่อเศรษฐกิจกำลังดีเกินไป กำลังร้อนแรงเกินไป (เศรษฐกิจที่ดีและร้อนแรงมักจะส่งผลให้บริษัทต่างๆมีผลประกอบการที่ดีกว่าที่คาด)

**********
ถ้าคุณลงทุนผิดพลาด และทันทีที่รู้ตัวว่าพลาด ให้กล้าที่จะหยุดตัวเองจากความผิดพลาด และต้องกล้าที่จะถอนตัวเองจากการลงทุนที่ผิดพลาดนั้น ไม่ใช่ทุ่มเงินเพิ่มลงไปอีก
**********

วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2565

หลักคิด 16

หาธุรกิจที่ยอดเยี่ยมแล้วซื้อมันในราคาถูกจากนั้นถือมันไว้ 10-20 ปี สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ยากที่จะเรียนรู้เพื่อจะได้กำไรจากมัน

แต่เพราะมันไม่ได้ยาก มันไม่ได้ดูซับซ้อน ทำให้มันดูไม่เร้าใจ ไม่น่าดึงดูด คนในตลาดหุ้นจึงไม่ค่อยชอบ

คนในตลาดหุ้นไม่น้อยชอบการวิเคราะห์ที่มันยาก ที่มันดูสลับซับซ้อน และดึงดูด แถมยังตื่นเต้นเร้าใจกับการได้ซื้อๆขายๆมากกว่า
**********

ความเชื่อแรกสุดที่นักลงทุนต้องมีคือ  
"ราคาจะวิ่งเข้าหามูลค่าเสมอ แค่ไม่รู้ว่าเมื่อไร"
*********
การซื้อหุ้นเพราะความโลภที่เป็นที่แพร่หลายมากที่สุดอย่างนึง ก็คือ การซื้อหุ้นเพราะกลัวตกรถ 

เพราะเป็นการซื้อที่เร่งรีบ บนเวลากระชั้นชิด ขาดการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ขาดการประเมินมูลค่าอย่างถี่ถ้วน เป็นการซื้อไว้ก่อนแล้วค่อยมาดูหลักการต่างๆในภายหลัง

ซึ่งแสดงให้เห็นได้ชัดว่าเป็นการเอาความโลภขึ้นนำแทนการตัดสินใจ แทนความคิดที่มีเหตุผล

******

การถือหุ้นระยะยาวคือการปล่อยให้บริษัทสร้างกำไรสะสมให้มากขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นวิธีการเดียวกันกับที่เศรษฐีทั่วโลกใช้
*****
ในธุรกิจที่เริ่มลงทุนใหม่ๆ โดยเฉพาะที่ต้องลงทุนใน Property, Plant And Equipment หนักๆ เมื่อเริ่มมีรายได้ จะต้องบันทึก Depreciation And Amortisation 

ซึ่งช่วงแรกมักจะขาดทุนก่อนเนื่องจากรายได้เพิ่งเริ่มต้นสะสมลูกค้า แต่ Depre มาเต็มๆแล้ว 

ดังนั้น สิ่งที่ใช้ดูความสามารถของ บริษัท คือ ไล่ดูว่า Net income ขาดทุนหรือไม่ ถ้าขาดทุนไปไล่ดู EBIT ว่าขาดทุนหรือไม่ ถ้า EBIT ยังขาดทุนอยู่ ค่อยไปดู EBITDA ว่ามีกำไรหรือไม่

เราไม่ได้ใช้ EBITDA แทนกำไร แต่ใช้ดู Stage ของการทำกำไร ว่าอยู่ในขั้นไหนแล้ว

*****

ราคาหุ้นในระยะสั้นขึ้นอยู่กับ demand และ supply แต่ลองคิดต่อ การจะเกิด demand จำนวนมากจนดันราคาหุ้นขึ้นไปได้นั้น อะไรคือสาเหตุหลัก แน่นอนว่ามีได้หลายปัจจัย แต่ปัจจัยหลักๆก็คือ ผลประกอบการ

ดังคำที่ว่า สุดท้ายแล้ว ผลประกอบการคือเจ้ามือตัวจริง

Player ในตลาดหุ้น จึงมีสองกลุ่ม กลุ่มที่พยายามคาดเดาดีมานด์ กับกลุ่มที่พยายามคาดเดาผลประกอบการ 

การพยายามคาดเดาดีมานด์หมายถึงการพยายามคาดเดาให้ได้ว่า คนส่วนมากในตลาดคิดอย่างไร จะแอคชั่นไปในทิศทางไหน การเดาใจคนอื่นจำนวนมากๆที่เขวไปมาตามปัจตัยต่างๆที่มากระทบนั้นไม่ง่ายเลย

ส่วนการพยายามคาดเดาผลประกอบการ ก็ยังแบ่งได้เป็นว่าคาดเดาผลประกอบการระยะสั้น กับภาพรวมธุรกิจระยะยาว

**********

ตัวอย่างการอ่านงบการเงิน

AP 2556Q2 yoy

รายได้รวม 9,880.5 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 22.5% 

รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 9,620.3 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 22.8% 

ต้นทุนขาย 6,499.19 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 19.2%

ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 1,714.7 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 23.1%

ค่าใช้จ่ายรวม 8,359.1 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 21.4%

กำไรจากการดำเนินงาน 1,521.3 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 29.3%

กำไรส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัท 1,573.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.2%

กำไรต่อหุ้น 0.50 บาท เพิ่มขึ้น 41.2%

********************

AP 1H65 yoy
รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 20,241 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 21.1%

รายได้รวม 20,738 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 19.9%

ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 3,423 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 21.5%

ค่าใช้จ่ายรวม 17,305.9 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 19.7%

กำไรจากการดำเนินงาน 3,432 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 21%

กำไรส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัท 3,303 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 31.2%

กำไรต่อหุ้น 1.050 บาทเพิ่มขึ้น 31.2%

***************

ณ สิ้นไตรมาส 2 เทียบกับสิ้นปี 2564

เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 2,840.6 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 37.3%

สินค้าคงเหลือ 48,985 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 3.4%

รวมสินทรัพย์หมุนเวียน 52,956 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 3.9%

รวมสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน 9,512 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 0.6%

รวมสินทรัพย์ 62,468 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 3.4%

รวมหนี้สินหมุนเวียน 13,794 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.9%

รวมหนี้สินไม่หมุนเวียน 14,519 ล้านบาท ลดลง -6.6%

รวมหนี้สิน 28,313 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.2%

หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย 20,404 ล้านบาทลดลง -4.5%

(จุดนี้สังเกตว่าหนี้สินรวมเพิ่มขึ้น 1.2% แต่หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยกลับลดลงถึง -4.5% เพราะ หนี้สินที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นหนี้การค้า ภาษีเงินได้ค้างจ่าย ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่ยอดขายเติบโตแต่หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยกลับลดลง)

ส่งผลให้หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนผู้ถือหุ้นอยู่ในระดับต่ำเพียง 0.51 เท่า

กำไรสะสมยังไม่ได้จัดสรร 30,623 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 6%

รวมส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท 34,174 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.3% 

ส่วนผู้ถือหุ้นต่อหุ้นหรือ book value เท่ากับ 10.86 บาท

*****************

ในด้านกระแสเงินสดนั้นเงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงาน +2,832 ล้านบาท โดยหลักมาจากกำไรก่อนภาษีที่เพิ่มขึ้น

เงินสดสุทธิจากกิจกรรมลงทุนเป็นบวก 519 ล้านบาทเป็นผลมาจากเงินปันผลรับ

เงินสดสุทธิในกิจกรรมจัดหาเงิน -2,581 ล้านบาท หลักๆเกิดจากการจ่ายเงินปันผล 1,572 ล้านบาทและจ่ายคืนเงินกู้ยืมทั้งระยะสั้นและระยะยาว

#AP
***********
เทรดเดอร์ไม่ควรถือหุ้นข้ามช่วงประกาศงบเพราะว่าหุ้นที่เทรดเดอร์ถือนั้น ต้องยอมรับว่าเป็นหุ้นที่อยู่ในกระแส ที่มักจะมีราคาสูงเป็นต้นทุน รวมถึงตอนที่ซื้อหุ้นไว้เก็งกำไรนั้นก็มักจะไม่ได้มีการตรวจสอบงบการเงินพื้นฐานกิจการมาเป็นอย่างดี 

ทำให้อาจมีหุ้นที่งบการเงินไม่มั่นคงแต่เป็นหุ้นที่อยู่ในกระแส (หุ้นปั่น) เข้ามาอยู่ในพอร์ตได้ และมันก็มักจะเป็นเช่นนั้นอยู่เสมอ ในจำนวนมากเสียด้วย

ดังนั้นสำหรับเทรดเดอร์แล้ว การถือหุ้นเพื่อรองบออกนั้น ผลที่ได้อาจจะแย่มากกว่าดี

แตกต่างจากนักลงทุนที่ทำการบ้านตรวจดูงบการเงินและพื้นฐานของบริษัทมาเป็นอย่างดีก่อนที่จะคัดเลือกซื้อหุ้นเข้าพอร์ต

ดังนั้นการซื้อหุ้นเข้าพอร์ตของนักลงทุนจะมีความปลอดภัยในแง่พื้นฐานกิจการมากกว่า

รวมถึงการถือหุ้นเพื่อรองบออกก็เป็นอะไรที่เป็นจุดหมายอยู่แล้ว เรียกว่าแทบจะนับวันรองบออกกันเลยทีเดียว

************

เวลาสวิชต์หุ้น ให้ดูที่อัพไซส์เป็นหลัก หากทำประมาณการอย่างอนุรักษ์นิยมแล้วหุ้นตัวใหม่มี up size มากกว่าหุ้นตัวเก่า ก็สามารถที่จะสวิทช์หุ้นได้โดยที่ไม่ต้องไปสนใจต้นทุนของหุ้นตัวเก่า 

เพราะต้นทุนของหุ้นตัวเก่าเป็นต้นทุนจมไปแล้ว (sunk cost) มองไปที่อนาคตมีอัพไซส์ที่มากกว่า แทนที่จะยึดติดกับอดีตในส่วนของราคาต้นทุน ไม่ว่าจะกำไรมาก กำไรน้อยกว่าที่เคย หรือขาดทุน 

อัพไซส์ "อย่างอนุรักษ์นิยม" ของหุ้นตัวใหม่คืออนาคต ส่วนต้นทุนจมคืออดีตไปแล้ว

**********

การบันทึกผลงานการเทรดหรือ ผลงานการลงทุนเป็นเรื่องสำคัญ เพราะในระยะยาวมันจะเป็นตัวชี้วัด ว่าเดินมาถูกทางหรือไม่ หลายคนใช้ความรู้สึกเป็นตัวชี้วัดแต่จริงๆแล้วไม่ใช่

 ผลงานต่างหากคือตัวชี้วัด และหากไม่บันทึกแล้วจะวัดผลงานและความก้าวหน้าได้อย่างไร
**********

- ทำไมถึงนำ BCH เข้าพอร์ตสมาชิกในครอบครัว

- วิธีคิดคือ ซื้อที่ราคาสมเหตุสมผล โดยสมมติให้ปีนี้ 2022 กำไรแค่ 1700 ลบ (ขณะนี้ Mkr cap 50,500 ลบ , 1Q65 NP 2,028 ลบ) เท่ากับมองว่าปัจจุบันพีอีประมาณ 30 เท่า (50,500÷1700)

ที่ผ่านมา BCH พีอีอยู่ในช่วง 25-41 เท่า 
ดังนั้นหากปี 2022 หรือ 2023 กำไรอยู่ที่ 1700 ลบ ราคาที่ซื้อบนพีอี 30 เท่าก็จะเป็นราคาสมเหตุสมผล ไม่ใช่ราคาถูก 

แต่ถ้า ปี 2022 หรือ 2023 กำไรสุทธิสามารถทำได้มากกว่า 1700 ลบ หล่ะ ??? 

Equity ที่มากขึ้น สามารถนำไปขยายธุรกิจได้มากขึ้น หรือแม้แต่ง่ายๆแค่จ่ายหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ย ก็จะทำให้ ดบ จ่ายลดลง กำไรเพิ่มขึ้นได้

เราไม่สามารถรู้ล่วงหน้า แต่ให้เวลาเป็นตัวพิสูจน์

- ทำไมถึงยอมซื้อ BCH ที่ราคาสมเหตุสมผล?
เพราะ 

กลุ่ม รพ มีความสามารถต้านทานเงินเฟ้อได้สูง  

BCH เป็นกลุ่ม รพ ที่กระจายหลายตำแหน่งในประเทศ และยังสามารถเพิ่ม รพ ไปตามจุดต่างๆ (ส่วนตัวมองว่า สามารถเพิ่มตามจุดที่ ห้างเซ็นทรัลไปเปิดได้เลย คือ ขยายคู่กับ เซนทรัลก็ยังได้)

BCH มีการจับกลุ่มคนไข้ที่หลากหลาย ตั้งแต่ ปกส คนไข้เงินสด ตั้งแต่ระดับกลางล่าง กลางบน กลุ่มบน ไปจนถึง Expat และ ต่างชาติ (ใช้ WMC)

ด้วยความที่จับกุมลูกค้าที่หลากหลาย ทำให้เมื่อเกิดเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งไม่ส่งผลกระทบกับงบการเงินอย่างรุนแรง เช่นช่วงโควิด โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ที่เน้นรับรักษาต่างชาติเป็นหลักได้รับผลกระทบอย่างมาก แน่นอนว่า WMC ก็น่าจะได้รับผลกระทบอย่างมากเช่นกัน แต่โรงพยาบาลอื่นๆในเครือที่จับกลุ่มลูกค้าคนไทยกลับได้ประโยชน์มากกว่า จนปิดการเสียประโยชน์ของ WMC

เพิ่งได้รับสิทธิ์ประกันสังคมเพิ่ม จำนวนเพิ่มขึ้น เพิ่งเปิด รพ ที่เวียงจันทน์ โดยคิดค่ารักษาพยาบาลเป็นเงินบาทจึงไม่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินกีบที่อ่อนตัวลง 

ในแง่ภาพรวม โควิดไม่จบลงง่ายๆ คนจำนวนไม่น้อยมีอาการเรื้อรังหลังจากรักษาโควิดหาย ไม่ต้องไปคิดถึงโรคอุบัติใหม่ที่แทบจะร้อยปีเกิดที เอาแค่ในปัจจุบัน ทุกคนก็มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าโรงพยาบาลมากขึ้น บ่อยขึ้น

ค่ารักษาพยาบาลของคนไทยเมื่อเทียบกับ GDP แล้วคิดเป็นอัตราส่วนที่ต่ำมาก ยังมี room ให้ขยายได้อีกมาก

สังคมสูงวัยกำลังคืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ 

คนเข้าใจในประกันสุขภาพมากขึ้นและแนวโน้มการทำประกันสุขภาพเพิ่มขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด 

**********

โรงพยาบาลมักจะมีหนี้สินต่ำ โดยเฉพาะหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย ดังนั้นในช่วงเศรษฐกิจที่ดอกเบี้ยเป็นเทรนขาขึ้นโรงพยาบาลมักจะไม่ได้รับผลกระทบ
***********
อารมณ์ของเทรดเดอร์ การมีกำไรคือต้องกลับมาถือเงินสด และเงินสดคือทรัพย์สินหลัก หลับสบายเมื่อถือเงินสด

อารมณ์ของ นลท การมีกำไรคือการลงทุนในกิจการแล้วกิจการเติบโต และทรัพย์สินหลักคือ ความเป็นเจ้าของธุรกิจ ดังนั้นการถือหุ้นตลอดเวลา คือหลับสบาย ถ้าถือเงินสดจะรู้สึกว่าเสียโอกาส
**********

เวลาทำธุรกิจ บางช่วงเวลาเป็นช่วงที่ดีๆ บางช่วงเวลาเป็นช่วงที่ไม่ได้ดังใจ แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนั้น เจ้าของธุรกิจก็ไม่ได้ขายธุรกิจทิ้งเพียงเพราะมีช่วงเวลาที่ไม่ได้ดังใจ หากภาพรวม "ภาพใหญ่ยังคงสดใส"  

ช่วงเวลาที่แย่ๆเป็นครั้งคราว มันก็แค่รอวันผ่านไป 

เวลาเรามองธุรกิจ มองบริษัท มองหุ้นที่จะลงทุน เราจึงมักจะมองไปที่ภาพใหญ่มากกว่า ว่าคู่ควรแก่การลงทุนหรือไม่ เพราะความตั้งใจที่จะถือหุ้นระยะยาว ไม่ใช่ประเดี๋ยวประด๋าวแล้วขายทิ้ง 

ผลประกอบการช่วงสั้นๆ ทั้งดีและแย่ เป็นเพียงส่วนนึงของผลประกอบการระยะยาวภาพใหญ่เท่านั้น

**********

เคยคุยกับเพื่อนๆเสมอๆว่า ถ้าแก่ตัว ที่อยู่อาศัยต้องอยู่ใกล้ห้าง ใกล้โรงพยาบาลชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น บ้าน หรือคอนโด ที่เดินลงมาเป็นห้าง มีร้านอาหารดีๆหลากหลาย ข้ามถนนเป็นโรงพยาบาล หาหมอได้ไม่ยาก ทำนองนี้ 

พอคิดแบบนี้ ทำให้คิดว่า จริงๆแล้ว ที่ไหนมีห้างโดยเฉพาะเซ็นทรัลโรบินสัน ที่นั่นก็ควรจะเป็นทำเลที่เหมาะสมในการตั้งโรงพยาบาล พูดง่ายๆคือเราคิดว่า โรงพยาบาลชั้นนำสามารถมีสาขาไปในทุกจังหวัดที่มีห้างสรรพสินค้า 

CPN ตอนนี้มีศูนย์การค้าทั้งหมด 36 แห่งทั่วประเทศ 

ปล. เรื่องที่จะให้แก่ตัวแล้วไปลำบากลำบน ปลูกผักทำสวน อยู่บ้าน ตจว ห่างไกลความเจริญ ไม่อยู่ในหัวเลย แก่แล้วต้องลำบากกว่าเดิมนี่คือ วางแผนชีวิตผิดมาก 😆 (แต่แล้วแต่คนชอบนะ บางคนชอบความลำบากตอนแก่ บางคนคิดว่าแบบนั้นไม่ลำบาก ก็ว่ากันไป)


***********

ตลอดชีวิตการลงทุนคุณไม่จำเป็นต้องมีหุ้น jackpot เป็นร้อยตัว ขอเพียงแค่ไม่กี่ตัว  โดยที่ไม่ทำในสิ่งที่ผิดมากจนเกินไปก็เพียงพอแล้ว
***********

การเป็นนักลงทุน จะซื้อหุ้นดีได้ในราคาสมเหตุสมผลนั้น ย่อมต้องซื้อในยามที่มีเรื่องร้ายมากระทบ 

หากรอให้ตลาดดีน่าลงทุนก่อนแล้วค่อยซื้อหุ้น ก็คงจะหาหุ้นสำหรับลงทุนได้ยากมากๆ 

ดังนั้นอย่ากลัวตลาดแย่ๆ แต่ให้กลัวการประเมินมูลค่าที่ผิดพลาด ให้กลัวความโลภในใจเรา
***********