วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

หลักคิด 24

กลุ่ม รพ มีความสามารถต้านทานเงินเฟ้อได้สูง
เราชอบ รพ ที่กระจายหลายตำแหน่งในประเทศ ทั้งสถานที่และกลุ่มคนไข้ (กลุ่มคนไข้ที่หลากหลาย ตั้งแต่ ปกส คนไข้เงินสด ตั้งแต่ระดับกลางล่าง กลางบน กลุ่มบน ไปจนถึง Expat และ ต่างชาติ) และ รพ ที่มีแผนขยายเพิ่ม รพ ที่ชัดเจน

ในแง่ภาพรวม โควิดไม่จบลงง่ายๆ คนจำนวนไม่น้อยมีอาการเรื้อรังหลังจากรักษาโควิดหาย ไม่ต้องไปคิดถึงโรคอุบัติใหม่ที่แทบจะร้อยปีเกิดที เอาแค่ในปัจจุบัน ทุกคนก็มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าโรงพยาบาลมากขึ้น บ่อยขึ้น

ค่ารักษาพยาบาลของคนไทยเมื่อเทียบกับ GDP แล้วคิดเป็นอัตราส่วนที่ต่ำมาก ยังมี room ให้ขยายได้อีกมาก

สังคมคนสูงวัยกำลังคืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ 

คนเข้าใจในประกันสุขภาพมากขึ้นและแนวโน้มการทำประกันสุขภาพเพิ่มขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเมื่อมีประกันสุขภาพแล้วย่อมใส่ใจสุขภาพมากขึ้น

********

แก้วสามดวง ของ อ.นิเวศน์
เงินต้น อัตราผลตอบแทนทบต้น ระยะเวลาในกานลงทุน

ถ้ามีมากทั้งสามอย่างรวยแน่ๆ แต่ถ้ามีได้สองในสามก็ยังสามารถรวยได้ 

ประเด็นอยู่ที่พยายามทำให้ได้สองในสาม และโดยมากสองในสามขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา โดยเฉพาะการติดอยู่กับการลงทุนตลอดเวลาตั้งแต่อายุนังน้อยจนไปจนกว่าจะตายจากไป เป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยากแต่ต้องมั่นคงและมีวินัย

*******

อนาคตของเราจะดีหรือแย่ ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราในปัจจุบัน ซึ่งการกระทำของเรานั้น เราเป็นผู้ควบคุมและเลือกที่จะทำได้

*****

การคิดที่จะหาเงินง่ายในตลาดหุ้น รับรองได้เลยว่าในระยะยาวจะต้องผิดหวังเสมอ ตลาดหุ้นเป็นที่รวมของคนเก่ง คนขยัน รวมถึง นลท รายใหญ่ และกองทุนต่างๆ ที่มีความพร้อมอย่างมาก พร้อมที่จะเก็บเกี่ยวผลกำไรจากอนาคตที่ดีของบริษัทและ เก็บเกี่ยวผลกำไรจากความผิดพลาดของ Player ทุกคนในตลาด 

ดังนั้นแวดวงนี้ การหาความรู้เป็นเรื่องสำคัญมาก อย่าคิดทำกำไรง่ายๆ จากความมักง่าย ซึ่งมันไม่มีกระเด็นเหลือมาถึงคนมักง่ายอย่างแน่นอน อาจฟลุ๊คบ้าง แต่สุดท้ายคนมักง่ายจะต้องจ่ายคืนให้ตลาดหนักกว่าที่ได้รับมาเสมอ

*******

การใช้หลักการลงทุนที่ไม่ตรงกับบุคลิกของตนเองจะทำให้เกิดความเครียดสูง

******
การเทรดเป็น zero sum game มีคนได้จะมีคนเสียเสมอ ในตลาดจะมีเทรดเดอร์ที่มากประสบการณ์ มีเครื่องไม้เครื่องมือที่พร้อมและมีต้นทุนที่ต่ำกว่านักลงทุนรายย่อยทั่วไปมาก เช่นกองทุนต่างๆ

นักลงทุนมือใหม่หลายคนมีความฮึกเหิมคิดว่าจะเข้ามาในตลาดหุ้นเพื่อจะได้คว้ากำไรก้อนงามได้ง่ายๆ

 ลองคิดถึง บนเวทีที่มีไมค์ ไทสัน อยู่ดีๆมือใหม่จะกระโดดขึ้นเวทีเดียวกับ ไมค์ ไทสัน คำถามคือจะรอดไหม 

หากเป็นมือใหม่เข้าตลาด สิ่งแรกที่ควรคาดหวัง คือการปกป้องเงินลงทุนของตนเอง ไม่ใช่การกระโดดเข้าไปเล่นอะไรที่มีความเสี่ยงสูง
*********

การลิ้มรสความเจ็บปวดจากการเสียเงินจริงๆ คือสิ่งสำคัญของการสะสมประสบการณ์ที่จะบาดลึกเข้าถึงหัวจิตหัวใจ และเมื่อคิดได้ว่าจะต้องรักษาเงินต้นไว้ก่อน เมื่อนั้นความคิดในการลงทุนจะเปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยเป็นมาอย่างสิ้นเชิง

****

ถ้ามัวแต่คาดหวังว่าจะหาระบบการลงทุนที่เป็นสูตรสำเร็จ โดยที่ไม่ต้องเหนื่อยมาก โดยที่ไม่ต้องไขว่คว้าหาความรู้ โดยที่คาดหวังว่าจะเป็น Holy Grail  เชื่อได้ว่าจะเป็นการเสียเวลาเปล่า สู้เอาเวลาไปพัฒนาทักษะการลงทุนจะมีประโยชน์มากกว่า เวลาที่หมดไปกับสิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้มันไร้ค่า

*******
การใช้หลักการลงทุนที่ไม่ตรงกับบุคลิกของตนเอง จะทำให้เกิดความเครียดที่สูง
 ความเครียดที่สูงจะทำให้ผิดพลาดได้ง่าย และไม่สามารถถือ position ได้นานอย่างที่ควร
*********

ตลาดหุ้น
จะใช้เป็นบ่อนพนันก็ได้
จะใช้พนันแบบสุดกู่ใช้ margin ใช้ Leverage มาเล่นพนันก็ได้
จะใช้เป็นที่ทดสอบประสบการณ์ในการเทรดก็ได้ 
จะใช้เป็นที่ทดสอบระบบเทรดก็ได้
จะใช้เป็นที่ลงทุนในบริษัทที่มีการเติบโตก็ได้
จะใช้เป็นที่ลงทุนเพื่อเงินปันผลเพื่อการเกษียณในระยะยาวก็ได้

ตลาดหุ้นเป็นให้คุณได้ทั้งหมด 
แล้วแต่ว่าคุณอยากจะให้เป็นอะไร
********

ใกล้สิ้นปีแล้ว พูดถึงหุ้นผิดจากที่คาดที่้เราเอาเข้าพอร์ตบ้างดีกว่า 

ปีนี้มีสวิตช์หุ้นออกสองตัวจากที่พื้นฐานผิดไปจากที่เรามองตอนนำเข้าพอร์ตไปมาก หลังจากที่รู้ว่าพื้นฐานไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราคาดก็ทยอยขายออกสับเปลี่ยนเป็นตัวอื่น โชคดีตัวหนึ่งมีกำไรพอสมควร อีกตัวขาดทุนประมาณเกือบ 2% ทำให้ภาพรวม 2 ตัวนี้ไม่ส่งผลกระทบกับพอร์ตรวม

ตัวแรกออก w และซื้อ บ.ในตลาด ทำให้เราเริ่มไม่สบายใจ การบันทึกงบการเงินแม้จะถูกต้องตามหลักบัญชี (แต่ไม่สอดคล้องกับสัดส่วนในการถือหุ้นของบริษัทที่ไปซื้อมา คือซื้อมาในสัดส่วนไม่มากแต่บันทึกงบรวม โดยอาศัยหลักบัญชีที่ว่ามีอำนาจครอบงำกิจการในการบันทึกบัญชี) พอจะเห็นสัญญาณบางอย่างที่น่าจะไม่ตรงกับแนวทางการลงทุนของเรา ก็เลยสับเปลี่ยนออก 

ตัวที่สอง ทำผลงานไม่ได้อย่างที่ผู้บริหารบอก และก็มีการเปลี่ยนตัวผู้บริหาร รวมถึง แนวทางที่ผู้บริหารใหม่ได้ให้ไว้นั้นไม่สอดคล้องกับความคิดของเราในตอนที่ซื้อหุ้น พอร์ตหลักของเราก็ทยอยสับเปลี่ยนหุ้นออกตั้งแต่เห็นงบที่ผลงานทำไม่ได้อย่างที่ ผบห บอกไว้จนงบออกอีกครั้งก็ยืนยันสิ่งที่เราคิด 

ปีนี้โดนสองตัว แต่หุ้นที่เราคัดเลือกมานั้นเป็นหุ้นที่มีปันผลสูงรองรับ ราคาจึงไม่ลงหนัก ไม่ส่งผลกระทบต่อพอร์ตรวมของปีนี้มากนัก โชคดีที่ว่า ในจังหวะที่ต้องการจะสับเปลี่ยนตัว ได้พบบริษัทใหม่ที่มองว่ามีโอกาสที่ดีกว่า 

การสับเปลี่ยนหุ้นออกก็ทำตามหลักการ 
"ถ้าปัจจัยพื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนไปอย่างถาวรไม่ตรงกับแนวทางในตอนซื้อ" ก็ต้องรีบแก้ไขข้อผิดพลาดนั้น

ปล. แต่หุ้นตัวหลังมีงบการเงินที่แข็งแกร่งมากและมีปันผลที่สูงต่อเนื่อง รวมถึงมีธุรกิจใหม่ที่รอจะเป็นอนาคตของบริษัทได้ ดังนั้นจึงยังเหมาะกับพอร์ตหุ้นที่ต้องการเงินปันผล


SENA  PSH

แต่ PSH ยังมีความเหมาะสมกับพอร์ตที่ต้องการเงินปันผล เพราะงบการเงินของบริษัทมีฐานะที่แข็งแกร่งและฐานะการเงินดีมากประกอบกับมีการปันผลสูงต่อเนื่องตลอด รวมถึงมีอนาคตที่อาจจะไกลสักหน่อยรออยู่คือโรงพยาบาลวิมุต 

************

การรักษาเงินต้นและการใช้ชีวิตให้ต่ำกว่าฐานะเป็นทัศนคติที่แบ่งแยกคนรวยออกจากคนชั้นกลางหรือคนจน และมันคือทัศนคติพื้นฐานที่สุดของความมั่งคั่ง

*********

การลงทุนนั้นสิ่งสำคัญคือกระบวนการในการคัดเลือกหุ้นทางด้านคุณภาพและราคาที่จะซื้อ ดังนั้นการใส่ใจในกระบวนการคัดสรรจึงสำคัญอย่างยิ่ง ให้ใจจดจ่อที่กระบวนการคัดสรร ไม่ใช่จดจ่อมุ่งหวังที่ผลกำไร

******
คนที่ประสบความสำเร็จ ส่วนมากเสพติดในสิ่งที่ทำจนถอนตัวไม่ขึ้น และให้เวลากับสิ่งนั้นมากๆ
*****
จะประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้นถ้าลงทุนในสิ่งที่มีความเชี่ยวชาญ รวมถึงมีวินัยไม่ก้าวออกจากความเชี่ยวชาญที่มี
******
การลงทุนใดๆที่มีอยู่ในพอร์ตแล้วไม่เข้ากับหลักเกณฑ์ แม้ว่ามันจะเข้ากับหลักเกณฑ์ในตอนแรกก็ตามแต่ในภายหลังมันไม่เข้ากับหลักเกณฑ์ นั่นคือการลงทุนที่ผิดพลาด ควรที่จะแก้ไขทันทีโดยไม่สนใจ sunk cost

*****
การลงทุนในตลาดหุ้น คือที่ที่เหมาะสม สำหรับคนที่ มุ่งมั่นทำงานกับตนเอง ไม่ต้องการพึ่งพาคนอื่น ไม่ต้องการวุ่นวายกับคนอื่น และต้องการยืนหยัดประสบความสำเร็จด้วยตนเอง โดยมีอิสระในการทำงาน เพียงแต่มันต้องการคนที่มีวินัยและความมุ่งมั่นสูง

*****
สิ่งที่จำเป็นที่สุด ที่จะสามารถเปลี่ยนฐานะคุณได้ ในยามเกิดวิกฤตตลาดหุ้น

เงินสด + จิตใจที่จดจ่อมุ่งมั่นในการซื้อของดีราคาถูก
*****
แม้จะรู้ว่าตามสถิติแล้ว ตลาดหุ้นจะมีตกลงแรงๆประมาณ 20% ทุกๆ 5 ปี แต่เชื่อไหมว่า Player ส่วนใหญ่รอไม่ได้ อย่าว่าแต่ให้รอถึง 5 ปีเลย แค่ถือหุ้นรอผลงานจาก บ.แค่ปีเดียวยังดิ้นกันแทบแย่ 

จริงๆแล้วดิ้นกันแทบจะรายวันเลยด้วยซ้ำ เพราะรอไม่เป็น 😊

******

บางครั้งที่ไปไม่ถึงจุดหมายที่วางไว้เพราะมัวแต่สนใจเป้าหมายระยะสั้น ความเร่งรีบในโลกปัจจุบัน ทำให้มองแต่เพียงระยะสั้น

เวลาในชีวิตมันมีจำกัด หัดเล่นเกมยาวให้เป็นเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายที่เราต้องการมากที่สุด

********

การเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่งย่อมหมายถึงการปฏิเสธสิ่งอื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องพิจารณาถึงผลกระทบเหล่านั้นก่อนที่จะเลือก แต่หากไม่ตัดสินใจเลือกนั่นคือการเลือกที่จะไม่เลือก ซึ่งจะไม่ได้อะไรเลยสักทาง

*****

การจะประสบความสำเร็จในเป้าหมายระยะยาวไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมันคือการหลีกเลี่ยงความปรารถนาระยะสั้นเพื่อที่จะมุ่งสู่เป้าหมายในอนาคตที่ยังไม่แน่นอนแต่คุ้มค่า
******

การให้เวลาวันละ 20 นาที เพื่อทบทวนสิ่งที่เราทำตลอดวันเป็นสิ่งจำเป็น เป็นการป้องกันการลงแรงที่ผิดจุด ผิดทาง หากไม่ทบทวนแล้วลงแรงผิดจุดต่อไปเรื่อยๆ จะเหมือนคนขยันที่หลงทาง สิ่งที่ทำคือสูญเปล่า

*******

สร้างเกณฑ์การลงทุนหรือระบบลงทุนแล้วใช้ซ้ำๆอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลตอบแทนทบต้นในระยะยาว 

ไม่ใช่มุ่งเน้นไปที่การลงทุนหคือการเทรดเพียงครั้งใดครั้งหนึ่งแล้วหวังว่าจะทำแจ็คพอตแตก

******

ยืนหยัดด้วยตนเองให้ถึงที่สุด อย่าคิดจะพึ่งพิงแต่ผู้อื่น

การพึ่งพิงผู้อื่นโดยที่ตัวเองไม่แม้แต่จะพยายาม มันคือ การเอาเปรียบผู้อื่น

วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

หลักคิด 23

อย่าอิจฉากำไรของคนอื่นที่ลงทุนด้วยหลักการที่แตกต่างจากตนเอง ถ้าเลือกหลักการลงทุนนึง ก็ย่อมพลาดผลกำไรจากหลักการอื่น เป็นเรื่องปกติ  ยึดมั่นอยู่กับสิ่งที่ตนเองชำนาญ อย่าอิจฉาสนามหญ้าหน้าบ้านคนอื่น

*********

การคัดเลือกหุ้น โดยการหาเหตุปัจจัยที่ที่ทำให้บริษัทแข็งแกร่ง มั่นคง เติบโต จะทำให้มีโอกาสได้หุ้นที่เติบโต ที่ยอดเยี่ยม มากกว่า

หากคัดเลือกหุ้นที่เห็นปัจจัยอย่างที่ว่าแล้ว ในระยะยาว บริษัทที่เลือกมาย่อมมีอัตราที่จะประสบความสำเร็จได้สูงขึ้น 

เหตุปัจจัยที่ว่า เช่น ผู้บริหาร หนี้สินของบริษัท โมเดลธุรกิจ ธรรมาภิบาลที่เห็นแก่ประโยชน์ของผู้ถือหุ้นเป็นหลัก 

การคัดเลือกที่เหตุปัจจัยเหล่านี้ สามารถใช้การดูย้อนหลังประกอบการพิจารณาได้ 

เมื่อเลือกที่เหตุปัจจัยเหล่านี้แล้ว ตัวเร่งระยะสั้น แทบไม่มีความจำเป็นเลย (มีก็ดี ไม่มีก็ไม่ได้เสียหายอะไร) 

ที่บอกว่าตัวเร่งระยะสั้นแทบไม่มีความจำเป็น เช่น หากมีตัวเร่งระยะสั้นให้บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นมาสัก 30% หากนำมาเฉลี่ยบนการลงทุนระยะยาวเช่น 10 ปี 15 ปีแล้ว จะส่งผล 2-3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่หากเห็นว่าไม่มีตัวเร่งระยะสั้นแล้วเลือกที่จะไม่ลงทุน ในบริษัทแบบนี้ ก็กลายเป็นว่า อาจจะเสียโอกาสที่มากกว่านี้เยอะมาก 

หลักการลงทุนลักษณะนี้ เป็นการโฟกัสมุ่งเน้นไปที่เหตุที่ส่งผลต่อธุรกิจในระยะยาว ให้มีการเติบโตต่อเนื่อง ค่อนข้างจะเหมาะกับการลงทุน ในแบบที่ชอบอยู่กับตัวเองเป็นหลัก ไม่ต้องอาศัยพรรคพวกเพื่อนฝูงมากมายช่วยกันค้นหา "ตัวเร่ง" 

มันเป็นแนวการลงทุนที่พึ่งตนเองเป็นหลัก อาศัยใจที่สงบค่อยๆค้นหา ไม่ต้องเร่งรีบแก่งแย่ง ธรรมดาที่บริษัทที่มี "ตัวเร่ง" ย่อมเป็นที่หมายตา ส่งผลให้ราคาสูงชั่วคราว เข้าช้าก็จะได้ของแพง แน่นอนว่ามันไม่ใช่การลงทุนแบบใจร่มๆ 

ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความชอบ ขึ้นอยู่กับจิตใจที่รักการแข่งขันของนักลงทุนแต่ละคน นักลงทุนไม่น้อยที่ชอบการลงทุนที่ตื่นเต้นหวือหวามากกว่าการลงทุนที่เนิบๆ อย่างไรก็ตามการเลือกหลักการลงทุนที่เข้ากับจริตของตนเองจะดีที่สุด

**********

หลักเกณฑ์ในการคัดเลือกหุ้นในการลงทุนนั้นมีหลากหลายวิธี 
- บ้างชอบหุ้นวัฏจักร ซึ่งในบ้านเรานั้นหุ้นวัฏจักรก็ค่อนข้างจะเป็นกลุ่มใหญ่ไม่ว่าจะเป็นพลังงาน ปิโตรเคมี เดินเรือ สินค้าเกษตร 
- บ้างก็ชอบหุ้นเติบโต ที่มีสตอรี่ ที่มี catalyst การมีสตอรี่ที่เป็นตัวเร่งเพื่อให้เป็นจุดสนใจ 
- บ้างก็เน้นแต่หุ้นปันผล บริษัทมั่นคงมากๆปันผลสูงๆโดยไม่สนใจการเติบโตมากนัก

แต่วิธีนึงที่เราคิดว่ามั่นคงมีความเสี่ยงต่ำและได้การเติบโตควบคู่กันไปด้วยในการลงทุนระยะยาว คือวิธีที่ใช้หลักการนี้ 
- มองหาหุ้นมั่นคง ในที่นี้หมายถึงต้องมีหนี้สินที่ไม่สูง เพื่อที่จะสามารถผ่านวิกฤตไปได้โดยไม่ต้องเพิ่มทุน อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้นควรจะต่ำกว่า 1.8 เท่า
- มีการเติบโตที่มากกว่าอัตราเงินเฟ้อ อย่างน้อยควรมีการเติบโต โดยเฉลี่ยอย่างน้อยที่สุดมากกว่า 3-4% ขึ้นไป ในส่วนนี้ก็เพื่อให้แน่ใจว่าในระยะยาวแล้วความมั่งคั่งของบริษัทจะเพิ่มมากขึ้น นั่นหมายถึงราคาหุ้นในระยะยาวอยู่ในแบนด์ที่เป็นขาขึ้น หากไม่ซื้อราคาสูงจนเกินไปการเติบโตนี้จะเป็นตัวที่ทำให้ การลงทุนระยะยาวมีโอกาสขาดทุนต่ำ
- มีทรัพย์สินของบริษัทรองรับราคาอยู่พอสมควรในจุดนี้เราพรีเฟอร์ที่ค่า PB ต่ำกว่า 1.6 เท่าเนื่องจาก 1.6 เท่านี้เป็นค่า PB ของ SET INDEX ดังนั้นการที่เราจะซื้อหุ้นที่มีทรัพย์สินมารองรับเราก็ไม่ควรจะซื้อแพงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด และควรดูว่าไม่แพงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมควบคู่กันไปด้วย 
- เมื่อหาหุ้นที่เข้าหลักเกณฑ์ข้างต้นได้แล้ว ก็ยังมีจุดอ่อนตรงที่เราไม่รู้ว่าต้องรออีกนานแค่ไหนตลาดถึงจะเห็นคุณค่าของหุ้นตัวนี้ การรอโดยที่ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยมันทำให้ใจเสียได้ มันส่งผลต่อ mindset แน่นอนหากต้องรอนานๆโดยยังไม่ได้ผลตอบแทนอะไรคืนมาเลย เพื่อเป็นการปิดจุดอ่อนในจุดนี้จึงควรเลือกหุ้นที่มีเงินปันผลมากกว่า 3% ขึ้นไป อย่างน้อยที่สุดอัตรานี้ก็ยังสูงกว่าการฝากเงินธนาคาร ทำให้ใจร่มมากขึ้นในการรอคอย ให้ตลาดเห็นถึงมูลค่าของหุ้นที่เราถือ 

แน่นอนว่าการเลือกหุ้นด้วยหลักการเหล่านี้ย่อมจะทำให้เราพลาดอุตสาหกรรมที่กำลังร้อนแรงในตลาด เพราะอุตสาหกรรมที่ร้อนแรงนั้นมักจะไม่ผ่านเกณฑ์เหล่านี้ 

การคัดเลือกหุ้นเหล่านี้เข้าพอร์ต จะต้องแน่ใจว่ามีความใจเย็นมากพอที่จะถือหุ้นในระยะยาวได้มากกว่า 3 ปีขึ้นไป (ถ้าหากตัวบริษัทไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลงอย่างถาวร) 

แม้จะไม่มีใครสามารถการันตีถึงความสำเร็จได้ทั้ง 100% ก็ตาม แต่หลักการเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงลงได้มาก

วิธีการเหล่านี้เป็นเพียงหนึ่งในวิธีการคัดหุ้นจากหลายๆวิธี แต่ส่วนตัวคิดว่าน่าจะเป็นวิธีการพื้นฐานที่นักลงทุนควรจะต้องรู้จักและใช้ให้เป็น

และแน่นอนว่าหากสามารถหาหุ้นที่มีตัวเลขต่างๆดีกว่าหลักเกณฑ์เหล่านี้ได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ดีขึ้นมากเท่านั้น

********
เมื่อไหร่ก็ตามที่เผลอทำให้การลงทุน กลายเป็นกิจกรรมที่ไม่ต้องใช้ความคิด ให้ระวังให้ดี

*******
ต้องระวังผู้บริหารที่รู้อยู่แก่ใจว่าการตัดสินใจนั้นส่งผลเชิงลบต่อนักลงทุนแต่ก็ยังจะทำ 

และต้องระวังผู้บริหารที่พยายามจะรายงานข้อมูลทางการเงินของบริษัทในรูปแบบที่ไม่สอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงของบริษัท

*********

แนวทางลงทุนในหุ้นปันผล ควบคู่กับอสังหา โดยอย่างน้อยต้อง
-มีเงินต้น (ถ้าไม่มีเงินต้นก็ลงทุนไม่ได้)
-ความรู้ในการลงทุนประมาณนึง
-สนใจลงทุนในคอนโด

สมมติ มีเงินต้น 2ลบ และเข้าใจการลงทุนระยะยาวในหุ้นปันผล และต้องการซื้อคอนโดให้เช่า(สมมติคอนโดราคา 2ลบ)

ถ้าคนที่ไม่คิดอะไรมากก็จะซื้อด้วยเงินสดที่มี แล้วปล่อยเช่า

คอนโดราคา 2 ลบ สมมติได้ค่าเช่า 9,000 บ ต่อเดือน ปีนึงจะได้ 90,000 บ (หัก คชจ 2 เดือน)

แทนที่จะซื้อด้วยเงินสด ก็เป็นซื้อด้วยเงินกู้แล้วนำเงินสดที่มีไปซื้อหุ้นปันผล ที่ราคาไม่หวือหวาและ หาที่ได้ปันผลสัก 6% (มีหลาย บ.) เงินต้น 2ลบ ดาวน์คอนโด 20% เหลือเงิน 1.6 ลบ

นำเงินต้นที่เหลือ 1.6 ลบ ลงทุนในหุ้นปันผลได้ เงินปันผล 96,000 ต่อปี

***เท่ากับตอนนี้ฝั่งรายได้ ได้ค่าเช่าคอนโด 90,000 + เงินปันผล 96,000 = 186,000 ต่อปี (จากเงินต้นทั้งหมด 2 ลบ)

ฝั่งเงินกู้ ที่กู้ซื้อคอนโดราคา 2 ลบ จ่ายดาวน์ไปแล้ว 20% (สี่แสนบาท) เป็นเงินกู้แบงค์ 1.6 ลบ

เงินกู้ทุกๆ 1 ลบ ที่ ดบ 6% ผ่อน 30 ปี จะต้องผ่อนจ่ายเดือนละ 6,000 บ โดยประมาณ

***เงินกู้ 1.6 ลบ ต้องผ่อนธนาคารเดือนละ 9,600 บ เท่ากับปีละ 115,200 บ นี่คือฝั่งรายจ่าย 

ยังจำฝั่งรายได้ ได้ไหม ย้อนกลับขึ้นไปดูที่ทำดอกจันไว้ ฝั่งรายได้รวม 186,000 ต่อปี

เท่ากับจะเหลือเงินปีละ 70,800 บ ต่อปี

โอเค ก็จะมีคำถามประมาณว่า แล้วหากคนเช่าไม่เต็มหล่ะ ไม่มีคนเช่าหล่ะ ก็จะมีเงินจำนวนนี้เป็น Buffer 70,800 เทียบกับค่าเช่าห้อง ด.ละ 9,000 เท่ากับมี Buffer 7-8 เดือน (มีกันชนทางการเงิน)

หากมีเงินทุนมากกว่านี้ ก็คำนวณเป็นทวีคูณกันไป

อีกจุดนึงคือฝั่งเงินกู้ธนาคารส่วนใหญ่แล้วมักจะมีโปรโมชั่น โดย 3 ปีแรกอัตราดอกเบี้ยจะถูกเป็นพิเศษ เช่น 2% , 1.5% อะไรก็ว่าไป มันจะทำให้ 3 ปีแรก ฝั่งรายจ่ายน้อยกว่าที่คำนวณไว้ ทำให้ไม่น่ากลัวถ้าหากในช่วง 3 ปีแรกมีผู้เช่า น้อยกว่าที่คำนวณ เท่ากับเป็น Buffer ที่สอง

ที่เล่านี่คือเป็นหลักการ การคิดโดยคร่าวๆ หากลงทุนทำจริงๆมันก็จะพบในรายละเอียดปลีกย่อย มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ที่เราสามารถ ที่จะปรับปรุง แต่งเติมการลงทุนของเราให้ดีขึ้นได้อีก

จะลงทุนต้องมีเงินต้น ถ้าไม่มีเงินต้นก็คือไม่มีทุน จะเรียกว่าการลงทุนไม่ได้

**********

การลงทุนเน้นคุณค่าคล้ายกับการซื้อแบงค์ร้อยในราคา 70 บาท มันคือการหาบริษัทที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าอย่างมีนัยยะ
*****
พยายามวิเคราะห์โอกาสในการลงทุนด้วยตัวเองฟังความเห็นการลงทุนจากแหล่งต่างๆแต่นำมาวิเคราะห์เพื่อหาคำตอบด้วยตัวเอง พยายามสะสมหุ้นดีๆแต่ไม่มากตัวจนติดตามไม่ไหว
*****
การมีทัศนคติต่อการลงทุนที่ถูกต้องนั้นเป็นสิ่งสำคัญพอๆกับความมีวินัย

*********

ซื้อเพราะบริษัทมีความได้เปรียบในการแข่งขัน ขายเมื่อความได้เปรียบนั้นหมดไป

ซื้อเพราะมีโอกาสการลงทุนที่ดี ขายเมื่อการลงทุนอื่นมีโอกาสที่ดีมากกว่า 

ซื้อเพราะเป็นไปตามหลักการ ขายเมื่อรู้ตัวว่าทำผิดพลาดไปหรือคิดได้ว่าไม่ควรลงทุนแต่แรก

*********

หมั่นวัดความก้าวหน้าของการลงทุนเปรียบเทียบกับเกณฑ์การลงทุนของตนเองเสมอ

นักลงทุนที่ไม่มีหลักการของตนเอง ย่อมหาจุดซื้อ จุดขายไม่เจอ

*****
คนที่ไม่อดทน คนที่ใจร้อน คนที่ต้องการเห็นผลของการลงทุนแบบทันทีทันใด มักจะมีปัญหากับการลงทุนในแนวทางของ value investing (mindset ไม่ได้)
*******

เพื่อกำไรสุทธิหนึ่งบาทต่อปี เคยคำนวนไหมว่าจะยอมจ่ายเงินสูงสุดเท่าไร

**********

ในตลาดกระทิงคนที่ไม่กลัวจะเคาะขวาเพราะมีความเชื่อมั่นว่าราคาหุ้นจะขึ้นต่อได้และจะมีคนยินดีที่จะซื้อหุ้นต่อในราคาที่สูงขึ้น แต่ท้ายที่สุดแล้วมูลค่าคือสิ่งสำคัญ และคนที่ถือหุ้นราคาสูงคนสุดท้าย คือคนที่จะขาดทุน

*********
ความผิดพลาดที่พบเห็นได้บ่อยคือการมองข้ามความเป็นวัฏจักรของหุ้นโดยคิดว่ามันจะดีเหมือนปัจจุบันตลอดไป

******
เข้มงวดในหลักการกระบวนการในการค้นหาการลงทุน เพื่อให้เจอการลงทุนที่มีผลตอบแทนสูงกว่าค่าเฉลี่ย และเฝ้าดูบริษัทอย่างใกล้ชิด ให้เหมือนตอนที่ค้นหา

******
นักลงทุนที่ไม่มีหลักการของตนเอง ย่อมหาจุดซื้อ จุดขายไม่เจอ
**********

ความเข้าใจในงบการเงินจะทำให้ มีความอดทนมากขึ้นในการถือหุ้น

*********
การลงทุนเพื่อสร้างฐานะ ทุกคนมีเงินลงทุนจำกัด มีเวลาในการลงทุนจำกัด

ทัศนคติการลงทุนที่ถูกต้องคือ ลงทุนบนความเสี่ยงต่ำ แต่มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่หักลบกับความเสี่ยงแล้วสูง (risk adjust return) 

ทัศนคติที่ว่า เสี่ยงสูง ผลตอบแทนสูง นั้นเป็นทัศนคติของนักพนัน ไม่ใช่นักลงทุน

*********
ทุกคนล้วนเคยทำผิดพลาดไม่ว่าจะเป็นคนฉลาดหรือคนโง่ แต่ต่างกันตรงที่คนฉลาดเรียนรู้จากความผิดพลาดส่วนคนโง่นั้นไม่
********
ต้องรู้ตั้งแต่ก่อนจะซื้อหุ้น ว่าจะขายเมื่อไรบ้าง และเมื่อซื้อแล้วก็แค่รอจนกว่าเหตุผลนั้นจะเกิดขึ้น
*********

หลักการขายจะประมาณ นี้

หุ้นมั่นคงเติบโตต่ำ ปันผลสูง ซื้อเมื่อราคาต่ำกว่ามูลค่ามากพอสมควร มีส่วนเผื่อความปลอดภัยสูง
- ขายเมื่อราคาเต็มมูลค่า
- ขายทันทีที่พื้นฐานกิจการเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลงอย่างถาวร
- ขายเมื่อพบโอกาสอื่นที่ดีกว่า

หุ้นมั่นคงที่มีการเติบโตพอประมาณ ซื้อเมื่อราคาต่ำกว่ามูลค่า มีส่วนเผื่อความปลอดภัยพอสมควร 
- ขายเมื่อราคาสูงกว่ามูลค่า
- ขายเมื่อพื้นฐานกิจการเปลี่ยนในทางแย่ลงอย่างถาวร
- ขายเมื่อพบเจอโอกาสอื่นที่ดีกว่ามาก

หุ้นเติบโต ซื้อที่ราคาเหมาะสม การเติบโตจะเป็นส่วนเพื่อความปลอดภัยให้เอง 
- ขายเมื่อการเติบโตลดลงอย่างชัดเจนต่อเนื่องถาวร
- ขายเมื่อพบเจอโอกาสอื่นที่ดีกว่ามาก

แน่นอนว่าจะเป็นการขายโดยไม่มอง sunk cost 

#ขาย

********

ประโยชน์ของการมีเงินคือทำให้สามารถซื้ออะไรก็ได้ที่อยากได้ แต่ไม่ได้แปลว่าพอมีเงินแล้วจะต้องเปลี่ยนนิสัยให้กลายเป็นคนฟุ่มเฟือย หรือมีรสนิยมหรูหรา เงินแสดงนิสัยดั้งเดิมของคนให้เด่นชัดขึ้น

คนประหยัดตอนไม่มีเงินก็ดูไม่ออกว่าประหยัดหรือเป็นเพราะไม่มีเงิน แต่พอมีเงินเขาก็ยังประหยัดเหมือนเดิมทำให้เห็นได้ชัดว่าแม้จะมีเงินแต่มีนิสัยเป็นคนประหยัดไม่ฟุ่มเฟือย 

คนไม่มีเงินที่มีนิสัยฟุ่มเฟือย เขาก็ฟุ่มเฟือยไม่ได้เพราะมันไม่มีเงิน แต่พอมีเงินเขาจะแสดงนิสัยแห่งความฟุ่มเฟือยออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด ว่าเป็นคนฟุ่มเฟือย 

เงินไม่ได้เปลี่ยนนิสัยคน แต่เงินช่วยแสดงนิสัยดั้งเดิมให้เด่นชัดยิ่งขึ้น

*****

การลงทุน/การซื้อหุ้น คือการเอาเงินของตัวเองไปให้คนอื่นดูแล ดังนั้นอย่าลืมที่จะดูบุคลิกนิสัยของผู้บริหาร และมอบหน้าที่นี้ให้กับคนที่สามารถไว้วางใจได้เท่านั้น

ถ้าผู้บริหารชอบทำตัวเป็นเจ้ามือ ปั่นลากทุบเพื่อกินเงินนักลงทุนรายย่อย คุณจะไว้ใจผู้บริหารเหล่านี้ให้ดูแลเงินของคุณได้หรือ

********
เวลาเลือกหุ้นสำหรับลงทุน เราชอบที่จะเลือกเพื่อให้ เราไม่ต้องเดาอนาคตของ บ.มากเกินไป

การที่จะไม่ต้องเดาอนาคตของ บ.นั้นทำให้เราต้อง
- มองหาบ.ที่มีอดีตที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ 
- ปัจจุบันของ บ.ไม่เปลี่ยนไปชนิดกระทันหัน
- บ.อยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงเร็วมากนัก

- บ.ที่มีการเติบโตได้ดีต่อเนื่องจากอดีตมาถึงปัจจุบัน และเทรนด์ในอนาคตยังไม่เปลี่ยนแปลง

หากเลือกบริษัทได้ตามนี้ ก็ยอมที่จะคาดหวังในภาพรวมได้ว่าบริษัทจะยังสามารถดำเนินธุรกิจด้วยปัจจัยแบบเดิมและเติบโตได้ดีต่อเนื่องไปในอนาคต โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าบริษัทจะมี "ตัวเร่ง" หรือไม่

ถ้าเราเลือกองค์ประกอบต่างๆของบริษัทให้ดีเข้าไว้ และเลือกบริษัทลักษณะนี้หลายๆตัวเข้าพอร์ต โอกาสจะเจอบริษัทที่มีอนาคตเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลงจะมีน้อย ภาพรวมของพอร์ตจะถูกพยุงด้วยบริษัทที่ดี เมื่อบริษัทไหนที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลง เราก็คัดออก หาตัวใหม่ทดแทน

สุดท้ายแล้วในพอร์ตก็จะถูกพยุงด้วย บริษัทที่ดีและมั่นคงในระยะยาวได้ ทำให้สามารถลงทุนระยะยาวได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องคอยหาบริษัทที่มี catalyst อยู่ร่ำไป

******""

ในกิจการที่มี margin ดี การออก W จะเป็นสิ่งที่ไม่คุ้มค่าเลย เพราะถ้ากิจการมี ROI ที่สูง แล้วต้องการเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มการกู้ยืมเป็นทางออกที่ดีที่สุดเนื่องจากจ่ายเพียงดอกเบี้ย 

บริษัทที่จะออก warrant มันอาจหมายถึง 
- มีหนี้สินในระดับสูงไม่สามารถกู้ยืมเพิ่มเติมได้แล้ว 
- ผลประกอบการมี ROI ที่ต่ำ ไม่คุ้มค่ากับการจ่ายดอกเบี้ย 
- ต้องการพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ 

ภาพรวมคือ บ.ที่ออก W จะเป็นภาพที่แย่ในสายตาเรา (นลท แต่ละคนไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนเรา) 

W มันคือการเพิ่มทุนอย่างหนึ่งที่สุดท้ายแล้วจะทำให้มีจำนวนหุ้นเพิ่มมากขึ้น 

จำนวนหุ้นที่เพิ่มมากขึ้นมันหมายถึง ตัวหารกำไรที่มากขึ้นด้วย กำไรต่อหุ้นก็จะถูกเจือจางลง

******
FTD : SET +1.x% OR MORE AND BIGGER VOLUME THAN PREVIOUS DAY

DD : SET -0.2% OR MORE AND VOLUME HIGHER THAN PREVIOUS DAY, DD 5-6 DAYS IN 4-5 WEEK ENOUGH TO TURN MARKET DECLINE

*****
ตลาดให้อิสระกับเราทุกอย่างไม่ว่าจะ อยากลงทุนเมื่อไหร่ อยากเข้าตลาดตอนไหนเวลาไหน เข้าตลาดไหน ซื้อหุ้นอะไร ซื้อที่ราคาไหน อยากขายเมื่อไหร่ อยากขายที่ราคาไหน อยากขายด้วยเหตุผลอะไร แม้แต่อยากขายเพราะเบื่อ 

ทุกอย่างตัวเราคือคนตัดสินใจ

ดังนั้นเวลาเราเสียเงินต้องยอมรับว่าเกิดจากการผิดพลาดในบางอย่างของเราเอง

หาความผิดพลาดนั้นให้เจอแล้วแก้ไข

การหาความผิดพลาดจะเป็นเรื่องง่ายถ้ามีหลักการตั้งแต่แรก เปรียบเสมือนการวางของให้เป็นระเบียบ พออะไรที่ผิดที่ผิดทาง ก็หาจุดผิดพลาดได้ง่ายทำให้แก้ไขได้ง่ายขึ้น

การแก้ไขจุดผิดพลาดทีละจุดนี่แหละที่สุดท้ายแล้วจะทำให้ข้อผิดพลาดค่อยๆหมดไป

**********

ถ้าเลือกบริษัทที่ดีพร้อมแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นฐานะทางการเงิน ความเชี่ยวชาญของผู้บริหาร ความเชี่ยวชาญของทีมงาน ทรัพยากรที่มีอย่างเพียงพอในการประกอบธุรกิจ มีประวัติการสร้างผลงานที่ดีมาต่อเนื่อง มีความสามารถในการแข่งขันสูง ผู้บริหารให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของนักลงทุน รวมถึงมีเป้าหมายการเติบโตในอนาคตที่ดีและชัดเจน 

สิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้ คือควรถือหุ้นให้แน่นๆรอให้เป็น อย่าไขว้เขวไปกับเศรษฐกิจภาพรวมที่อาจจะมีขึ้นๆลงๆบ้าง 

ภาพรวมของเศรษฐกิจนั้นอาจจะมีกระทบกับทุกบริษัทมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป แต่ในบริษัทที่มีความพร้อมอย่างที่กล่าวมานั้น จะสามารถรับมือกับเศรษฐกิจที่ลุ่มๆดอนๆชั่วคราวได้ รวมถึงพร้อมที่จะเติบโตไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเมื่อเศรษฐกิจเอื้ออำนวย 

บางครั้งการใส่ใจในรายละเอียดกับผลการดำเนินงานที่โดนกระทบจากเศรษฐกิจภาพรวมมากเกินไป จะทำให้พลาดโอกาสที่ดีในระยะยาว

*********

การคิดที่จะหาเงินง่ายในตลาดหุ้น รับรองได้เลยว่าในระยะยาวจะต้องผิดหวังเสมอ ตลาดหุ้นเป็นที่รวมของคนเก่ง คนขยัน รวมถึง นลท รายใหญ่ และกองทุนต่างๆ ที่มีความพร้อมอย่างมาก พร้อมที่จะเก็บเกี่ยวผลกำไรจากอนาคตที่ดีของบริษัทและ เก็บเกี่ยวผลกำไรจากความผิดพลาดของ Player ทุกคนในตลาด 

ดังนั้นแวดวงนี้ การหาความรู้เป็นเรื่องสำคัญมาก อย่าคิดทำกำไรง่ายๆ จากความมักง่าย ซึ่งมันไม่มีกระเด็นเหลือมาถึงคนมักง่ายอย่างแน่นอน อาจฟลุ๊คบ้าง แต่สุดท้ายคนมักง่ายจะต้องจ่ายคืนให้ตลาดหนักกว่าที่ได้รับมาเสมอ