วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2565

หลักคิด 16

หาธุรกิจที่ยอดเยี่ยมแล้วซื้อมันในราคาถูกจากนั้นถือมันไว้ 10-20 ปี สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ยากที่จะเรียนรู้เพื่อจะได้กำไรจากมัน

แต่เพราะมันไม่ได้ยาก มันไม่ได้ดูซับซ้อน ทำให้มันดูไม่เร้าใจ ไม่น่าดึงดูด คนในตลาดหุ้นจึงไม่ค่อยชอบ

คนในตลาดหุ้นไม่น้อยชอบการวิเคราะห์ที่มันยาก ที่มันดูสลับซับซ้อน และดึงดูด แถมยังตื่นเต้นเร้าใจกับการได้ซื้อๆขายๆมากกว่า
**********

ความเชื่อแรกสุดที่นักลงทุนต้องมีคือ  
"ราคาจะวิ่งเข้าหามูลค่าเสมอ แค่ไม่รู้ว่าเมื่อไร"
*********
การซื้อหุ้นเพราะความโลภที่เป็นที่แพร่หลายมากที่สุดอย่างนึง ก็คือ การซื้อหุ้นเพราะกลัวตกรถ 

เพราะเป็นการซื้อที่เร่งรีบ บนเวลากระชั้นชิด ขาดการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ขาดการประเมินมูลค่าอย่างถี่ถ้วน เป็นการซื้อไว้ก่อนแล้วค่อยมาดูหลักการต่างๆในภายหลัง

ซึ่งแสดงให้เห็นได้ชัดว่าเป็นการเอาความโลภขึ้นนำแทนการตัดสินใจ แทนความคิดที่มีเหตุผล

******

การถือหุ้นระยะยาวคือการปล่อยให้บริษัทสร้างกำไรสะสมให้มากขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นวิธีการเดียวกันกับที่เศรษฐีทั่วโลกใช้
*****
ในธุรกิจที่เริ่มลงทุนใหม่ๆ โดยเฉพาะที่ต้องลงทุนใน Property, Plant And Equipment หนักๆ เมื่อเริ่มมีรายได้ จะต้องบันทึก Depreciation And Amortisation 

ซึ่งช่วงแรกมักจะขาดทุนก่อนเนื่องจากรายได้เพิ่งเริ่มต้นสะสมลูกค้า แต่ Depre มาเต็มๆแล้ว 

ดังนั้น สิ่งที่ใช้ดูความสามารถของ บริษัท คือ ไล่ดูว่า Net income ขาดทุนหรือไม่ ถ้าขาดทุนไปไล่ดู EBIT ว่าขาดทุนหรือไม่ ถ้า EBIT ยังขาดทุนอยู่ ค่อยไปดู EBITDA ว่ามีกำไรหรือไม่

เราไม่ได้ใช้ EBITDA แทนกำไร แต่ใช้ดู Stage ของการทำกำไร ว่าอยู่ในขั้นไหนแล้ว

*****

ราคาหุ้นในระยะสั้นขึ้นอยู่กับ demand และ supply แต่ลองคิดต่อ การจะเกิด demand จำนวนมากจนดันราคาหุ้นขึ้นไปได้นั้น อะไรคือสาเหตุหลัก แน่นอนว่ามีได้หลายปัจจัย แต่ปัจจัยหลักๆก็คือ ผลประกอบการ

ดังคำที่ว่า สุดท้ายแล้ว ผลประกอบการคือเจ้ามือตัวจริง

Player ในตลาดหุ้น จึงมีสองกลุ่ม กลุ่มที่พยายามคาดเดาดีมานด์ กับกลุ่มที่พยายามคาดเดาผลประกอบการ 

การพยายามคาดเดาดีมานด์หมายถึงการพยายามคาดเดาให้ได้ว่า คนส่วนมากในตลาดคิดอย่างไร จะแอคชั่นไปในทิศทางไหน การเดาใจคนอื่นจำนวนมากๆที่เขวไปมาตามปัจตัยต่างๆที่มากระทบนั้นไม่ง่ายเลย

ส่วนการพยายามคาดเดาผลประกอบการ ก็ยังแบ่งได้เป็นว่าคาดเดาผลประกอบการระยะสั้น กับภาพรวมธุรกิจระยะยาว

**********

ตัวอย่างการอ่านงบการเงิน

AP 2556Q2 yoy

รายได้รวม 9,880.5 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 22.5% 

รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 9,620.3 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 22.8% 

ต้นทุนขาย 6,499.19 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 19.2%

ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 1,714.7 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 23.1%

ค่าใช้จ่ายรวม 8,359.1 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 21.4%

กำไรจากการดำเนินงาน 1,521.3 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 29.3%

กำไรส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัท 1,573.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.2%

กำไรต่อหุ้น 0.50 บาท เพิ่มขึ้น 41.2%

********************

AP 1H65 yoy
รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 20,241 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 21.1%

รายได้รวม 20,738 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 19.9%

ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 3,423 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 21.5%

ค่าใช้จ่ายรวม 17,305.9 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 19.7%

กำไรจากการดำเนินงาน 3,432 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 21%

กำไรส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัท 3,303 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 31.2%

กำไรต่อหุ้น 1.050 บาทเพิ่มขึ้น 31.2%

***************

ณ สิ้นไตรมาส 2 เทียบกับสิ้นปี 2564

เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 2,840.6 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 37.3%

สินค้าคงเหลือ 48,985 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 3.4%

รวมสินทรัพย์หมุนเวียน 52,956 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 3.9%

รวมสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน 9,512 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 0.6%

รวมสินทรัพย์ 62,468 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 3.4%

รวมหนี้สินหมุนเวียน 13,794 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.9%

รวมหนี้สินไม่หมุนเวียน 14,519 ล้านบาท ลดลง -6.6%

รวมหนี้สิน 28,313 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.2%

หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย 20,404 ล้านบาทลดลง -4.5%

(จุดนี้สังเกตว่าหนี้สินรวมเพิ่มขึ้น 1.2% แต่หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยกลับลดลงถึง -4.5% เพราะ หนี้สินที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นหนี้การค้า ภาษีเงินได้ค้างจ่าย ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่ยอดขายเติบโตแต่หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยกลับลดลง)

ส่งผลให้หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนผู้ถือหุ้นอยู่ในระดับต่ำเพียง 0.51 เท่า

กำไรสะสมยังไม่ได้จัดสรร 30,623 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 6%

รวมส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท 34,174 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.3% 

ส่วนผู้ถือหุ้นต่อหุ้นหรือ book value เท่ากับ 10.86 บาท

*****************

ในด้านกระแสเงินสดนั้นเงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงาน +2,832 ล้านบาท โดยหลักมาจากกำไรก่อนภาษีที่เพิ่มขึ้น

เงินสดสุทธิจากกิจกรรมลงทุนเป็นบวก 519 ล้านบาทเป็นผลมาจากเงินปันผลรับ

เงินสดสุทธิในกิจกรรมจัดหาเงิน -2,581 ล้านบาท หลักๆเกิดจากการจ่ายเงินปันผล 1,572 ล้านบาทและจ่ายคืนเงินกู้ยืมทั้งระยะสั้นและระยะยาว

#AP
***********
เทรดเดอร์ไม่ควรถือหุ้นข้ามช่วงประกาศงบเพราะว่าหุ้นที่เทรดเดอร์ถือนั้น ต้องยอมรับว่าเป็นหุ้นที่อยู่ในกระแส ที่มักจะมีราคาสูงเป็นต้นทุน รวมถึงตอนที่ซื้อหุ้นไว้เก็งกำไรนั้นก็มักจะไม่ได้มีการตรวจสอบงบการเงินพื้นฐานกิจการมาเป็นอย่างดี 

ทำให้อาจมีหุ้นที่งบการเงินไม่มั่นคงแต่เป็นหุ้นที่อยู่ในกระแส (หุ้นปั่น) เข้ามาอยู่ในพอร์ตได้ และมันก็มักจะเป็นเช่นนั้นอยู่เสมอ ในจำนวนมากเสียด้วย

ดังนั้นสำหรับเทรดเดอร์แล้ว การถือหุ้นเพื่อรองบออกนั้น ผลที่ได้อาจจะแย่มากกว่าดี

แตกต่างจากนักลงทุนที่ทำการบ้านตรวจดูงบการเงินและพื้นฐานของบริษัทมาเป็นอย่างดีก่อนที่จะคัดเลือกซื้อหุ้นเข้าพอร์ต

ดังนั้นการซื้อหุ้นเข้าพอร์ตของนักลงทุนจะมีความปลอดภัยในแง่พื้นฐานกิจการมากกว่า

รวมถึงการถือหุ้นเพื่อรองบออกก็เป็นอะไรที่เป็นจุดหมายอยู่แล้ว เรียกว่าแทบจะนับวันรองบออกกันเลยทีเดียว

************

เวลาสวิชต์หุ้น ให้ดูที่อัพไซส์เป็นหลัก หากทำประมาณการอย่างอนุรักษ์นิยมแล้วหุ้นตัวใหม่มี up size มากกว่าหุ้นตัวเก่า ก็สามารถที่จะสวิทช์หุ้นได้โดยที่ไม่ต้องไปสนใจต้นทุนของหุ้นตัวเก่า 

เพราะต้นทุนของหุ้นตัวเก่าเป็นต้นทุนจมไปแล้ว (sunk cost) มองไปที่อนาคตมีอัพไซส์ที่มากกว่า แทนที่จะยึดติดกับอดีตในส่วนของราคาต้นทุน ไม่ว่าจะกำไรมาก กำไรน้อยกว่าที่เคย หรือขาดทุน 

อัพไซส์ "อย่างอนุรักษ์นิยม" ของหุ้นตัวใหม่คืออนาคต ส่วนต้นทุนจมคืออดีตไปแล้ว

**********

การบันทึกผลงานการเทรดหรือ ผลงานการลงทุนเป็นเรื่องสำคัญ เพราะในระยะยาวมันจะเป็นตัวชี้วัด ว่าเดินมาถูกทางหรือไม่ หลายคนใช้ความรู้สึกเป็นตัวชี้วัดแต่จริงๆแล้วไม่ใช่

 ผลงานต่างหากคือตัวชี้วัด และหากไม่บันทึกแล้วจะวัดผลงานและความก้าวหน้าได้อย่างไร
**********

- ทำไมถึงนำ BCH เข้าพอร์ตสมาชิกในครอบครัว

- วิธีคิดคือ ซื้อที่ราคาสมเหตุสมผล โดยสมมติให้ปีนี้ 2022 กำไรแค่ 1700 ลบ (ขณะนี้ Mkr cap 50,500 ลบ , 1Q65 NP 2,028 ลบ) เท่ากับมองว่าปัจจุบันพีอีประมาณ 30 เท่า (50,500÷1700)

ที่ผ่านมา BCH พีอีอยู่ในช่วง 25-41 เท่า 
ดังนั้นหากปี 2022 หรือ 2023 กำไรอยู่ที่ 1700 ลบ ราคาที่ซื้อบนพีอี 30 เท่าก็จะเป็นราคาสมเหตุสมผล ไม่ใช่ราคาถูก 

แต่ถ้า ปี 2022 หรือ 2023 กำไรสุทธิสามารถทำได้มากกว่า 1700 ลบ หล่ะ ??? 

Equity ที่มากขึ้น สามารถนำไปขยายธุรกิจได้มากขึ้น หรือแม้แต่ง่ายๆแค่จ่ายหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ย ก็จะทำให้ ดบ จ่ายลดลง กำไรเพิ่มขึ้นได้

เราไม่สามารถรู้ล่วงหน้า แต่ให้เวลาเป็นตัวพิสูจน์

- ทำไมถึงยอมซื้อ BCH ที่ราคาสมเหตุสมผล?
เพราะ 

กลุ่ม รพ มีความสามารถต้านทานเงินเฟ้อได้สูง  

BCH เป็นกลุ่ม รพ ที่กระจายหลายตำแหน่งในประเทศ และยังสามารถเพิ่ม รพ ไปตามจุดต่างๆ (ส่วนตัวมองว่า สามารถเพิ่มตามจุดที่ ห้างเซ็นทรัลไปเปิดได้เลย คือ ขยายคู่กับ เซนทรัลก็ยังได้)

BCH มีการจับกลุ่มคนไข้ที่หลากหลาย ตั้งแต่ ปกส คนไข้เงินสด ตั้งแต่ระดับกลางล่าง กลางบน กลุ่มบน ไปจนถึง Expat และ ต่างชาติ (ใช้ WMC)

ด้วยความที่จับกุมลูกค้าที่หลากหลาย ทำให้เมื่อเกิดเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งไม่ส่งผลกระทบกับงบการเงินอย่างรุนแรง เช่นช่วงโควิด โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ที่เน้นรับรักษาต่างชาติเป็นหลักได้รับผลกระทบอย่างมาก แน่นอนว่า WMC ก็น่าจะได้รับผลกระทบอย่างมากเช่นกัน แต่โรงพยาบาลอื่นๆในเครือที่จับกลุ่มลูกค้าคนไทยกลับได้ประโยชน์มากกว่า จนปิดการเสียประโยชน์ของ WMC

เพิ่งได้รับสิทธิ์ประกันสังคมเพิ่ม จำนวนเพิ่มขึ้น เพิ่งเปิด รพ ที่เวียงจันทน์ โดยคิดค่ารักษาพยาบาลเป็นเงินบาทจึงไม่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินกีบที่อ่อนตัวลง 

ในแง่ภาพรวม โควิดไม่จบลงง่ายๆ คนจำนวนไม่น้อยมีอาการเรื้อรังหลังจากรักษาโควิดหาย ไม่ต้องไปคิดถึงโรคอุบัติใหม่ที่แทบจะร้อยปีเกิดที เอาแค่ในปัจจุบัน ทุกคนก็มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าโรงพยาบาลมากขึ้น บ่อยขึ้น

ค่ารักษาพยาบาลของคนไทยเมื่อเทียบกับ GDP แล้วคิดเป็นอัตราส่วนที่ต่ำมาก ยังมี room ให้ขยายได้อีกมาก

สังคมสูงวัยกำลังคืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ 

คนเข้าใจในประกันสุขภาพมากขึ้นและแนวโน้มการทำประกันสุขภาพเพิ่มขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด 

**********

โรงพยาบาลมักจะมีหนี้สินต่ำ โดยเฉพาะหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย ดังนั้นในช่วงเศรษฐกิจที่ดอกเบี้ยเป็นเทรนขาขึ้นโรงพยาบาลมักจะไม่ได้รับผลกระทบ
***********
อารมณ์ของเทรดเดอร์ การมีกำไรคือต้องกลับมาถือเงินสด และเงินสดคือทรัพย์สินหลัก หลับสบายเมื่อถือเงินสด

อารมณ์ของ นลท การมีกำไรคือการลงทุนในกิจการแล้วกิจการเติบโต และทรัพย์สินหลักคือ ความเป็นเจ้าของธุรกิจ ดังนั้นการถือหุ้นตลอดเวลา คือหลับสบาย ถ้าถือเงินสดจะรู้สึกว่าเสียโอกาส
**********

เวลาทำธุรกิจ บางช่วงเวลาเป็นช่วงที่ดีๆ บางช่วงเวลาเป็นช่วงที่ไม่ได้ดังใจ แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนั้น เจ้าของธุรกิจก็ไม่ได้ขายธุรกิจทิ้งเพียงเพราะมีช่วงเวลาที่ไม่ได้ดังใจ หากภาพรวม "ภาพใหญ่ยังคงสดใส"  

ช่วงเวลาที่แย่ๆเป็นครั้งคราว มันก็แค่รอวันผ่านไป 

เวลาเรามองธุรกิจ มองบริษัท มองหุ้นที่จะลงทุน เราจึงมักจะมองไปที่ภาพใหญ่มากกว่า ว่าคู่ควรแก่การลงทุนหรือไม่ เพราะความตั้งใจที่จะถือหุ้นระยะยาว ไม่ใช่ประเดี๋ยวประด๋าวแล้วขายทิ้ง 

ผลประกอบการช่วงสั้นๆ ทั้งดีและแย่ เป็นเพียงส่วนนึงของผลประกอบการระยะยาวภาพใหญ่เท่านั้น

**********

เคยคุยกับเพื่อนๆเสมอๆว่า ถ้าแก่ตัว ที่อยู่อาศัยต้องอยู่ใกล้ห้าง ใกล้โรงพยาบาลชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น บ้าน หรือคอนโด ที่เดินลงมาเป็นห้าง มีร้านอาหารดีๆหลากหลาย ข้ามถนนเป็นโรงพยาบาล หาหมอได้ไม่ยาก ทำนองนี้ 

พอคิดแบบนี้ ทำให้คิดว่า จริงๆแล้ว ที่ไหนมีห้างโดยเฉพาะเซ็นทรัลโรบินสัน ที่นั่นก็ควรจะเป็นทำเลที่เหมาะสมในการตั้งโรงพยาบาล พูดง่ายๆคือเราคิดว่า โรงพยาบาลชั้นนำสามารถมีสาขาไปในทุกจังหวัดที่มีห้างสรรพสินค้า 

CPN ตอนนี้มีศูนย์การค้าทั้งหมด 36 แห่งทั่วประเทศ 

ปล. เรื่องที่จะให้แก่ตัวแล้วไปลำบากลำบน ปลูกผักทำสวน อยู่บ้าน ตจว ห่างไกลความเจริญ ไม่อยู่ในหัวเลย แก่แล้วต้องลำบากกว่าเดิมนี่คือ วางแผนชีวิตผิดมาก 😆 (แต่แล้วแต่คนชอบนะ บางคนชอบความลำบากตอนแก่ บางคนคิดว่าแบบนั้นไม่ลำบาก ก็ว่ากันไป)


***********

ตลอดชีวิตการลงทุนคุณไม่จำเป็นต้องมีหุ้น jackpot เป็นร้อยตัว ขอเพียงแค่ไม่กี่ตัว  โดยที่ไม่ทำในสิ่งที่ผิดมากจนเกินไปก็เพียงพอแล้ว
***********

การเป็นนักลงทุน จะซื้อหุ้นดีได้ในราคาสมเหตุสมผลนั้น ย่อมต้องซื้อในยามที่มีเรื่องร้ายมากระทบ 

หากรอให้ตลาดดีน่าลงทุนก่อนแล้วค่อยซื้อหุ้น ก็คงจะหาหุ้นสำหรับลงทุนได้ยากมากๆ 

ดังนั้นอย่ากลัวตลาดแย่ๆ แต่ให้กลัวการประเมินมูลค่าที่ผิดพลาด ให้กลัวความโลภในใจเรา
***********