วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2565

หลักคิด 18

หากสามารถซื้อบริษัทที่ยอดเยี่ยมได้ในราคาสมเหตุสมผลแล้วละก็ การถือหุ้นเอาไว้นานๆ คอยดูราคาหุ้นที่ค่อยๆเติบโตไปพร้อมกับธุรกิจเป็นเรื่องที่ดี 

แต่ก่อนอื่นนั้น ต้องมองให้ออกก่อนว่าบริษัทที่คุณซื้อนั้นเป็นบริษัทที่ยอดเยี่ยมหรือเปล่า

**********
ฃในโลกของการลงทุน คุณสามารถทำผิดพลาดได้เสมอ เช่น ขายหุ้นแล้วราคาหุ้นขึ้นต่อ ไม่ขายหุ้นแล้วราคาหุ้นไหลลงแรง หรือหุ้นตัวที่ได้แต่เล็ง แต่ราคากลับขึ้นไม่หยุด 

ความผิดพลาดมีไว้ให้เรียนรู้ แต่ไม่ใช่ให้นำมาคิดโทษตัวเองซ้ำๆ 

เรียนรู้แล้วมองไปข้างหน้า อย่าคิดซ้ำวนลูบโทษตัวเองอยู่กับความผิดพลาดไม่รู้จบ มันไม่เกิดประโยชน์

**********

การเลือกหนังสือในการเสพนั้นสำคัญมาก เสียเวลาในการอ่าน แล้วดันได้ความรู้ผิดๆ นี่คือเสียหายหนักมาก ดังนั้นถ้าซื้อหนังสือมาอ่านแล้วรู้สึกว่าความรู้นั้นไม่ใช่ มันปลอม มันกลวง อย่าเสียดาย อย่าเสียเวลาอ่านต่อ 

เสียเงินไม่เท่าไร แต่เสียเวลาที่จะไปอ่านเล่มอื่นที่ดีๆ รวมทั้งหากไปจดจำความรู้ผิดๆมาใช้ อันนั้นจะเสียหายหนักมาก 

เลือกหนังสือที่จะอ่านสำคัญมาก บทความต่างๆก็เช่นกัน

***********

นักลงทุนระยะยาวโดยเนื้อแท้แล้วชอบมองหาการเติบโตปกติของธุรกิจ ส่วนการเติบโตแบบก้าวกระโดดที่ผิดปกตินั้นก็ดี แต่มองเป็น benefits มากกว่า 

จะแตกต่างกับนักเก็งกำไร ที่ชอบพยายามจะมองหาการเติบโตที่ผิดปกติ เพราะหวังจะรวยเร็วๆ 

แต่โดยมากมักจะไปซื้อช่วงท้ายๆของการไล่ราคา ก็จะดอยหนักมากไปตามระเบียบ

ส่วนพวกเข้าไปต้นเทรนด์ รู้ข้อมูลธุรกิจ และอุตสาหกรรม รู้ลึกจริงๆ เข้าไปรอ เพื่อให้เม่าเข้าตาม ตอนออกมักจะออกอย่างรวดเร็วแบบขายเท ขายเท และแน่นอนที่สุด คือได้กินเงินเม่า

*********

เวลาวางแผนธุรกิจ มักต้องมีเวลาให้ธุรกิจได้ดำเนินงานเพื่อแสดงผลงาน อย่างน้อยเบื้องต้นก็ 1 ปี หรือจะเห็นชัดเจนก็ 3 ปี

แต่เวลานักลงทุนซื้อหุ้นของ บ.เพื่อลงทุนกลับต้องการเห็นผลงานในระดับไม่กี่วัน ถ้าต้องรอระดับสัปดาห์จะบอกว่าเริ่มนานแล้ว ยิ่งหากต้องรอเป็นเดือน เป็นไตรมาส บางคนถึงขั้นขายหุ้นทิ้งเพราะรอไม่ได้ 

ลืมไปหริอเปล่าว่ามูลค่าของหุ้นขึ้นอยู่กับผลงานที่สำเร็จของบริษัท ดังนั้นการลงทุนในหุ้น ก็ควรต้องให้เวลาบริษัทในการดำเนินงานด้วย 

ซื้อหุ้นถ้าจะเห็นผลงานที่ชัดเจนของบริษัท อย่างน้อยควรถือหุ้นไม่น้อยกว่าสามปี เพื่อให้เวลาบริษัทได้ดำเนินกิจการ

ธุรกิจกว่าจะเห็นผลงานใช้เวลาเป็นปี แต่นักลงทุนจะเอากำไรรายวัน

ต้องหัดกระดิกตีนรอ (อย่างที่อาจารย์นิเวศน์สอน) ให้เป็น 🤣🤣🤣

***********

ซื้อหุ้นตามเซียนโดยเฉพาะ ซื้อตามเซียนสายเทคนิค ต้องระวัง เพราะการเทรดมันคือ zero sum game หมายถึงมีคนได้กำไรต้องมีคนขาดทุนเสมอ 

คราวนี้พอคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเซียนสายเทคนิค หมายถึงเขาทำกำไร(จากเงินคนอื่น)ได้มาก เขากินเงินคนอื่นเก่ง 

คำว่าคนอื่น คือใคร ก็คือคนที่เข้าไปเล่นหุ้นตัวเดียวกับเขานั่นเอง

ดังนั้นการเล่นหุ้นตามเซียน หมายถึง การเล่นหุ้นตาม "คนที่กินเงินคนอื่น" ได้เก่งกว่าเรา ดังนั้นการเล่นตามเซียนสายเทรด ต้องถามตัวเองด้วยว่า ตัวเองเทรดเก่งพอจะไม่โดนเซียนกินเงินหริอไม่ ?

#เซียนสายเทคนิค

**********

ทักษะที่สำคัญอย่างหนึ่งของนักลงทุน คือการคาดการณ์กำไร และประเมินมูลค่าของบริษัทได้อย่างสมเหตุสมผล

**********

คำถามที่นักลงทุนควรจะหาคำตอบก่อนที่จะซื้อหุ้น

- บริษัทมีรายได้ กำไร และกระแสเงินสดเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในระยะยาวหรือไม่ 

- ในระยะยาวบริษัทมีหนี้สินลดลงเมื่อเทียบกับส่วนผู้ถือหุ้นหรือไม่ และ/หรือ เพิ่มขึ้นในระยะสั้นเพราะการเร่งขยายงาน

- บริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาวหรือไม่ หรือสามารถกินมาร์เก็ตแชร์เพิ่มเติมได้หรือไม่

- ทีมผู้บริหารมีความมั่นคงแน่วแน่และมีความชำนาญในธุรกิจหรือไม่

- ผู้บริหารมีการตั้งเป้าหมายและมีการแจ้งความคืบหน้าเป็นระยะหรือไม่

- บริษัทมีการขยายงาน ขยายบริการหรือสินค้าออกไปอย่างประสบความสำเร็จหรือไม่ 

- ข้อที่สำคัญที่สุด ผู้บริหารเป็นคนที่ซื่อสัตย์และปฏิบัติต่อผู้ถือหุ้นอย่างเป็นธรรมหรือไม่
**********

รูปนี้แสดงให้เห็น ถึงการจ่ายเงินเพื่อซื้อทรัพย์สินถาวร โดยเปรียบเทียบกับสินทรัพย์รวม

จะเห็นได้ว่า VIH จ่ายเงินลงลงทุนซื้อสินทรัพย์ถาวรเป็นอัตราส่วนมากที่สุด รองลงมาเป็น RJH WPH TNH ตามลำดับ

ในขณะที่หากมองเป็นเม็ดเงินจะเห็นว่า BDMS จ่ายเงินเพื่อซื้อทรัพย์สินถาวรเป็นจำนวนมากที่สุด (ตามข่าวก็จะพบว่ามีโครงการการลงทุนขนาดใหญ่)

ในด้านของ BCH นั้น ช่วงก่อนเกิดโควิด มี 12 โรงพยาบาล 1 โพลีคลินิก และขณะนี้มี 15 โรงพยาบาล 1 โพลีคลินิก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเพิ่งผ่านช่วงลงทุนหนักๆไป ช่วงครึ่งปีแรกแม้จะมีการซื้อทรัพย์สินถาวรไป 600 กว่าล้าน แต่เงินสดจากกิจกรรมลงทุนก็เป็นบวก เนื่องจากมีเงินสดรับจากการจำหน่ายเงินลงทุน
**********

"เงินสดสุทธิได้มาจาก(ใช้ไป)กิจกรรมจัดหาเงิน"
ชื่อก็บอกอยู่แล้ว กิจกรรมจัดหาเงิน มันมีด้านที่เกี่ยวข้องสองด้าน คือ 

หนี้สินไม่ว่าจะกู้ยืมหรือจ่ายคืน ก็นับเป็นการได้มาหรือใช้ไปในกิจกรรมจัดหาเงิน
และด้านที่เกี่ยวกับผู้ถือหุ้น ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มทุน ลดทุน จ่ายปันผล 

กระแสเงินสดในหมวดนี้ ตัวเลขลบ จะเป็นเรื่องดีไม่ว่าจะเป็นการจ่ายหนี้เพื่อลดหนี้สินลงหรือจะจ่ายเงินปันผลก็ตาม

จากรูปจะเห็นว่ามีเพียง 2 บริษัทที่จ่ายเงินชำระหนี้สินแบบเป็นเนื้อเป็นน้ำ และมีการจ่ายปันผลเป็นจำนวนเงินค่อนข้างมาก คือ BCH และ BDMS ซึ่งแน่นอนว่าการจะมีเงินมาจ่ายชำระหนี้และมาจ่ายปันผลได้นั้นแสดงว่าจะต้องมีกระแสเงินสดเข้าที่ค่อนข้างดีด้วย (ไม่เช่นนั้นจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายหนี้และจ่ายเงินปันผลได้) 

อีกประการหนึ่งก็คือ บริษัทจะต้องมีสภาพคล่องที่ดีมากและเหลือโดยอาจจะพึ่งผ่านการลงทุนหนักไปแล้วทำให้ไม่มีเหตุที่จะต้องใช้เงินในระยะสั้น หรืออาจจะมีการลงทุนขยายงานในอนาคตแต่ยังไม่ได้รีบใช้เงินในระยะสั้น ทำให้มีสภาพคล่องที่ดีมาก จึงได้ชำระหนี้เพื่อลดดอกเบี้ยจ่าย และ/หรือ จ่ายเป็นเงินปันผลออกมา

บริษัทที่มีสภาพคล่องที่สูง ลดความเสี่ยงจากการล้มละลายในภาวะวิกฤต และยังลดความเสี่ยงจากการเพิ่มทุนอีกด้วย 

เงินสดสุทธิที่ได้มาจาก(ใช้ไป) ในกิจกรรมจัดหาเงิน หากมีตัวเลขเป็นบวกโดยมากมักจะมาจากการกู้ยืมที่มากขึ้น (บริษัทมีหนี้สินที่เพิ่มขึ้น)

**********

การลงทุนใน บ.ที่ดีแต่ยังมีจุดอ่อนของอุตสาหกรรมอยู่บ้างนั้น ต้องเลือกลงทุนในราคาที่มีส่วนเผื่อความปลอดภัยให้มากพอ 

ต่างจากการลงทุนในบริษัทที่ยอดเยี่ยม ที่มีส่วนเผื่อความปลอดภัยบ้างและเป็นการลงทุนบนราคาที่สมเหตุสมผล ความแข็งแกร่งของบริษัทและการเติบโตของบริษัท เปรียบเสมือนเป็นกันชน เปรียบเสมือนเป็นส่วนเผื่อความปลอดภัยที่มากพอสำหรับการลงทุน

********
ค่าความนิยม (Goodwill) จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการซื้อกิจการหรือควบรวมกิจการ โดยผู้ซื้อจ่ายเงินแพงกว่ามูลค่าตามบัญชีของกิจการที่ถูกซื้อ เงินส่วนต่างที่จ่ายแพงกว่าบันทึกในชื่อ ค่าความนิยม (Goodwill) 

ฟังอย่างนี้เหมือนเป็นการซื้อแพง แต่อีกมุมนึงก็คือเปรียบเสมือนการจ่ายส่วนต่างเพื่อซื้อแบรนด์ หรือซื้อฐานลูกค้าของอีกกิจการ อย่างไรก็ดีในฝั่งคนซื้อย่อมไม่อยากจ่ายส่วนนี้แพงเกินไป หรือกิจการไหนที่ยอมจ่ายแพงเกินไปมากๆอาจถูกมองว่าใช้เงินไม่คุ้มค่าได้ 

ในรูปจะเป็นอัตราส่วนระหว่างค่า ความนิยมต่อทรัพย์สินรวม กิจการใดที่มีการเร่งการทำ M&A มักจะมีค่าความนิยมบันทึกในบัญชีค่อนข้างสูง

(ซื้อ "มักจะ" แพงกว่าสร้างเอง แต่ถ้าคุ้มค่าก็ซื้อได้ ดังนั้นส่วนตัวจึงคิดว่าซื้อได้บ้างแต่อย่ามากเกิน น่าจะดีที่สุด)

#กลุ่มโรงพยาบาล

************

ทำงาน คือ ลงแรงแล้วได้เงิน
ถ้าลงแรงด้วยทักษะที่หายาก จะยิ่งได้เงินมาก ทักษะที่หายาก คือ ทักษะที่เรียนรู้ได้ยาก เช่น หมอ โดยเฉพาะหมอเฉพาะทาง โปรแกรมเมอร์ที่สามารถโค้ดดิ้งได้เก่งๆ และอื่นๆ

ส่วนการลงทุน ต้องมีเงินทุนและต้องมีทักษะการลงทุนด้วย หากไม่มีทุนไม่ต้องพูดถึงอาชีพลงทุนเลย การจะมีทุนคือ เบื้องต้นต้องสะสมทุนก่อน จากการทำงานหรือถ้าโชคดีก็จากความมั่งคั่งของครอบครัว แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องมีทักษะการลงทุนด้วย และต้องรู้จักสะสมทุนไว้เป็นบัฟเฟอร์เพื่อผิดพลาดด้วย นักลงทุนไม่มีใครไม่เคยขาดทุน แม้คนเก่งๆภาพรวมต่อปีจะมีกำไรแต่ในรายละเอียดของแต่ละออเดอร์ไม่มีใครสามารถกำไรได้ทุกครั้ง ไม่มีใคร win ได้ทั้ง 100% โดยไม่มีพลาดเลย 

นักลงทุนจึงสำคัญที่ต้องมี เงินทุนสำรองไว้เป็น "กันชน" ในยามผิดพลาด 

ถ้าไม่มีทุน ก็ไม่ใช่นักลงทุน

******
หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย เป็นได้ทั้งหนี้ที่ดีและหนี้ที่เลว หนี้สินที่กู้ยืมมาในอัตราส่วนที่เหมาะสมจะช่วยเร่งการเติบโตของบริษัทได้  

หากมีโอกาสเข้ามาแต่ บ.เลือกที่จะไม่ยอมให้มีหนี้สินเลย+เงินทุนไม่พอ เท่ากับเป็นการเสียโอกาสไป

แต่หากมีหนี้สินมากเกินไปก็จะไปเพิ่มความเสี่ยงในด้านสภาพคล่อง หากมากถึงจุดหนึ่งอาจจะมีการเพิ่มทุนได้

**************

เป็นวาทะที่ VI ตัวจริงเกือบทุกคนยึดถือ 
จริงแล้วการซื้อของมันคือการตอบสนองความอยาก โดยเฉพาะของที่ไม่จำเป็นแต่เป็นของหรูราคาแพง มันไม่ได้แค่ตอบสนองความอยากแต่เพียงอย่างเดียวแต่มันตอบสนองอีโก้อีกด้วย (ความอยากอวด) 

แน่นอนว่าคนเราย่อมมีความอยากมากบ้างน้อยบ้างกันทุกคน แต่แค่อย่าอยากชิ้นใหญ่ อย่าเสียเงินไปกับของชิ้นใหญ่เท่านั้นก็ช่วยได้มากแล้ว ลำพังอยากได้ชิ้นเล็กๆ จำนวนเงินไม่มาก ตอบสนองเพื่อความพึงใจได้บ้าง เป็นเรื่องปกติ  

ทั้งปู่บัฟเฟตต์และ อาจารย์นิเวศน์ เป็นตัวอย่างที่ดี ของเรื่องเล่าที่ VI ทุกคนรู้ดีเรื่องการใช้รถที่ใช้ทนและทนใช้ 😆 (แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆก็คงต้องเปลี่ยน)

เงินหนึ่งล้านบาท + ผลตอบแทนทบต้น 12% บนเวลา 30 ปี จะกลายเป็น 30 ล้าน

ซึ่งทั้งปู่บัฟเฟตต์และอาจารย์นิเวศน์ ล้วนมีผลงานผลตอบแทนทบต้นเกิน 12% ต่อปีอย่างยาวนาน

**********

ถ้าคุณไม่มีความได้เปรียบในการแข่งขันแล้วล่ะก็ อย่าไปแข่งเลย - Jack Welch

***********

ถ้าการลงทุนของคุณเป็นการลงทุนระยะยาว คุณควรอยู่ให้ห่างจากอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วและคาดเดาไม่ได้

**********

แต่ละคน มาจากสิ่งแวดล้อมที่ต่างกัน มาจากประสบการณ์ที่ต่างกัน ส่งผลให้ความรู้ ความสามารถในการมองธุรกิจแตกต่างกันด้วย

หลายคนมองกลุ่มพลังงานขาด บางคนมองกลุ่มเทคโนโลยีออก บางคนคุ้นเคยกับกลุ่มประกัน 

ถ้ามองออกจนสามารถอธิบายอย่างละเอียดให้คนอื่นเข้าใจได้ รู้จุดแข็ง จุดอ่อน เข้าใจโมเดลธุรกิจ หามูลค่าได้ แสดงว่ารู้จริง ลงทุนกับมันได้  

การรู้จริงเพียงไม่กี่กลุ่มธุรกิจก็สามารถลงทุนเพื่อสร้างรายได้ระยะยาวได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องรู้ทั้งตลาด 

แต่แน่นอนยิ่งรู้กว้าง ยิ่งดี เป็นการเพิ่มขอบเขตความสามารถให้กับตนเองและย่อมเพิ่มโอกาสด้วยเช่นกัน

***********

คนเราอย่าปล่อยให้ตัวเองมีเวลาว่างมากเกินไป ไม่งั้นจะคิดมากในเรื่องไม่เป็นเรื่อง จะฟุ้งซ่านในเรื่องไร้สาระ นิดหน่อยก็เก็บมาคิด 

หางานอดิเรกทำ อ่านหนังสือ หาความรู้เพิ่ม เดินห้าง ดูหนัง ออกกำลังกาย 

หรือไม่ก็ เรียนแต่งหน้า นั่งสมาธิ ดำน้ำ ปลูกปะการัง ทำอาหาร นวดสปา ปลูกป่า ดำนา ดูดิสนีย์ออนไอซ์ แรลลี่ตีกอล์ฟ ล่องเรือ ส่องสัตว์ ช๊อปปิ้ง ดูงิ้ว ดูละครเวที ดูคอนเสิร์ต ดินเนอร์ ทำขนม จัดดอกไม้ เที่ยวตลาดน้ำ เรียนถ่ายรูป ดูกายกรรม ชมเมืองเก่า เข้าสัมมนา ทัวร์ธรรมมะ เรียนเต้นแล้วก็ร้องเพลง

จะช่วยลดความฟุ้งซ่าน ลดความคิดมา ลดความกังวลใจ ไปได้มาก ยิ่งแก่ตัวลง ยิ่งมีเวลาว่างมาก ยิ่งฟุ้งซ่านได้ง่าย ต้องระวัง หางานอดิเรกทำแต่เนิ่นๆ พออายุมากขึ้นจะได้มีงานอดิเรกที่ชอบทำ

**********

มันไม่ใช่ตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ มันไม่ใช่อัตราดอกเบี้ย ที่ทำร้ายนักลงทุน 

แต่เป็นการซื้อขาย เป็นการเทรดอย่างบ้าคลั่งต่างหากที่ทำร้ายนักลงทุน

**********


ถ้าเก็บเงินเดือนละ 30,000 บาทลงทุนได้ผลตอบแทนปีละ 10% 
10 ปีจะกลายเป็นเงินประมาณ 6 ล้านกว่าบาท 
20 ปีจะกลายเป็นเงินประมาณ 21 ล้าน
และ 30 ปีจะกลายเป็นเงินประมาณ 62 ล้าน

โดยมีข้อแม้ว่า
1. ลงทุนได้ผลตอบแทนปีละ 10%
2. ผลตอบแทนนั้นใส่เข้าไปลงทุน "ทบต้น" ไม่ถอนออกมาใช้