วันพุธที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

Oppday TASCO 1Q62 16/5/2019

Oppday TASCO 1Q62  16/5/2019
ก่อนจะไปถึงเรื่องของตัวเลขในงบการเงิน ขอท้าวความถึงไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้ว ถ้าจำได้ในไตรมาสที่ 4 ปีที่แล้วบริษัทเราได้มีการตั้งสำรองเรื่องของสินค้าคงเหลือปลายปีไว้อยู่ 700 กว่าล้านด้วยกันเหตุผลหลักๆ คือในเดือนตุลาคมเราได้ซื้อน้ำมันดิบเข้ามาที่ราคาสูงมากเนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่เป็นตัว marker ของเราก็คือตัว Grant เนี่ยวิ่งขึ้นไปอยู่ถึง 86 เหรียญต่อบาร์เรลแล้วตอนปลายไตรมาส ตอนสิ้นปีตกลงมาอยู่ที่ 52 เหรียญต่อบาร์เรล

ก็หมายความว่ามูลค่าสินค้าคือน้ำมันดิบของเราถูก Mark to market ลดลง 700 กว่าล้านจากเหตุการณ์ตรงนั้นส่งผล 2 เรื่อง หนึ่งเรามีต้นทุนของน้ำมันดิบที่ใช้ในการกลั่นและประกอบธุรกิจหรือส่งไปขายของเราที่สูงทำให้ในไตรมาสที่ 4 เรามีต้นทุนวัตถุดิบที่ราคาสูงมากในทางกลับกันราคาขายรายตอนไตรมาสที่ 4 ตกลงมาตามราคาน้ำมันดิบที่มันลดลงมา ทำให้เราขายไปต่างประเทศขายขาดทุนพอสมควรในปลายไตรมาสที่ 4

ที่นี้พอมาไตรมาสที่ 1 ก็เกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกันเลยครับ ก็ส่งผลให้ ต้นไตรมาสที่ 1 ของปีนี้เรายังคงมีต้นทุนของน้ำมันดิบที่ยังแพงอยู่ทำให้ยอดขายของเราไปยังต่างประเทศมีผลขาดทุนมากพอสมควร โดยเฉพาะเดือนที่ 1 และเดือนที่ 2 เริ่มกลับมาดีขึ้นในเดือนที่ 3 หลังจากที่เราได้รับน้ำมันดิบและอื่นๆเข้ามาเฉลี่ย ทำให้ผลประกอบการเริ่มดีขึ้น ตั้งแต่มีนาคมเป็นต้นไป

ประกอบการในไตรมาสที่ 1 ปี 2019 รายได้จากการขายและบริการของเราอยู่ที่ 7091 ล้านบาท สูงกว่างวดไตรมาส 1 ของปี 2018 อยู่พอสมควร คือบวกอยู่ 34.7 เปอร์เซ็นต์ หลักๆเนื่องจากไตรมาสที่ 1 ปีนี้เราขายได้มากกว่า 20%  ของไตรมาสที่ 1 ในปี 2018 , ปีนี้ไตรมาส1 เราขายได้ 4 แสนตันในขณะที่ปีที่แล้วไตรมาส 1 แล้วขายได้ที่ 320,000 ตัน แต่ถ้าไปดูเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 4 ยอดขายเราตกลงมาเยอะนะครับในไตรมาสที่ 4 ปีที่แล้วขายได้อยู่ 490,000 ตันและในไตรมาสนี้เราขายได้ 4 แสนตันนั่นคือเหตุผลที่ไตรมาส 1 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 4 แล้วลดไปพอสมควร

เรื่องของกำไรขั้นต้นจากผลประกอบการของเราในไตรมาสที่ 1 อยู่ที่ 1168 ล้าน GPM อยู่ที่ 16.5 เปอร์เซ็นต์ มี 2- 3 เหตุการณ์หลักๆเรื่องแรกขายต่างประเทศของเราความจริงคือเราขายแล้วขาดทุนค่อนข้างจะมากในไตรมาสที่ 1 ต่อเนื่องมาจากไตรมาสที่ 4  แต่มีเหตุการณ์ที่ดีคือยอดขายภายในประเทศเราในไตรมาสที่ 1 ขายได้ดีมากแล้วในเวลาเดียวกันก็ขายสินค้าที่เป็นตัวพรีเมี่ยมโปรดักส์ค่อนข้างดีส่งผลให้ผลประกอบการของเราในไตรมาสที่ 1 ดีตามไปด้วย

มีรายการพิเศษคือตอนที่เรา mark to the market ตัวน้ำมันดิบที่อยู่ที่โรงกลั่นเนื่องจากน้ำมันดิบ ณ ตอนสิ้นปีราคาอยู่ที่ 52 เหรียญต่อบาร์เรล มาปลายเดือนมีนาคมของสิ้นไตรมาสที่ 1 น้ำมันดิบขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 68 เกือบ 70 เหรียญต่อบาร์เรลดังนั้นมูลค่าของน้ำมันดิบก็จะสูงขึ้น ที่นี้ตอนที่เรา mark to market ไปตอนสิ้นปี เพราะทุกครั้งที่เราขายหรือเอาน้ำมันดิบมาทำเป็นยางมะตอย ขาย เป็น physical แล้วขาดทุนก็จริงแต่เราจะได้ Reverse  กลับมา ส่วนที่เราได้ตั้งสำรองเรื่องค่าสินค้าคงเหลือที่ถูกด้วยค่าจึงมีรายการพิเศษเป็นการกลับรายการทั้งหมด 791 ล้านบาทด้วยกัน

ส่วน EBIDA ในไตรมาสที่ 1 อยู่ที่ 474 ล้านบาท เปรียบเทียบกับ  162 ล้านบาทของไตรมาส 1 ในปีที่แล้ว

ส่วนกำไรสุทธิของบริษัท อยู่ที่ 718 ล้านบาทเมื่อเปรียบเทียบกับ 304 ล้านบาทของไตรมาส 1 ปีที่แล้ว

อัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์ของเราอยู่ที่ 1.00 ขึ้นมาจากไตรมาสที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 0.93 มาอยู่ที่ 1.00 เหตุผลหลักๆก็คือเรามีการซื้อน้ำมันดิบได้อย่างสม่ำเสมอเหมือนปกติมาตั้งแต่กลางปีที่แล้วและปลายไตรมาสเรามีการซื้ออยู่พอสมควรจึงทำให้ตัวหนี้สินสูงขึ้นมาตามลำดับ

ROE อยู่ที่ 7.7% ROA 6.6 เปอร์เซ็นต์
เหตุการณ์ที่สำคัญอีกเรื่องนึงที่จะขอรายงาน คือ เรื่องของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไฟไหม้ที่ถังเก็บน้ำมันดิบของกลุ่มบริษัทของเราเมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว จนถึงตอนนี้เราก็อยู่ระหว่างการซ่อมสร้าง  จริงๆถังที่เสียหายจริงๆแล้วมี 3 ใบแต่หลังจากที่เราไปตรวจดูแล้วพบว่ามีอีกลูกนึงที่ต้องซ่อมด้วย สรุปคือต้องซ่อม 1 ถังและก่อสร้างใหม่ 2 ถัง ถังที่เราต้องซ่อมจะเสร็จประมาณปลายปี 2019 นี้ในเดือนพฤศจิกายนส่วน 2 ถังที่ต้องสร้างใหม่ คาดว่าจะเสร็จประมาณปลายไตรมาสที่ 1 ปีหน้าครับ ส่วนค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ถ้าท่านสังเกตในงบของเราในไตรมาสที่ 1 จะมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับไฟไหม้อยู่ 143 ล้านบาทปีที่แล้วเรา book ไว้ทั้งหมด 358 ล้านบาทปีนี้มีเพิ่มขึ้นมาอีก 143 ล้านบาทส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับเพลิงไหม้เรื่องหลักๆเลยคือ 1 เรามีค่าที่ต้องเสีย ค่าเสียเวลาให้กับเรือที่ขนส่งน้ำมันดิบที่มาส่งที่โรงกลั่นแล้วไม่สามารถส่งได้เนื่องจากคลังเก็บเรามีน้อยจำเป็นต้องจ่ายค่าที่เขาเรียกว่าให้เรือรอ ค่าเสียเวลาของเรือที่มารอ 2 คือหลังจากที่เราประสบเรื่องของเพลิงไหม้ไปแล้วเราจะพิจารณา เช่า ถังเก็บน้ำมันดิบ ซึ่งเป็นเรือสำหรับเก็บน้ำมันดิบขนาด 2 ล้านบาร์เรล ซึ่งทางบริษัทประกันภัยก็เห็นด้วยกับเรา เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในการให้เรือรอ แล้วเราจึงจะทำเรื่องเคลมกับบริษัทประกันภัยในภายหลัง เราเช่าถังเก็บลอยน้ำอยู่ 6 + 6 เดือน อยู่ที่ประเทศมาเลเซีย

ในไตรมาสที่ 1 เรายังรับน้ำมันดิบได้อย่างสม่ำเสมอ แต่มีเรืออยู่ 1 ลำที่ปลายปีที่แล้วดีเลย์มา ตอนปลายปีที่แล้วก็เลยเข้ามาในเดือนกุมภาพันธ์ ไปโดยเฉลี่ยแล้วก็คือเดือนละ 1 ลำเหมือนเดิม ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ

สำหรับยอดขายไตรมาส 1 ยอดขายเราดี  4-5 ปีที่ผ่านมารัฐบาลในยุคนี้ มีนโยบายที่จะให้ ส่วนราชการต่างๆใช้เงินงบประมาณแผ่นดินตั้งแต่วันแรกของปีงบประมาณเลยคือเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมของทุกปีเลยดังนั้นจะสังเกตได้ชัดว่าความต้องการใช้ยางมะตอยหรืองานของผู้รับเหมาที่ต้องไปซ่อมสร้างถนนก็จะเริ่ม เกิดจริงๆในวันที่ 1 ตุลาคมของทุกปีแล้วหลังจากเงินงบประมาณลดน้อยลงไปงานก็จะค่อยๆซาลงไป

ปกติช่วง Peak Season ของตลาดในประเทศก็ยังเหมือนเดิมยังคงเป็นไตรมาสที่ 4 และไตรมาสที่ 1 ของทุกปีถ้านโยบายของรัฐยังเหมือนเดิม ดังนั้นเราเห็นชัดเจนว่าไตรมาสที่ 1 ยังเป็นไปตามที่เรียนไว้คือเป็นช่วงไฮซีซั่นของตลาดภายในประเทศ ที่ส่งผลดีคือการขายในประเทศขายพรีเมี่ยมโปรดักส์ได้ราคาดีอยู่ในไตรมาสที่ 1 พอสมควรจึงส่งผลให้ผลประกอบการ การขายในประเทศดีมากๆในไตรมาสที่ 1 ในส่วนต่างประเทศ  demand จริงๆยังดีมากๆอยู่ในไตรมาสที่ 1 ต่อเนื่องไปไตรมาสที่ 2 และ 3 เลย ไตรมาสที่ 1 ต้องเรียนว่าเราพยายามจะไม่ขายมากเพราะตอนที่เราขายโดยเฉพาะช่วงต้นปีเราจะขาดทุนมากส่งผลให้ขาดทุนพอสมควรแต่อย่างว่าเราขายขาดทุนแต่เราจะได้ gain มาจากตัว Reverse ของมูลค่าสินค้าคงเหลือกลับมา

ราคาเฉลี่ยของตัว Brent ในไตรมาสที่ 4 อยู่ที่ 68 เหรียญแต่ราคาขายยางมะตอยในไตรมาสที่ 4 อยู่ที่ 63.3 เหรียญ จะเริ่มเห็นเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงขึ้นมาเล็กน้อยในไตรมาสที่ 1 ในปีนี้ Brent จะลดลงมาเหลืออยู่ที่เฉลี่ย 63.8 เหรียญต่อบาร์เรลราคาขายยางมะตอยวิ่งสวนทางขึ้นไปอยู่ที่ 65.3 เหรียญต่อบาร์เรล ตอนนี้ไตรมาส 1 ค่อนข้างจะสวนทางกับไตรมาส 4 ปีที่แล้ว  ต้นทุนน้ำมันดิบของผมค่อนข้างจะดี แล้วราคาก็ดีมากเช่นเดียวกัน ต้นทุน ที่เข้ามาตอนปลายปีถูก เพราะน้ำมันดิบเราลงจะเหลือ 52 เหรียญ แต่ราคาขายเริ่มขึ้นมา ทำให้เราเห็นผลแตกต่างระหว่างไตรมาสที่ 4 ปีที่แล้วกับไตรมาสที่ 1 สัดส่วนการขายของยางของกลุ่มของเราในไตรมาสที่ 1  เราขายยางได้ 4 แสนตันเป็นการขายภายในประเทศ 35%  ร้านขายไปยังต่างประเทศ 65 เปอร์เซ็นต์ ในไตรมาส 1 อย่างที่เรียนว่าเราพยายามขายเท่าที่จำเป็น เพราะ ทุกตันที่เราขายไปยังต่างประเทศคือเราขาดทุน จึงพยายามลดหรือจำกัดการขายลง จึงทำให้ เปอร์เซนต์การขายในประเทศเราโตขึ้นเมื่อเทียบกับต่างประเทศ และราคายางมะตอยที่ขายในประเทศไทยจะสูงกว่าต่างประเทศทำให้ดูในแง่มูลค่าก็จะพบว่าสูงขึ้น ประเทศที่เราส่งออก หลักๆเหมือนเดิม 5 ประเทศ คือ จีน เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซียและออสเตรเลีย แต่ประเทศหลักๆที่ขายได้ดีมากในไตรมาส 1 ก็คือ จีน มาเลเซียและออสเตรเลีย

มาดู Outlook ของไตรมาส 2 และไตรมาส 3
น้ำมันดิบเรายังคงที่จะรับได้เป็นปกติเดือนละ 1 ลำเรือไม่มีปัญหา เราเชื่อว่ายอดขายเราจะยังคงดีต่อเนื่อง หลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้โรงกลั่นของเรา ก็สามารถกลั่นได้ปกติไม่มีปัญหา และความน่าเชื่อถือและยังคงเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ตลาดภายในประเทศ ไตรมาสที่ 2 และ 3 จะเป็น Low season  แต่สิ่งที่เห็นอยู่ในปีนี้ ไตรมาสที่ 1  จะ เห็นว่าผู้รับเหมาบางรายไม่สามารถทำงานได้ตามกำหนดเวลาดังนั้นจะมีงาน บางงานที่ผู้รับเหมา ที่จะต้องใช้ยางมะตอย  delay มาในไตรมาสที่ 2 ทำให้ ไตรมาส2 ปีนี้ก็ยังไม่ใช่โลว์ซีซั่นเหมือนปกติ เมษายนมีวันหยุดเยอะก็ยังขายดี พฤษภาคมก็ยังขายดีอยู่ เราเชื่อว่าไตรมาส 3 ก็ยังขายได้มากอยู่ในปีนี้ เหตุผลก็เพราะว่า มีงานก่อสร้างค่อนข้างเยอะใน 3-4 ปีที่ผ่านมา งานก่อสร้างทั้งหลาย จะใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี คืองานมันออกมาตั้งแต่ 2 3 ปีที่แล้ว ทำงานดินก่อนค่อยมาทำงานผิวถนน แล้วตอนนี้ลูกค้าหลายครั้งแล้วก็แจ้งเข้ามาแล้ว ว่าจะต้องเริ่มใช้ ยางมะตอยเพื่อทำผิวถนนในช่วงประมาณไตรมาสที่ 3  ดังนั้นไตรมาสที่ 3 ปีนี้ก็คงจะไม่ใช่ Low season  เหมือนกับปีที่ผ่านมา

ตลาดต่างประเทศ ต้องเรียนตรงๆว่า  demand ยังดีมากๆอยู่ในหลายประเทศ เหตุผลในไตรมาสที่แล้วเราต้องจำกัดการขายเพราะว่าต้นทุนเราแพง เพราะเราขายขาดทุน แต่ตั้งแต่มีนาคมเป็นต้นมาก็เริ่มมีกำไร ตอนนี้เราก็กำลัง ได้รับประโยชน์จากต้นทุนที่ถูก ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เราก็จะเร่งขายไปยังต่างประเทศให้ได้มากที่สุด เพราะตอนนี้เรามีน้ำมันดิบป้อนเข้ามาอย่างสม่ำเสมอและต้นทุนที่ดีดังนั้นจะจะเร่งขายตลาดต่างประเทศและก็ยังดีมากๆยังขายได้ต่อเนื่อง ตอนนี้เราขายยางมะตอยของบริษัทเราล่วงหน้าไปแล้วถึงสิงหาคม ตอนนี้น้ำมันดิบที่เรามีสามารถกลั่นได้จนถึงเดือนสิงหาคม เรารอรับ น้ำมันดิบจาก venezuela อีก 1 ลำเรือ ในสัปดาห์หน้า หากเรา รับน้ำมันดิบแล้วเท่ากับเราสามารถ กลั่นต่อได้อีก 1 เดือน  ก็คือถึงประมาณปลายเดือนกันยายน

ถาม พูดถึงการส่งออกท่านบอกว่า ขายไปถึงสิงหาคม ไม่ทราบว่ามี Blacklog เท่าไหร่

ตอบ ไม่มี backlog ครับ เป็นการที่เรามีสินค้าอยู่เท่าไหร่แล้วเราก็จะขาย inventory ของเรามีอยู่ถึงสิงหาคม

ถาม ลักษณะการสั่งของที่เราสั่งเป็นเดือนต่อเดือนหรือค่ะ
ตอบ คือ เรือที่ออกเดินทางจะใช้เวลาในการเดินทาง 40 วัน มาถึงโรงกลั่นบวกกับสินค้าคงเหลือที่อยู่ในถังเก็บของเราที่โรงกลั้น เราจะมีเพียงพอกันจนถึงสิ้นเดือนกันยายน

ถาม ที่เราไปเช่าที่มาเลย์ ถังเก็บน้ำมันลอยน้ำ ค่าเช่าเราสามารถเคลมคืนได้ใช่ไหมคะ
ตอบ ค่าเช่าสามารถเคลมกับบริษัทประกันภัยได้ การที่เราเช่าก็เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการให้เรือรอ ค่าใช้จ่ายนั้นอย่างไรเราก็ต้องเคลมอยู่แล้ว เพราะเป็นประกันในส่วนของ Business interruption แทนที่เราจะไปเสียเงินให้กับบริษัทเรือให้เรือรอ เราก็ไปเช่า เพื่อที่จะประหยัดเงิน ให้กลับทั้งบริษัทประกันภัยและประหยัดเงินให้กับตัวเราด้วย คิดง่ายๆนะครับเรือที่มาส่งน้ำมันดิบให้เราตอนนี้ค่าเสียเวลาวันละ 1 ล้านบาท ถ้ารออยู่ 30 วันก็ 30 ล้านบาท แทนที่เราจะมาจ่ายค่าเรือรอ เราก็ไปเช่าถังเก็บน้ำมัน ประหยัดกว่าเยอะเลยครับ

เรื่องประกันเราทำเรื่องไปแล้วสำหรับลอตแรก และทางบริษัทประกันก็ได้ตอบรับมาแล้ว ว่าจะรับผิดชอบ การเกิดเพลิงไหม้ที่ถังเก็บน้ำมันดิบของเรา แล้วก็มีประกันคุ้มครองตามราคาที่เสียหายเขาจะชดเชยให้กับเรา ทีนี้ขึ้นอยู่กับการต่อรอง ค่าใช้จ่ายค่าความเสียหายสามารถจะเรียกคืนได้เท่าไหร่ มี 2 ส่วน คือความเสียหายที่เกิดจาก ทรัพย์สินของเราที่โรงกลั่น ความเสียหายที่เกิดจาก Business interruption อยู่ระหว่างการต่อรอง เราคาดว่าจะได้รับเงินประกันก้อนแรก ในไตรมาสที่ 2 นี้ ตอนนี้เราเชื่อว่า สิ้นเดือนพฤษภาคมนี้ เขาน่าจะจ่ายให้เราได้ เราเชื่อว่าอะไรที่เป็นค่าใช้จ่ายที่เห็นชัดเจน เช่น สินค้าที่อยู่ที่โรงกลั่น ที่ถูกไฟไหม้ไป เคลมได้ 100% อยู่แล้วครับ ไม่มีอะไรที่จะมาต่อรองได้

เป้าในการขาย ปีนี้  ของเราคืออยู่ที่ 1.9 ล้านตัน ผมค่อนข้างมั่นใจว่าจะทำได้ตามเป้า เพราะน้ำมันดิบ เข้ามาได้ตามปกติ อย่างสม่ำเสมอ

มีกฎระเบียบเรื่องของ imo จะออกมาปีหน้า ว่าเรือขมส่งที่เดินในน่านน้ำสากลต้องใช้น้ำมันซึ่งมีสารกำมะถันต่ำลง ดังนั้นหลายโรงกลั่นจึงตัดสินใจที่จะอัพเกรดโรงกลั่นเพื่อผลิตน้ำมันเตาที่มีสารกำมะถันต่ำ และน้ำมันตัวนี้จะมีต้นทุนที่สูงขึ้น เนื่องจากโรงกลั่นลงทุนใหม่หลายหมื่นล้าน

เรือ 1 ลำบรรทุกได้ประมาณ 9 แสนบาร์เรล น้ำมันดิบในถังโรงกลั่นที่เกิดเพลิงไหม้ เป็นช่วงที่ Shut Down  ซ่อมบำรุง ช่างเชื่อม ความร้อนไปเจอกับไอน้ำมันทำให้เกิดประกายไฟ น้ำมันในถัง มีอยู่ประมาณ แสนกว่า barrel เท่านั้นเอง

เรามีถังเก็บน้อย การที่เราไปเท่าเช่าถังเก็บเพิ่ม 2 ถัง ก็จะไม่มีปัญหาเรื่องการรับน้ำมันดิบ ตอนที่เราเช่า น้ำมันดิบตอนต้นปีอยู่ที่ 50 กว่าเหรียญ เราซื้อเข้ามาโดยตลอดสม่ำเสมอตอนนี้น้ำมันดิบอยู่ที่ 70 กว่าเหรียญ ตอนนี้มูลค่าสินค้าคงเหลือ สูงขึ้นเยอะ แต่ในระบบบัญชี มูลค่าสินค้าคงเหลือที่สูงกว่า ห้ามลงบัญชี แต่ถ้ามูลค่าสินค้าคงเหลือต่ำกว่า ต้องบันทึกบัญชีเป็น loss ดังนั้นทุกตันที่เราขายออกไปจะได้กลับคืนมา อาจจะเข้าใจยากนิดนึงเพราะเป็นเรื่องของระบบทางบัญชี

ผมค่อนข้างมั่นใจว่าปีนี้เขาจะทำยอดขายได้ถึง 1.9 ล้านตันตามเป้าหมาย เพราะยอดขายเราไปถึงเดือนสิงหาคมแล้ว โดยเฉพาะต่างประเทศ ปีนี้ต่างกับปีที่แล้วเพราะปีที่แล้วไม่มีน้ำมันดิบ แต่ปีนี้เรามีน้ำมันดิบสม่ำเสมอแล้ว เป้าหมายของเราเป็นเป้าหมายปกติ เพียงแต่ปีที่แล้วทำได้ต่ำเป้า เพราะเราไม่มีน้ำมันดิบเพียงพอ

คำอธิบายเรื่องที่ Reverse inventory 790 ล้าน เพราะว่าเราได้ค่าสินค้าคงเหลือไปแล้ว แล้วสินค้าคงเหลือณ ตอนปลายงวดนั้นถูกขายหมดแล้ว ก็ถูก Reverse กลับมา

ค่าใช้จ่าย 143 ล้าน ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมขึ้นมาจากเหตุเกิดไฟไหม้ ค่าเช่าถังน้ำมัน ลอยน้ำ ค่าใช้จ่ายในการให้เรือรอ (ช่วงแรกก่อนเช่าถัง) แต่ค่าใช้จ่ายเหล่านี้เราจะเคลมกับบ.ประกัน

ในไตรมาสที่ 2  ผมมีความมั่นใจว่า ยอดขายจะสูงขึ้น สูงกว่าไตรมาสที่ 1  ผมคงเรียนได้เท่านี้

ปกติเราจะมีทำ Hedging  อยู่ตัวนึงที่ effective  มากๆ คือ ทันทีที่เราซื้อน้ำมันดิบ ที่ราคาเท่าไหร่ก็แล้วแต่ 30% ประมาณนี้เราผลิตออกมาเป็นน้ำมันจะทำทันทีคือขายล่วงหน้าทันทีถ้าเราขายล่วงหน้าที่ราคาสูงใน paper และถ้าเราไปขายจริงแล้วเราขาดทุน สิ่งที่เราจะทำก็คือเราขาดทุนจากการขายจริง แต่เราจะได้คืนมาจากการที่เราไปทำ hedging คือขายล่วงหน้าไว้แล้ว
ยกตัวอย่างง่ายๆตอนปลายไตรมาสที่ 4  รับซื้อน้ำมันดิบมา 86 เหรียญ  30% ที่เป็นน้ำมันรถไฟล่วงหน้าไปแล้ว ก็หมายความว่าเราขายให้ไปในสัญญาได้ราคาที่สูงมาก แต่พอขายจริงราคามันหลุดมันอยู่ที่ 52 เหรียญ ขายจริงเราจะขาดทุนเยอะ ดังนั้นในส่วนที่ hedging จะได้คืนมา ทำให้มันสมดุลกัน ( ในการทำ hedging มีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น )

ขอให้อธิบายเพิ่มเติม 26 ล้านบาร์เรล ที่อยู่ใน Footnote คืออะไร

26 ล้านบาร์เรลคือตัวเลข ที่เราต้องรับน้ำมันดิบจากเวเนซุเอลา ตามสัญญาระยะยาว ที่เรามีกับเวนเน ตั้งแต่ 1 มกราคม 2014 จนถึงปลายปี  2020 แต่ถ้าเรียนตรงๆเราคงรับไม่ถึงหรอก เพราะว่า ปี 2017 กลางปีถึงกลางปี 2018  เขาไม่สามารถส่งน้ำมันดิบให้เราได้ เรากำลังพยายามขอให้เขาชดเชย ต้องเรียนตรงๆว่ายังไม่ได้

ค่าใช้จ่ายในการประกันภัยจะขึ้นสูงอีกเท่าไหร่
ตอนนี้ยังไม่ทราบ รับทราบแล้วจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

ไตรมาส 2 ยอดขายจะดีมากๆโดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศ ส่วนตลาดในประเทศก็จะไม่ Low เหมือนกับปีที่ผ่านๆมา

ปกติธุรกิจของเรามีธุรกิจภายในประเทศ ธุรกิจในประเทศเราซื้อยางมะตอยในมาขายในประเทศ เป็น Trading ทั่วไป ได้กำไรอยู่แล้ว มากหรือน้อยเท่านั้นเอง ยกเว้น ถ้าไปเก็งกำไรเก็บสินค้าไว้เยอะๆแล้วราคาลดลงไปถึงจะขาดทุนแต่เราไม่ทำอยู่แล้ว

ส่วนตลาดต่างประเทศเราจะใช้ยางมะตอยจากโรงกลั่นของเราไปขายที่ต่างประเทศ ประมาณ 60% (ของยอดขาย) อีก 40 เปอร์เซ็นต์เราไปซื้อยางมะตอยจากโรงกลั่นทั่วไปมาขาย ง่ายๆคือ 40% เป็น Trading ซื้อมาขายไปทั่วไป ไม่ขาดทุนแต่อาจจะกำไรน้อย ส่วน 60 % ตรงนี้คือตัวแปร และส่งผลกระทบให้กับผลประกอบการของเรา เช่น อย่างที่เราเรียนไตรมาสที่ 4 ซื้อน้ำมันดิบในราคาสูงมากต้นทุนในการผลิตขึ้นสูง ในเวลาเดียวกันราคาตลาดลดต่ำลงไปมากทำให้เกิดการขาดทุนเกิดขึ้น
ในทางกลับกัน ปลายไตรมาสที่ 4 น้ำมันดิบลงไปอยู่ที่ 50 กว่าเหรียญต่อบาร์เรลในไตรมาสที่ 1  ปัจจุบันอยู่ที่ 70 กว่าเหรียญ ราคาซื้อขายยางมะตอยกระโดดขึ้นสูงมากต้นทุนถูกยังสูงอยู่ ดังนั้นเราจะเห็น Reversal  ทันทีว่า ยอดขายตปท ในปลายไตรมาสที่ 1 เข้าไตรมาสสองจะมีกำไรพอสมควรกลับเข้ามา ดังนั้นจะมีทั้งขาดทุนและกำไรครับ ถามว่าผู้ประกอบการอย่างเรา อยากจะเห็นอะไรครับที่จริงเราก็อยากเห็นราคาน้ำมันดิบที่มันสม่ำเสมอจะได้ไม่ต้องมาชี้แจงอย่างนี้ตลอด

ถาม สงสัยว่า Marker ราคาน้ำมันของเราคือBrent แต่ในขณะที่ Brent เป็น Light crude ในขณะที่น้ำมันที่เราใช้เรา prefer ที่จะเป็น Heavy ทำไมเราถึงไม่ mark เป็นดูไบ

เป็นคำถามที่ดีมาก ที่ฉีดน้ำมันที่เราซื้อเป็นน้ำมันดิบที่หนักมากๆเลย เวลาซื้อขายกันต้องไปมาร์คกับน้ำมันที่มีสภาพคล่อง จริงๆ ก็ไป mark กับดูไบ ที่จริงแล้ว mark กับดูไบแต่บังเอิญความสัมพันธ์ระหว่างดูไบกับ brent ใกล้ชิดกันและเป็นตัวที่เราหา code ได้ง่ายกว่าส่วนตัวของเราเลยไปมองที่ brent เพราะเราทำ hedging ผ่าน brent สรุปก็คือซื้อขายซื้อน้ำมันดิบเป็นชนิดหนักก็จริงแต่ราคาที่ซื้อขายกัน base on น้ำมันดิบชนิดเบา

น้ำดิบที่เราซื้อเมื่อตอนเข้าโรงกลั่นแล้ว ถ้ามีตัวยางมะตอยประมาณ 60-74%  แล้วแต่ชนิดของน้ำมัน ที่เหลือเป็นน้ำมัน  gas oil หรือ ดีเซลออย ซึ่งมีสารกำมะถันสูง Field Oil น้ำมันเตาที่มีสารกำมะถันสูง หรือตัวนาฟต้าเอง ที่มีสารกำมะถันสูง เพราะตัวน้ำมันดิบที่เราซื้อน้ำมันดิบที่มีสารกำมะถันสูง ไม่สามารถซื้อขายได้ในตลาด ส่วนใหญ่คนที่จะมาซื้อจากเราไป จะซื้อไปเบรนด์แล้วไปขายในตลาดทั่วไป โดยเฉพาะตลาดสิงคโปร์จะเป็นตลาดที่ใหญ่พอสมควร

Hedgeing gain ไม่สามารถ book เข้ามาในบัญชีได้ (หาก physical จริงยังไม่ได้ขายออกไป - ความเห็นส่วนตัว Joe789)

ราคายางมะต่อยมีปัจจัยหลัก 2 ปัจจัยที่ส่งผลกระทบ  1  ขึ้นอยู่กับ demand และ Supply ของยางมะตอยเอง ซึ่งเป็นปัจจัยหลัก ปัจจัยรองลงมาคือราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก
By Joe789