วันพุธที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2566

หลักคิด 38

 สินค้าที่ราคาต่อชิ้นสูง และมาร์จิ้นต่ำเพราะจับกลุ่มลูกค้าระดับกลางล่าง ถึง ล่าง เพราะต้องการหนีคู่แข่ง จะพอไปได้เมื่อ ศก ยังดีอยู่  


พอถึงจุดที่ ศก แย่ กลุ่มลูกค้ากลางล่าง ถึง ล่าง จะเป็นกลุ่มแรกที่มีปัญหาการเงินก่อน และกำลังซื้อจะหดหายอย่างรวดเร็ว 


นั่นคือยอดขายของสินค้าที่ว่าจะตกต่ำมากแบบน่าใจหาย แบบคิดไม่ถึง และกว่าจะรู้ตัวก็กลับตัวไปจับกลุ่มกลางบน ไม่ทันแล้ว  พื้นที่โดนคู่แข่งยึดไว้หมดแล้ว


การเปลี่ยนกลุ่มลูกค้าไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เวลาสร้างแบรนด์ สร้างคุณภาพที่โดนใจลูกค้ากลุ่มใหม่ ใช้เวลามากทีเดียว


@@@@@@@@


TFEX คืออะไร


ตอบ คือ 

ตลาดซื้อขาย "สัญญาล่วงหน้า"  

ตลาด tfex มี ฟิวเจอร์ กับ ออปชั่น


(ฟิวเจอร์) สัญญาล่วงหน้า เปรียบเสมือน  ใบจอง


ให้นึกถึงใบจองรถ

สมมติ รถราคา 1 ล้าน

เราจองไว้ 5,000 บาท

นัดรับรถ อีกสามเดือนข้างหน้า


พอเวลาผ่านไป 1 เดือน ราคารถ กลายเป็น 1.2 ล้าน เท่ากับกำไร 2 แสน จากเงินจอง 5,000 บ.


ถ้าราคา ผ่านไป 2 เดือน ราคารถเป็น 2 ล้าน เท่ากับกำไร 1 ล้าน จากเงินลงทุน 5,000


แต่ ถ้าราคารถ ลดเหลือ 995,000 เงินจองจะหายไป ใบจองจะไม่มีค่า (ใครจะซื้อใบจอง 5,000 เพื่อที่จะซื้อรถราคา 1 ล้าน)

ดังนั้น ใบจองจะกลายเป็น 0


คนส่วนมากไม่ซื้อใบจอง 5,000 บ.


🎾🎾🎾🎾


คนส่วนมากคิดว่า ถ้ามีเงิน 1 ล้านเพื่อซื้อรถ เอาไปซื้อใบจอง 1 ล้านแทนดีกว่า เท่ากับจองรถได้ 200 คัน


หากราคารถขึ้นแค่ 10,000 บาท ราคารถเป็น 1,010,000 บาท 


เท่ากับ กำไร 2 ล้าน จากเงิน ลงทุน หนึ่งล้าน (10,000×200)


และการที่ราคารถ จะขึ้น 10,000 จาก ราคารถ 1 ล้าน เท่ากับขึ้นแค่ 1% ก็ได้แล้วนะ


ประเด็นคือ ถ้าราคารถ ลดลงแค่ 0.5% ( ราคารถจาก 1ลบ ลดไป 5,000 บาท เหลือ 995,000)


เงิน 1 ล้าน ที่ซื้อใบจอง 200 ใบ จะหายไปหมด !!!


แต่ ก่อนที่ใบจองจะไม่มีราคานั้น เช่น รถราคาลดลงมา 4,000  จะเสมือน ใบจองเหลือมูลค่า 1,000 โบรค จะเรียกเติม เงินจอง หรือเรียกว่า เติมมาร์จิ้น


เพราะจะมี สัญญาการวางหลักประกัน ว่าขั้นต่ำ ต้องวางเท่าไร (5,000 ที่ซื้อใบจอง คือหลักประกัน)


ต่อมาพอราคา รถ ลดเหลือ 996,000 เท่ากับใบจองเหลือมูลค่า 1000 โบรกจะเรียกให้เติมมาร์จิ้น  (วางเงินจองเพิ่ม) ไม่งั้นจะปิดสัญญาจอง เพราะหากราคารถ ลงต่ำกว่า 995,000 เดวลูกค้าจะไม่มีเงินมาจ่าย


คือ สัญญาฟิวเจอร์ส นี้ ไม่ได้ทำกับโบรค แต่ทำกับ นลท คนอื่นในตลาด คือใครอยากทำสัญญาก็ ส่ง ออเดอร์ เข้า pool


โบรค มีหน้าที่ดุแลให้ลูกค้าของตัวเองซื้อขาย และทำตามสัญญา 


ดังนั้น เมื่อมาร์จิ้นลดลงต่ำถึงจุด ที่ลูกค้าใกล้ติดลบ ลูกค้าจะโดน margin call (เรียกให้เติมหลักประกัน) ไม่งั้นจะโดน force sell (บังคับการปิดสัญญา) 


การบังคับปิดสัญญา ทำตรงกันข้ามกับตอนเปิดสัญญา เช่น ซื้อใบจองซื้อ เอาไว้ ( Long) เวลาโบรกบังคับปิดสัญญา ก็จะทำการ ขายใบจองซื้อ( Short) ในราคาตลาดทุกราคา ณ วันที่เรียกให้เติมหลักประกันแต่ไม่เติม


การโดนบังคับขายทุกราคานั้น มักจะทำให้ ราคาไหลลง ต่อเนื่อง


🎾🎾🎾🎾🎾


มันยังมี option ในตลาด tfex


ใบจอง (futures) = สัญญาล่วงหน้าว่าจะซื้อรถ (ใบจอง)


Option = สัญาล่วงหน้า ว่าจะซื้อขาย สัญญาล่วงหน้าอีกที (สัญญาล่วงหน้าว่าจะซื้อจะขาย ใบจอง)


Option 

- สัญญาล่วงหน้าว่าจะซื้อ ใบจองซื้อ เรียก Long Call


- สัญญาล่วงหน้าว่าจะ ขาย ใบจองซื้อ เรียก Short Call


-  สัญญาล่วงหน้าว่าจะ ซื้อ ใบสัญญาจะขาย Long Put


- สัญญาล่วงหน้าว่าจะ ขาย ใบสัญญาจะขาย Short Put


@@@@@@


จากที่หาข้อมูลเกี่ยวกับการบันทึกบัญชีในกรณีที่ขาดทุนจากการลงทุนในบริษัทย่อย ได้ข้อมูลดังนี้


การขาดทุนจากการลงทุนในบริษัทย่อยจะปรากฏในงบกำไรขาดทุน (Profit and Loss Statement) 


โดยปกติแล้ว, การขาดทุนจากการลงทุนนี้จะถูกจัดประเภทเป็น "ค่าใช้จ่าย" หรือ "ขาดทุนจากการลงทุน" ซึ่งจะแสดงผลต่อกำไรหรือขาดทุนสุทธิของบริษัทในช่วงเวลานั้น ๆ 


ไม่สามารถบันทึกการขาดทุนจากการลงทุนในบริษัทย่อยในงบดุลโดยตรงโดยไม่ผ่านงบกำไรขาดทุนได้ ในการทำบัญชี


การขาดทุนหรือกำไรจากการลงทุนต้องผ่านการบันทึกในงบกำไรขาดทุนก่อน เพื่อสะท้อนผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทในช่วงเวลานั้นๆ


เมื่อการขาดทุนจากการลงทุนได้รับการบันทึกในงบกำไรขาดทุนแล้ว, ผลลัพธ์นี้จะส่งผลต่อ "กำไรสุทธิ" หรือ "ขาดทุนสุทธิ" 


ซึ่งจะถูกนำไปปรับปรุงทุนของเจ้าของหรือ "equity" ในงบดุล ดังนั้น, แม้ว่าการขาดทุนจากการลงทุนจะไม่ถูกบันทึกโดยตรงในงบดุล, แต่ผลกระทบของมันก็จะสะท้อนอยู่ในงบดุลผ่านทางการเปลี่ยนแปลงในทุนของเจ้าของ.


ในกรณีของการถอนการลงทุนที่เกิดการขาดทุนทางบัญชี, ก็ไม่สามารถบันทึกการขาดทุนนี้โดยตรงในงบดุลโดยไม่ผ่านงบกำไรขาดทุนได้เช่นกัน. การขาดทุนจากการถอนการลงทุนจะต้องถูกบันทึกในงบกำไรขาดทุนเสียก่อน.


หลักการของการบันทึกบัญชีคือการขาดทุนหรือกำไรจากการลงทุน (ไม่ว่าจะเป็นผลจากการขายหรือการถอนการลงทุน) ต้องถูกบันทึกในงบกำไรขาดทุนเพื่อสะท้อนถึงผลกระทบทางการเงินของกิจกรรมดังกล่าวต่อผลการดำเนินงานของบริษัทในรอบบัญชีนั้นๆ 


จากนั้นผลกระทบของการขาดทุนจากการถอนการลงทุนนี้จะถูกสะท้อนในทุนของเจ้าของหรือ equity ในงบดุล. 


การบันทึกทางบัญชีนี้ช่วยให้แน่ใจว่างบการเงินทั้งหมดของบริษัทมีความสมบูรณ์และสะท้อนถึงสถานะทางการเงินที่แท้จริง.



หากการบันทึกบัญชีเป็นไปตามที่หาข้อมูลมาได้  งบ TU ปี 2566 จะ ?????


ที่แน่ๆคือ จากงบเก้าเดือน 2566 TU มีส่วนผู้ถือหุ้น 75,466 ล้านบาท การขาดทุน 18,500 ล้านบาท คิดเป็นเกือบ 25% ของส่วนผู้ถือหุ้น


@@@@@@@



การขาดทุน 18,500,000,000 คิดเป็นประมาณ 25% ของส่วนผู้ถือหุ้น 


การตัดธุรกิจที่ไปลงทุนเอาไว้แล้วมีผลขาดทุนออก ก็จะทำให้ผลขาดทุนนั้นหายไปในระยะยาว


กรณีของ TU เปรียบเทียบภาพง่ายๆแบบนี้


สมมติทุนฝากเงินธนาคารไว้หนึ่งล้านบาท  ได้ดอกเบี้ย 1% ก็คือ ได้ดอกเบี้ย 10,000 บาท


ต่อมาอยู่ดีๆ เงินในบัญชีคุณลดลงเหลือแค่ 750,000 บาท แล้วคุณ ได้ดอกเบี้ยเพิ่มมาเป็น 11,000 บาท


คำถามคือคุณควรจะดีใจหรือเสียใจที่ได้ดอกเบี้ยเพิ่มกันแน่  


บางคนบอกว่าควรจะดีใจเพราะเงินจาก 1,000,000 เหลือ 750,000 บาทก็จริง แต่ได้ผลตอบแทนเพิ่มอีกปีละ 1000 บาทในระยะยาว  จากผลตอบแทน 10,000 บาท กลายเป็น 11,000 😆😆😆


และนี่คือการรับรู้ของนักลงทุนบางกลุ่ม 


@@@@@@


มันมีบางบริษัทที่เล่นหุ้นโดย manipulate งบการเงิน


แกล้งตั้งด้อยค่าหรือตั้งสำรองมากๆ  แล้วให้นอมินีกว้านซื้อหุ้น แล้วภายหลังจะออกมาบวกกลับการตั้งสำรอง 


โดยบอกว่า ไม่ขาดทุนหนักเท่าที่ตั้งด้อยค่าหรือตั้งสำรองไว้ 


ทริกกี้แบบนี้ ในอดีตเคยเจอเหมือนกัน


สำหรับบ.ที่ทำแบบนี้ คือบอกเลยว่าไว้ใจไม่ได้อีกต่อไป

@@@@@@


ต้นทุนเงินทุน คือ ค่าเสียโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนจากการนำเงินนั้นไปลงทุนอย่างอื่น+ความเสี่ยงของสินทรัพย์ที่ไปลงทุน

@@@@@


การจัดพอร์ตหุ้นปันผล เพื่อลงทุนระยะยาว เพื่อกระแสเงินสดที่จะไหลเข้ามาอย่างยั่งยืน


พยายามเลือกหุ้นที่มีการเติบโตพอประมาณ  


ไม่เน้นไปที่หุ้นที่มีการเติบโตสูงจนเกินไป 


เพราะหุ้นที่มีการเติบโตสูงมากเกินไปนั้น มักจะไม่สามารถเติบโตในระดับนั้นได้ เกินสามถึงห้าปี 


และราคามักจะ เกินมูลค่าอยู่มาก ทำให้จังหวะที่ซื้อหุ้นเหล่านั้นมักจะได้หุ้นที่เกินมูลค่า & ปันผลต่ำ 


พอการเติบโตลดลงสู่ภาวะปกติก็จะกลายเป็นการติดดอยแบบถาวร


ส่วนหุ้นซุปเปอร์สต๊อกที่จะเติบโตสูงสูงและเป็นดาวค้างฟ้า  เปรียบเสมือน การหวังว่าจะถูกหวยรางวัลที่หนึ่งพร้อมกันหลายหลายใบ 


แต่หุ้นที่มีการเติบโตเฉลี่ยปานกลาง ปันผลดีพอใช้ได้  ราคาไม่เกินมูลค่า หาได้ไม่ยากนักในตลาดหุ้นไทย เหมาะแก่การสร้างพอร์ตปันผลเพื่อความยั่งยืนของกระแสเงินสดในระยะยาว 


แต่ราคาหุ้นมักจะไม่เร้าใจเหมือนหุ้นที่เติบโตสูงๆและมีคนเชียร์มากๆ


@@@@@


คุณสมบัติของคนที่จะโดนขาใหญ่กินเงิน 


- ซื้อหุ้นตามแรงเชียร์

- ซื้อหุ้นที่ราคาเกินมูลค่า

- รู้ว่า ราคาหุ้นเกินมูลค่า แต่ในใจคิดว่า “เอาว่ะ มั่นใจในสิ่งที่ขาใหญ่บอก”

- กลัวไม่รวยเหมือนขาใหญ่ แต่ลืมดูต้นทุนตัวเองเทียบกับคนเชียร์

- ปันผล ช่างหัวมัน เอากำไรจากราคาหุ้นเร็วๆดีกว่า ปันผลมันกระจอก

- ไม่เคยรู้มูลค่าของหุ้นที่ตัวเองซื้อ

- ประเมินมูลค่าไม่เป็น

- ความรู้น้อยแต่ ใจเต็มร้อยในการเก็งกำไร 

- เน้นเข้าไวออกไว

- ฟังข่าวดีนิดเดียว มองโลกในแง่บวกใหญ่โต ลืมคำนวณว่าข่าวดีที่ว่ามีผลต่อบริษัทขนาดไหนกันแน่


หากทำได้ครบ ได้เป็น เม่าตัวจริง แน่นอน 👍👍👍

@@@@@


ถ้าคุณลงทุนในอสังหามานานพอสมควร คุณจะได้ยินคำว่าบ้านล้นตลาด คอนโดล้นตลาด เป็นรอบๆ แต่ตอนที่มันไม่ล้นตลาด ข่าวมันจะไม่มาบอกคุณหรอกว่ามันไม่ล้นตลาดแล้วนะ 


อีกอย่างหนึ่ง  คือบริษัทใหญ่ที่มียอดขายเติบโต โดยมากแล้วการเติบโตเกิดจากการกินมาร์เก็ตแชร์ จากผู้พัฒนาอสังหาอิสระรายเล็ก 


เพราะผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่มีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำกว่า  


แบงค์มักจะปล่อยกู้ให้กับลูกค้าที่ซื้อจากผู้พัฒนาสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ง่ายกว่าลูกค้าที่ซื้อจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์อิสระ 


รวมถึงปล่อยกู้ให้เต็มวงเงินได้มากกว่า ให้เรทดอกเบี้ยที่ดีกว่า พวกนี้คือเรื่องจริงที่คุณอาจจะไม่เคยรู้


เวลาดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น  ผู้พัฒนาอสังหารายเล็กมักจะขาดสภาพคล่องก่อน มักจะต้องหยุดงานหยุดการพัฒนา นั่นแหละคือโอกาสในการกินมาร์เก็ตแชร์ของผู้พัฒนาอสังหารายใหญ่ 


การที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่มีการกระจายโครงการออกไปจำนวนมากหลายทำเล หลายระดับราคา ทำให้จับลูกค้าได้หลายกลุ่ม เหล่านี้ก็เป็นการกระจายรายได้ที่ดี ทำให้รายได้มีความสม่ำเสมอมากขึ้น กว่าผู้พัฒนารายเล็กที่มีโครงการน้อย 


 อนึ่ง ลองคิดดู หากคุณเป็นนายแบงค์ แล้วคุณ ต้องยึดบ้านลูกค้าที่ผ่อนไม่ไหวจากหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีสะอาดสะอ้าน มีโอกาสขายต่อได้ง่ายกว่า


เทียบกับยึดบ้าน ที่เกิดจากผู้พัฒนาอิสระ หมู่บ้านอิแหล่ะเขะขะ ไม่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีหมู่บ้านก็ดูไม่สะอาด สภาพหมู่บ้านแบบนี้เวลายึดมาจะขายต่อก็ขายยาก


เห็นได้ชัดว่าบ้านในหมู่บ้านแบบไหนที่นายแบงค์อยากได้มากกว่ากัน หากจะต้องยึดมาเพื่อขายต่อ และหมู่บ้านแบบไหนที่มีความเสี่ยงสูง 


และบ้านในหมู่บ้านแบบไหนที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า ทำให้อาจจะให้ส่วนลดในแง่ของดอกเบี้ยได้มากกว่า

@@@@@@


นักลงทุนที่สร้างพอร์ตหุ้นปันผล โดยสมมุติว่าได้ปันผลปีละ 5% มันไม่ได้แปลว่าคุณมีกำไรแค่ 5% 


เพราะบริษัทจ่ายเงินปันผลจากกำไรซึ่งโดยมากมีอัตราการจ่ายปันผลประมาณ 35 ถึง 40%  


นั่นหมายความว่ามีกำไรสะสมอยู่ในบริษัทประมาณ 60 ถึง 65% 


พูดง่ายๆ ก็คือนอกจากคุณได้กำไรจากเงินปันผลปีละ 5%  คุณยังมีกำไรสะสมอยู่ในบริษัทอีกไม่น้อยกว่า ประมาณ 7% ซึ่งมันจะสะท้อนออกมาในราคาหุ้น 


ตัวอย่างเช่น   สมมุติคุณได้ปันผลปีละหนึ่งล้านบาท มันหมายความว่ามีกำไรสะสมอยู่ในบริษัทปีละ 1.4 ล้านบาท ที่จะสะท้อนออกมาในราคาหุ้นได้ในภายหลัง


@@@@@


การมองหาหุ้นนางฟ้าตกสวรรค์ เป็นหุ้นที่มั่นใจว่าอาจจะเจอเหตุการณ์ไม่ดีชั่วคราวแต่ยังไงก็ไม่เจ๊งแน่แน่ และ บริษัทจะต้องสามารถจัดการกับเหตุการณ์ร้ายชั่วคราวที่ผ่านเข้ามาได้อย่างราบรื่นเมื่อเวลาผ่านไป 


META เคยเป็นเช่นนั้น  2021 ราคาหุ้นเคยขึ้นไปสูงสุดถึง 382.76 เหรียญ


ปี 2022  ราคาหุ้นเคยร่วงลงไปต่ำสุดที่ 88.090 เหรียญ 


ปัจจุบัน ราคาหุ้น META $381


แล้ว KKP หล่ะ ???



@@@@@@


การทยอยซื้ิหุ้นตัวใหม่ ที่มีอัพไซด์มาก ไม่ได้หมายความว่า ต้องซื้อด้วยเงินสดเท่านั้น 


ถ้าคุณถือหุ้นเต็มมือ แต่มีหุ้นหลายตัว หุ้นแต่ละตัวย่อมมีอัพไซด์ไม่เท่ากัน  


หากอยู่ดีๆมีตัวใดตัวหนึ่งมีอัพไซด์เพิ่มขึ้นอย่างมากจากการลดลงของราคา คุณก็อาจจะสับเปลี่ยนจากหุ้นตัวที่มีอัพไซด์น้อยที่สุดในพอร์ต ไปซื้อหุ้นตัวที่มีอัพไซด์สูงเข้ามาแทน 


แต่การสับเปลี่ยนนั้น  ไม่ควรรีบสับเปลี่ยนเป็นก้อนใหญ่ทีเดียวทั้งก้อน เพราะหุ้นที่ราคาไหลลง โดยมากมักยังลงต่อได้อีก (แมลงสาบมักไม่ได้มาตัวเดียว) 


การทยอยสับเปลี่ยนดูจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า 


@@@@@


การที่บริษัทจ่ายปันผลในอัตราประมาณ 35 ถึง 40% ของกำไรที่หาได้ แต่ในฝั่งนักลงทุนที่เป็นผู้รับคิดเป็นดิวิเดนยิว ที่ประมาณ 6% 


แปลว่ากำไรสุทธิที่เหลืออีกประมาณ 60 ถึง 65% สะสมอยู่ในบริษัทเพื่อการเติบโตของบริษัท ได้มากกว่า บริษัทที่เหลือเงินสะสมไว้ในบริษัทน้อย


ฝั่งบริษัทที่จ่ายเงินปันผลสูงถึง 70 หรือ 80% ของเงินกำไรที่หาได้  เท่ากับเหลือเงินสะสมในบริษัทแค่ 20 ถึง 30% ของกำไรสุทธิเท่านั้น 


ในขณะเดียวกันฝั่งนักลงทุนที่เป็นผู้รับเงินปันผลได้ หากได้ dividend yield 6% เท่ากัน ทั้งๆที่บริษัทมี dividend payout ratio ที่สูง แสดงว่าราคาหุ้นมันสูงกว่า


แล้วยังเหลือ กำไรสะสมในบริษัทเพื่อการเติบโตน้อยอีกต่างหาก แสดงว่าบริษัทมีโอกาสเติบโตได้น้อยกว่า 


สรุปคือ มองในฝั่งนักลงทุนที่เป็นผู้รับเงินปันผล  ให้ดูอัตราผลตอบแทนปันผลที่ตัวเองได้รับ และเงินกำไรสะสมในบริษัท เพื่อการเติบโต  


ถ้าทั้งสองตัวเลขนี้สูง แสดงว่าดีต่อนักลงทุน ครับ


@@@@


ตลอดชีวิตการลงทุน ต้องผ่านทั้งตลาดหมีและตลาดกระทิง มีความผันผวนขึ้นลงตลอดทาง   


ลงทุนต่อเนื่องกันไปเพื่อชัยชนะของพอร์ต  บนระยะเวลาที่ยาวนาน  แต่สุดท้ายแล้วเราทุกคนล้วนตายกันหมด โดยที่ไม่รู้ว่าปลายทางนั้นจะชนะเท่าไหร่หรืออาจจะแพ้ก็ได้


แต่สิ่งหนึ่งที่จะทำให้มีความสุขระหว่างการเดินทางได้ และได้มาก คือเงินปันผลที่มากเพียงพอ (ย้ำ ที่มากเพียงพอ) ถ้าทำได้นั่นคือชัยชนะระหว่างการเดินทาง 


เงินปันผลที่มากเพียงพอ  สามารถทำให้คุณเป็นนายของตัวเองได้ สามารถทำให้คุณมีอิสระทางการเงิน สามารถแก้ปัญหาหลายหลายอย่าง ระหว่างการลงทุนที่ยาวนานตลอดชีวิตของคุณได้


จะว่าไปแล้วก็คล้ายกับบริษัทที่มีเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ในการทำธุรกิจ ที่ต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนาน 


แต่ระหว่างทางบริษัทอยู่ได้ด้วย “กระแสเงินสด”  กระแสเงินสดของบริษัทเปรียบเสมือนเส้นเลือด ไม่ว่าตัวเลขจะโชว์ว่ามีกำไรเท่าไหร่ หากขาดซึ่งกระแสเงินสดก็ต้องล้มหายตายจากกันไป


@@@@


สำหรับคนที่ไม่มองหุ้นเป็นการเทรด แต่มองหุ้นเป็นการซื้อหุ้นส่วนเพื่อการลงทุน ลองมองในมุมที่ว่า 


มันจะดีแค่ไหน หากเราสะสมหุ้นของบริษัทดีๆ มีความมั่นคงสูง มีศักยภาพในการทำกำไร มีการเติบโตพอสมควร ในราคาคุ้มค่า  แทบทุกบริษัทเท่าที่จะหาเจอและติดตามไหว สะสมหุ้นเข้าพอร์ตหุ้นของเรา 

@@@@@@


ถึงคุณจะหาหุ้นอย่าง $META $MSFT $AMZN $GOOGL $AAPL  เจอ  แต่ก็มีน้อยคนมากๆที่จะสามารถทำกำไรได้เป็น 1000% หรือเป็น 10,000% ตามหุ้นเหล่านี้มีราคาขึ้นมาจริง 


เพราะความเป็นจริงหุ้นขึ้นมาแค่ 30% 50% พวกคุณก็รีบขายหุ้นทิ้งกันแล้ว  โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีมายด์เซ็ทเป็นเทรดเดอร์ ร้อยละ 90 เห็นราคาหุ้นขึ้นมากมากๆแล้วพอจะมี correction แม้จะชั่วคราวก็จะรีบขายหุ้นหนีกันแล้ว 


คุณต้องยอมรับความจริงว่าที่คุณไม่เคยได้กำไร หลาย 100% หรือเป็น 1000% อุปสรรคที่แท้จริงคือ ตัวคุณเอง !!!


ถ้าแค่เรื่องพื้นฐานเบื้องต้นคือการยอมรับถึงต้นเหตุของปัญหาและอุปสรรค  ยังทำไม่ได้ แน่นอนว่าย่อมจะแก้ปัญหาไม่ได้