MINT เผยแผน 5 ปี (56-60) ใช้งบลงทุน 4 หมื่นลบ. ขยายธุรกิจเดิม-ลงทุนธุรกิจ
ใหม่ ขณะที่ตั้งเป้ากำไรเติบโตปีละ 15-20%
นายชัยวัฒน์ ไพฑูรย์ รองประธานฝ่ายกลยุทธ์ บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล
(MINT) เปิดเผยว่า บริษัทฯ วางงบลงทุนในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า (2556-2560) ไว้ที่ 4 หมื่น
ล้านบาท โดยบริษัทฯ จะใช้ในการลงทุนขยายธุรกิจเดิม ซึ่งเป็นร้านอาหารและโรงแรม มูลค่า
ประมาณ 2-2.5 หมื่นล้านบาท ในขณะที่บางส่วนบริษัทฯ จะใช้สำหรับการลงทุนในธุรกิจใหม่ใน
ระยะเวลา 5 ปี ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้งบลงทุน กว่า 1.5 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะขยายธุรกิจร้านอาหารเพิ่มขึ้นเป็น 2,400-2,500 สาขาทั่ว
โลก จากปัจจุบันบริษัทฯ มีจำนวนสาขาแล้วกว่า 1,381 สาขา นอกจากนี้บริษัทฯ ยังหาธุรกิจใหม่ๆ
เพื่อต่อยอดธุรกิจเดิมให้แข็งแกร่งมากขึ้น หลังจากปีก่อนบริษัทฯ ได้เข้าซื้อกิจการร้านอาหารภาย
ใต้แบรนด์ริเวอร์ไซด์ ซึ่งอยู่ในประเทศจีน ฉะนั้นจึงคาดว่าจะสามารถขยายสาขาและช่วยเพิ่มราย
ได้ให้กับบริษัทฯ เพิ่มมากขึ้นด้วย
' บริษัทฯ มีแผนที่จะเข้าไปลงทุน หรือซื้อกิจการโดยจะมุ่งเน้นไปลงทุนในประเทศที่
บริษัทฯ ทำธุรกิจอยู่แล้ว เช่น แอฟริกา อินเดีย มิดเดิร์นอีส ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ซึ่ง
บริษัทฯ ไม่ปิดกั้นหากมีประเทศใหม่ที่น่าสนใจเข้าไปลงทุน แต่มองว่าประเทศที่น่าสนใจควรจะ
เป็นการลงทุนในเครือขนาดใหญ่ หรือเป็นธุรกิจที่มีความแข็งแกร่ง แม้ปัจจุบันจากค่าเงินบาทที่
แข็งค่าขึ้นเป็นอานิสงส์หนึ่งที่บริษัทฯ จะเข้าไปซื้อทรัพย์สินในต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มี
ทีมงานในการพิจารณาในการลงทุน ส่วนในธุรกิจโรงแรมและอาหาร บริษัทฯมีทีมงาน M&A ไว้
อยู่แล้ว' นายชัยวัฒน์ กล่าว
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังตั้งเป้ากำไรในระยะ 5 ปีข้างหน้า (2556-2560) เติบโต
ประมาณ 15-20% ต่อปี ซึ่งเป็นเป้าหมายระยะยาวที่บริษัทฯ ได้ตั้งไว้ ในขณะที่ธุรกิจเดิมของ
บริษัทฯ ทั้งร้านอาหารและโรงแรมนั้น ยังคงเติบโตได้ต่อเนื่อง นอกจากนี้การขยายการลงทุนทั้ง
ธุรกิจเดิมและธุรกิจใหม่จะช่วยทำให้บริษัทฯ รับรู้รายได้และกำไรเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาอีกด้วย
' ปีนี้บริษัทฯ คาดว่ากำไรจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% ซึ่งเป็นผลมาจากธุรกิจโรงแรมที่
คาดว่าจะยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งจากการเพิ่มขึ้นของโรงแรมใหม่และโรงแรมที่บริษัทฯ
รับจ้างบริหาร ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นจากปีก่อน ขณะที่โรงแรมในกลุ่มโอ๊ค ซึ่งอยู่ในประเทศ
ออสเตรเลียยังมีโอกาสการเติบโตและสร้างรายได้เพิ่มขึ้นด้วย' นายชัยวัฒน์ กล่าว
นอกจากนี้การเข้าไปลงทุนในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาจะทำให้ปีนี้บริษัทฯ รับรู้กำไรเข้ามา
เพิ่มมากขึ้น โดยในส่วนของธุรกิจร้านอาหาร คาดว่าปีนี้จะเติบโตประมาณ 12-15% หลังจากที่
บริษัทฯ จะขยายสาขาเพิ่มขึ้น นอกจากนี้แบรนด์ร้านอาหารริเวอร์ไซด์ในประเทศจีนจะทำให้ธุรกิจ
ร้านอาหารของบริษัทฯ กลับมามีกำไรเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย หลังจากปีก่อนมีผลขาดทุนจากร้าน
อาหารในประเทศจีน
รายงาน โดย ปริวัฒน์ หินพลอย
เรียบเรียง โดย อาภรณ์ สุภาพ
อนุมัติ โดย อนุรักษ์ ลีประเสริฐสุนทร
ใหม่ ขณะที่ตั้งเป้ากำไรเติบโตปีละ 15-20%
นายชัยวัฒน์ ไพฑูรย์ รองประธานฝ่ายกลยุทธ์ บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล
(MINT) เปิดเผยว่า บริษัทฯ วางงบลงทุนในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า (2556-2560) ไว้ที่ 4 หมื่น
ล้านบาท โดยบริษัทฯ จะใช้ในการลงทุนขยายธุรกิจเดิม ซึ่งเป็นร้านอาหารและโรงแรม มูลค่า
ประมาณ 2-2.5 หมื่นล้านบาท ในขณะที่บางส่วนบริษัทฯ จะใช้สำหรับการลงทุนในธุรกิจใหม่ใน
ระยะเวลา 5 ปี ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้งบลงทุน กว่า 1.5 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะขยายธุรกิจร้านอาหารเพิ่มขึ้นเป็น 2,400-2,500 สาขาทั่ว
โลก จากปัจจุบันบริษัทฯ มีจำนวนสาขาแล้วกว่า 1,381 สาขา นอกจากนี้บริษัทฯ ยังหาธุรกิจใหม่ๆ
เพื่อต่อยอดธุรกิจเดิมให้แข็งแกร่งมากขึ้น หลังจากปีก่อนบริษัทฯ ได้เข้าซื้อกิจการร้านอาหารภาย
ใต้แบรนด์ริเวอร์ไซด์ ซึ่งอยู่ในประเทศจีน ฉะนั้นจึงคาดว่าจะสามารถขยายสาขาและช่วยเพิ่มราย
ได้ให้กับบริษัทฯ เพิ่มมากขึ้นด้วย
' บริษัทฯ มีแผนที่จะเข้าไปลงทุน หรือซื้อกิจการโดยจะมุ่งเน้นไปลงทุนในประเทศที่
บริษัทฯ ทำธุรกิจอยู่แล้ว เช่น แอฟริกา อินเดีย มิดเดิร์นอีส ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ซึ่ง
บริษัทฯ ไม่ปิดกั้นหากมีประเทศใหม่ที่น่าสนใจเข้าไปลงทุน แต่มองว่าประเทศที่น่าสนใจควรจะ
เป็นการลงทุนในเครือขนาดใหญ่ หรือเป็นธุรกิจที่มีความแข็งแกร่ง แม้ปัจจุบันจากค่าเงินบาทที่
แข็งค่าขึ้นเป็นอานิสงส์หนึ่งที่บริษัทฯ จะเข้าไปซื้อทรัพย์สินในต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มี
ทีมงานในการพิจารณาในการลงทุน ส่วนในธุรกิจโรงแรมและอาหาร บริษัทฯมีทีมงาน M&A ไว้
อยู่แล้ว' นายชัยวัฒน์ กล่าว
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังตั้งเป้ากำไรในระยะ 5 ปีข้างหน้า (2556-2560) เติบโต
ประมาณ 15-20% ต่อปี ซึ่งเป็นเป้าหมายระยะยาวที่บริษัทฯ ได้ตั้งไว้ ในขณะที่ธุรกิจเดิมของ
บริษัทฯ ทั้งร้านอาหารและโรงแรมนั้น ยังคงเติบโตได้ต่อเนื่อง นอกจากนี้การขยายการลงทุนทั้ง
ธุรกิจเดิมและธุรกิจใหม่จะช่วยทำให้บริษัทฯ รับรู้รายได้และกำไรเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาอีกด้วย
' ปีนี้บริษัทฯ คาดว่ากำไรจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% ซึ่งเป็นผลมาจากธุรกิจโรงแรมที่
คาดว่าจะยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งจากการเพิ่มขึ้นของโรงแรมใหม่และโรงแรมที่บริษัทฯ
รับจ้างบริหาร ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นจากปีก่อน ขณะที่โรงแรมในกลุ่มโอ๊ค ซึ่งอยู่ในประเทศ
ออสเตรเลียยังมีโอกาสการเติบโตและสร้างรายได้เพิ่มขึ้นด้วย' นายชัยวัฒน์ กล่าว
นอกจากนี้การเข้าไปลงทุนในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาจะทำให้ปีนี้บริษัทฯ รับรู้กำไรเข้ามา
เพิ่มมากขึ้น โดยในส่วนของธุรกิจร้านอาหาร คาดว่าปีนี้จะเติบโตประมาณ 12-15% หลังจากที่
บริษัทฯ จะขยายสาขาเพิ่มขึ้น นอกจากนี้แบรนด์ร้านอาหารริเวอร์ไซด์ในประเทศจีนจะทำให้ธุรกิจ
ร้านอาหารของบริษัทฯ กลับมามีกำไรเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย หลังจากปีก่อนมีผลขาดทุนจากร้าน
อาหารในประเทศจีน
รายงาน โดย ปริวัฒน์ หินพลอย
เรียบเรียง โดย อาภรณ์ สุภาพ
อนุมัติ โดย อนุรักษ์ ลีประเสริฐสุนทร
ศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2556 09:13:08 น.
นางสาวไตรทิพย์ ศิวะกฤษณ์กุล ประธานเจ้าหน้าที่การเงินส่วนกลาง บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) เปิดเผยว่า บริษัท ไมเนอร์ โฮเทล กรุ๊ป จากัด (‘MHG’) บริษัทย่อยของบริษัท โดยบริษัทถือหุ้นร้อยละ 100 ได้เข้าลงทุนในบริษัทใหม่ โดยบริษัท มีทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 1 ดอลล่าร์สิงคโปร์ ชำระเต็มจำนวนแล้ว มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 ดอลลาร์สิงคโปร์ ปัจจุบันได้มีการเพิ่มทุนโดย MHG อีกจำนวน 16 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 480 ล้านบาท โดยแหล่งที่มาของเงินทุนที่ใช้มาจากหุ้นกู้
ทั้งนี้ สินทรัพย์ที่ลงทุน ได้แก่ Vietnam Hotel Project B.V. (‘VHP’) และสินทรัพย์อื่นที่เกี่ยวเนื่องกับการดำเนินธุรกิจ ทุนจดทะเบียน 22,863 ยูโร ซึ่งชำระเต็มจำนวนแล้ว ประกอบด้วยหุ้นสามัญ 22,863 หุ้น ราคาที่ตราไว้หุ้นละ 1 ยูโร ดำเนินธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทในประเทศเวียดนาม เพื่อขยายธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศไปยังประเทศเวียดนาม
นทร์ที่ 28 มกราคม 2556 16:59:18 น.
นายวิลเลียม อี ไฮเนคกี้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล(MINT) และเจ้าของกลุ่มโรงแรมและรีสอร์ตเครืออนันตรา กล่าวว่า กลุ่มโรงแรมเครือไมเนอร์ได้จับมือกับบริษัท เซเว่น ไทด์ส (Seven Tides) ในดูไบ เตรียมเปิดโรงแรมในเครือไมเนอร์แห่งแรกในดูไบ ภายใต้ชื่อ อนันตรา ดูไบ ปาล์ม จูไมราห์ รีสอร์ท แอนด์ สปา โดยรีสอร์ทระดับห้าดาวแห่งนี้จะตั้งอยู่บนเสี้ยววงกลมที่โอบล้อมเดอะ ปาล์ม และจะเปิดให้บริการในเดือน กันยายน 2556 นี้
อนันตรา ดูไบ ปาล์ม จูไมราห์ รีสอร์ท แอนด์ สปา จะประกอบด้วยห้องพักจำนวน 293 ห้อง เกาะกลุ่มตั้งแต่ 4 ห้อง ไปจนถึง 8 ห้องเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัว สระว่ายน้ำแบบลากูนขนาด 11,000 ตารางเมตร เชื่อมต่อห้องพักจำนวน 130 ห้อง นอกจากนี้ยังมีห้องพักในแบบวิลล่า ประกอบด้วย บีช วิลล่า 12 หลัง วิลล่ากลางน้ำ 18 หลัง และรอยัลบีชวิลล่า 3 หลัง โดยมีหาดส่วนตัว บึงธรรมชาติ 3 แห่ง พร้อมกิจกรรมกิฬาทางน้ำ สระว่ายน้ำแบบอินฟินิตี้ อนันตราสปา ที่มีห้องทรีทเมนท์ให้บริการกว่า 12 ห้อง ห้องออกกำลังกาย และสนามเทนนิส 2 สนาม สำหรับการจัดงานเลี้ยงและกิจกรรมประชุมสัมนาต่างๆ ทางรีสอร์ทมีห้องจัดเลี้ยงที่ครบครันไปด้วยระบบเสียงอันทันสมัย โดยห้องบอลรูมสามารถรองรับแขกได้ถึง 300 คน และยังมีบริการจัดงานเลี้ยงหรืองานแต่งงานบนชายหาดส่วนตัวอีกด้วย
ปัจจุบันกลุ่มโรงแรมเครือไมเนอร์มีโรงแรมอนันตรา 3 แห่งในอาบูดาบี ได้แก่ คัสร์ อัล ซาราป เดสเสิร์ท รีสอร์ท โดย อนันตรา (Qasr Al Sarab Desert Resort by Anantara) ซึ่งเป็นพื้นที่ทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในโลก เดสเสิร์ท ไอส์แลนด์ รีสอร์ท แอนด์ สปา โดย อนันตรา ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะเซอร์ บานิ ยาส (Sir Bani Yas) และ อีสเทิร์น แมนโกรฟ โฮเทล แอนด์ สปา ในเมืองอบูดาบี การเปิดตัว อนันตรา ดูไบ ปาล์ม จูไมราห์ รีสอร์ท แอนด์ สปา จะช่วยตอกย้ำชื่อเสียงของแบรนด์อนันตราที่มอบประสบการณ์ที่เป็นมากกว่าการพักผ่อนอันหรูหราให้เป็นที่รู้จักในภูมิภาค และยังเป็นการเปิดตัวแบรนด์ตามแผนการขยายธุรกิจสู่ตลาดดูไบ
"เราตื่นเต้นที่ได้ประกาศเปิดตัวโรงแรมอนันตราแห่งแรกในดูไบ ซึ่งนับเป็นอีกก้าวสำคัญสำหรับไมเนอร์ ซึ่งรีสอร์ทแห่งใหม่นี้จะช่วยให้แบรนด์ของเราแข็งแกร่งขึ้นในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ซึ่งเป็นตลาดเป้าหมายหลักของเรา และผมมีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่ารีสอร์ทแห่งนี้จะเป็นส่วนสำคัญของความสำเร็จของเราในกลุ่มตลาดนี้" นายวิลเลียม กล่าว
พฤหัสบดีที่ 10 มกราคม 2556 06:00:00 น.
ไมเนอร์ กรุ๊ป กางแผนลงทุน 1.5 หมื่นล้านบาท กระจายธุรกิจใหม่ทั่วโลกภายใน 5 ปี ด้วยการเริ่มลุยธุรกิจอาหารในจีน ซึ่งมีตลาดขนาดใหญ่ พร้อมทั้งมั่นใจปี’56 ทั้งเครือทำรายได้ 3 หมื่นล้านบาทนายวิลเลี่ยม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค ประธานกรรมการ และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมแผนการลงทุนเป็นวงเงิน 1.5 หมื่นล้านบาท เพื่อลงทุนปั้นธุรกิจในเครือให้กระจายไปทั่วโลก รวมถึงหาธุรกิจใหม่มาเสริมทัพ ในช่วงระยะเวลา 5 ปีจากนี้ โดยเฉพาะการลงทุนธุรกิจอาหารภายในประเทศจีน ซึ่งบริษัทตั้งเป้าหมาย
ให้เป็นธุรกิจที่ขับเคลื่อนอันดับต้นของบริษัท ผ่านการเข้าไปขยายตลาด รวมถึงการเข้าไปซื้อกิจการของธุรกิจที่มีอยู่ในประเทศดังกล่าว
ล่าสุด บริษัทได้ลงทุนเป็นวงเงินมูลค่า 249 หยวน หรือ ประมาณ 1,200 ล้านบาท สำหรับการเข้าไปถือหุ้นของแบรนด์ “RIVERSIDE” ซึ่งเป็นแบรนด์ ร้านอาหารจีน ซึ่งปัจจุบันมีสาขาทั้งสิ้น 22 สาขาทั้งในปักกิ่ง และ เซี่ยงไฮ้ โดยไมเนอร์ กรุ๊ป เข้าไปถือหุ้นในสัดส่วน 49%
“จีนเป็นประเทศที่มีโอกาสมากเนื่องจากกลุ่มคนที่มีฐานะระดับกลางมีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว มีความสามารถในการใช้จ่ายสูง และ การบริโภคภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น ไมเนอร์ กรุ๊ป เริ่มลงทุนในจีนตั้งแต่ปี พ.ศ 2548 โดยขยายสาขาร้านอาหารเป็น 19 สาขาในปัจจุบันภายใต้ แบรนด์ เดอะพิซซ่า คอมปะนี, ซิซซ์เลอร์ และ ไทยเอ็กซ์เพรส ในปักกิ่ง และ เดอะคอฟฟี่ คลับ ในกวางเจา รวมถึงการบริหารโรงแรมหรูภายใต้ชื่อ อนันตรา ซานย่า รีสอร์ท แอนด์ สปาอีก 7 แห่ง”
อย่างไรก็ดีบริษัทมีความเชื่อว่า?“RIVERSIDE” เป็นร้านอาหารที่มีความแตกต่าง และ มีคู่แข่งขันน้อยการลงทุนในครั้งนี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มความหลากหลาย และจำนวนร้านอาหารให้เป็น 2 เท่า ในประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเท่านั้นแต่ยังช่วยสร้างกำไรให้แก่ธุรกิจรวมถึงสร้างรายได้ ในปีนี้ร้านอาหารแบนด์ดังกล่าวจะมีรายได้ทั้งสิ้น 240 ล้านหยวน หรือ ประมาณ 1.2 พันล้านบาท ขณะที่ปีที่ผ่านมานั้นแบรนด์ดังกล่าวมีรายได้ 180 ล้านหยวน หรือ ประมาณ 900 ล้านบาท
สำหรับไมเนอร์ กรุ๊ป ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาทั้งกลุ่มมีการเติบโตในด้านรายได้ประมาณ 21% หรือ คิดเป็นมูลค่า 2.4 หมื่นล้านบาท โดยเป็นกลุ่มอาหารประมาณ 1 หมื่นล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 12% ในปีนี้คาดการณ์เติบโตของทั้งเครือไว้ที่ 3 หมื่นล้านบาท