วันพุธที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

Oppday TASCO 1Q62 16/5/2019

Oppday TASCO 1Q62  16/5/2019
ก่อนจะไปถึงเรื่องของตัวเลขในงบการเงิน ขอท้าวความถึงไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้ว ถ้าจำได้ในไตรมาสที่ 4 ปีที่แล้วบริษัทเราได้มีการตั้งสำรองเรื่องของสินค้าคงเหลือปลายปีไว้อยู่ 700 กว่าล้านด้วยกันเหตุผลหลักๆ คือในเดือนตุลาคมเราได้ซื้อน้ำมันดิบเข้ามาที่ราคาสูงมากเนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่เป็นตัว marker ของเราก็คือตัว Grant เนี่ยวิ่งขึ้นไปอยู่ถึง 86 เหรียญต่อบาร์เรลแล้วตอนปลายไตรมาส ตอนสิ้นปีตกลงมาอยู่ที่ 52 เหรียญต่อบาร์เรล

ก็หมายความว่ามูลค่าสินค้าคือน้ำมันดิบของเราถูก Mark to market ลดลง 700 กว่าล้านจากเหตุการณ์ตรงนั้นส่งผล 2 เรื่อง หนึ่งเรามีต้นทุนของน้ำมันดิบที่ใช้ในการกลั่นและประกอบธุรกิจหรือส่งไปขายของเราที่สูงทำให้ในไตรมาสที่ 4 เรามีต้นทุนวัตถุดิบที่ราคาสูงมากในทางกลับกันราคาขายรายตอนไตรมาสที่ 4 ตกลงมาตามราคาน้ำมันดิบที่มันลดลงมา ทำให้เราขายไปต่างประเทศขายขาดทุนพอสมควรในปลายไตรมาสที่ 4

ที่นี้พอมาไตรมาสที่ 1 ก็เกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกันเลยครับ ก็ส่งผลให้ ต้นไตรมาสที่ 1 ของปีนี้เรายังคงมีต้นทุนของน้ำมันดิบที่ยังแพงอยู่ทำให้ยอดขายของเราไปยังต่างประเทศมีผลขาดทุนมากพอสมควร โดยเฉพาะเดือนที่ 1 และเดือนที่ 2 เริ่มกลับมาดีขึ้นในเดือนที่ 3 หลังจากที่เราได้รับน้ำมันดิบและอื่นๆเข้ามาเฉลี่ย ทำให้ผลประกอบการเริ่มดีขึ้น ตั้งแต่มีนาคมเป็นต้นไป

ประกอบการในไตรมาสที่ 1 ปี 2019 รายได้จากการขายและบริการของเราอยู่ที่ 7091 ล้านบาท สูงกว่างวดไตรมาส 1 ของปี 2018 อยู่พอสมควร คือบวกอยู่ 34.7 เปอร์เซ็นต์ หลักๆเนื่องจากไตรมาสที่ 1 ปีนี้เราขายได้มากกว่า 20%  ของไตรมาสที่ 1 ในปี 2018 , ปีนี้ไตรมาส1 เราขายได้ 4 แสนตันในขณะที่ปีที่แล้วไตรมาส 1 แล้วขายได้ที่ 320,000 ตัน แต่ถ้าไปดูเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 4 ยอดขายเราตกลงมาเยอะนะครับในไตรมาสที่ 4 ปีที่แล้วขายได้อยู่ 490,000 ตันและในไตรมาสนี้เราขายได้ 4 แสนตันนั่นคือเหตุผลที่ไตรมาส 1 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 4 แล้วลดไปพอสมควร

เรื่องของกำไรขั้นต้นจากผลประกอบการของเราในไตรมาสที่ 1 อยู่ที่ 1168 ล้าน GPM อยู่ที่ 16.5 เปอร์เซ็นต์ มี 2- 3 เหตุการณ์หลักๆเรื่องแรกขายต่างประเทศของเราความจริงคือเราขายแล้วขาดทุนค่อนข้างจะมากในไตรมาสที่ 1 ต่อเนื่องมาจากไตรมาสที่ 4  แต่มีเหตุการณ์ที่ดีคือยอดขายภายในประเทศเราในไตรมาสที่ 1 ขายได้ดีมากแล้วในเวลาเดียวกันก็ขายสินค้าที่เป็นตัวพรีเมี่ยมโปรดักส์ค่อนข้างดีส่งผลให้ผลประกอบการของเราในไตรมาสที่ 1 ดีตามไปด้วย

มีรายการพิเศษคือตอนที่เรา mark to the market ตัวน้ำมันดิบที่อยู่ที่โรงกลั่นเนื่องจากน้ำมันดิบ ณ ตอนสิ้นปีราคาอยู่ที่ 52 เหรียญต่อบาร์เรล มาปลายเดือนมีนาคมของสิ้นไตรมาสที่ 1 น้ำมันดิบขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 68 เกือบ 70 เหรียญต่อบาร์เรลดังนั้นมูลค่าของน้ำมันดิบก็จะสูงขึ้น ที่นี้ตอนที่เรา mark to market ไปตอนสิ้นปี เพราะทุกครั้งที่เราขายหรือเอาน้ำมันดิบมาทำเป็นยางมะตอย ขาย เป็น physical แล้วขาดทุนก็จริงแต่เราจะได้ Reverse  กลับมา ส่วนที่เราได้ตั้งสำรองเรื่องค่าสินค้าคงเหลือที่ถูกด้วยค่าจึงมีรายการพิเศษเป็นการกลับรายการทั้งหมด 791 ล้านบาทด้วยกัน

ส่วน EBIDA ในไตรมาสที่ 1 อยู่ที่ 474 ล้านบาท เปรียบเทียบกับ  162 ล้านบาทของไตรมาส 1 ในปีที่แล้ว

ส่วนกำไรสุทธิของบริษัท อยู่ที่ 718 ล้านบาทเมื่อเปรียบเทียบกับ 304 ล้านบาทของไตรมาส 1 ปีที่แล้ว

อัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์ของเราอยู่ที่ 1.00 ขึ้นมาจากไตรมาสที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 0.93 มาอยู่ที่ 1.00 เหตุผลหลักๆก็คือเรามีการซื้อน้ำมันดิบได้อย่างสม่ำเสมอเหมือนปกติมาตั้งแต่กลางปีที่แล้วและปลายไตรมาสเรามีการซื้ออยู่พอสมควรจึงทำให้ตัวหนี้สินสูงขึ้นมาตามลำดับ

ROE อยู่ที่ 7.7% ROA 6.6 เปอร์เซ็นต์
เหตุการณ์ที่สำคัญอีกเรื่องนึงที่จะขอรายงาน คือ เรื่องของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไฟไหม้ที่ถังเก็บน้ำมันดิบของกลุ่มบริษัทของเราเมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว จนถึงตอนนี้เราก็อยู่ระหว่างการซ่อมสร้าง  จริงๆถังที่เสียหายจริงๆแล้วมี 3 ใบแต่หลังจากที่เราไปตรวจดูแล้วพบว่ามีอีกลูกนึงที่ต้องซ่อมด้วย สรุปคือต้องซ่อม 1 ถังและก่อสร้างใหม่ 2 ถัง ถังที่เราต้องซ่อมจะเสร็จประมาณปลายปี 2019 นี้ในเดือนพฤศจิกายนส่วน 2 ถังที่ต้องสร้างใหม่ คาดว่าจะเสร็จประมาณปลายไตรมาสที่ 1 ปีหน้าครับ ส่วนค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ถ้าท่านสังเกตในงบของเราในไตรมาสที่ 1 จะมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับไฟไหม้อยู่ 143 ล้านบาทปีที่แล้วเรา book ไว้ทั้งหมด 358 ล้านบาทปีนี้มีเพิ่มขึ้นมาอีก 143 ล้านบาทส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับเพลิงไหม้เรื่องหลักๆเลยคือ 1 เรามีค่าที่ต้องเสีย ค่าเสียเวลาให้กับเรือที่ขนส่งน้ำมันดิบที่มาส่งที่โรงกลั่นแล้วไม่สามารถส่งได้เนื่องจากคลังเก็บเรามีน้อยจำเป็นต้องจ่ายค่าที่เขาเรียกว่าให้เรือรอ ค่าเสียเวลาของเรือที่มารอ 2 คือหลังจากที่เราประสบเรื่องของเพลิงไหม้ไปแล้วเราจะพิจารณา เช่า ถังเก็บน้ำมันดิบ ซึ่งเป็นเรือสำหรับเก็บน้ำมันดิบขนาด 2 ล้านบาร์เรล ซึ่งทางบริษัทประกันภัยก็เห็นด้วยกับเรา เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในการให้เรือรอ แล้วเราจึงจะทำเรื่องเคลมกับบริษัทประกันภัยในภายหลัง เราเช่าถังเก็บลอยน้ำอยู่ 6 + 6 เดือน อยู่ที่ประเทศมาเลเซีย

ในไตรมาสที่ 1 เรายังรับน้ำมันดิบได้อย่างสม่ำเสมอ แต่มีเรืออยู่ 1 ลำที่ปลายปีที่แล้วดีเลย์มา ตอนปลายปีที่แล้วก็เลยเข้ามาในเดือนกุมภาพันธ์ ไปโดยเฉลี่ยแล้วก็คือเดือนละ 1 ลำเหมือนเดิม ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ

สำหรับยอดขายไตรมาส 1 ยอดขายเราดี  4-5 ปีที่ผ่านมารัฐบาลในยุคนี้ มีนโยบายที่จะให้ ส่วนราชการต่างๆใช้เงินงบประมาณแผ่นดินตั้งแต่วันแรกของปีงบประมาณเลยคือเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมของทุกปีเลยดังนั้นจะสังเกตได้ชัดว่าความต้องการใช้ยางมะตอยหรืองานของผู้รับเหมาที่ต้องไปซ่อมสร้างถนนก็จะเริ่ม เกิดจริงๆในวันที่ 1 ตุลาคมของทุกปีแล้วหลังจากเงินงบประมาณลดน้อยลงไปงานก็จะค่อยๆซาลงไป

ปกติช่วง Peak Season ของตลาดในประเทศก็ยังเหมือนเดิมยังคงเป็นไตรมาสที่ 4 และไตรมาสที่ 1 ของทุกปีถ้านโยบายของรัฐยังเหมือนเดิม ดังนั้นเราเห็นชัดเจนว่าไตรมาสที่ 1 ยังเป็นไปตามที่เรียนไว้คือเป็นช่วงไฮซีซั่นของตลาดภายในประเทศ ที่ส่งผลดีคือการขายในประเทศขายพรีเมี่ยมโปรดักส์ได้ราคาดีอยู่ในไตรมาสที่ 1 พอสมควรจึงส่งผลให้ผลประกอบการ การขายในประเทศดีมากๆในไตรมาสที่ 1 ในส่วนต่างประเทศ  demand จริงๆยังดีมากๆอยู่ในไตรมาสที่ 1 ต่อเนื่องไปไตรมาสที่ 2 และ 3 เลย ไตรมาสที่ 1 ต้องเรียนว่าเราพยายามจะไม่ขายมากเพราะตอนที่เราขายโดยเฉพาะช่วงต้นปีเราจะขาดทุนมากส่งผลให้ขาดทุนพอสมควรแต่อย่างว่าเราขายขาดทุนแต่เราจะได้ gain มาจากตัว Reverse ของมูลค่าสินค้าคงเหลือกลับมา

ราคาเฉลี่ยของตัว Brent ในไตรมาสที่ 4 อยู่ที่ 68 เหรียญแต่ราคาขายยางมะตอยในไตรมาสที่ 4 อยู่ที่ 63.3 เหรียญ จะเริ่มเห็นเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงขึ้นมาเล็กน้อยในไตรมาสที่ 1 ในปีนี้ Brent จะลดลงมาเหลืออยู่ที่เฉลี่ย 63.8 เหรียญต่อบาร์เรลราคาขายยางมะตอยวิ่งสวนทางขึ้นไปอยู่ที่ 65.3 เหรียญต่อบาร์เรล ตอนนี้ไตรมาส 1 ค่อนข้างจะสวนทางกับไตรมาส 4 ปีที่แล้ว  ต้นทุนน้ำมันดิบของผมค่อนข้างจะดี แล้วราคาก็ดีมากเช่นเดียวกัน ต้นทุน ที่เข้ามาตอนปลายปีถูก เพราะน้ำมันดิบเราลงจะเหลือ 52 เหรียญ แต่ราคาขายเริ่มขึ้นมา ทำให้เราเห็นผลแตกต่างระหว่างไตรมาสที่ 4 ปีที่แล้วกับไตรมาสที่ 1 สัดส่วนการขายของยางของกลุ่มของเราในไตรมาสที่ 1  เราขายยางได้ 4 แสนตันเป็นการขายภายในประเทศ 35%  ร้านขายไปยังต่างประเทศ 65 เปอร์เซ็นต์ ในไตรมาส 1 อย่างที่เรียนว่าเราพยายามขายเท่าที่จำเป็น เพราะ ทุกตันที่เราขายไปยังต่างประเทศคือเราขาดทุน จึงพยายามลดหรือจำกัดการขายลง จึงทำให้ เปอร์เซนต์การขายในประเทศเราโตขึ้นเมื่อเทียบกับต่างประเทศ และราคายางมะตอยที่ขายในประเทศไทยจะสูงกว่าต่างประเทศทำให้ดูในแง่มูลค่าก็จะพบว่าสูงขึ้น ประเทศที่เราส่งออก หลักๆเหมือนเดิม 5 ประเทศ คือ จีน เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซียและออสเตรเลีย แต่ประเทศหลักๆที่ขายได้ดีมากในไตรมาส 1 ก็คือ จีน มาเลเซียและออสเตรเลีย

มาดู Outlook ของไตรมาส 2 และไตรมาส 3
น้ำมันดิบเรายังคงที่จะรับได้เป็นปกติเดือนละ 1 ลำเรือไม่มีปัญหา เราเชื่อว่ายอดขายเราจะยังคงดีต่อเนื่อง หลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้โรงกลั่นของเรา ก็สามารถกลั่นได้ปกติไม่มีปัญหา และความน่าเชื่อถือและยังคงเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ตลาดภายในประเทศ ไตรมาสที่ 2 และ 3 จะเป็น Low season  แต่สิ่งที่เห็นอยู่ในปีนี้ ไตรมาสที่ 1  จะ เห็นว่าผู้รับเหมาบางรายไม่สามารถทำงานได้ตามกำหนดเวลาดังนั้นจะมีงาน บางงานที่ผู้รับเหมา ที่จะต้องใช้ยางมะตอย  delay มาในไตรมาสที่ 2 ทำให้ ไตรมาส2 ปีนี้ก็ยังไม่ใช่โลว์ซีซั่นเหมือนปกติ เมษายนมีวันหยุดเยอะก็ยังขายดี พฤษภาคมก็ยังขายดีอยู่ เราเชื่อว่าไตรมาส 3 ก็ยังขายได้มากอยู่ในปีนี้ เหตุผลก็เพราะว่า มีงานก่อสร้างค่อนข้างเยอะใน 3-4 ปีที่ผ่านมา งานก่อสร้างทั้งหลาย จะใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี คืองานมันออกมาตั้งแต่ 2 3 ปีที่แล้ว ทำงานดินก่อนค่อยมาทำงานผิวถนน แล้วตอนนี้ลูกค้าหลายครั้งแล้วก็แจ้งเข้ามาแล้ว ว่าจะต้องเริ่มใช้ ยางมะตอยเพื่อทำผิวถนนในช่วงประมาณไตรมาสที่ 3  ดังนั้นไตรมาสที่ 3 ปีนี้ก็คงจะไม่ใช่ Low season  เหมือนกับปีที่ผ่านมา

ตลาดต่างประเทศ ต้องเรียนตรงๆว่า  demand ยังดีมากๆอยู่ในหลายประเทศ เหตุผลในไตรมาสที่แล้วเราต้องจำกัดการขายเพราะว่าต้นทุนเราแพง เพราะเราขายขาดทุน แต่ตั้งแต่มีนาคมเป็นต้นมาก็เริ่มมีกำไร ตอนนี้เราก็กำลัง ได้รับประโยชน์จากต้นทุนที่ถูก ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เราก็จะเร่งขายไปยังต่างประเทศให้ได้มากที่สุด เพราะตอนนี้เรามีน้ำมันดิบป้อนเข้ามาอย่างสม่ำเสมอและต้นทุนที่ดีดังนั้นจะจะเร่งขายตลาดต่างประเทศและก็ยังดีมากๆยังขายได้ต่อเนื่อง ตอนนี้เราขายยางมะตอยของบริษัทเราล่วงหน้าไปแล้วถึงสิงหาคม ตอนนี้น้ำมันดิบที่เรามีสามารถกลั่นได้จนถึงเดือนสิงหาคม เรารอรับ น้ำมันดิบจาก venezuela อีก 1 ลำเรือ ในสัปดาห์หน้า หากเรา รับน้ำมันดิบแล้วเท่ากับเราสามารถ กลั่นต่อได้อีก 1 เดือน  ก็คือถึงประมาณปลายเดือนกันยายน

ถาม พูดถึงการส่งออกท่านบอกว่า ขายไปถึงสิงหาคม ไม่ทราบว่ามี Blacklog เท่าไหร่

ตอบ ไม่มี backlog ครับ เป็นการที่เรามีสินค้าอยู่เท่าไหร่แล้วเราก็จะขาย inventory ของเรามีอยู่ถึงสิงหาคม

ถาม ลักษณะการสั่งของที่เราสั่งเป็นเดือนต่อเดือนหรือค่ะ
ตอบ คือ เรือที่ออกเดินทางจะใช้เวลาในการเดินทาง 40 วัน มาถึงโรงกลั่นบวกกับสินค้าคงเหลือที่อยู่ในถังเก็บของเราที่โรงกลั้น เราจะมีเพียงพอกันจนถึงสิ้นเดือนกันยายน

ถาม ที่เราไปเช่าที่มาเลย์ ถังเก็บน้ำมันลอยน้ำ ค่าเช่าเราสามารถเคลมคืนได้ใช่ไหมคะ
ตอบ ค่าเช่าสามารถเคลมกับบริษัทประกันภัยได้ การที่เราเช่าก็เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการให้เรือรอ ค่าใช้จ่ายนั้นอย่างไรเราก็ต้องเคลมอยู่แล้ว เพราะเป็นประกันในส่วนของ Business interruption แทนที่เราจะไปเสียเงินให้กับบริษัทเรือให้เรือรอ เราก็ไปเช่า เพื่อที่จะประหยัดเงิน ให้กลับทั้งบริษัทประกันภัยและประหยัดเงินให้กับตัวเราด้วย คิดง่ายๆนะครับเรือที่มาส่งน้ำมันดิบให้เราตอนนี้ค่าเสียเวลาวันละ 1 ล้านบาท ถ้ารออยู่ 30 วันก็ 30 ล้านบาท แทนที่เราจะมาจ่ายค่าเรือรอ เราก็ไปเช่าถังเก็บน้ำมัน ประหยัดกว่าเยอะเลยครับ

เรื่องประกันเราทำเรื่องไปแล้วสำหรับลอตแรก และทางบริษัทประกันก็ได้ตอบรับมาแล้ว ว่าจะรับผิดชอบ การเกิดเพลิงไหม้ที่ถังเก็บน้ำมันดิบของเรา แล้วก็มีประกันคุ้มครองตามราคาที่เสียหายเขาจะชดเชยให้กับเรา ทีนี้ขึ้นอยู่กับการต่อรอง ค่าใช้จ่ายค่าความเสียหายสามารถจะเรียกคืนได้เท่าไหร่ มี 2 ส่วน คือความเสียหายที่เกิดจาก ทรัพย์สินของเราที่โรงกลั่น ความเสียหายที่เกิดจาก Business interruption อยู่ระหว่างการต่อรอง เราคาดว่าจะได้รับเงินประกันก้อนแรก ในไตรมาสที่ 2 นี้ ตอนนี้เราเชื่อว่า สิ้นเดือนพฤษภาคมนี้ เขาน่าจะจ่ายให้เราได้ เราเชื่อว่าอะไรที่เป็นค่าใช้จ่ายที่เห็นชัดเจน เช่น สินค้าที่อยู่ที่โรงกลั่น ที่ถูกไฟไหม้ไป เคลมได้ 100% อยู่แล้วครับ ไม่มีอะไรที่จะมาต่อรองได้

เป้าในการขาย ปีนี้  ของเราคืออยู่ที่ 1.9 ล้านตัน ผมค่อนข้างมั่นใจว่าจะทำได้ตามเป้า เพราะน้ำมันดิบ เข้ามาได้ตามปกติ อย่างสม่ำเสมอ

มีกฎระเบียบเรื่องของ imo จะออกมาปีหน้า ว่าเรือขมส่งที่เดินในน่านน้ำสากลต้องใช้น้ำมันซึ่งมีสารกำมะถันต่ำลง ดังนั้นหลายโรงกลั่นจึงตัดสินใจที่จะอัพเกรดโรงกลั่นเพื่อผลิตน้ำมันเตาที่มีสารกำมะถันต่ำ และน้ำมันตัวนี้จะมีต้นทุนที่สูงขึ้น เนื่องจากโรงกลั่นลงทุนใหม่หลายหมื่นล้าน

เรือ 1 ลำบรรทุกได้ประมาณ 9 แสนบาร์เรล น้ำมันดิบในถังโรงกลั่นที่เกิดเพลิงไหม้ เป็นช่วงที่ Shut Down  ซ่อมบำรุง ช่างเชื่อม ความร้อนไปเจอกับไอน้ำมันทำให้เกิดประกายไฟ น้ำมันในถัง มีอยู่ประมาณ แสนกว่า barrel เท่านั้นเอง

เรามีถังเก็บน้อย การที่เราไปเท่าเช่าถังเก็บเพิ่ม 2 ถัง ก็จะไม่มีปัญหาเรื่องการรับน้ำมันดิบ ตอนที่เราเช่า น้ำมันดิบตอนต้นปีอยู่ที่ 50 กว่าเหรียญ เราซื้อเข้ามาโดยตลอดสม่ำเสมอตอนนี้น้ำมันดิบอยู่ที่ 70 กว่าเหรียญ ตอนนี้มูลค่าสินค้าคงเหลือ สูงขึ้นเยอะ แต่ในระบบบัญชี มูลค่าสินค้าคงเหลือที่สูงกว่า ห้ามลงบัญชี แต่ถ้ามูลค่าสินค้าคงเหลือต่ำกว่า ต้องบันทึกบัญชีเป็น loss ดังนั้นทุกตันที่เราขายออกไปจะได้กลับคืนมา อาจจะเข้าใจยากนิดนึงเพราะเป็นเรื่องของระบบทางบัญชี

ผมค่อนข้างมั่นใจว่าปีนี้เขาจะทำยอดขายได้ถึง 1.9 ล้านตันตามเป้าหมาย เพราะยอดขายเราไปถึงเดือนสิงหาคมแล้ว โดยเฉพาะต่างประเทศ ปีนี้ต่างกับปีที่แล้วเพราะปีที่แล้วไม่มีน้ำมันดิบ แต่ปีนี้เรามีน้ำมันดิบสม่ำเสมอแล้ว เป้าหมายของเราเป็นเป้าหมายปกติ เพียงแต่ปีที่แล้วทำได้ต่ำเป้า เพราะเราไม่มีน้ำมันดิบเพียงพอ

คำอธิบายเรื่องที่ Reverse inventory 790 ล้าน เพราะว่าเราได้ค่าสินค้าคงเหลือไปแล้ว แล้วสินค้าคงเหลือณ ตอนปลายงวดนั้นถูกขายหมดแล้ว ก็ถูก Reverse กลับมา

ค่าใช้จ่าย 143 ล้าน ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมขึ้นมาจากเหตุเกิดไฟไหม้ ค่าเช่าถังน้ำมัน ลอยน้ำ ค่าใช้จ่ายในการให้เรือรอ (ช่วงแรกก่อนเช่าถัง) แต่ค่าใช้จ่ายเหล่านี้เราจะเคลมกับบ.ประกัน

ในไตรมาสที่ 2  ผมมีความมั่นใจว่า ยอดขายจะสูงขึ้น สูงกว่าไตรมาสที่ 1  ผมคงเรียนได้เท่านี้

ปกติเราจะมีทำ Hedging  อยู่ตัวนึงที่ effective  มากๆ คือ ทันทีที่เราซื้อน้ำมันดิบ ที่ราคาเท่าไหร่ก็แล้วแต่ 30% ประมาณนี้เราผลิตออกมาเป็นน้ำมันจะทำทันทีคือขายล่วงหน้าทันทีถ้าเราขายล่วงหน้าที่ราคาสูงใน paper และถ้าเราไปขายจริงแล้วเราขาดทุน สิ่งที่เราจะทำก็คือเราขาดทุนจากการขายจริง แต่เราจะได้คืนมาจากการที่เราไปทำ hedging คือขายล่วงหน้าไว้แล้ว
ยกตัวอย่างง่ายๆตอนปลายไตรมาสที่ 4  รับซื้อน้ำมันดิบมา 86 เหรียญ  30% ที่เป็นน้ำมันรถไฟล่วงหน้าไปแล้ว ก็หมายความว่าเราขายให้ไปในสัญญาได้ราคาที่สูงมาก แต่พอขายจริงราคามันหลุดมันอยู่ที่ 52 เหรียญ ขายจริงเราจะขาดทุนเยอะ ดังนั้นในส่วนที่ hedging จะได้คืนมา ทำให้มันสมดุลกัน ( ในการทำ hedging มีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น )

ขอให้อธิบายเพิ่มเติม 26 ล้านบาร์เรล ที่อยู่ใน Footnote คืออะไร

26 ล้านบาร์เรลคือตัวเลข ที่เราต้องรับน้ำมันดิบจากเวเนซุเอลา ตามสัญญาระยะยาว ที่เรามีกับเวนเน ตั้งแต่ 1 มกราคม 2014 จนถึงปลายปี  2020 แต่ถ้าเรียนตรงๆเราคงรับไม่ถึงหรอก เพราะว่า ปี 2017 กลางปีถึงกลางปี 2018  เขาไม่สามารถส่งน้ำมันดิบให้เราได้ เรากำลังพยายามขอให้เขาชดเชย ต้องเรียนตรงๆว่ายังไม่ได้

ค่าใช้จ่ายในการประกันภัยจะขึ้นสูงอีกเท่าไหร่
ตอนนี้ยังไม่ทราบ รับทราบแล้วจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

ไตรมาส 2 ยอดขายจะดีมากๆโดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศ ส่วนตลาดในประเทศก็จะไม่ Low เหมือนกับปีที่ผ่านๆมา

ปกติธุรกิจของเรามีธุรกิจภายในประเทศ ธุรกิจในประเทศเราซื้อยางมะตอยในมาขายในประเทศ เป็น Trading ทั่วไป ได้กำไรอยู่แล้ว มากหรือน้อยเท่านั้นเอง ยกเว้น ถ้าไปเก็งกำไรเก็บสินค้าไว้เยอะๆแล้วราคาลดลงไปถึงจะขาดทุนแต่เราไม่ทำอยู่แล้ว

ส่วนตลาดต่างประเทศเราจะใช้ยางมะตอยจากโรงกลั่นของเราไปขายที่ต่างประเทศ ประมาณ 60% (ของยอดขาย) อีก 40 เปอร์เซ็นต์เราไปซื้อยางมะตอยจากโรงกลั่นทั่วไปมาขาย ง่ายๆคือ 40% เป็น Trading ซื้อมาขายไปทั่วไป ไม่ขาดทุนแต่อาจจะกำไรน้อย ส่วน 60 % ตรงนี้คือตัวแปร และส่งผลกระทบให้กับผลประกอบการของเรา เช่น อย่างที่เราเรียนไตรมาสที่ 4 ซื้อน้ำมันดิบในราคาสูงมากต้นทุนในการผลิตขึ้นสูง ในเวลาเดียวกันราคาตลาดลดต่ำลงไปมากทำให้เกิดการขาดทุนเกิดขึ้น
ในทางกลับกัน ปลายไตรมาสที่ 4 น้ำมันดิบลงไปอยู่ที่ 50 กว่าเหรียญต่อบาร์เรลในไตรมาสที่ 1  ปัจจุบันอยู่ที่ 70 กว่าเหรียญ ราคาซื้อขายยางมะตอยกระโดดขึ้นสูงมากต้นทุนถูกยังสูงอยู่ ดังนั้นเราจะเห็น Reversal  ทันทีว่า ยอดขายตปท ในปลายไตรมาสที่ 1 เข้าไตรมาสสองจะมีกำไรพอสมควรกลับเข้ามา ดังนั้นจะมีทั้งขาดทุนและกำไรครับ ถามว่าผู้ประกอบการอย่างเรา อยากจะเห็นอะไรครับที่จริงเราก็อยากเห็นราคาน้ำมันดิบที่มันสม่ำเสมอจะได้ไม่ต้องมาชี้แจงอย่างนี้ตลอด

ถาม สงสัยว่า Marker ราคาน้ำมันของเราคือBrent แต่ในขณะที่ Brent เป็น Light crude ในขณะที่น้ำมันที่เราใช้เรา prefer ที่จะเป็น Heavy ทำไมเราถึงไม่ mark เป็นดูไบ

เป็นคำถามที่ดีมาก ที่ฉีดน้ำมันที่เราซื้อเป็นน้ำมันดิบที่หนักมากๆเลย เวลาซื้อขายกันต้องไปมาร์คกับน้ำมันที่มีสภาพคล่อง จริงๆ ก็ไป mark กับดูไบ ที่จริงแล้ว mark กับดูไบแต่บังเอิญความสัมพันธ์ระหว่างดูไบกับ brent ใกล้ชิดกันและเป็นตัวที่เราหา code ได้ง่ายกว่าส่วนตัวของเราเลยไปมองที่ brent เพราะเราทำ hedging ผ่าน brent สรุปก็คือซื้อขายซื้อน้ำมันดิบเป็นชนิดหนักก็จริงแต่ราคาที่ซื้อขายกัน base on น้ำมันดิบชนิดเบา

น้ำดิบที่เราซื้อเมื่อตอนเข้าโรงกลั่นแล้ว ถ้ามีตัวยางมะตอยประมาณ 60-74%  แล้วแต่ชนิดของน้ำมัน ที่เหลือเป็นน้ำมัน  gas oil หรือ ดีเซลออย ซึ่งมีสารกำมะถันสูง Field Oil น้ำมันเตาที่มีสารกำมะถันสูง หรือตัวนาฟต้าเอง ที่มีสารกำมะถันสูง เพราะตัวน้ำมันดิบที่เราซื้อน้ำมันดิบที่มีสารกำมะถันสูง ไม่สามารถซื้อขายได้ในตลาด ส่วนใหญ่คนที่จะมาซื้อจากเราไป จะซื้อไปเบรนด์แล้วไปขายในตลาดทั่วไป โดยเฉพาะตลาดสิงคโปร์จะเป็นตลาดที่ใหญ่พอสมควร

Hedgeing gain ไม่สามารถ book เข้ามาในบัญชีได้ (หาก physical จริงยังไม่ได้ขายออกไป - ความเห็นส่วนตัว Joe789)

ราคายางมะต่อยมีปัจจัยหลัก 2 ปัจจัยที่ส่งผลกระทบ  1  ขึ้นอยู่กับ demand และ Supply ของยางมะตอยเอง ซึ่งเป็นปัจจัยหลัก ปัจจัยรองลงมาคือราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก
By Joe789

วันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

OPPDAY TK 1Q62 21/5/2019

OPPDAY TK 1Q62 21/5/2019
tk ล่าสุด ไตรมาส1 สินเชื่อเช่าซื้อรวมของเราอยู่ที่ 9 พันล้าน เป็นรถจักรยานยนต์ในประเทศไทย 7,523 ล้าน แล้วก็เป็นบริษัทลูก ที่อยู่ในต่างประเทศคือชื่อโชสะแดงไฟแนนซ์ อยู่ที่กัมพูชาอยู่ที่ 851 ล้าน แล้วก็เป็นสบายดีที่อยู่ที่ลาวอีก 221 ล้าน เป็นครั้งแรกเป็นไตรมาสแรกที่สินเชื่อลูกหนี้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในต่างประเทศทะลุพันล้านไปแล้ว น่าจะอยู่ที่ 1,070 ล้าน ซึ่งภายในปีนี้เรามีเป้าที่เราได้ให้ไปแล้วตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ว่าในต่างประเทศที่เราน่าจะโตมา 100%  ไตรมาสแรกเราก็โตขึ้นมาได้พอสมควร ส่วนบริษัทอีกบริษัทนึง มิงกะลาบา ฐิติกรไมโครไฟแนนซ์ เราได้ทำการขอใบอนุญาตจากทางการพม่ามาพักใหญ่แล้ว ก็ข่าวดีนะครับเราได้รับอนุมัติให้เปิดไมโครไฟแนนซ์ในพม่าแล้ว อนุมัติทั้งหมด 3 สาขานะครับที่ bago นะครับบาโค นี่ออกจากย่างกุ้งไปประมาณ 160 กิโลเมตร ถ้าเป็นคนไทยก็จะรู้จักในนามของชื่อหงสา ซึ่งอันนี้ก็เป็นนิมิตหมายที่ดีเพราะว่าเราก็อยากจะเปิดที่พม่ามาพักใหญ่แล้ว ส่วนบริษัทอื่นๆ เช่น ชยยะภาค เราให้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์  อยู่ที่ 405 ล้านนะนี่ก็ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่นะครับเพราะว่าก็ถ้าท่านนักลงทุนหรือท่านผู้ถือหุ้นก็จะเห็นว่าการแข่งขันรถยนต์เนี่ยหลังๆก็จะค่อนข้างรุนแรงขึ้นนะครับโดยเฉพาะ ตอนนี้เนี่ย  รถยนต์มันจะมีพวกดาวน์ 0% เป็นผ่อนยาวๆ 72 เดือน 80 เดือน ทางธนาคารแห่งประเทศไทยแล้วก็กระทรวงการคลังก็มีเริ่มมีความเป็นห่วง อย่างปีที่แล้วเนี่ยสินเชื่อเช่าซื้อสินเชื่อผ่อนบ้านด้วยก็มีอัตราโตค่อนข้างสูงนะครับตอนนี้เนี่ย น่าจะอยู่ระหว่างตัวเลขผมจำไม่ผิดนะครับแล้วก็อยู่ประมาณ 2 ล้านล้าน ค่อนข้างเยอะพอสมควรรถยนต์อยู่ประมาณ 1ล้านล้านบาท ก็ถือว่าสูงมาก ทางธนาคารประเทศไทยก็ได้มีกฎออกมาเพื่อคนจะซื้อบ้านหลังแรกหลังที่ 2 ราคาเกินเท่าไหร่จะต้องมีเพิ่มเงินดาวน์แล้วก็จะเห็นได้ว่าไตรมาสที่ 4 น่าจะเริ่มคนก็รีบโอน ไตรมาส 1 คนก็เร่งโอนต่อ เพราะว่าเงินดาวน์เพิ่มขึ้น  ให้เพิ่มขึ้นเดือนเมษายน  ซึ่งเงินดาวน์เนี่ยตอนนี้ทางธนาคารแห่งประเทศไทยหรือทางภาครัฐก็กำลังจะมาดูรถยนต์เหมือนกันเพราะรถยนต์เนี่ยก็  มียอดเช่าซื้อเพิ่มขึ้นค่อนข้างสูงนะครับแล้วก็ก็ทางการ เป็นห่วงว่าหนี้ครัวเรือนเนี่ยที่มันเคยสูงสุดอยู่ที่ราวๆ 80 เปอร์เซ็นต์ของ GDP มันลดค่อยๆเพราะมันสูงสุดขึ้นไปเนี่ยลดลงมาได้ทีละนิดทีละนิดทีละนิด ไตรมาส 3 ปีที่แล้วเนี่ยอยู่ที่ 77.5 เปอร์เซ็นต์นะครับแล้วก็ไกลมากสุดท้ายปีที่แล้วมันขึ้นไปประมาณ 78 เปอร์เซ็นต์นะครับผมก็ มั่นใจว่าไตรมาส 1 ปีนี้น่าจะเพิ่มขึ้นจาก 78% ขึ้นไปอีกเพราะว่าคนเร่งที่จะรีบโอนบ้าน เพราะฉะนั้นหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ก็จะขยับสูงขึ้นเพียงแต่ว่าคาดว่าก็คงจะค่อยๆชะลอตัวลงเพราะหลังจากที่คนรีบโอนบ้านไป ซึ่งมันเป็นสินค้าที่มีราคาสูง น่าจะทยอยลดลงมา

ถ้าเกิดมาดูประวัติของเรา เราก็เปิดมาปีนี้เป็นปีที่ 40 ใกล้จะ 50 เข้าไปทุกทีแล้ว ก็ถือว่าเป็นคนก็กำลังหนุ่มใหญ่นะครับตอนนี้เราก็ขยายไปต่างประเทศหลายๆประเทศที่ที่เมื่อกี้เรียนไปแล้วตอนนี้มีอยู่เมืองไทยมา 46 - 47 ปีนะครับ  ก็ไปอยู่ต่างประเทศมาไม่กี่ปีที่ผ่านมาแต่ตอนนี้ก็ปักธงได้เป็นประเทศที่สามคือ เมียนมาร์แล้วนะครับ ก็เราไม่มีปัญหาเรื่องเราไม่เคยเป็นเป็นลูกหนี้ที่มีปัญหากับสถาบันการเงินนะครับตอนนี้เรามีทั้งหมด 93 สาขา 57 จังหวัดในประเทศไทย ณ ไตรมาสนี้ ตปท เรามี 9 สาขา ก็มี 6 สาขาในกัมพูชา แล้วก็มี 3 สาขาในลาวซึ่งเมื่อกี้ผมเรียนไปแล้วว่ากัมพูชาปีนี้จะเปิดเพิ่มขึ้นอีก 6 นะครับ ลาวเปิดขึ้นอีก 3 ดังนั้นสองประเทศนี้เราจะเพิ่มสัดส่วนได้ค่อนข้างดีนะครับ ส่วนทุนเราอยู่ที่ประมาณ 5,050 ล้าน D/E ก็อยู่แค่ 1.1 เท่านั้นเองแล้วเราก็ได้ เรตติ้ง a ลบมาหลายปีแล้ว

มาดูยอดขายรถจักรยานยนต์ในประเทศไทยนะครับถ้าดูในกราฟนี้จะเห็นว่าสัดส่วนยอดขายรถจักรยานยนต์ที่อยู่ในประเทศไทยใน 75% ในมาจากในเขตต่างจังหวัด แล้วก็ 25% อยู่ในเขตกรุงเทพฯซึ่งสัดส่วนนี้ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากมาตลอด ถ้าดูตัวเลขรวม 2016 กับ 2017 เนี่ยก็จะเห็นว่าตัวเลขได้เพิ่มขึ้นประมาณปีละ 4% นะครับ  ปีที่แล้วเนี่ยไปต่อไม่ไหว เพราะเนื่องจากครึ่งปีแรกไปได้ค่อนข้างดีแต่ครึ่งปีหลัง เริ่มมีการชะลอตัวนะครับเป็นเพราะว่าหนึ่ง ก็มีเรื่องแล้งเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย สอง ก็คือเรื่องของราคาน้ำมันซึ่งมีราคาปรับตัวลดลงนะครับทำให้สินค้าเกษตรมีราคาลดลงทำให้การบริโภคภายในประเทศก็ชะลอตัวลงไป

ปีที่แล้วตลาดรถ จักรยานยนต์โดยรวมอยู่ที่ 1,788,000 กว่าคัน ลดลงประมาณ 1.2 เปอร์เซ็นต์นะครับปีนี้ผู้ผลิตรายใหญ่ก็คาดว่าน่าจะลดลงอีกประมาณ 3-4 เปอร์เซ็นต์ครับอยู่ที่ประมาณล้าน 1,720,000 นะครับไตรมาสแรกอยู่ที่ 462,205 คันเทียบกับไตรมาสปีที่แล้วในช่วงเดียวกันนะครับลดลงประมาณ 0.6 เปอร์เซ็นต์แต่ 4 เดือนอยู่ที่ 582,000 กว่าคัน ลดลง ลงประมาณ 0.7 เปอร์เซ็นต์แล้วก็จะเห็นได้ว่าเดือนเมษายน การลดลงมันก็เพิ่มขึ้นบ้างนะครับว่าเมษายนนี้เป็นวันหยุดขึ้นตั้งเยอะนะครับก็เป็นเรื่องปกติที่จะยอดขายก็จะไม่สูงมากนักนะครับ แต่แนวโน้มแน่นอนครับปีนี้ตลาดรถจักรยานยนต์คงชะลอตัวลงไปบ้าง เพราะหลายปีก่อนจะมีปัญหาเรื่องภัยแล้งที่หนักที่สุดในรอบ 50 ปี  ปีนี้เนี่ยถ้าดูตามหน้าหนังสือพิมพ์จะเห็นว่าเขื่อนหรือว่าอ่างเก็บน้ำแม่มีจำนวนน้ำที่น้อยมาก ซึ่งเขาบอกว่าอาจจะแล้งเป็นรอบหนักที่สุดในรอบ 30 ปี เพราะฉะนั้น ตรงนี้ก็จะกดดันภาคเกษตรเพราะว่าถ้าไม่มีน้ำก็คงจะเพาะปลูกไม่ได้  เพาะปลูกไม่ได้เนี่ยจะหนักกว่านะครับน้ำท่วมอีกด้วยซ้ำเพราะว่าจะไม่มีสินค้าออกมาขาย

ยอดขายรายเดือนของตลาดรถจักรยานยนต์ในประเทศ เดือนเมษายนน่าจะเป็นเดือนที่มียอดขายค่อนข้างน้อยครับ มันก็จะลงมามากกว่าปกติ อาจจะดูไม่ค่อยตามที่สมัยก่อนเป็น คือปกติเนี่ยไตรมาส 1 น่าจะขายดีเพราะว่าหลังจากที่มีโบนัส  แต่ 3-4 ปีที่ผ่านมามันไม่ค่อยดีนัก แล้วก็ไตรมาส 2 นี้ก็จะหดตัวลงมาบ้างเพราะว่าจะมีวันหยุดเยอะ แล้วก็ เดือนเมษายนมีวันหยุดเยอะ เดือนพฤษภาคมเป็นเดือนเปิดเทอม แล้วพอเข้าไตรมาส 3 นี้เป็นหน้าฝนเป็นหน้าเพาะปลูกคนก็จะชะลอการซื้อไปบ้าง แล้วก็ไตรมาส 4 แล้วจะเก็บเกี่ยวได้คนก็จะเริ่มกลับมาซื้อ เพราะฉะนั้น 4 กับ 1 ปกติจะเป็นไตรมาสที่สูงแต่ว่าถ้าดูแล้วก็จะไม่ค่อยเห็นเช่นนั้นเท่าไหร่ ที่ผ่านมามันก็มีภาวะซึ่งผิดปกติค่อนข้างเยอะ ยอดขายรถจักรยานยนต์ในเขตกรุงเทพฯ ก็จะเห็นได้ว่าปีที่แล้วก็ลดลงเหมือนกัน ก็ตามการตลาดรวม แต่ปีนี้เนี่ยถ้าดูไตรมาส 1 กรุงเทพฯมียอดขายอยู่ 120,000 ล้านกว่าบาท เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วได้เพิ่มขึ้นประมาณ 1.9% เพราะฉะนั้น ในกรุงเทพฯเนี่ยมันจะไม่ค่อยมีภาวะเรื่องแล้งอะไรเข้ามาเกี่ยวข้อง คนจะมีเงินเดือนประจำหรือว่าทำอาชีพที่มีเงินมีเงินเดือนมีรายได้ค่อนข้างแน่นอนไม่ได้เกี่ยวกับฟ้าฝนเท่าไหร่ และมาดู 4 เดือนนะครับอยู่ที่ 152,000 ลบ ก็เพิ่ม ขึ้นจากปีที่แล้วในช่วงเดียวกันประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์ แน่นอนคู่แข่งรายใหญ่หรือคนที่ให้บริการเช่าซื้อ เวลาเริ่มต้นก็จะเริ่มที่กรุงเทพฯเพราะเป็นตลาดที่ใหญ่ เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็จะไม่ค่อยกระทบมาก เวลาตกก็จะตกช้ากว่าเวลาฟื้นก็จะฟื้นเร็วกว่าโดยปกติ

รถที่ขายอยู่ในประเทศไทย ก็จะเห็นมีเมื่อก่อนก็จะมีอยู่ไม่กี่ประเภท เดี๋ยวนี้จะเห็นรถรุ่นหลากหลายเพิ่มขึ้น  ยี่ห้อหลากหลายเพิ่มขึ้นซึ่งเมื่อก่อนมีแต่รถที่มาจากประเทศญี่ปุ่นเป็นหลัก ตอนนี้ก็มีรถจากยุโรป ออกมาขายมากขึ้นแล้วก็รุ่นก็จะมีให้เลือกมากมายมากขึ้น  ก็จะเห็นว่ามีโรงงานหลักๆก็จะมีโรงงานที่มาที่ประกอบเข้ามาที่ในประเทศไทยก็อย่างเช่น Triumph ก็มาแล้ว Ducati ก็มาเห็นเห็นว่า Harley Davidson ก็จะมานะครับประเทศไทย เพราะฉะนั้นเราก็เป็นศูนย์กลางของการประกอบทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ เพราะ เรามี part supplier ให้เลือกหลากหลายแล้วก็ประเทศเราก็สามารถส่งไปขายได้ในอาเซียนนะครับหมายถึงใน AEC  ภาษีก็ได้รับยกเว้นด้วยคนก็ใช้เป็นฐานการผลิต โดยเฉพาะรุ่นที่มีราคาแพงขึ้นมาหน่อย อย่างญี่ปุ่นก็ย้ายฐานการผลิตรถที่มี CC สูงๆมาในประเทศไทยมากขึ้นเรื่อยๆ สมัยก่อนก็จะผลิตไม่เกิน 150 cc หลังๆน่าจะมี CC ใหญ่ๆเพิ่มขึ้น ก็เป็นผลดีกับผู้บริโภคในประเทศ

ตรงนี้เนี่ยมันก็ไม่เชิงรถสปอร์ตมันก็ไม่ใช่บิ๊กไบค์ทีเดียวเพราะว่าถ้าบิ๊กไบค์ในส่วนใหญ่มันก็ต้อง 500 ซีซีขึ้นไปแต่ส่วนใหญ่รถที่ขายดีจะเป็นพวกรถที่มีราคาเกิน 50,000 บาทขึ้นไปนะครับ ส่วนใหญ่ก็จะประมาณไม่เกินแสนนึง รถที่เกินแสนนึงขึ้นไปเนี่ยยอดขายตรงนั้นเป็นจำนวนไม่มาก ก็จะเห็นว่ายังไม่ดัง ที่มาผลิตในเมืองไทยรุ่นแปลกๆเยอะขึ้นเนี่ยก็จะมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น คนก็อยากจะลองรถใหม่ๆพวกนี้นะครับแล้วก็จะสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดก็ยังเป็นรถครอบครัวอยู่ ซึ่ง คนใช้เขาเรียกว่ารถผู้หญิง สมัยก่อนเขาจะมีตะกร้าอยู่ข้างหน้าแล้วเลี้ยวไปจ่ายตลาดนะครับซื้อง่ายขายคล่องประหยัดน้ำมัน สำหรับรถสกูตเตอร์ก็จะได้รับความนิยมขี่สะดวกสบายไม่ต้องเปลี่ยนเกียร์

ดู 2 เดือนที่ผ่านมาของปีนี้ก็จะเห็นว่าสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นพอสมควรคือรถ Family คือขึ้นมาถึง 53% ถามว่าตอนนี้มีนัยยะยังไงคือว่าเวลาเศรษฐกิจไม่ค่อยดีนักในคนก็จะซื้อของที่มีราคาลดลงน ก็จะเห็นว่าพวกรถสกู๊ตเตอร์เนี่ยก็จะกระทบทั้งที่เมื่อก่อนเคยขึ้นไปถึง 50 กว่าเปอร์เซ็นต์แล้วมันก็ลดลงมาอยู่มาตั้ง 30 กว่าเปอร์เซ็นต์ 36-37 เปอร์เซ็นต์

รถที่มีราคาแพงขึ้นมาหน่อยที่นี่เมื่อก่อนเคยขึ้นไปสูงสุดในหน้านี้ที่อยู่ 49% ตอนนี้ล่าสุดก็อยู่ราวสัก 10% ก็คือคน Trade down หรือซื้อของที่มีราคาถูกลงเพราะว่าเน้นความคุ้มค่ามากกว่านะ 

ก็อย่างที่ผมเรียนไปว่าพอมีเรื่องแล้ง แล้วก็  ก็คือมีเรื่องราคาน้ำมันซึ่งลดลงไปทำให้สินค้าเกษตรและก็ราคาก็จะลดลงไปด้วย อีกประเด็นหนึ่งก็คือเรื่องเรื่องการส่งออก เพราะว่าไทยเราก็เน้นเรื่องเราก็พึ่งพาการส่งออกประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ของ GDP  ปีที่แล้วในช่วงครึ่งปีแรกส่งออกไปได้ค่อนข้างดี ครึ่งปีหลังเริ่มชะลอตัวโดยเฉพาะมีเรื่องสงครามการค้าระหว่างจีนกับอเมริกา ช่วงแรกๆเนี่ยพวกคนบอกไม่เห็นมีอะไรเลยเพราะว่ายอดส่งออกเราไปจีนนี้ดีมากเลย ใช่ เพราะว่าตอนนั้นจีนก็ต้องผลิตของเพื่อส่งขายอเมริกาพอส่งขายอเมริกาตอนช่วงก่อนที่จะคริสต์มาสซึ่งเป็นช่วงที่เขาช้อปปิ้งเยอะที่สุด หลังจากที่ส่งมอบไปเสร็จปุ๊บตอนนั้นตั้งแต่เดือนถ้าจำไม่ผิดตุลาคมเป็นต้นมาเนี่ยยอดส่งออกเราไปจีนก็ตกมาเรื่อยๆตกมาตลอดถึงวันนี้  ล่าสุดนี้ก็จะเห็นถ้าดูตามหน้าหนังสือพิมพ์ก็บอกว่าแบล็คลิส Huawei ได้ไม่กี่วันตอนนี้ก็มาบอกว่าไม่เอาแล้วหุ้นตกเยอะ ประธานาธิบดีจีนก็ไปไปดูโรงงานที่ผลิตพวก rare earth ที่เอาไว้ทำพวกสินค้าไฮเทคทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่หรือและอยู่ในพวกโทรศัพท์ที่จีนเขาส่งออกเป็นเยอะเป็นอันดับต้นๆของโลกก็บอกว่าอย่างนี้ อาจจะไม่ส่งออกไปไปอเมริกาและทั่วโลกด้วย ถ้าบีบบังคับเขาเยอะๆพร้อมก็ออกมาบอกว่าเอางี้เดี๋ยวขอดีเลย์แบล็คลิส Huawei ไปก่อน 90 วันนะครับซึ่งอันนี้ก็จะทำให้เห็นว่ามันมีความเปราะบางในในในการค้าขายระดับโลกเยอะนะครับเพราะว่าเราก็ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ยังไงแน่
เนื่องจากอเมริกาเป็นประเทศผู้ซื้อที่ใหญ่ที่สุดในโลกนะครับจีนก็เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ในโลกเหมือนกัน 2 มหาอำนาจนี้เขาทะเลาะกันเราก็ต้องมีปัญหาแน่นอนนะครับ

เราก็ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ตื่นมาทรัมป์จะพูดอะไรบ้าง หลายๆคนก็ยังบอกเลยว่านักวิเคราะห์หลายคนก็บอกว่า ดีไม่ดีทรัมป์ก็ยังไม่รู้เลยว่าทรัมป์จะพูดอะไรด้วย ก็กลับไปกลับมาซึ่งอันนี้มันก็เป็นประเด็นซึ่งทำให้มีปัญหากับเศรษฐกิจเหมือนกัน เพราะว่าคาดเดาได้ค่อนข้างยาก มาดูตลาดรถยนต์ในบ้านเรา หลังจากที่เรามีรถคันแรกปี 2012 นะครับ ปีนั้นก็ขึ้นไปสูงสุดที่ 1,400,000 คันปี 2013 ก็ลดลงหลังจากที่เราส่งมอบไปครึ่งปีแรก หลังจากนั้นก็ตกมาตลอดเลย มาฟื้นจริงๆก็ปี 2017  2018 เนี่ยขึ้นไปถึง 1,040,000 หลายๆคนก็บอกว่าตลาดฟื้นแล้วเพราะว่าคนที่ผ่อนปี 2012 นะครับมาครบ 2017 คนที่ผ่อน 2013 ครบ 2018 เพราะฉะนั้นมีตลาดฟื้นแล้วแน่นอน มาตั้งเยอะตั้ง 1.04 ล้านกว่าคัน แต่ก็ถ้าถามผมส่วนตัวผมคิดว่าตลาดยังไม่ฟื้นดีมากขนาดนั้น เป็นเพราะว่าอะไรเพราะว่าถ้าตลาดฟื้นดีจริงๆเงินดาวน์คงจะไม่ลดลงมาเป็นดาวน์น้อยผ่อนนานๆ

สมัยก่อนถ้าทุกท่านจำได้เคยซื้อรถสมัยก่อนก็ผ่อนกัน 48 งวดก็คือ 4 ปีแล้วก็ก็เพิ่มมาเรื่อยๆเพิ่มมาเรื่อยๆจนตอนนี้บางรุ่นเนี่ยที่ขายยากๆอาจจะเพิ่มมีผ่อน 84 งวด บางทีก็ไม่มีเงินดาวน์ ไม่มีคนค้ำมาเลย เนี้ยมันก็ยาวๆมันก็ผิดปกติวิสัย ตลาดรวมมันดีแต่ว่าโดยรวมก็ยังมีการแข่งขันเพื่ออยากจะได้ลูกค้าก็ยังสูงอยู่  ซึ่งอันนี้ก็อาจจะเป็นการแข่งขันซึ่งมากกว่าผิดมากกว่าปกติ ที่เรียนไปแล้วทำให้ทางการก็เริ่มเป็นห่วงว่า สินเชื่อบ้านเนี่ยมันก็เริ่มโตเยอะชักจะเริ่มมีคนมีหนี้เสียบ้างเยอะพอสมควร รถยนต์ก็โต  แล้วก็เลยตอนนี้ก็มาเฝ้าระวังว่ารถยนต์จะเป็นยังไง ก็อาจจะออกมาคล้ายๆกับบ้านสินเชื่อบ้านเหมือนกันว่าจะเพิ่มเงินดาวน์หรือเปล่า นี้ก็ตอบไม่ได้ ก็คงดูอยู่แต่แน่นอนครับปีนี้ปกติสินค้ารถยนต์เป็นคนที่มีหลักมีรายได้สูงกว่าเวลาเศรษฐกิจไม่ดีน่าจะตกช้ากว่ารถจักรยานยนต์ 

แต่ปีนี้ดูสิครับว่าผู้ผลิตรายใหญ่ก็บอกว่าปีนี้ตลาดรถยนต์ก็จะตกประมาณ 4 เปอร์เซ็นต์มาอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านซึ่งเมื่อเทียบ   รถจักรยานยนต์คือปีนี้ก็จะตกทั้งคู่และล่าสุดวันนี้ทางการก็เพิ่งประกาศออกมาว่าดาวน์ไซส์ GDP ตอนนี้กำลังปรับเป้าจีดีพีลดลงมาแล้วก็ปรับเป้าส่งออกลดลงมาซึ่งมันก็น่าจะต้องกระทบจากการใช้จ่ายในประเทศเหมือนกัน

ซึ่งตอนนี้ผมว่าก็ต้องอยู่ในภาวะที่ต้องระมัดระวังด้วยนะครับถ้ามาดูไตรมาสแรกนะครับของรถยนต์เนี่ยอยู่ที่ 263,000 คัน เทียบกับปีที่แล้วในช่วงเดียวกันในปี 11% ถามว่าทำไมถึงโตมากนัก ก็จะเห็นว่าทุกคนก็เร่งขายเพราะว่ามาเก็ตแชร์นะครับทุกคนก็อยากได้มาเก็ตแชร์

แต่ถ้ามาดูของรถยนต์เส้นมันดูง่ายสะอาดตานะครับจะเห็นว่ามันจะมีอยู่ 2 พีคนะครับสมัยก่อนจะมีอยู่พีคเดียวจะเป็นพีคเดือนเดือนธันวาคม ถามว่าเป็นเพราะอะไรเพราะทุกคนต้องการมาร์เก็ตแชร์นะครับสิ้นปีทำมาร์เก็ตแชร์ให้เยอะที่สุด คล้ายๆจะดีก็จะพยายามจะแจ้งยอดขายเยอะที่สุดในเดือนธันวาคมแล้วก็จะเป็นปกติครับเดือนมกราคมก็จะหดตัวลงมานะครับอันนี้ก็เป็นเรื่องปกติแต่หลังๆเนี่ยมันจะมีอีกพีคนึง พีคเล็กหน่อยก็คือเดือนมีนาคม ถามว่าเกิดอะไร ผู้ผลิตรายใหญ่ที่อยู่ในประเทศไทยเป็นบริษัทญี่ปุ่น ซึ่งญี่ปุ่นเขาปิดงบปีเขาเดือนมีนาคม เพราะฉะนั้นอันนี้ก็จะมียอดขายตรงนี้จะเราจะเห็น  2 ยอดเขา มียอดเขาสูงสุดก็สิ้นปีก็ยอดเขาเกือบจะสูงสุด อีกอันตอนประมาณเดือนมีนาคมสมัยก่อนก็จะมีอยู่แค่รถเก๋งกับรถกระบะเป็นหลัก เดี๋ยวนี้มันก็จะมีรถให้เลือกหลากหลายไม่ว่าจะเป็น Eco Car ไม่ว่าจะเป็นรถ SUV ต่างๆมีหลากหลายยี่ห้อหลายรุ่นให้เลือกเยอะขึ้นนะครับก็ทำให้ผู้บริโภคเรามีทางเลือกเยอะขึ้น

มาดูยอดธุรกิจหลักของเรานะครับก็เป็นลูกหนี้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์นะครับประมาณสัก 95 เปอร์เซ็นต์ เป็นรถยนต์ไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์  การปล่อยสินเชื่อไม่มีอะไรมากแต่อยากจะเรียนให้ท่านนักลงทุนแล้วก็ผู้ถือหุ้นทราบว่าเราพยายามเปลี่ยนมาหลายปีแล้วเรื่อง Digital transformation คือว่าเราพนักงานของเรา ที่เป็นทั้งพนักงานสินเชื่อพนักงานติดตามหนี้สิน เรามีแท็บเล็ตมี Application ที่เราพัฒนาขึ้นมาเองใช้ ตอนนี้พนักงานเราตอนนี้ในประเทศไทยส่วนใหญ่จะไม่มีกระดาษ มีอย่างเดียวคือสัญญาเช่าซื้อซึ่งยังเป็นกระดาษอยู่นอกนั้นไม่มีกระดาษแล้ว

ก็พัฒนาฟังก์ชั่นก็ใช้ได้หลายปีแล้วตอนนี้ก็พัฒนาเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ Add on ฟังก์ชั่นขึ้นไปเรื่อยๆ นอกจากในประเทศไทยที่เราใช้แล้วตอนนี้เราเริ่มไปใช้ที่กัมพูชาที่ลาวแล้ว บางท่านถามว่าช่วงแรกๆมันช่วยประหยัดต้นทุนไหมแรกๆคงยัง แต่ว่าไปเรื่อยๆมันจะประหยัดต้นทุน เราต้องตามเทคโนโลยีพวกนี้ให้ทันให้เร็ว อาจจะตามให้เร็วที่สุด เพราะเราไม่มีทางเป็นผู้นำทางด้านนี้ได้อยู่แล้ว

ทีนี้มาดูสาขา ในประเทศไทยเรามีอยู่ 93 สาขาใน 57 จังหวัด ปีนี้เรากะว่าจะเปิดสาขาในประเทศไทยเพิ่มอีก 3 แห่งในลาวนี้เราก็กะจะเปิดเพิ่มอีก 3 แห่ง จาก 3 เป็น พราะฉะนั้นในประเทศไทยปีนี้ จนสิ้นปีเราจะมี 96 แห่ง ส่วนในลาวเราจะมีสัก 3 + 3 เป็น 6 ในกัมพูชามี 6 จะบวกอีก 6 ก็จะเป็น 12 ส่วนพม่าเนี่ยก็คิดว่าน่าจะเปิดอีก 3 สาขาที่บาโก ซึ่งก็คือหงสา ก็คือก็ติดกับพื้นที่คือหมายถึงว่ามณฑลนะเนี่ยติดกับย่างกุ้งเลย เป็นมณฑลหรือว่าเป็นจังหวัดที่ใหญ่หน่อย ปีนี้เราจะเปิดทั้งหมด 15 สาขา

ทีนี้มาดู ทางด้านผลประกอบการนิดนึงละกัน ผลประกอบการจะเห็นว่าในไตรมาสแรก รายได้เราอยู่ที่ 979.7 ล้าน เทียบกับปีที่แล้วในช่วงเดียวกันมีเพิ่มขึ้นประมาณ 2.3 เปอร์เซ็นต์ ส่วนรายจ่าย 886 ล้านมันเพิ่มขึ้นประมาณ 2.4% ถ้าเกิดเทียบการกำไรสุทธิ ก็ถือว่าทรงตัว จริงๆก็เพิ่ม 0. 9 % อยู่ที่ 112.8 ล้านก็ถือว่าในภาวะที่เศรษฐกิจค่อนข้างชะลอตัวอย่างนี้นะครับก็ถือว่ายังใช้ได้อยู่ ปีที่แล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้นคือปีที่แล้วเนี่ยเราก็เร่งตัดหนี้สูญเฉพาะในประเทศไทย ที่ลูกหนี้ที่คาดว่าจะมีปัญหา ทำให้ พอร์ตเช่าซื้อเราปีที่แล้วก็โตได้ไม่เต็มอย่างที่เราคาดหวัง  ก็ถ้ามาดูรายได้ จะเห็นว่าสัดส่วนรายได้เราส่วนใหญ่มาจากรายได้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์เป็นหลัก

รายได้อื่นๆอาจจะลดลงมาหน่อยเพราะว่าอย่างที่บอกครับพวกหนี้สูญที่เราตัดไป เวลาหนี้สูญรับคืนช่วงหลังๆอาจจะมาช้านิดหน่อย รายได้อื่นๆเลยไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์

รายได้ของรถยนต์มันน้อยมากเลยแค่ 6 ล้านบาทมัน 0.6% มันน้อยมากๆอย่างที่บอกว่าสัดส่วนรถยนต์เรามีน้อยแล้วเราก็ไม่ได้เร่งตรงนี้เราคือเราเราไม่ได้เน้นตรงนี้มากเพราะว่าผลตอบแทนกับความกับความเสี่ยงมาจะไม่ค่อยคุ้ม
ถามว่าลูกค้าไม่ดีเหรอลูกค้าดีครับแต่ว่าดอกเบี้ยมันน้อยมากแล้วก็อีกอย่างนึงต้องผ่อนยาวมากซึ่งเราก็คิดว่ามันอยู่ในช่วงดอกเบี้ยกำลังจะขาขึ้น

ซึ่งปีที่แล้วพอจะขึ้นดอกเบี้ยนิดหน่อยตลาดก็เริ่มไม่ค่อยดีแต่ตอนนี้เท่าที่ดูคือ reserve ของเมกาก็เริ่มชะลอจะไม่ขึ้นแล้วมีคนบอกว่าจะไม่ขึ้นถึงปีหน้า

ทีนี้มาดูลูกหนี้เช่าซื้อปีที่แล้วเนี่ยครึ่งปีแรกแล้วตัวนี้ค่อนข้างดีแต่ครึ่งปีหลังอย่างที่ผมเรียนคือว่าเราเร่งตัดหนี้สูญพอสมควร ทำให้ปีที่แล้วเราโตได้แค่ 2.1 เปอร์เซ็นต์ ต่างประเทศเรายังโตค่อนข้างดีนะครับ

คิว 1 ปีนี้อยู่ที่ 9 พันล้านก็เนื่องจากเราเร่งตัดหนี้สูญตั้งแต่กลางปีที่แล้วจนถึงต้นปีนี้นะครับทำให้ ปีนี้ได้โดยเฉพาะในประเทศไทยมีสัดส่วนที่ลดลงนะครับเพราะว่าลูกหนี้เราไม่สามารถขยายได้เพราะว่าเราก็คิดว่าไม่ใช่จังหวะที่ขยายเพราะเป็นความไม่แน่นอนมันค่อนข้างสูง

นอกจากเราเร่งตัดหนี้สูญแล้วเราเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเช่นกัน ตอนนี้พวก rejection Rate สำหรับลูกค้าเนี่ยซึ่งเมื่อก่อนอยู่ประมาณ 20% ตอนนี้ขึ้นไปถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ก็ยังคงจะต้องเร่งใช้ความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่ออยู่ เพราะว่าเราก็ยังไม่แน่ใจว่าสงครามการค้ามันจะบานปลายไปถึงขนาดไหน เพราะว่าถ้าตามข่าวยังเห็นเลยใช่ไหมครับว่ามีเรือบรรทุกน้ำมันอย่างนี้โดนวางระเบิดโดนอะไร มันก็มีอะไรปัจจัยที่ดูความไม่สงบมันมีเยอะหลายๆพื้นที่ ถ้ามาดูนะครับปีที่แล้ว เราเฉพาะรถจักรยานยนต์โตขึ้นมา 4.1 แต่รถยนต์เราลด 27.5 ทำให้ปีที่แล้วเรา ก็เลยได้แค่ 2.1% ปีนี้เนี่ยรถยนต์เราก็ยังต่ออยู่นะครับผ่อนรถยนต์เราอยู่ 360 ล้าน ไตรมาสแรกมีลดไปประมาณเกือบ 9 เปอร์เซ็นต์ ของรถจักรยานยนต์ลดลงประมาณ 2.1 เปอร์เซ็นต์นะครับ ซึ่งมากกว่าตลาดนิดหน่อยเพราะว่าเราเร่งตัดหนี้สูญ ถ้ามาดูลูกหนี้ค้างชำระเกิน 3 งวด ของรถจักรยานยนต์ก็ยังไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่ รถยนต์เนี่ยบางท่านอาจจะบอกว่าให้ดูแล้วน่าเป็นห่วงเพราะว่ามันขึ้นไปเป็น 10 เปอร์เซ็นต์เลยนะแต่ 10% ของ 360 ล้าน คือ 36 ล้านมันไม่ได้เยอะมากแล้วก็ตั้งสำรองครบหมดแล้ว ตอนนี้ก็เป็นลูกหนี้รวมนะครับถ้าเกิดดูทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ก็จะเห็นว่าลูกหนี้ค้างชำระเกิน 3 งวดในตอนนี้อยู่ที่อยู่ที่ 4.6 เปอร์เซ็นต์ ก็ขยับขึ้นมาจากปีที่แล้วเพราะว่าสัดส่วนก็มีการเร่งตัดหนี้สูญมาทำให้มันอาจจะทำให้มีลูกหนี้แล้วเราก็ไม่ได้เร่งขยายมาก

ก็ทำให้อาจจะตรงส่วนตัวนี้มันเพิ่มมานิดหน่อยแต่ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงมาก การตั้งสำรองหนี้เราก็ไม่ได้มีอะไรที่เปลี่ยนแปลง เราใช้วิธีการตั้งสำรองโดยตัวอย่างเอาของธนาคารแห่งประเทศไทยมาปรับใช้กับเรา รถจักรยานยนต์ก็คือตั้ง 1% จนถึง 100% อะไรที่เกิน 6 เดือนซึ่งมันก็อยู่ใน 1 ใน 4 ของระยะเวลาการผ่อนชำระ 2 ปีนะครับหรือ 25 เปอร์เซ็นต์คือระยะเวลาการผ่อนชำระเกิน 6 เดือนแล้วตั้งร้อยเลยทันทีรถยนต์ก็คือเมื่อก่อน 4 ปีกับ 48 เดือนเกิน 12 เดือนก็คือ 25 เปอร์เซ็นต์หรือ 1 ใน 4 ของระยะเวลาการผ่อนชำระแล้วก็ตั้งร้อยเลยนะครับไม่ได้หักประกันแต่ปีที่แล้วที่เรามีเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งคือเราตั้ง General around ขึ้นมา 1 เปอร์เซ็นต์อย่างที่ผมเรียนทั้งนักลงทุนนักวิเคราะห์ไว้แล้วว่าเราจำเป็น ถามว่าถ้าคุณภาพลูกหนี้ดีขึ้นเนี่ยเราจะลดสำรองไหมเราก็ไม่ลดเพราะว่า ทุกท่านก็ทราบอยู่แล้วมันจะมี ifrs 9 นะครับหรือที่เมืองไทยก็จะเป็นเวอร์ชั่นก็ t f r s 9 ตอนแรกจะเริ่มตั้งแต่ปีนี้ แต่ว่าทางการก็เลื่อนไปเป็นปีหน้า ปีที่แล้วเราก็เลยว่าเห็นอย่างนี้เราก็เลยตั้ง General around เพิ่มอีก 1 เปอร์เซ็นต์ ปีที่แล้วเราตั้งสำรองเพิ่มไตรมาสสุดท้ายนี้อีก 90 ล้าน

ปีที่แล้วเนี่ยปกติเขาอยู่ 502 ล้านนะครับแต่เราตั้งอยู่ที่ 597 ล้านเพราะเราก็ตั้งเยอะกว่าของปกติ 1 เปอร์เซ็นต์ ถ้ามาดูปีนี้ ถ้าเป็นแบบเดิมเนี่ยหรอตั้งอยู่ 527 แต่ของใหม่แล้วตั้งอยู่ 619 แล้วก็ตั้งเยอะกว่า 1% อยู่ตลอดทำให้ coverage ratio เราเมื่อก่อนนี้อยู่ที่ประมาณ 120 กว่าเปอร์เซ็นต์ตอนนก็อยู่ที่เรา 140%   แล้วก็ลูกหนี้ตั้งอยู่ประมาณ 6.4 เปอร์เซ็นต์ซึ่งเมื่อก่อนเราจะอยู่สัก 6% หรือ 5% แก่ๆทำนองนี้แล้วก็ถือว่าเราก็ตั้งมากพอสมควรทั้งๆที่เราก็คือ de ratio หรือว่าการกู้หนี้ยืมสินเราแค่ 1.1 เท่าเองนะครับแล้วเราก็ตัดค่าใช้จ่ายไม่ว่าเป็นพวกค่าการตลาดเนี่ยตลอดทันที 100% expense เลยนะครับ

ทีนี้มาดูลูกหนี้เช่าซื้อของโชซาไดนะครับก็จะเห็นว่าลูกหนี้เช่าซื้อปีนี้ นะครับโตจากปีที่แล้วนะครับใน q1 นะอยู่ที่ 875 ล้านเพิ่มขึ้นประมาณ 20 เกือบ 22 เปอร์เซ็นต์นะครับกำไรก็ดีกว่าปีที่แล้วเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ก็คือ ปีนี้เนี่ยที่ผมเรียนไปเป้าสินเชื่อที่จะโตในลาวและกัมพูชาคืออย่างน้อย 100% นะครับ ก็คิดว่าน่าจะช่วยให้เราเติบโตในอนาคตได้ดีขึ้นนะครับลูกหนี้ค้างชำระไม่มีประเด็นอะไรปล่อยเก็บเงินได้ดีนะครับ

ส่วนลาว เนี่ยอัตราการเจริญเติบโตแน่นอนครับก็คงสู้สู้กัมพูชาไม่ได้เพราะประชากรน้อยกว่านะครับประชากร 7 ล้านคนกัมพูชามาสัก 16 - 17 ล้านคนและก็คือที่ลาวคนก็ยังนิยมใช้เงินสดเป็นหลักนะครับ ปีนี้ขึ้นในไตรมาสแรกเนี่ยลูกหนี้อยู่ที่ 228 ล้าน เพิ่มขึ้นประมาณ 14 เปอร์เซ็นต์นะครับก็ยังโตไปได้คุณภาพลูกหนี้ก็ดีนะครับแต่กำไรอาจจะปีนี้เทียบกับปีที่แล้วก็ดีขึ้นเยอะแต่มันไม่เยอะมากเป็นเพราะว่าค่าเงินกีบก็ผันผวน แล้วก็มีการลดค่าเงินกีบอยู่เรื่อยๆ  ก็เป็นเป็นประเทศที่เราคิดว่าจะทำธุรกิจก็ทุกคนก็อยู่ชายแดนติดกันแล้วก็พูดกันง่ายนะครับสื่อสารกันไม่มีปัญหา เราคิดว่าจะเปิดเพิ่มได้ภายในปีนี้ 3 สาขา

เราไปรับไปธุรกิจใบอนุญาตธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ที่หงสา มาเรียบร้อยแล้ว ก็จะทำการเปิดนะครับ

ผมก็ขอจบนะครับรายงานการ ผลประกอบการของไตรมาส 1 ปีนี้นะครับถ้าท่านใดมีคำถามก็เชิญเลยนะครับ

ค่าใช้จ่ายในแต่ละปี write off เท่าไหร่นะครับ

write off ปีนึงก็เป็นหลักเป็นร้อยล้านครับ
write off ปีนึงเราก็ขึ้นอยู่กับช่วง แต่ว่าเราก็มีนโยบายที่ค่อนข้างเข้มงวดในการตัดหนี้สูญเหมือนกัน โดยเฉพาะ ถ้าเป็นลูกหนี้รถจักรยานยนต์ ก็จะเห็นว่าเรา write off เนี่ยอะไรที่เกิน 6 งวดเนี่ยเราจะwrite off ทันที อะไรที่เกิน 6 งวดที่แล้วเราตั้งสำรองแล้วแต่มันจะทำให้ผลประกอบการของเราบางทีมันอ่อนตัวลงไปเป็นเพราะว่าลูกหนี้ที่ลูกหนี้ที่ค้างชำระนะครับในช่วงต้นๆที่เรายังตั้งสำรองไม่ครบนะครับมันทำให้เราเวลาเรา write off ก็มันก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นตรงนั้นนะครับซึ่ง ปีปีนึงก็ขึ้นอยู่กับช่วงเศรษฐกิจ ศก  ดีๆ write off ก็จะไม่มากนักนะครับแต่เวลาไม่ดีก็อาจจะสูงนะ แต่ว่าแน่นอนประโยชน์ก็คือ balance sheet เราก็จะสะอาดนะครับ

ข้อ 2 ถามว่า รายได้จะมาจากตปท 50% หมายความว่าจะต้องทำรายได้เท่ากับในประเทศไทยหรือเปล่า
มันไม่ใช่นะครับที่เราพูดไปมันคือว่าลูกหนี้เช่าซื้อนะครับน่าจะที่เราตั้งเป้าคือ 50% มาจากในประเทศและในต่างประเทศคือ 50% คือเราจะพยายามจะเป็นโตต่างประเทศให้เยอะๆเพียงแต่ว่าตอนนี้เนี่ยมันอาจจะไม่ใช่จังหวะที่จะโตในเมืองไทยมากนักนะครับเป็นเพราะว่าเศรษฐกิจชะลอตัวค่อนข้างมากนะครับก็อย่างที่ผมเรียนหนึ่งเราเราเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ Reject เราก็เยอะขึ้น แล้วก็ดูรายได้หนี้ครัวเรือนเราก็สูงเพราะฉะนั้นเนี่ยมันก็ไม่อาจจะไม่ใช่จังหวะที่เราจะโตในประเทศไทยณขณะนี้นะครับ

แล้วตอนนี้เนี่ยเนื่องจากเหลืออีกไม่กี่วันเราคงจะมีรัฐบาลแล้วนะครับหลังจากที่ มีการเลือกตั้งก็คาดว่าถ้ามีรัฐบาลแล้วเนี่ยเดี๋ยวจะมาประเมินใหม่อีกทีแต่ต่างประเทศโตไปได้ค่อนข้างดีนะครับไตรมาสแรกในเมืองไทยเนี่ยตัวเลขติดลบเพราะว่าหนึ่ง write off เยอะแล้วก็ไม่เร่งปล่อยนะครับ ก็ปีนี้เนี่ยนะขนาดนี้ตอนนี้ลูกหนี้เช่าซื้อของลาวและกัมพูชาได้อยู่แล้วประมาณ 12% นะครับสิ้นปีอย่างน้อยก็ต้องเราตั้งเป้าโต 100% นะครับซึ่งปีที่แล้วมันอยู่ประมาณสัก 900 ล้านนะครับก็จะน่าจะขึ้นไป 1,800 ล้านเป็นอย่างน้อยในสองประเทศนี้ไม่รวมพม่านะครับ

ซึ่งพม่า ในช่วงแรกๆคงจะยังไม่เร่งปล่อยมากนะครับหลังจากที่เราศึกษามาแล้วได้แล้วนะคงจะค่อยๆเริ่มปล่อยมั่นใจเราจะขยายด้วยความรวดเร็วนะครับ ก็คาดว่า สัดส่วนของรถจากต่างประเทศพม่า ลาวและกัมพูชานี่อย่างน้อยนะครับสิ้นปีนี้ต้องมีประมาณ 20% ขึ้นไปนะครับ

ต่างประเทศ  NPL น้อยมากนะครับเพราะว่าเก็บเงินดีแต่ว่าอย่างที่บอกว่า ตัวอย่างในลาวเนี่ยอาจจะยังไม่ได้ economy of scale เพราะว่าสัดส่วน 1 ต่อสาขายังลูกหนี้ยังไม่เยอะนะครับอย่างกัมพูชาเนี่ยในสาขาเก่าๆหรือสาขาที่เปิดแรกๆเนี่ย economy of scale ได้แล้วเพราะฉะนั้นก็ตรงนั้นก็จะมีกำไรค่อนข้างดีแต่ npl ไม่เยอะทั้งสองประเทศครับ คนก็มาจากฐานที่ลูกค้าอยู่ในช่วงที่รายได้กำลังเจริญเติบโตดีนะครับ หนี้ก็ไม่เยอะเพราะฉะนั้นแล้วก็อีกอย่างนึงคือถ้าไม่ขี่มอเตอร์ไซค์ก็ไม่มีทางเลือกอื่นอย่างในกรุงเทพฯเรายังมีทางเลือกให้เลือกเยอะนะครับ ไม่ว่าจะเป็นรถประจำทางจะไปรถไฟฟ้าใต้ดินเป็นรถไฟฟ้าบนดินรถเมล์เป็นอะไรก็แล้วแต่นะครับแต่ว่าอย่างที่เรียนก็จะเห็นในกรุงเทพฯเนื่องจากผังเมืองและไม่ค่อยดีนะเราจะไปไหนมาไหนเราและนั่งรถไฟฟ้าลงได้แต่ว่าเข้าซอยนี้เดินไม่ไหวมันลึกเหลือเกินนะครับก็ยังเป็นมอเตอร์ไซค์เป็นยานพาหนะที่ประหยัดที่สุดอันนึงนะครับ

แต่สำหรับในไทยเนี่ยตั้งเป้าปีนี้เท่าไหร่ปีนี้เนี่ยคาดวาดตอนแรกสิ้นปีที่แล้วนะครับคาดว่าน่าจะทรงตัวจากปีที่แล้วแต่เท่าที่ดูไตรมาส 1 นี่มันอ่อนตัวค่อนข้างมากนะครับขอรอดูตั้งรัฐบาลดูก่อนว่าเป็นยังไง ความความเสถียรภาพก็จะน้อยลงแน่นอนนะครับก็ต้องขอดูนิดนึงแต่ว่าคาดว่าต่างประเทศมันดี เมืองไทยอย่างนี้ปีนี้ถ้าถ้าดูเหตุการณ์แบบนี้นะครับ ดีที่สุดก็น่าจะทรงตัวแต่ก็ต้องขอดูก่อนว่าเทรดวอร์หรืออะไรต่างๆมันจะมันจะลุกลามไปถึงขนาดไหน

Leading indicator ของ  tk คืออะไร

แน่นอนครับถ้าเกิด GDP โตดีแน่นอนไปได้ดีแต่ปีนี้ GDP เราทุกคนก็ปรับเป้าลงมาแล้วส่งออกปรับเป้าแล้วโดยเฉพาะส่งออก มัน 70 เปอร์เซ็นต์ของ GDP เมื่อปรับเป้าลงเนี่ยมันจะทำมีผลกระทบขึ้นเยอะเพราะว่าคนที่อยู่ในโรงงานอุตสาหกรรมนี้เวลาเวลาส่งออกลดลงเนี่ยนะครับโอทีหายรายได้ก็หายแล้วเมื่อกี้ไปประกอบกับเรื่องภัยแล้งเมื่อกี้บอกว่าน่าจะปีนี้จะเป็นแล้งที่สุดในรอบ 30 ปีถ้าไม่มีน้ำเนี่ยเหนื่อยนะครับ ไม่มีผลผลิตมาขาย Trade war กระทบคนจีนแล้วคนจีนมาเที่ยวเมืองไทยนี่ประมาณเกือบ 1 ในสามนะครับถ้าหากคนจีนหายไปมันจะเป็นยังไงบ้างนะครับก็เหมือนตอนแรกเราบอกไม่มีอะไรพอตอนจำได้ไหมครับที่มีเรือล่มที่ภูเก็ตคนจีนหายนี้เราก็หน้ามืดเลยเหมือนกันนะครับ เป็นวอลลุ่มที่ใหญ่มากแล้วก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วยนะครับ

ฝนแล้งจะทำให้ยอดหนี้เสียของลาวกัมพูชามากขึ้นหรือไม่นะครับ

ตอนนี้ยังไม่ค่อยเห็นนะครับแต่ว่าถ้าเกิด เอลนิญโญ่ อะไรที่มันแรงมากๆนี้นะครับ ก็คงจะมีกระทบบ้างนะครับ อันนั้นก็คงหลีกเลี่ยงค่อนข้างยากแต่ว่าเท่าที่ดูหนังลาวและกัมพูชายังไม่ค่อยเห็นอันนั้นยังไม่ค่อยเห็น factor อันนั้นเท่าไรนะครับ

ก็ข้อถัดมา อยากให้ทางเราฉายภาพ หนี้เสียของตลาดรวมปัจจุบันเป็นยังไงบ้างครับ
ก็แน่นอนครับอย่างที่เรียนไปแล้วยังตอนนี้ถ้าเห็นหนังสือพิมพ์ก็จะเห็นว่า ทั้งตั้งแต่ปีที่แล้วนะครับทางธนาคารประเทศไทยกับภาครัฐ มีความเป็นห่วงเรื่องสินเชื่อของบ้านซึ่งมันโตเยอะแล้ว  ก็คนปกติเนี่ยเวลามีหนี้เสียนี่เสียบ้านก็จะเป็นสิ่งสิ่งสุดท้ายหรือหลังๆที่จะยอมเสียนะครับ  แต่ว่ามันก็มีเห็นเหมือนกันว่าคนที่ผ่อนบ้านเนี่ยเมื่อก่อนผ่อนไป 4-5 ปีแล้วโอกาสที่จะเสียน้อยมากแต่ว่าตอนนี้เริ่มเห็นเยอะขึ้น ทางการก็เลยเป็นห่วงนะครับก็เลยถึงมีบอกว่าบ้านหลังที่สองต้องดาวน์เพิ่มบ้านราคาเท่าไหร่ต้องดาวน์เพิ่มเพราะว่า

ต้องยอมรับครับว่าที่ดินกับราคาคอนโดบ้านมันขึ้นค่อนข้างเยอะเพราะว่าดอกเบี้ยมันต่ำมาเป็น 10 ปีนะครับดอกเบี้ยต่ำทำให้ของพวกนี้ที่ต้องที่ต้องกู้มาทำให้ราคามันขึ้นเยอะขึ้นเยอะ คนมี demand จริง มีปริมาณที่ต้องการไปเก็งกำไรเยอะนะครับมีความต้องการไปเก็งกำไรเยอะ  ก็คือทางการไม่เป็นเป็นห่วงเรื่องคนที่จะซื้อจริงๆ แต่กลัวเรื่องการเก็งกำไร ครับก็เลยต้องมีการแตะเบรกนะครับที่เมื่อกี้เรียนก็คือว่าทางการก็เห็นแล้วว่ามันมีคนที่เป็นสินเชื่อของบ้านนี้มันสองล้านล้านสองล้านล้านเยอะพอสมควรนะครับแล้วก็สินเชื่อตอนนี้ก็มาดูเรื่องสินเชื่อรถยนต์ก็คือ หนึ่งล้านล้านกว่าๆนี้นะครับซึ่งอันนี้ก็เยอะเหมือนกันก็ตอนนี้ก็ไม่รู้จะแตะเบรคกันด้วยการเพิ่มเงินดาวน์หรือเปล่านี้ก็ตอบไม่ได้เพราะว่ามีส่วนหนึ่งซึ่งเป็นซึ่งเป็นควบคุมโดยธนาคารแห่งประเทศไทยส่วนหนึ่งก็ไม่ได้ควบคุมนะครับ ถามว่าน่ากลัวไหมถ้าเกิดหนี้ครัวเรือนเราขึ้นไปอยู่ระดับใกล้ๆ 80% นี่มันก็สูงมากนะครับถ้าเมื่อไหร่ที่ควรจะต้องเอาเงินไปผ่อน สินค้าและไม่ค่อยเหลือเพื่อไปลงทุนอื่นๆหรือใช้จ่ายก็น่าเป็นห่วงเหมือนกัน

จะถามว่ารุนแรงไหมก็สำหรับคนที่ไม่เตรียมตัวหมายถึงว่าบริษัทที่ไม่ได้เตรียมตัวมันมาก็จะอาจจะรุนแรงได้ถ้าเกิดสมมุติคนที่ตั้งสำรองน้อยทุนน้อยๆกู้เยอะๆอะไรเนี้ยถ้าเกิดถึงเวลามีปัญหามันก็จะมันก็จะรุนแรงแต่ก็อย่างว่าอย่าง tk1 เรา de  เราอยู่ที่ 1.1 พวกสำรองตั้งเยอะแล้วนะครับเรื่องพวกค่าใช้จ่ายค่าการตลาดเราก็ตัดจ่ายทันทีเพราะฉะนั้นพวกนี้เราก็ ฟังค่อนข้างคลีนนะครับแต่ว่าแน่นอนถ้ามันมีปัญหาหนักจริงเราก็หนีไม่พ้นนะครับแต่ว่าเรื่องสำรองนี่อยากจะเรียนไปเลยว่าเวลาดีไม่มีใครสนใจอ่ะครับมันก็คล้ายๆพวกถังดับเพลิงหรือรถดับเพลิง เวลาไม่มีไฟไหม้ไม่มีใครสนใจหรอกว่าจะมีกี่คันจะมีกี่ถังใช้ได้ไหมแต่ว่าเวลามีปัญหาถ้าไม่มีขึ้นมาหนักนะครับแต่ว่าเราก็ผ่านวิกฤตมาหลายรอบแล้วไม่เคยขาดทุนนะครับสำรองเราหนาพอมันจะสามารถทนได้ทุกทีที่ผ่านมานะครับซึ่งเราคิด ว่าเราตั้ง General around   1% เองก็น่าจะช่วยได้เยอะนะครับ

ที่ต่างประเทศมีคู่แข่งที่สำคัญ TK คือบริษัทอะไร
ขึ้นอยู่กับประเทศนะครับก็มีหลายๆประเทศก็จะมีก่อนหน้านี้ก็จะมีคนชอบบอกว่ามาเก็ตแชร์เยอะอย่างนี้อย่างนั้นเป็น Exclusive สุดท้ายก็อาจจะมีเรื่องอะไรบางอย่างซึ่งแปลกๆนะครับผมก็ไม่ขอกล่าวถึง แต่ว่าเราก็เล่นต่อของเราไปเรื่อยๆนะครับจังหวะดีโตเยอะจังว่ะไม่ดีโตน้อยหน่อยนี้ต้องยอมรับครับไม่มีอะไรนะครับ

อันนี้คำถามทักมานะครับบอกว่าช่วยชี้แจงหน่อย อัตราสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในประเทศไทยกับต่างประเทศการแข่งขันพฤติกรรมลูกค้านะครับจุดแข็งนะครับ ก็แน่นอนครับว่าในเมืองไทยเนี่ยยอดเช่าซื้อประมาณ 80% ยอดเงินสดประมาณ 20% ในลาวเนี่ยยอดเช่าซื้ออาจจะอยู่ราวๆสักเมื่อก่อน 20% นะครับตอนนี้จะอยู่สัก 40 หรือ 50 เปอร์เซ็นต์เป็นยอดเงินสดเยอะนะครับ กัมพูชานี้คิดว่าเป็นยอดเงินสดก็ยังเยอะอยู่แต่เงินผ่อนน่าจะเยอะกว่านะครับเมื่อก่อนเมืองไทยนานมาแล้วก็เหมือนกันครับเป็นเงินสดประมาณ 80 แล้วก็เป็นเงินผ่อนสัก 20 อะไรเนี่ยแล้วมันก็ ค่อยๆขยับไป  เมื่อผู้ให้บริการนะครับมีความมั่นใจขึ้นมั่นใจ ว่าคนพร้อมที่จะเป็นเป็นหนี้ในระดับที่เหมาะสมเนี่ยก็คือคนก็จะมีมาร่วมกู้พวกนี้การแข่งขันเนื่องจากคู่แข่งในเมืองไทยเนี่ยประเทศไทยก็เปิด ไม่ค่อยยากมากนะครับเพราะฉะนั้นก็คู่แข่งเยอะ เยอะมากนะครับแข่งกันเรื่องดอกเบี้ยแข่งกันเรื่องค่าคอมมิชชั่นเยอะมาก จนบางทีก็ไม่ไหวนะผมว่าในหลายๆธุรกิจก็จะเห็นว่าการแข่งขันรุนแรงมากจนเกินไปจนผู้ประกอบการก็จะอยู่กันไม่ค่อยได้

หนี้ครัวเรือนในประเทศไทยอยู่ระดับที่สูงในช่วงหลังนะครับแต่ว่าประเทศเพื่อนบ้านเรายังอยู่ในระดับที่ต่ำคือไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากกู้นะไม่มีใครเอากู้ด้วยเหมือนกันหลายๆประเทศนะครับแต่ก็ไม่ใช่หมายความว่ามีคนให้กู้ก็อยากจะกู้ทันทีนะครับก็ต้องค่อยๆปรับพฤติกรรมแต่ส่วนใหญ่ลูกค้าก็จะจ่ายค่อนข้างดีนะครับ

จุดแข็งของเราคือเราเริ่มส่วนใหญ่เราไม่ค่อยเป็นพาร์ทเนอร์กับใครเราเริ่มเราทำของเราเอง ช่วงแรกมันน่ะ คือเราค่อยๆโตในสัดส่วนที่เราคิดว่าเราเหมาะสมและเราอยากจะทำช่วงแรกอาจจะดูน้อยแต่พอเรามั่นใจแล้วเราก็โตเร็วอย่างที่เราทำให้เห็นแล้วนะครับก็อันนี้ก็เป็นจุดแข็งของเรา

มีรายได้จากการคิด Pre payment   บ้างไหมครับ
ก็ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ครับเพราะว่าส่วนใหญ่ลูกค้าที่อยู่กับเราเป็นลูกค้าที่มีรายได้น้อยก็จะไม่ค่อย pre payment  เท่าไรนะครับ

แล้วก็บอกว่านอกจากลาวกัมพูชาเมียนมาร์จะมีโอกาสขยายไปประเทศอื่นหรือเปล่านะครับอย่างเช่นเวียดนามก็มีผมก็ไม่อยากจะพูดประเทศอื่นมากเพราะว่าอย่างทำอย่างเมียนมาร์หรือพม่าที่ขอมาตั้งนานจนทุกคนนะว่าผมหลอกหรือเปล่าทำไมมันไม่ได้สักทีนะครับถ้าเกิดเป็นผมเป็นคนอนุมัติผมอนุมัติไปนานแล้วแต่ว่าผมไม่ได้อนุมัติก็เลยช้า ก็ยังมีประเทศอื่นที่อยากไปเยอะครับแต่ว่าเดี๋ยวขอให้มันให้มันใกล้ความจริงก่อนแล้วค่อยบอกเดี๋ยวจะเหมือนแบบบอกไปตั้งนานแล้วทำไมมันเหมือนไม่ได้สักทีอย่างนี้นะครับ เดี๋ยวทางผู้ถือหุ้นหรือนักลงทุนจะหงุดหงิด  ซึ่งจริงๆผมก็หงุดหงิดมากกว่าด้วยนะครับ ก็เราอยากจะทำธุรกิจในประเทศเขาบางทีมันก็ต้องตามเวลาของเขาหรือตามกฎเกณฑ์หรือขั้นตอนของเขานะครับก็อันนี้ก็แต่ผมผมก็ใจร้อนเหมือนกันครับอยากไปเร็วๆ

กฎหมายต่างประเทศ กฎระเบียบมีเปลี่ยนแปลงบ่อยไหม
ก็มันก็มีเหมือนกันครับก็ต้องคอยตามให้ดีๆเพราะว่าคือคือประเทศแถวๆนี้ก็คือมันก็เหมือนกันครับเราก็ต้องศึกษากฎหมายดีๆกฎหมายบางอย่างเขียนแต่วิธีการปฏิบัติมันก็อาจจะไม่ตรงกันเป๊ะมันก็เหมือนประเทศไทยเหมือนกันนะครับก็คล้ายๆกัน อันนี้ก็ต้องค่อยๆต้องคอยตามอยู่เรื่อยๆนะครับแต่อย่างน้อยเนี่ยประเทศที่อยู่บนบนแผ่นดินใหญ่ของอาเซียนนี่แหละครับไม่ว่าจะไทยลาวกัมพูชาพม่าเมียนม่าเนี่ยอย่างน้อยข้อดีก็คือว่าส่วนใหญ่แล้วก็เราก็ชาวพุทธด้วยกันก็ยังคล้ายกันหน่อยนะครับถ้าเกิดข้ามไปประเทศอื่นๆมันก็คนละศาสนาวิธีคิดอะไรมันก็จะต่างกันหรืออย่างน้อยเราก็ยังยังมีความใกล้เคียงกันสูงนะครับ

ของบริษัทคู่แข่งมาว่า แนวโน้มปีนี้ของเขาจะไปโตในพม่าแล้วเราเพิ่งได้ License มาไม่ทราบว่าเราจะมีกลยุทธ์อย่างไรบ้างครับ

ก็ถ้าผมเข้าใจถูกก็น่าจะเป็นประเทศที่มีเป็นบริษัทหนึ่งที่เมื่อก่อนก็เคยนะนี่กัมพูชาใช่ไหมครับแต่ตอนนี้เขากัมพูชาผมคาดว่าผมน่าจะแซงเขาไปแล้วนะครับก็เลยผมก็ตอบได้แค่นี้ดีกว่า เพราะว่าครั้งที่แล้วมีหลายท่านก็จะถามว่าทำไมเขาทำอย่างนี้ได้ทำไมผมทำอย่างนั้นไม่ได้แต่ตอนนี้มันก็อันนี้มันพอดีเราไม่ได้วิ่งแข่ง 100 เมตร เราวิ่งมาราธอน ก็ต้องดูกันอีกหน่อยนึงแล้วกันขอบคุณครับ

สนใจการปล่อยธุรกิจนาโนไฟแนนซ์ไหมครับโอกาสและอุปสรรคคืออะไรทำไมถึงโตช้ามากนะครับ

เราก็ขอจากทางธนาคารประเทศไทยมาตอนนั้นคือ 1 นะครับเราไม่เคยประกาศว่าเราจะโตเร็วนะครับเพราะว่าที่เราขอเป็นเพราะว่าเรามีสาขาอยู่แล้วนะครับและมีฐานลูกค้าอยู่แล้วเรามี Operation หรือมีการทำธุรกิจใกล้เคียงอยู่แล้วเราคิดว่าเราขอมาเนี่ยเราไม่ได้เป็นต้นทุนสำหรับเรามากมายนะแล้วก็ยัง เป็นโอกาสให้ลูกค้าเนี่ยมาขอสินเชื่อนะครับที่เรารู้ประวัติดีอยู่แล้วนะครับแต่ที่ผ่านมาเราทำ Pilot Test ไป 10  สาขานะครับผลตอบรับก็คือลูกค้าเข้ามาขอสินเชื่อพอสมควรแต่ที่เราปล่อยไม่ค่อยได้เป็นเพราะว่าลูกค้าส่วนใหญ่อยากจะขอสินเชื่อมากกว่ากำลังการผ่อนชำระเขาเยอะนะครับซึ่งมันก็เลยทำให้มันไม่ตรงนี้มันไม่ Match กันแล้วก็อีกอันนึงคือว่าทุกคนบอกกันดอกเบี้ยเนี่ยให้เก็บ 36% all in คือรวมค่าฟรีค่าทุกอย่างนะครับถามว่าสูงไหมถ้าเทียบกับ Personal Loan ที่ธนาคารประเทศไทยเก็บ 28% ก็สูงขึ้นมา พอสมควร  จะถามว่าลูกหนี้เนี่ยที่เป็นรายย่อยๆเล็กๆเนี่ยการค่าใช้จ่ายในการบริหารหนี้หรือค่าการปล่อยในต่างๆสูงมากนะครับก็จะไม่ค่อยคุ้มนักนะครับถ้าที่ 36 เปอร์เซ็นต์แต่ว่าถ้าเกิด สังเกตสิครับว่าธนาคารประเทศไทยต้องการแก้หนี้นอกระบบก็ออก licensing  นาโนไฟแนนซ์ออกมาตอนนั้นคนก็ขอกันไปเยอะก็มีคนตีฆ้องร้องป่าวจะปล่อยมันเยอะนะครับแต่ก็จะเห็นได้ว่าตัวเลขก็ไม่ค่อยได้ไม่ได้สูงมากนะ ตอนหลังกระทรวงการคลังก็เลยมาเปิดให้เปิดบ่อยพิคโก้นะครับซึ่งทุนจดทะเบียนน้อยกว่าแค่จากนาโนเนี่ย 50 ล้านนะคะจำได้ทั่วประเทศเป็นพิโก้ได้ 5 ล้าน 5 ล้านทำได้เฉพาะจังหวัดกู้ได้ 50,000 นะครับดอกเบี้ย 36% นั้นก็ยังไม่ค่อยมีคนมาขอเยอะแต่ว่าตัวเลขก็ไม่เยอะนะครับจนล่าสุดเนี่ยทางการบอกว่าโอเคอย่างเงี้ยทั้ง พิคโก้ กับ Personal Loan   ให้จำนำทะเบียนได้ทั้งที่เมื่อก่อนบอกว่าไม่ให้มีหลักประกัน ตอนนี้ Personal Loan  28% เนี่ยจำนำทะเบียนได้ พิคโก้  5 ล้านก็จำนำทะเบียนได้ให้ 36% เสร็จแล้ว ก็มีคนมาร้องว่า 50000 สำหรับพิคโก้มันน้อยไป ขอเป็นแสนนึงได้ไหมทางการก็เลยบอกโอเคได้นี้มีลายเส้นอีกเส้นนึงเรียกว่าพิกโก้ Plus และกันนะครับทุนจดทะเบียน 10 ล้านให้ปล่อยไม่เกินแสนนึงแต่ละ 50,000 บาทได้ 36% 50,000 ที่สอง ได้แค่ 28 นะครับ วันนี้ก็ต้องลองดูต่อไปว่า ตัวเลขมันจะคืนหนี้นอกระบบมันจะมาอยู่เป็นหนี้ที่มีอยู่ในระบบเพิ่มขึ้นหรือเปล่านะครับแต่ว่าแน่นอนก็อันนี้ก็จะเป็นการปลดล็อคไปส่วนนึงนะครับ ส่วนอันนี้คำคำถามสุดท้ายนะครับก็คือว่า หลังจาก ifrs 9 หลังจะใช้ 9 แล้วนะครับการตั้งสำรองที่เหมาะสมของบริษัทที่อยู่ระดับประมาณเท่าไหร่นี้ก็ อันนี้ตอบยากเหมือนกันเพราะว่าถ้าเราไปดูลูกหนี้ในช่วงที่เศรษฐกิจดีเนี่ยก็อาจจะต้องดูว่าใช้เฉลี่ยยาวขนาดไหนถ้าดูลูกหนี้ช่วงที่มันไม่ดีอาจจะต้องตั้งเยอะละช่วงนี้น่าจะตั้งน้อยเกินไปตรงนี้ผมก็ต้องคุยกับทางออดิเตอร์เหมือนกันครับว่าผู้สอบบัญชีว่าเขาแต่ว่าตัวเลขนี้มันก็ต้องมาดูความเหมาะสมกันแน่นอนครับเราตั้งถ้าไปดูได้เลยเราตั้งค่อนข้างเยอะอยู่แล้วมันไม่ต้องไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ

ฐานภาษีรายได้ต่างประเทศต่างจากเมืองไทยเมืองไทย 20% เมียนมาร์เท่าไหร่ ลาวเท่าไหร่กัมพูชาเท่าไหร่นะครับ

กัมพูชา 20% ลาว 24% นะครับส่วนพม่านี่ยังไม่ได้เสียภาษีครับมีแต่ค่าใช้จ่ายยังไม่รู้เดี๋ยวจะพอดีจำไม่ได้
แรกๆคงยังไม่ค่อยได้เสียภาษีเท่าไหร่หรอครับ ช่วงแรกๆเปิดมามันก็ไม่มีกำไรครับแต่เดี๋ยวครั้งต่อไปจะเรียนให้ทราบนะครับ

จบ
ส่วนตัวมองว่าจาก ปสก ของ TK ที่เคยผ่านวิกฤติมาทั้งต้มยำกุ้ง ทั้งเบอร์เกอร์ เลยทำให้เป็นบ.มีแนวคิดที่ค่อนข้าง CONSERVATIVE ซึ่งก็เป็นเรื่องดีไม่จำเป็นต้องรีบบุกยามที่สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย ทำที่มั่นให้มั่นคง