"แลนด์"บุกอีสานลุยศูนย์การค้า 3ยักษ์ซุ่มซื้อโฮมโปร-วงในชี้"เอสซีจี"แรง
09 ส.ค. 2556 เวลา 14:12:22 น.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์จับตาบิ๊กดีลซื้อกิจการโฮมโปร "เอสซีจี-ห้าง Harrods-เซ็นทรัล" วงในชี้เอสซีจีภาษีดีกว่า หวังเทกโอเวอร์โตทางลัดกุมธุรกิจศูนย์ค้าวัสดุเบ็ดเสร็จ เผยเบื้องหลัง "แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์" ขายหุ้นโฮมโปรต่อยอดลงทุนห้างเทอร์มินอล 21 อีก 2 สาขาที่จังหวัดขอนแก่น นครราชสีมา ควบศึกษาชะอำผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้วงการธุรกิจค้าวัสดุกำลังจับตามองประเด็นการขายหุ้นบริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือโฮมโปร ที่มีบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือคิวเฮ้าส์ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 30.21% (2,218 ล้านหุ้น) และ 19.77% (1,392 ล้านหุ้น) ตามลำดับ เบ็ดเสร็จถือหุ้นรวมกันคิดเป็นสัดส่วน 49.98% ของทั้งหมด โดยก่อนหน้านี้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา นายรัตน์ พานิชพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ควอลิตี้ เฮ้าส์ ได้ออกมายอมรับเป็นครั้งแรกว่าแลนด์ฯและคิวเฮ้าส์มีแผนจะขายหุ้นที่ถืออยู่ในโฮมโปร ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจา โดยมีนายหน้าของนักลงทุนจากต่างประเทศติดต่อเข้ามาหลายราย คู่ชิง "เอสซีจี-Harrods"แหล่งข่าวจากบริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ดีลขายหุ้นโฮมโปรครั้งนี้ เท่าที่ทราบมีผู้สนใจ 2 รายที่อยู่ระหว่างเจรจา รายแรกคือ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย หรือเอสซีจี ที่ผ่านมาเอสซีจีเคยยื่นข้อเสนอซื้อหุ้นโฮมโปรเข้ามาแล้ว แต่ดีลไม่จบเนื่องจากตกลงราคากันไม่ได้ ส่วนอีกรายเป็นนักลงทุนต่างชาติ มีข่าวว่าน่าจะเป็นกลุ่มห้างสรรพสินค้า Harrods จากประเทศอังกฤษ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเสนอราคาให้สูงกว่ากันอย่างไรก็ตาม เอสซีจีน่าจะเป็นบริษัทที่มีภาษีดีกว่า เพราะในวงการเป็นที่รับรู้กันว่าเอสซีจีพยายามเจรจาซื้อกิจการโฮมโปรมาไม่ต่ำกว่า 2-3 ปี เพื่อใช้เป็นเส้นทางลัดขยายไลน์ธุรกิจศูนย์จำหน่ายวัสดุโมเดลใหม่ที่เป็นร้านขนาดใหญ่ติดแอร์ จากปัจจุบันที่มีโมเดลธุรกิจร้านค้าวัสดุอยู่ 2 รูปแบบ คือ ร้านผู้แทนจำหน่ายโฮมมาร์ท และสยามโกลบอลเฮ้าส์ ที่เป็นศูนย์ค้าวัสดุขนาดใหญ่ในรูปแบบคลังสินค้าไม่ติดแอร์ มีพื้นที่ต่อสาขาไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นตารางเมตร ทั้งนี้ กรณีของสยามโกลบอลเฮ้าส์ ทางเอสซีจีเข้ามาดำเนินธุรกิจโดยการซื้อหุ้นบางส่วนจากกลุ่ม "สุริยวนากุล" ในปีที่ผ่านมา ปัจจุบันมีสถานะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ในบริษัท"ถึงแม้เอสซีจีถือหุ้นอันดับ 2 ในโกลบอลเฮ้าส์ แต่ด้วยจำนวนสาขาที่ยังมีไม่มากประมาณ 20 กว่าแห่ง ในแง่การบริหารเชื่อว่ายังไม่ได้รู้จริง ดังนั้นถ้าจะกุมธุรกิจศูนย์ค้าวัสดุได้อย่างเบ็ดเสร็จ โฮมโปรคือเป้าหมายต่อไป เพราะมีสาขาแล้วถึง 58 แห่ง"ต่อยอดลงทุนห้างเทอร์มินอลแหล่งข่าวกล่าวต่อว่า เหตุผลที่นายอนันต์ อัศวโภคิน ประธานกรรมการบริหาร บมจ.แลนด์ แลนด์ เฮ้าส์ ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่โฮมโปรผ่านทางแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ต้องการขายหุ้นออกไป เพราะต้องการขยายการลงทุนในธุรกิจศูนย์การค้าแบรนด์ "เทอร์มินอล" ทราบมาว่ามีแผนเปิดสาขาใหม่อีก 2 แห่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จังหวัดขอนแก่น นครราชสีมา รวมถึงศึกษาที่ชะอำไว้ด้วย น่าจะต้องใช้เงินลงทุนสูงถึง 1 หมื่นล้านบาท จึงคาดว่าหากขายหุ้นโฮมโปรออกไปก็น่าจะนำเงินที่ได้มาต่อยอดลงทุนศูนย์การค้า"ตอนนี้คุณอนันต์ (อัศวโภคิน) กำลังสนุกกับการทำศูนย์การค้าเทอร์มินอล ส่วนราคาหุ้นโฮมโปรก็ขยับขึ้นมาสูงแล้ว การขยายสาขาของโฮมโปรก็เริ่มเข้าใกล้จุดพีกแล้ว ปีนี้จึงต้องเริ่มแตกโมเดลใหม่เป็นโมเดิร์นเทรดค้าวัสดุแบบไม่ติดแอร์ชื่อเมกาโฮม และเตรียมเปิดสาขาต่างประเทศที่มาเลเซีย จึงเป็นจังหวะที่ดีหากจะขายหุ้นออกไป"แหล่งข่าวประเมินด้วยว่า ในอนาคตกลุ่มแลนด์ฯจะคงเหลือธุรกิจหลักคือ พัฒนาที่อยู่อาศัย โรงแรม และศูนย์การค้า ส่วนธุรกิจอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์ก็ทยอยขายหุ้นออกไป เริ่มจากการขายหุ้น บมจ.ควอลิตี้คอนสตรัคชั่นโปรดัคส์ ผู้ผลิตคอนกรีตมวลเบาคิวคอนให้กับเอสซีจี ขายหุ้นที่ถืออยู่ในโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ปัจจุบันคงเหลือธุรกิจของโฮมโปรผู้สื่อข่าวได้สอบถามนางสุวรรณา พุทธประสาท รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด ได้กล่าวปฏิเสธว่า ขณะนี้ยังไม่มีแผนหรือเจรจากับนักลงทุนที่สนใจซื้อหุ้นโฮมโปรขณะที่ก่อนหน้านี้ นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด หรือเอสซีจี ได้ปฏิเสธที่จะกล่าวถึงการเจรจาซื้อหุ้นโฮมโปรมาโดยตลอด จับตากลุ่มเซ็นทรัลม้ามืดแหล่งข่าวจากร้านผู้แทนจำหน่ายโฮมมาร์ทรายหนึ่งเปิดเผย ว่า ในแวดวงธุรกิจโฮมมาร์ทรับรู้ว่าเอสซีจีสนใจซื้อโฮมโปรมาก มีความเคลื่อนไหวเปิดเจรจาตลอดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่ตกลงราคากันไม่ได้ เพราะแนวทางการทำธุรกิจของเอสซีจีในยุคกรรมการผู้จัดการใหญ่ นายกานต์ ตระกูลฮุน มุ่งเน้นการควบรวมกิจการ แต่การซื้อขายหุ้นราคาต้องสมเหตุสมผล อย่างไรก็ตาม นอกจากเอสซีจีแล้ว กลุ่มที่มีโอกาสเป็นม้ามืดซื้อหุ้นโฮมโปรคือ กลุ่มเซ็นทรัลของตระกูลจิราธิวัฒน์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีเงินทุนหนา และกำลังเร่งขยายสาขาไทวัสดุที่เป็นศูนย์ค้าวัสดุแบบไม่ติดแอร์ลักษณะเดียวกับสยามโกลบอลเฮ้าส์ และสาขาของโฮมเวิร์ค บมจ.โฮมโปรดักส์ เซ็นเตอร์ ปัจจุบันมีสาขา 58 แห่ง ปีนี้มีแผนเปิดสาขาใหม่ไม่ต่ำกว่า 8 แห่ง ขณะที่ผลประกอบการ 6 เดือนแรก ปี 2556 มีรายได้รวม 20,391 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,421 ล้านบาทโบรกฯแจงไม่เชื่อว่าจะขายผู้สื่อข่าวรายงานความเห็นของนักวิเคราะห์ในตลาดหุ้นระบุว่า กระแสข่าวการทำดีลขายหุ้น บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) ในส่วนที่ บมจ.ควอลิตี้ เฮ้าส์ (QH) และ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) ถือนั้นไม่น่าจะเป็นเรื่องจริง เนื่องจากก่อนหน้านี้นายรัตน์ พานิชพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร QH ได้ออกมาปฏิเสธว่า ผู้สนใจเข้ามาซื้อยังให้ราคาที่ไม่ถูกใจ ประกอบกับในมุมมองของฝ่ายวิเคราะห์เห็นว่า หากดีลดังกล่าวจะเกิดขึ้น จะได้รับผลตอบแทนที่ไม่คุ้มค่านัก เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นยังมีทิศทางขาลง หากขายหุ้นในราคาหุ้นละ 14 บาท LH จะได้กำไรจากการถือหุ้น 2,128 ล้านหุ้น ที่ราคา 2.66 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น(EPS) 2.60 บาทเท่านั้น ส่วน QH ซึ่งถืออยู่ 1,392 ล้านหุ้น จะได้กำไร 1.74 ล้านบาท หรือ EPS 1.90 บาทเท่านั้น อีกทั้งการขายหุ้นในราคาระดับนี้นับว่าต่ำกว่าราคาพื้นฐานของหุ้น HMPRO ซึ่งมีราคาหุ้นละ 18-19 บาท ซึ่งจะทำให้ทั้ง LH และ QH ตัดโอกาสการทำกำไรของตัวเอง เมื่อเทียบกับเงินปันผลที่ได้รับปีละ 11% ในความเห็นของนักวิเคราะห์จึงระบุว่า LH และ QH น่าจะรอจังหวะตลาดที่จะให้ราคาหุ้นดีกว่านี้ แล้วค่อยขายหรือถือต่อเนื่องถึง 1-2 ปี เพื่อรับโอกาสการเติบโตของธุรกิจรวมบทวิเคราะห์และข่าว HMPRO
29 Jul 08:47 AMHMPRO - BT 12.70 - ซื้อคาดกำไร 2Q56 เติบโตแข็งแกร่ง Email PDF (542kb)Research by: Suttatip Peerasubคาดกำไร 2Q56 เติบโตแข็งแกร่งประเด็นการลงทุน : กำไรสุทธิ 2Q56 คาดจะเติบโตแข็งแกร่ง 20% YoY คาด SSSGประมาณ 7% และ มีสาขาใหม่ 7 สาขาเมื่อเทียบ YoY ส่วนการที่เศรษฐกิจชะลอการเติบโต คาดส่งผลกระทบไม่มากต่อ HMPRO ซึ่งมีกลุ่มลูกค้ารายได้ปานกลางถึงสูง เรายังมีมุมมองบวกต่อ HMPRO ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากการขยายสาขา อัตรากำไรเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มสัดส่วนสินค้า House brand ขณะที่ตลาดยังมีแนวโน้มขยายตัวอีกมาก อัพไซด์ต่อประมาณการจะมาจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ดี จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น เรามีการปรับ Risk Free rate จาก 3.25% เป็น 3.5% ทำให้WACC เพิ่มจาก 8.49% เป็น 8.56% ราคาเป้าหมาย (DCF) ลดลงจาก 17.80 บาท เป็น 16.70 บาท ราคาหุ้นยังมีอัพไซด์ 31% เราคงคำแนะนำ ซื้อ คาดกำไร 2Q56 เติบโต 3% QoQ และ 20% YoY เป็น 713 ล้านบาท : ยอดขายคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 7% QoQ และ 26% YoY โดยคาดอัตราการเติบโตยอดขายต่อสาขา (SSSG)ประมาณ 7% ฟื้นตัวขึ้นจากในช่วง 2Q55 ซึ่งได้รับผลกระทบจาก Cannibalisation จากการเปิดสาขา เมกะบางนา และ หาดใหญ่ 2 นอกจากนั้น HMPRO มีการเปิดสาขาใหม่ 1 สาขาในไตรมาสนี้ที่ปราจีนบุรี แต่เมื่อเทียบ YoY มีจำนวนสาขาเพิ่มขึ้น 7 สาขา ได้แก่ นครสวรรค์ สมุทรสาคร อุบลราชธานี ราชบุรี จันทบุรี ชุมพร และ ปราจีนบุรี อัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 26.5% ใน 2Q55 เป็น 26.6% จากการที่สัดส่วนสินค้าHouse brand เพิ่มขึ้นจาก 19% เป็นประมาณ 20.5%ตลาดยังเติบโตต่อเนื่อง : คาดว่า HMPRO ได้รับผลกระทบไม่มากจากเศรษฐกิจชะลอการเติบโต และ กำลังซื้อผู้บริโภคลดลง เนื่องจากลูกค้าของบริษัทเป็นกลุ่มลูกค้ารายได้ปานกลางถึงสูง ขณะที่ตลาดสินค้าปรับปรุงซ่อมแซมบ้านยังมีช่องว่างในการเติบโตอีกมาก เนื่องจากรายได้ของผู้บริโภคที่สูงขึ้น ขนาดครอบครัวเล็กลง และ Lifestyle ที่เปลี่ยนไปโดยให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่มากขึ้น นอกจากนั้น ตลาดสินค้าปรับปรุงซ่อมแซมบ้านของประเทศไทยมีสัดส่วนเพียง 1.5% ของ GDP ขณะที่ประเทศตะวันตกมีสัดส่วน 3-5%ขยายสาขาหลากหลาย : HMPRO จะเปิดสาขารูปแบบใหม่ ขายสินค้าวัสดุก่อสร้าง ชื่อMega Home 3 สาขาในปีนี้ ได้แก่ นวนคร แม่สอด และ หนองคาย นอกจากนั้น จะเปิดสาขา 2 แห่งที่มาเลเซียในปี 2557 โดยได้ใบอนุญาตการดำเนินธุรกิจแล้ว และ อยู่ระหว่างขออนุญาตเปิดสาขา เราคาดว่ามีแนวโน้มได้รับการตอบรับดี เนื่องจากมีคู่แข่งน้อยราย ส่วนใหญ่เป็นร้านค้าแบบดั้งเดิมอาจตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์ใน 2H56 : HMPRO อยู่ระหว่างพิจารณาจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อนำเงินมาเป็นส่วนหนึ่งในการลงทุนขยายสาขาใหม่ โดยจะขายโครงการ หัวหิน มาร์เก็ต วิลเลจ เข้ากองทุนฯ ในเบื้องต้นเราประเมินว่า HMPRO จะบันทึกกำไร 1 –2.1 พันล้านบาท ซึ่งอาจเป็นมีการบันทึกครั้งเดียวทั้งก้อนซึ่งจะทำให้กำไรปีนี้เติบโตก้าวกระโดด หรือ อาจทยอยรับรู้ในแต่ละปี ภายใต้สัญญาเช่าเพื่อการดำเนินงาน ซึ่งคาดว่าจะไม่กระทบต่อกำไรของ HMPRO อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากรายได้ที่จะทยอยรับรู้ดังกล่าว จะชดเชยกับรายได้ค่าเช่าโครงการหัวหินที่หายไปความเสี่ยง : Cannibalisation เมื่อมีการเปิดสาขาใหม่ ตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มเห็นสัญญาณที่อาจทำให้เกิดภาวะฟองสบู่ และ การเปิดสาขา Mega Home คาดจะกดดันอัตรากำไรของ HMPRO
18/7/2013
ASP 2Q56
update 28/6/2013
ASP 2Q56
update 28/6/2013
update 7/6/2013
HMPRO ปรับขึ้นต่อ เก็งเม็ดเงินไหลเข้าต่อเนื่อง หลังถูกเข้าคำนวณใน MSCI
วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม 2556
ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO ณ เวลา 15.07 น. บวก 0.10 บาท หรือ 0.63% มาที่ 15.90 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 353.60 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.57% ทั้งนี้ ราคาหุ้น HMPRO ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากระดับราคา 14.80 บาท ในวันที่ 10 พ.ค. มาแตะที่ระดับราคา 15.90 บาท ในวันนี้ (RSI=66.86) จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 7 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” HMPRO จำนวน 2 แห่ง แนะนำ “ถือ” และอีก 1 แห่ง แนะนำ “ขาย” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 66.86 บาท ซึ่งปัจจุบันราคาหุ้น HMPRO เทรดที่ P/E 47.03 เท่า และ P/BV 12.22 เท่า
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (17 พ.ค.) ว่า HMPRO เป็นหุ้นเด่นรายวัน เนื่องจากเป็น 1 ใน 4 หุ้นที่เพิ่งได้รับคัดเลือกเข้าสู่การคำนวณดัชนี MSCI Global Standard เริ่มมีผล 31 พ.ค.นี้ จากการประเมินของ DB ซึ่งเป็นพันธมิตรงานด้านวิจัยของเรา คาดว่าจะมีเงินทุนไหลเข้าซื้อหุ้น HMPRO ประมาณ 48.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ น่าจะเป็นผลดีต่อราคาหุ้นระยะสั้น ด้านการขยายกิจการเป็นไปตามแผน คือ 10 สาขาในปี 56 และจะเปิดเมกะสโตร์จำนวน 3 สาขา ในช่วงไตรมาส 4/56 (นวนคร, หนองคาย และแม่สอด) และอีก 2 สาขาในมาเลเซียปี 58 มีโอกาสตั้ง RIET เพื่อระดมทุน
10/5/2013
บมจ. โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO)
สรุปจากการประชุมนักวิเคราะห์
· การเติบโตของยอดขายต่อสาขา (SSSG) ใน 1Q56 เท่ากับ -1.7% เนื่องจากฐานที่สูงใน 1Q55 โดย SSSG สูงถึง 16.4% จากการที่ความต้องการซื้อสินค้าซ่อมแซมบ้านหลังน้ำท่วม เราคาดว่า SSSG จะกลับมาเป็นบวกได้ใน 2Q56 โดยบริษัทยังตั้งเป้า SSSG 5-6% ในปีนี้
· เร่งการขยายสาขาให้เร็วขึ้น โดยจะเปิดสาขาใหม่ปีนี้ 10 แห่ง จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ 8-9 แห่ง
· จะเปิดสาขา 2 แห่งที่มาเลเซียในปีหน้า สาขาแรกเปิดในช่วงปลาย 1Q57 ซึ่งเปิดในศูนย์การค้า โดย HMPRO อยู่ระหว่างการขออนุญาตเปิดสาขานี้ แต่ได้ใบอนุญาตการดำเนินธุรกิจแล้ว ส่วนสาขาที่สอง คาดจะเปิดในช่วง 4 Q57 เราคาดว่ามีแนวโน้มได้รับการตอบรับดี เนื่องจากมีคู่แข่งน้อยราย ส่วนใหญ่เป็นร้านค้าแบบดั้งเดิม
· เปิดสาขารูปแบบใหม่ขายสินค้าวัสดุก่อสร้าง ภายใต้ชื่อ Mega Home 3 สาขาในปีนี้ ได้แก่ 1) บริเวณนวนคร 2) แม่สอด และ 3) หนองคาย
· ตลาดสินค้าปรับปรุงซ่อมแซมบ้านยังมีช่องว่างในการเติบโตอีกมาก เนื่องจากรายได้ของผู้บริโภคที่สูงขึ้น ขนาดครอบครัวเล็กลงทำให้มีอำนาจซื้อเพิ่มขึ้น และ Lifestyle ที่เปลี่ยนไปโดยให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่มากขึ้น นอกจากนั้น ตลาดสินค้าปรับปรุงซ่อมแซมบ้านของประเทศไทยมีสัดส่วน 1.5% ของ GDP ขณะที่ในประเทศตะวันตกมีสัดส่วน 3-5%
· เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อ HMPRO โดยแนะนำ ซื้อ ให้ราคาเป้าหมาย (DCF) 17.80 บาท