วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2565

หลักคิด 01

ตลาดหุ้นระยะสั้นคือการลงคะแนน ระยะยาวคือตาชั่ง 

ให้เชื่อการวิเคราะห์จากการชั่ง ไม่ใช่การให้คะแนน แต่ให้หาประโยชน์จากการให้คะแนน

**********
อย่าเฝ้ารอที่จะขายให้ได้ราคาดีๆ
แต่ให้รอซื้อให้ได้ในราคาที่ดี 
ที่แม้จะขายในราคาธรรมดา
ก็ยังได้ผลตอบแทนที่ดี

**********
- หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย แน่นอนว่ามีมากเกินไปย่อมไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่การมีน้อยเกินไปก็จะทำให้เสียโอกาสได้เช่นกัน ควรมีในระดับที่เหมาะสมที่สามารถบริหารจัดการได้ ทั้งในยามปกติและในยามวิกฤต รวมถึงมันต้องเป็นหนี้ที่ดี ที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไรได้ด้วย 

- พีอีปัจจุบัน คือการมองโดยใช้กำไรที่ผ่านมาแล้วต้องอย่าลืมมองถึงอนาคตด้วย

- พีบี เป็นค่าที่ดูแล้วจะเป็นปัจจุบันและจับต้องได้มากที่สุด แต่มันก็เพิ่มหรือลดได้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการทำกำไรในอนาคตด้วยเช่นกัน

**********
การลงทุน ให้มุ่งเน้นไปที่กระแสเงินสดที่บริษัทสร้างได้ ไม่ใช่ราคาที่มีคนมาเสนอซื้อต่อจากเรา

**********
สิ่งที่ต้องระวังให้มากก็คือ การซื้อหุ้นหรือบริษัทที่มีคุณภาพต่ำ ในยามที่เศรษฐกิจดีหรือในภาวะตลาดกระทิง

**********
ทรัพย์สินหรูหราส่วนมากที่คนมองเห็นมักไม่ใช่ความมั่งคั่ง เช่น รถหรู บ้านใหญ่โตหรูหรา 

มันเป็นอาจดูโก้หรู แต่มันไม่สามารถสร้างกระแสเงินสดได้ และสิ่งของเหล่านั้นมักจะเสื่อมค่า ด้อยค่าลงไปเรื่อยๆตามกาลเวลา

ความมั่งคั่งแท้จริงแล้วไม่ใช่สิ่งที่มองเห็น เช่น เงินใน บช ธนาคาร , พอร์ตหุ้น , เงินปันผล

**********

ผลตอบแทนต่อปีจะมากแค่ไหนก็ตาม สิ่งสำคัญคือเราอยู่กับมันได้ยาวนานแค่ไหน

อัตราผลตอบแทนนั้นควบคุมยากเพราะขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก แต่เราจะลงทุนยาวนานแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับตัวเราเป็นหลัก

**********

ส่วนที่สำคัญที่สุดของแผนการลงทุน คือ แผนการรองรับเมื่อแผนการลงทุนนั้น ไม่เป็นไปตามที่คาด

**********

คนจำนวนไม่น้อยอดทนไม่ได้เวลาเห็นคนอื่นทำเงินได้จากไอเดียใหม่ๆหรือเทคโนโลยีที่ดูหวือหวา สุดท้ายก็ไปร่วมวงกับเขา โดยยอมทิ้งหลักการของตนเอง 

ศัตรูตัวฉกาจของนักลงทุน ก็คือตัวนักลงทุนนั่นเอง
**********

เวลาที่คุณซื้อหุ้นลงทุนในบริษัท คุณไม่ได้ซื้อเศรษฐกิจภาพรวม แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจอาจจะมีผลต่อบริษัทก็ตาม แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีบริษัทที่สามารถเอาชนะภาพรวมของเศรษฐกิจได้ 

ถ้าคุณลงทุนในบริษัทที่ดี มีความแข็งแกร่งสูง ดัชนีหุ้นก็เป็นแค่ดัชนีหุ้น ตราบใดที่บริษัทยังมีความสามารถในการแข่งขันที่ดี ยังสามารถสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นได้ดี บริษัทยังเอาชนะค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมได้ 

ไม่มีอะไรที่คุณจะต้องกังวลเกี่ยวกับสภาพตลาดหรือดัชนีหุ้นเลย 

ดัชนีหุ้นจะขึ้นหรือลง ส่วนความเป็นเจ้าของในบริษัทที่คุณมีนั้นก็เท่าเดิม

ถ้าบริษัทยังมีความสามารถในการทำกำไรได้ดีอยู่ ดัชนีหุ้นจะขึ้นหรือลงมันก็แค่ความผันผวน ที่ไม่ได้เกี่ยวกับความมั่งคั่งที่บริษัทหาได้ หรือมีเพิ่ม

แต่แน่นอนวิธีคิดจะต่างออกไป ถ้าหากคุณเป็นเทรดเดอร์หรือเป็นนักเก็งกำไร ดัชนีย่อมส่งผล ความผันผวนในแต่ละวันย่อมส่งผลต่อคนที่เป็น trader คนที่เป็นนักเก็งกำไร ความผันผวนระยะสั้นส่งผลให้นักเก็งกำไรรู้สึกร้อนรน

**********

สิ่งของต่างๆ แม้ว่าจะเป็นของแพงดีมีคุณภาพมากแค่ไหน พอได้เป็นเจ้าของสุดท้ายเราก็เบื่อ

แต่การได้เป็นนายของเวลา และการที่เราสามารถเลือกได้เสมอว่าจะทำอะไร ทำกับใคร ทำตอนไหน นั่นคือสิ่งที่เราจะไม่มีวันเบื่อ

การจะเป็นนายของเวลาของตนเองได้ แปลว่าจะต้องเป็นอิสระจากแรงกดดันโดยเฉพาะเรื่องรายได้

**********

เมื่อใดก็ตามที่มันดูดีมากจนไม่สามารถจะดีได้มากกว่านี้อีกแล้ว แต่ทุกคนก็ยังเชื่อว่ามันจะดีกว่านี้ได้ เมื่อนั้นแหละ คือจุดสูงสุดของตลาด

**********

ยึดมั่นในหลักการที่มีเหตุล
ทั้งในช่วงเวลาที่ดีและไม่ดี

**********

สิ่งใดที่ถูกคาดการณ์ได้ สิ่งนั้นมักจะถูกป้องกันและลดความเสี่ยงลง

ส่วนสิ่งที่จะสร้างความเสียหายได้มากมาย ก็คือสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้และไม่มีใครพร้อมรับมือ

หน้าที่ของเรา คือบริหารจัดการการเงินของเรา เพื่อให้แน่ใจว่าจะยังเป็นผู้รอด เมื่อเกิดเรื่องไม่คาดฝัน

**********
วอร์เรนบัฟเฟตต์รักที่จะเก็บรักษาผู้บริหารที่เก่งและช้ำชองไว้ 

CEO ของ ปู่บัฟเฟตต์ สามารถโทรหาปู่เมื่อไหร่ก็ได้ที่เขาต้องการ ซึ่งปู่ก็จะรับโทรศัพท์เสมอ หรือถ้าไม่สะดวกรับก็จะโทรกลับภายใน 1 ชั่วโมง

ปู่ไม่เคยสั่งให้ CEO ทำอะไรเลยเขาแค่ช่วยตัดสินใจในบางเรื่องเมื่อจำเป็นเท่านั้น 

ปู่ไม่เคยยืนกรานให้ CEO ทำอะไร อย่างมากก็แค่ถามในฐานะผู้ตัดสินใจว่าเขาสนใจที่พิจารณาทางเลือกนู้นนี้หรือไม่ 

บทบาทของปู่บัฟเฟตต์คือเฝ้าดูธุรกิจอยู่ห่างๆในระยะยาวโดยจะคอยสนับสนุนทางการเงินให้เพียงพอ ช่วยส่งเสริมค่านิยม และช่วยให้ผู้บริหารระดับสูงขยายขอบเขตความรู้ของตนออกไป

สิ่งที่ปู่เฝ้าดูคือ บริษัทรูปสามารถสร้างผลตอบแทนได้คุ้มค่ากับเงินลงทุนหรือไม่ และ บริษัทลูกสามารถนำกระแสเงินสดส่วนเกินไปลงทุนต่อให้คุ้มค่าได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็ให้ส่งกลับมาที่บริษัทแม่ ปู่บัฟเฟตต์จะได้นำเงินส่วนเกินไปบริหารเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด 

นี่คือสไตล์การบริหาร ของปู่บัฟเฟตต์ 

จะเห็นว่ามีความแตกต่างจากธุรกิจครอบครัว ธุรกิจกวสีโดยทั่วไปเป็นอย่างมาก ที่ไม่ไว้ใจ ชอบล้วงลูก ผู้บริหาร แม้กระทั่งผู้บริหารนั้นเป็นลูกหลานของตนเองก็ตาม

จริงๆถ้าไม่ไว้ใจแล้วก็ไม่ควรจะตั้งให้เป็นผู้บริหารตั้งแต่ต้นด้วยซ้ำ ไม่ใช่ใช้วิธีล้วงลูก ซึ่งจะทำให้ผู้บริหารที่เก่งสุดท้ายแล้วอยู่ด้วยไม่ได้

**********

ตลาดหุ้นเป็นอะไรที่แปลก ยิ่งกระตือรือร้น ยิ่งใจร้อน อยากเร่งทำผลงานมากเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสที่จะขาดทุนมากเท่านั้น 

ส่วนผลกำไรนั้นมักเป็นของคนที่อดทนได้ ใจเย็น และรอเป็น 

เย็นให้พอ รอให้เป็น

**********
- วิเคราะห์ธุรกิจ ลดความสนใจในความเคลื่อนไหวของราคาระยะสั้น 
- ให้ความสำคัญกับส่วนต่างแห่งความปลอดภัย
- มองหาผลตอบแทนที่มีเหตุผล
- เข้าใจและใช้อารมณ์ของในตลาดให้เป็นประโยชน์แทนที่จะไปร่วมวงกับเขา

**********

การลงทุนเป็นเรื่องของการเข้าใจธุรกิจ ซึ่งต้องวิเคราะห์ให้ถี่ถ้วน

ในระยะยาวตลาดจะรับรู้ถึงมูลค่าแท้จริงของบริษัท แม้ว่าจะต้องรอนานหลายเดือน หลายปี และก็แน่ใจได้เลยว่าระหว่างที่รอตลาดอาจจะทำอะไรแปลกๆอยู่เสมอ

การยึดมั่นในหลักการลงทุนที่มีเหตุผล ทำให้ต้องหยุดซื้อหุ้นเพิ่มในยามที่ไม่มีของลดราคาให้ซื้อ เงินสดก็จะถูกสะสมเพิ่มมากขึ้น และเมื่อของลดราคาเริ่มมีมากขึ้น ก็จะถึงเวลาแห่งการซื้อ

**********

มีหลายสิ่ง ที่ไม่ควรค่าแก่การเสี่ยง ไม่ว่ามันจะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้มากแค่ไหนก็ตาม

บ.ที่มีหนี้สินมากเกิน คือ หนึ่งในหลายสิ่งที่เราให้ความสำคัญ

คนเก่ง คนรอบรู้ ที่ไม่มี mindset ที่ถูกต้อง ก็สามารถประสบกับความเสียหายที่มากมายได้

เข้าทำนองรู้ทุกอย่างแต่ไม่รู้ใจตนเอง

คุณภาพของบริษัทเป็นเรื่องสำคัญมาก แต่ถ้ามันไม่มี margin of safety ก็ไม่ควรจะลงทุน

**********

มือใหม่ก่อนเข้าตลาดหุ้น ทุกคนมักจะฮึกเหิม อยากเรียนรู้ไวๆ อยากเทรดไวๆ เพื่อทำกำไรเร็วๆ โดยเชื่อว่ามีเงินเต็มตลาด จะเข้ามา "ล่าเงิน" ในตลาดหุ้น 

พอเข้ามาได้สักระยะถึงได้รู้ว่า ตลาดหุ้นโหดร้ายกว่าที่คิด จากที่คิดว่าจะมาเป็นผู้ล่า กลายเป็นคนโดนล่าเสียเอง เสียเงินแล้วเสียเงินอีก หันไปทางไหนก็ "โดน"  

จะซื้อก็โดน จะขายก็โดน 
ซื้อทีไรแดงทุกที ขายปุ๊ปเขียวปั๊ป
ล้างพอร์ตที่โลว์ทุกที  

ประมาณนี้ เป็นอาการโดนรับน้อง 😆

**********

การมองโลกในแง่บวกช่วยส่งเสริมการหาโอกาสในการลงทุน แต่การเป็นคนขี้สงสัย และระแวงในเรื่องที่เป็นความเสี่ยง จะช่วยให้การลงทุนนั้นมีความระมัดระวังมากขึ้น ช่วยลดโอกาสการขาดทุนได้มากขึ้น

**********
หลายครั้งที่เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันเป็นธุรกิจที่ดี แต่เราต้องตั้งคำถามด้วยว่ามันเป็นการลงทุนที่ดีด้วยหรือเปล่า

ราคาที่แพงเกินไปสามารถเปลี่ยนจากธุรกิจที่ดีให้กลายเป็นการลงทุนชั้นเลวได้

************

แนวทางการลงทุนที่แตกต่างกัน
คำแนะนำต่างๆ มีความเหมาะสมกับแต่ละแนวทาง

ดังนั้นก่อนที่จะเชื่อคำแนะนำใดๆ อย่าลืมดูว่ามันเป็นคำแนะนำสำหรับแนวทางที่เราใช้หรือไม่

************
โดยปกติพื้นฐานทางธุรกิจของบริษัท จะเปลี่ยนไปแบบ 1,000% นั้น โอกาสเกิดขึ้นนั้นแทบไม่มี 

แต่กลับสามารถเห็นราคาหุ้นขึ้นได้เป็นพันเปอร์เซ็นต์ ในระยะเวลาไม่นานนักบ่อยๆ 

ราคาที่เปลี่ยนแปลงขึ้นไปอย่างมากโดยปราศจากการเปลี่ยนแปลงที่มากตามของพื้นฐานกิจการ มารองรับนั้น เกิดได้จากสาเหตุเดียว คือการปั่นราคาหุ้น

***********

ในปีที่น้ำดี แดดดี ต้นไม้ก็โตได้มาก 
บางปีที่น้ำแล้ง ต้นไม้ก็โตได้น้อย 
ถึงมันจะโตได้น้อย แต่มันก็ไม่เคยเตี้ยลง 
ไม่เคยถอยหลัง 

สร้างพอร์ตให้โตทบต้น อย่างต่อเนื่อง ให้ได้เหมือนต้นไม้ ไม่จำเป็นต้องเร่งจนเกินไป แค่อย่าถอยหลังก็พอ