วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

DSM Concept Version 3

 บทความนี้คัดลอกมาจาก pantip นะครับ เป็นอีกแนวทางการลงทุนที่น่าสนใจครับ

สารบัญ
1. DSM (1) – จุดกำเนิด DSM
2. DSM (2) – หัวใจและแนวคิดของ DSM
 3. DSM (3) – คุณสมบัติของนักลงทุนวิธี DSM
4. DSM (4) – ทำไมเวลาต้องอย่างน้อย 2 ปี
5. DSM (5) – ฉันเป็นนักลงทุนประเภทไหน
6. DSM (6) – การเลือกหุ้นเพื่อลงทุนวิธี DSM
7. DSM (7) – เริ่มต้นลงทุนวิธี DSM
8. DSM (8) – กลยุทธ์เมื่อหุ้นลง
9. DSM (9) – DSM วัวเนื้อหรือวัวนม
10. DSM (10) – Warren Buffett ลงทุนวิธี DSM ด้วยหรือไม่
11. DSM (11) – ระบบการซื้อ - ขายหุ้น DSM
12. DSM (12) – หลักการซื้อคืน 3 แบบ
13. DSM (13) – ช่องว่างและการแปลงร่างคืออะไร
14. DSM (14) – หุ้นขึ้นได้หุ้น หุ้นลงได้เงิน
 15. DSM (15) – สิ่งที่ควรคิดเมื่อรักจะเป็น DSMers
16. DSM (16) – DSM 7 ข้อ ดั่งแก้วสารพัดนึก
17. DSM (17) – Q&A DSM จากใจถึงใจ
18. DSM (18) – DSM ความเหมือนที่แตกต่าง
19. DSM (19) – เปรียบเทียบ VI กับ DSM ถึงลูกถึงหุ้น
20. DSM (20) – เปรียบเทียบวิธีการลงทุนของ VI, DSM กับอสังหาริมทรัพย์
21. DSM (21) – เมื่อหุ้นเป็นเทวดาตกสวรรค์จะทำอย่างไร
22. DSM (22) – DSM บุญหรือบาป
23. DSM (23) – 10 คำถามที่ดี ย่อมได้คำตอบที่ดี
 24. DSM (24) – DSM รับประกันเงินต้นคืน100%
25. DSM (25) – กระแสเงินสดแฝงคืออะไร แบ่งรายได้อย่างไร
 26. DSM (26) – กระแสเงินสดแฝงในอนาคตคืออะไร
27. DSM (27) – หลักการตัววัดผล DSM ทั้ง 8 ตัว
28. DSM (28) – เคล็ดลับของความสำเร็จลงทุนหุ้นวิธี DSM
29. DSM (29) – สูตร 3-0-2-8 คืออะไร
30. DSM (30) – DSM Music Theory คืออะไร
31. DSM (31) – DSM Double Theory คืออะไร
32. DSM (32) – DSM Double Pyramid Theory คืออะไร
33. DSM (33) – กลยุทธ์หุ้นDSM สู้ศึก XD ทำอย่างไร
34. DSM (34) – กลยุทธ์หุ้นDSM สู้ศึก XR ทำอย่างไร
35. DSM (35) – SET DSM index คืออะไร




1. DSM (1) – จุดกำเนิด DSMที่มาขอคำว่า DSM มาจากอะไร DSM ย่อมาจาก DenSri Method มาจากชื่อนักลงทุนที่ชื่อเด่นศรี  เป็นคนคิดค้นวิธีการเล่นหุ้นเพื่อการลงทุนด้วยวิธี Short Against Portเป็นคนแรกที่กล้าเปิดเผยวิธีการลงทุนเช่นนี้ และคนตั้งชื่อ DSM คือนักลงทุนชื่อ คลายเครียด (Endophine) เจ้าของ คลายเครียดเรโช อันโด่งดัง ในวันที่ 6 ส.ค.2547 ได้ตั้งชื่อ DSM=DenSri Method  หรืออีกความหมายหนึ่งคือ DSM= Descending Sell Method และเพื่อเป็นเกียรติแก่คุณเด่นศรีที่ได้เปิดเผยเคล็ดลับสู่อิสรภาพทางการเงิน หลังจากนั้นชื่อ DSM ได้ถูกเรียกขานจากนักลงทุนเมื่อพูดถึงแนวทางการเล่นหุ้นเพื่อลงทุนสร้างหุ้นและกระแสเงินสดแฝงแล้ววันที่ 18 ส.ค. 2547 คุณ MacroArt ได้ เสนอชื่อคลับว่า คลับนักเล่นหุ้นเพื่ออิสรภาพทางการเงิน ซึ่งมีความหมายถึงหนังสือ Rich Dad Poor Dad และสุดท้ายก็ได้เปลี่ยนเป็นชื่อ “คลับเพื่ออิสรภาพทางการเงิน” วันที่ก่อตั้งคลับแห่งนี้วันที่ 25 ส.ค. 2547 เป็นวันแรกที่มีอยู่อย่างเป็นทางการของนักลงทุนด้วยวิธีDSM ด้วยประการนี้เอ่ย

2. DSM (2) – หัวใจและแนวคิดของ DSM หัวใจของการลงทุนหุ้น DSM คือ แผนการลงทุนและระบบบัญชี   และเป้าหมายสูงสุดของการลงทุนหุ้น DSM คือ การสะสมจำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นและสร้างกระแสเงินสดแฝงถ้าลงทุนหุ้นตามแผนการลงทุนที่วางเอาไว้อย่างเคร่งครัดแล้วไม่ต้องสนว่าตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น(Uptrend) หรือขาลง (Downtrend) ถ้าได้ถึงระดับนี้ ท่านได้เป็นถึงระดับ Master ซึ่งได้เลื่อนขึ้นมาจากระดับ Basic แล้วนั้นเอง และเมื่อเราทำตามแผนการดีเยี่ยมนี้แล้วจะค้นพบว่าวิธีDSM ตอนเล่นหุ้นขาขึ้นได้ดีกว่าตอนเล่นหุ้นขาลง (ต้องศึกษา สูตร 3-0-2-8 อย่างละเอียดแล้วจะได้คำตอบที่ต้องการ)แนวคิดของ DSM“สะสมจำนวนหุ้นให้เพิ่มมากขึ้นโดยไม่ต้องลงทุนเงินเพิ่ม” เหมือนกับแนวคิดทางด้านเศรษฐศาสตร์การใช้ทรัพย์กร (เงิน) ที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเพื่อให้เห็นภาพง่ายๆ ลองนึกว่า ถ้าคุณมีบ้านให้เช่า ทุกเดือนจะได้ค่าเช่า ค่าเช่าที่ได้นี้ให้สะสมเก็บไว้ เมื่อได้มากพอก็นำไปลงทุนเพิ่ม จากบ้าน 1 หลัง กลายเป็น 2 หลัง จาก 2 หลังกลายเป็น 4 หลัง จาก 4 หลังกลายเป็นโรงแรม (แนวคิดดั้งเดิมจากเกมเศรษฐี ที่คุณโรเบิร์ต ที คิโยซากินำมาประยุกต์และเพิ่มเติมกลายเป็นเกม Cash Flow) ทำไมไม่ควรลงทุนเงินเพิ่ม เพราะสิ่งที่เราลงทุน สิ่งนั้นมันต้องสร้างตัวมันเอง เหมือนกับการให้เงินแต่ละเหรียญทำงานให้ท่าน เพื่อให้มันออกลูกออกหลานเฉกเช่นฝูงปศุสัตว์ในทุ่งหญ้าซึ่งจะช่วยนำรายได้มาสู่ท่าน เป็นกระแสความมั่งคั่งที่หลั่งไหลเข้าสู่ถุงเงินของท่านอย่างไม่ขาดสาย(จากหนังสือเศรษฐีชี้ทางรวย)แนวคิดวิธีDSMนี้ คาดว่านักลงทุนต่างชาติทำคล้าย ๆ กัน ให้ลองสังเกตดู วันไหนเค้าขายวันนั้นหุ้นตก เพราะเค้าคงดูภาวะตลาดเหมือนกัน ถ้าหุ้นลง เค้าก็ขายตาม ไม่ฝืนตลาด โดยเฉพาะขายแล้วต้องลง เพราะเค้าจะได้ซื้อคืนในราคาถูกกว่าที่ขาย ถ้าวันไหนเค้าซื้อ หุ้นก็ขึ้น เพราะเค้าคิดว่า ถ้าซื้อแล้วหุ้นต้องขึ้น  อีกอย่างหนึ่งถ้าซื้อหุ้นมาไว้ในมือ ใครๆก็ต้องอยากให้ราคามันขึ้นไปเรื่อย ๆ แม้จะมีแค่เพียง 100  หุ้น ก็ยังอยากให้ราคามันขึ้น จะได้ขายเอากำไร ยิ่งมีเป็นล้านหุ้น ยิ่งต้องอยากให้หุ้นขึ้น  แต่ทำไมนักลงทุนต่างชาติที่มีหุ้นในมือมหาศาล ทำไมไม่ชอบให้หุ้นขึ้น แต่ชอบให้ขึ้น ๆ ลง ๆ และ ลงหนัก ๆ ทำให้คิดว่าหุ้นขาลงมันต้องมีอะไรดีกว่าหุ้นขาขึ้นแน่ ๆ ถ้าหุ้นขาขึ้นได้กำไร แสดงว่าหุ้นขาลงมันน่าจะอภิมหากำไรเลย และด้วยวิธีนี้ทำให้นักลงทุนต่างชาติจึงมีหุ้นเอามาขายได้เรื่อยๆ  ไม่มีวันหมดสิ้นสักทีเรานักลงทุนหุ้นวิธีDSM ทำตามแนวทางเดียวกับนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งต่อไปจะมีหุ้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มากขึ้นเรื่อยๆ นับจำนวนไม่ได้เลย


3. DSM (3) – คุณสมบัติของนักลงทุนวิธี DSMคุณสมบัติของนักลงทุนผู้ที่จะใช้วิธี DSM1. ต้องเป็นนักลงทุนระยะยาว ระยะยาวในที่นี้คือ ตลอดชีวิต เงินลงทุนนี้จะต้องเป็นเงินเก็บจากเงินที่ต้องจ่ายให้ตัวเองอย่างน้อย 10% จากรายได้แต่ละครั้งและรวมส่วนเหลือจากการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันแล้วและเก็บมาจากรายจ่ายฟุ่มเฟือย (เช่น สุรา เบียร์ บุหรี่ การพนัน เป็นต้น) และห้ามถอนเงินนี้มาใช้เป็นอันขาด เพราะถือว่าเป็นเงินลงทุนตลอดชีวิต ถ้าจะถอนได้ตามสัดส่วนกระแสเงินสดแฝงที่ได้รับเท่านั้น และสามารถให้ทรัพย์สินเป็นมรดกให้กับลูกหลานได้ หรือจะกล่าวว่าวิธี DSM ดีถึงชั่วลูกชั่วหลานก็ไม่ผิดแต่อย่างใด2. ต้องมีแนวคิดในการสร้างรายได้จากพอร์ต ไม่ใช่กำไรจากพอร์ต โดยที่ไม่สนใจ มูลค่าพอร์ตที่ที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงและสิ่งแรกที่ต้องทำคือแยกให้ออกก่อนว่า ความแตกต่างระหว่างทำกำไรส่วนต่างกับการลงทุนเพื่อสร้างรายได้ ถ้าแยกได้แล้วจะลงทุนตามแนวทางนี้ได้สำเร็จ3. อิสรภาพทางการเงินไม่ได้หมายถึงความร่ำรวยมีเงินหลายร้อยล้านพันล้านบาท แต่หมายถึงการมีชีวิตอยู่อย่างพอเพียง มีอิสระที่จะทำสิ่งที่ต้องการทำ อิสรภาพทางการเงินไม่ได้วัดที่จำนวนเงินที่มี แต่วัดกันที่ "ใครมีเวลาเพื่อใช้ชีวิตในแบบที่ตนเองต้องการมากกว่ากัน"4. ต้องมีวินัยในการลงทุน การตัดสินใจลงทุนด้วยวิธี DSM ถ้าหากเลิกกลางคัน จะเกิดความเสียหายมาก ถ้าเลิกก่อนเวลาอย่างน้อย 2 ปี 5. ต้องมีเป้าหมายในอนาคต เป้าหมายนี้ไม่ใช่เงินจำนวนเท่าใด แต่เป้าหมายที่ต้องตั้งคือ "ฉันจะต้องได้รับเงินปันผลเท่าใดจึงจะพอใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน" เพื่อจะมีอิสรภาพทางการเงินในแบบที่ต้องการ6. จิตใจต้องหนักแน่น มั่นคง ไม่วอกแวกกับเสียงทักของนักเก็งกำไรหรือนักพนัน7. ต้องมีเวลาดูแลพอร์ตอย่างเอาใจใส่8. ต้องมีความสมัครใจด้วยตัวของนักลงทุนเอง ที่จะเลือกใช้แนวทางDSM นี้ซึ่งไม่มีใครสามารถบังคับได้และถ้าพร้อมแล้วหลังจากศึกษาแนวคิดเข้าใจดีแล้วให้เริ่มสร้าง Model Trade ของแต่ละนักลงทุนเองได้เลย พร้อมกับสร้างหลักการตัววัดผลของความสำเร็จของแต่ละนักลงทุนเองโดยนำเอาตัวอย่างเบื้องต้นจากบทความแห่งนี้เป็นต้นแบบ9.การลงทุนหุ้นวิธีDSM เสี่ยงหรือไม่ แต่ความเสี่ยงไม่ได้อยู่ที่การลงทุน แต่อยู่ที่การขาดความเข้าใจในแนวคิดของการลงทุนด้วยวิธีนี้ต่างหาก ซึ่งถ้าไม่เข้าใจถือว่าเสี่ยงมากที่สุดแทนต่างหาก แต่อย่างไรไม่มีอะไรในชีวิตที่ไม่มีความเสี่ยง แต่การลงทุนควรเป็นสิ่งที่มีความเสี่ยงต่ำเสมอดังนั้นการลงทุนหุ้นวิธีDSM จึงเป็นคำตอบสิ่งที่คุณจะได้จาก DSM และไปสู่อิสรภาพทางการเงิน1. สามารถที่จะเป็นส่วนหนึ่งร่วมกับเจ้าของบริษัทที่คุณชื่นชอบตลอดไป2. สามารถที่จะสร้างรายได้จากหุ้นแล้วได้รับกระแสเงินสดแฝงจากหุ้นทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี และตลอดไป3. สามารถที่จะมีเงินปันผลที่จะเพิ่มมากขึ้นทุกปี ตามจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องลงเงินเพิ่ม4. สามารถที่จะมีเวลาว่างอย่างเหลือเฟือที่จะอยู่กับครอบครัว และทำประโยชน์ให้สังคม5. สามารถที่จะมีสุขภาพจิตสดใส หุ้นขึ้นก็สุขใจ หุ้นตกก็ยิ้มแย้มแจ่มใสทำไมต้องมีอิสรภาพทางการเงินเพราะ“ชีวิตคนเราไม่ได้มีเวลามากมายนัก ทำไมจึงต้องเสียเวลาทั้งชีวิตทำงานเพื่อเงิน ทำไมไม่เรียนรู้วิธีใช้เงินและให้คนอื่นทำงานให้เราจะได้มีเวลาไปทำอย่างอื่นที่มีความสำคัญกว่า” สิ่งที่สำคัญของชีวิตคือ1. มีเวลาสำหรับครอบครัว  2. มีเงินสำหรับอุทิศเพื่อการกุศลและโครงการที่สนับสนุน 3. มีโอกาสสร้างงานและความมั่นคงให้ชุมชน4. มีเวลาและเงินเพื่อดูแลสุขภาพ5. มีโอกาสเดินทางท่องเที่ยวรอบโลกกับครอบครัวผู้ที่ห้ามลงทุนแบบ DSM1. นักเก็งกำไรหรือนักพนัน2. นักลงทุนระยะสั้น3. ผู้ปล่อยปะละเลย ไม่ดูแลพอร์ต4. นักลงทุนที่ไม่เข้าใจแนวคิดDSMไม่มีเงิน ไม่มีเวลา ลงทุนแบบ DSM ได้หรือไม่1. เงินที่ต้องใช้ในการลงทุนแบบ DSM อาจจะเริ่มต้นด้วยเงินเพียง 10,000 บาท (ถ้ายังไม่มีเงิน 10,000 บาทในเวลานี้ ให้ตัดรายจ่ายฟุ่มเฟือยให้ได้เดือนละ 1,000 บาท ครบ 1 ปีก็มีเงินลงทุนแล้ว) ระหว่างที่เก็บออมอยู่นี้ ควรทดลองเทรดหุ้นในกระดาษ (หรือใน Excel) เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่จะลงทุนด้วยเงินจริง 2. ไม่มีเวลาดูหุ้นทั้งวัน - ดูแค่วันละครั้งอย่างน้อย แล้วตอนเย็นวางแผนสำหรับในวันรุ่งขึ้น หรือคุณจะเลือกวิธีที่เหมาะสมกับเวลาที่คุณมีได้ เช่น อาจดูหุ้นเป็นช่วงเวลาโดยให้มาร์เก็ตติ้ง โทรมารายงานหุ้นตามเวลา ดังนี้เป็นต้น 10.15-10.30, 12.15-12.30, 14.30-14.45, 16.15-16.30 น. วันละ 4 ครั้ง ก็น่าจะมากเพียงพอ หรือ อาจวันละ 2 หรือ 1 ครั้งก็ได้ โดยให้คิดว่าแต่ละครั้งที่ได้เห็นเป็นราคา ณ ตอนนั้น ถ้าช่วงเวลาต่อมาราคาต่ำว่า ก็ให้ถือว่าเป็นหุ้นแดง แต่ถ้าราคาสูงกว่าถึงว่าเป็นหุ้นเขียว แนะนำถ้าให้ดีจดราคาแต่ละครั้งด้วย ถ้าราคาต่ำกว่าช่วงเวลาก่อนหน้านี้ให้เขียนด้วยปากกาแดง แต่ถ้าราคาสูงกว่าก็เขียนด้วยปากกาน้ำเงินหรือเขียวก็ยิ่งดี 3. การลงทุนในหุ้นก็เหมือนคุณร่วมลงทุนกับกิจการของบริษัท ดังนั้นคุณจึงควรมีเวลาบ้างเพื่อที่จะดูว่าบริษัทของคุณมีพัฒนาการเป็นอย่างไร วันนี้ยังไม่มีเวลา แต่ถ้าตั้งใจจริง ใช้เวลาวันละครึ่งชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว4. ถ้าอย่างนั้นออกจากการทำงานประจำเลยดีไหม ขอแนะนำว่าให้ทำงานประจำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น พร้อมกับนำเงินออมมาเริ่มต้นการลงทุน อย่าเบื่องานประจำ แต่ให้แบ่งเวลามาเพื่อศึกษาเรื่องการลงทุนหุ้นวิธีDSM อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นการดีกว่าและอย่างน้อยก็ควรมีรายได้ที่แน่นอนจากรายได้ประจำจากอาชีพหลักเพื่อใช้จ่ายในครอบครัว เพราะถ้าทุ่มเทให้กับการเล่นหุ้นมากเกินไปจนงานหลักเสียหาย ขณะเดียวกันท่านก็ไม่สามารถสร้างรายได้จากหุ้น (กระแสเงินสดแฝง) ได้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายทั้งหมด ท่านก็จะเสียหายถึงสองทาง5. ถ้ามีเงิน แต่มีไม่มากพอ ขอลงทุนหุ้นด้วยเงินกู้Margin ดีหรือเปล่า ไม่ควรที่จะใช้เงินกู้ Margin เพราะต้องระวังเงื่อนไขของ Maintenance Margin ซึ่งจะถูกบังคับCall Margin เพื่อเพิ่มเงินค้ำประกันและอาจจะถูกบังคับForce Sale ได้อีกด้วย เมื่อตอนที่หุ้นตกตอนเป็นขาลง ซึ่งจะทำให้นักลงทุนเองไม่มีเงินซื้อหุ้นกับที่ราคาต่ำว่าที่ขายไป เพราะเวลาหุ้นตกมูลค่าลดลง วงเงินMargin ก็จะลดลงไปได้ทำให้การซื้อรวบยอดทำไม่ได้  ซึ่งไม่ควรเล่นเป็นอย่างยิ่ง แต่ถ้านักลงทุนท่านได้เป็นถึงระดับMaster แล้วสามารถบริหารเงินได้ดีและมีวิธีจัดการที่ดี ก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด ซึ่งเฉพาะนักลงทุนท่านนั้นเท่านั้น แต่ของเน้นย้ำว่านักลงทุนระดับ Basic ไม่ควรลงทุนหุ้นด้วยเงินกู้Margin ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ก็ตามที6. เมื่อมั่นใจแล้วว่าจะลงทุนในวิธี DSM สิ่งแรกที่ต้องทำคือ เลือกหุ้นที่จะลงทุนและต้องอยู่กับหุ้นตัวนี้อย่างน้อย 2 ปี


4. DSM (4) – ทำไมเวลาต้องอย่างน้อย 2 ปีทำไมเวลาต้องอย่างน้อย 2 ปีด้วยเพราะจากผลตอบแทนจากการลงทุนหุ้นแบบ DSM จะได้กระแสเงินสดแฝงโดยเฉลี่ยขั้นต่ำอย่างน้อย 3% อาจได้มากกว่านี้ได้ เพราะบางเดือนได้มาก บางเดือนได้น้อยกว่านี้จากสูตรคำนวณ 72 จำกันได้หรือเปล่า ถ้าเอาเลข 72 ตั้งหารด้วยจำนวน % ต่อปีผลลัพธ์จะได้เท่ากับจำนวนปีที่ทำให้เงินต้นเป็น 2 เท่าผลลัพธ์จำนวนปีที่ทำให้เงินต้นเป็นสองเท่า = 72/ (3%x12) = 2 ปี ดังนี้ภายในสองปีจะได้เงินเริ่มต้นเป็นทุกสองเท่า นั้นย่อมแสดงว่า เราสามารถทำให้ได้กระแสเงินสดแฝงเท่ากับจำนวนเงินต้น จึงเป็นที่มาว่าทำไมต้องอยู่กับหุ้นตัวนี้เป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปี และที่สำคัญตลาดหุ้นเมืองไทยสามารถทำให้คืนเงินต้นได้เร็วยิ่งขึ้นเพราะเป็นตลาดที่มีความผันผวนสูงดังนั้นการลงทุนไม่จำเป็นต้องรีบเร่งลงมือทำ  ต้องค่อย ๆ ก้าวเดินแบบทารก และโอกาสของนักลงทุนมีอยู่ทุก ๆ วินาที ต้องมีความ “อดทนเพื่อการเปลี่ยนแปลงอย่างมีเป้าหมาย” ตามที่ได้วางแผนไว้

5. DSM (5) – ฉันเป็นนักลงทุนประเภทไหนบรรดาผู้คนที่เข้ามาเกี่ยวข้องในตลาดหลักทรัพย์แบ่งได้ 2 ประเภท1. นักลงทุน2. นักเก็งกำไรลองถามตัวเองก่อนว่า  ฉันเป็นนักลงทุนหรือนักเก็งกำไรตลาดทุกชนิดบนโลกต้องมีคนทั้ง 2 ประเภท ถ้ามีแต่นักลงทุน ราคาหุ้นก็จะอยู่นิ่งๆ ไม่ขยับไปไหน ถ้ามีแต่นักลงทุนที่ลงทุนเพื่อรับเงินปันผล ข่าวที่เราได้ยินอาจจะบอกว่า วันนี้ราคาหุ้นเปลี่ยนแปลง 0.5 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1 ล้านบาท ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติใดๆ ถ้าผมหรือคุณจะเป็นนักเก็งกำไร แต่ลงทุนวิธีDSM เน้นให้เป็นนักลงทุนที่แท้จริงข้อแตกต่างระหว่างนักลงทุนกับนักเก็งกำไรนักเก็งกำไร : ต้องการกำไรเป็นเงินสดในระยะเวลาที่กำหนด เช่น 1 นาที, 1 ชั่วโมง, 1 วัน, 1 สัปดาห์, 1 เดือน ขึ้นอยู่กับความอดทนของนักเก็งกำไรหรือนักพนันนักลงทุน : ต้องการรายได้จากกระแสเงินสดแฝงจากหุ้นและเงินปันผลวิธีดูแบบง่ายสุดคือถ้าคุณซื้อหุ้นเพราะหวังว่า ราคาหุ้นจะขึ้นและขายเพื่อทำกำไรจากส่วนต่าง คุณเป็นนักเก็งกำไรถ้าคุณซื้อหุ้นแล้วรอรับเงินปันผล  พร้อมกับได้กระแสเงินสดแฝงนั้นแสดงว่าคุณเป็นนักลงทุนนักลงทุนหรือนักเก็งกำไร ใครเหมาะที่จะใช้วิธี DSMถ้าคุณหวั่นไหวกับราคาหุ้นที่เปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ใครๆ ก็เป็นกัน แต่สำหรับValue Investor (VI) แล้ว เมื่อลงทุนหุ้นใดไปแล้ว จะไม่เปลี่ยนแปลงจนกว่าจะมั่นใจว่าบริษัทนั้นๆ มีแนวโน้มที่จะดำเนินงานต่อไปได้ไม่ดี VI จึงจะเปลี่ยนไปลงทุนในบริษัทอื่น แต่ถ้าราคาหุ้นตกลงมามากเท่าใด ตราบใดที่บริษัทนั้นยังมีผลประกอบการที่ดี VI ก็ยังคงลงทุนต่อไป และอาจจะซื้อเพิ่มอีกด้วย วิธี DSM จึงเหมาะกับนักลงทุนแบบ VI ที่ใช้เงินลงทุนก้อนเดิมที่มีอยู่มาเพิ่มจำนวนหุ้น VI หลายๆ คนที่ผมรู้จักก็ไม่อยากใช้  DSM เพราะไม่ถนัด ส่วนนักเก็งกำไรส่วนใหญ่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า วิธี DSM ช้า ไม่ทันใจ แถมได้กำไรน้อยอีกด้วยดังนั้น DSM จึงเป็นส่วนผสมระหว่างนักลงทุนที่เป็น VI ในสายเลือด แต่เพิ่มทักษะในการซื้อขายหุ้นแบบนักเก็งกำไรเข้าไป เพื่อเพิ่มจำนวนหุ้นให้มากขึ้น โดยใช้การทำงานเพียงเล็กน้อยในแต่ละวัน ใครที่คิดจะใช้วิธี DSM เพียงเพราะหวังว่าจะช่วยทำให้เงินที่หายไปจากการซื้อขายหุ้นได้คืนมาล่ะก็ ลองคิดดูอีกครั้งนะว่าคุณมีจิตวิญญาณของนักลงทุนแบบ VI หรือไม่ เพราะถ้าคุณเลิกกลางคัน คุณจะสูญเสียมากกว่าการเก็งกำไรก็เป็นได้ และที่สำคัญวิธี DSM นี้ใช้เวลานานอย่างน้อย 2 ปี ถึงจะคุ้มต้นทุนตอนเริ่มต้น


6. DSM (6) – การเลือกหุ้นเพื่อลงทุนวิธี DSMคุณสมบัติของหุ้นที่จะเลือกลงทุนด้วยวิธี DSM1. ต้องเป็นหุ้นที่จ่ายเงินปันผล โดยดูจากประวัติย้อนหลังของบริษัทหลาย ๆ ปี 2. ต้องเป็นหุ้นที่มีคนนิยม และมีจำนวนหุ้นซื้อขายในตลาดมากพอสมควร เพราะเราจะสร้างหุ้นเพิ่มจากส่วนต่างของราคา จากการแกว่งตัวของราคาจะรู้ได้อย่างไรว่าหุ้นตัวนั้นเป็นที่นิยม ให้ดูมูลค่าการซื้อขายมาก แสดงว่าหุ้นตัวนั้นได้รับความนิยมมาก3. ต้องเป็นหุ้นแก่นหลักของเศรษฐกิจของประเทศ ประเภทว่าถ้าหุ้นตัวนี้แย่หรือล้มหายจากตลาด หุ้นตัวอื่นๆก็คงโดนฝังหรือออกจากตลาดไปก่อนหน้านี้แล้ว4. ต้องเป็นบริษัทที่คุณอยากร่วมเป็นเจ้าของกิจการการที่จะหาหุ้นที่มีคุณสมบัติครบทั้ง 4 ประการ สำหรับแต่ละคน อาจจะเป็นเรื่องยาก คุณจึงต้องยอมตัดคุณสมบัติบางประการออกไปบ้าง เช่น - สำหรับคนที่มีเวลาซื้อขายหุ้น อาจจะเลือกหุ้นที่ราคาแกว่งตัวมาก โดยที่หุ้นนั้นอาจจะจ่ายปันผลไม่ดีนัก เพื่อที่จะสร้างจำนวนหุ้นให้เพิ่มในอัตราที่มากพอ เมื่อได้หุ้นมากพอแล้วจึงเปลี่ยนตัวไปยังหุ้นที่หมายตาที่จ่ายเงินปันผลที่ดี อย่างพวกหุ้น Warrant ต่าง ๆ ต้องมีแผนตั้งแต่เริ่มแรกในการเล่นWarrant ตัวนั้นๆ เช่นต้องการดึงกระแสเงินสดแฝงออกจาก Warrant ให้เร็วและเน้นสร้างกระแสเงินสดแฝง ไม่ต้องการเพิ่มหุ้นแต่อย่างใด หรือเล่น Warrant ต้องการเพิ่มหุ้น และเก็บกระแสเงินสดแฝงตามสัดส่วนที่ได้ เอาไว้แปลงร่างจากหุ้น Warrant เป็นหุ้นตัวแม่ ตัวอย่างเช่น CPF-W2 ต้องการแปลงเป็น CPF หรือ ZMICO-W3 ต้องการแปลงเป็น ZMICO หรือ STEC-W2 ต้องการแปลงเป็น STEC แต่มีข้อแม้อีกอย่างนึ่งว่า ตัว Warrant นั้นต้องมีอายุอย่างน้อย 2 ปีก่อนหมดอายุ แต่ถ้าได้มากกว่า 2 ปี ยิ่งดีซึ่งจะทำให้เราได้สร้างกระแสเงินสดแฝงได้เป็นจำนวนมากตามอายุที่ยาวนานของ Warrant ตัวนั้น ๆ  คำแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนหุ้น Warrant ต้องมีเวลาเอาใจใส่พอร์ตอย่างมาก- สำหรับคนที่ไม่มีเวลาซื้อขายหุ้น ถ้าเลือกหุ้นที่มีการแกว่งตัวมากอาจจะกระตุกหัวใจ แบบนี้ควรเลือกหุ้นพื้นฐานดี จ่ายปันผลสม่ำเสมอ ราคาไม่เปลี่ยนแปลงมาก คุณเพียงแค่ใช้เวลาดูแลเพียงวันละครึ่งชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว5. ถ้าใครมีประสบการณ์กับหุ้น Finance ตอนที่ปิดบริษัท 56 แห่ง ก็ควรหลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่ม Finance แต่ก็ยังสามารถลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ได้ แต่ต้องมีกฎทางออกเตรียมพร้อมไว้เสมอ6. เมื่อใดควรไล่หุ้นตัวนั้นออกจากพอร์ต มี 2 กรณี6.1 หุ้นนั้นไม่มีการเคลื่อนไหวเลย6.2 หุ้นที่มีราคาไหลลงมามากกว่า 50% จากราคาที่ซื้อมาสูงสุด ต้องเอาออกจากพอร์ต แล้วจดราคาเอาไว้เมื่อไร หุ้นตัวนี้กลับตัวเป็นขาขึ้นชัดเจนค่อยเข้าไปลงทุนใหม่ แต่ยกเว้นว่า หุ้นตัวนั้นคืนทุนให้เรียบร้อยแล้ว ก็เก็บไว้สร้างกระแสเงินสดแฝงต่อไปเรื่อย ๆ 7. หุ้นเป็นเพียงหนึ่งในยานพาหนะสำหรับการลงทุน (Investment Vehicles) ซึ่งนำไปสู่อิสรภาพทางการเงิน ดังนั้นไม่ควรยึดติดที่ตัวหุ้นใด ๆ และสามารถเปลี่ยนแปลงตัวหุ้นได้ตามแผนการลงทุนที่วางเอาไว้ เพราะการยึดติดตัวหุ้นนั้นคือความทุกข์อย่างหนึ่ง “จงปล่อยวางไม่อย่างนั้นท่านจะสูญเสียทุกอย่าง” แต่ให้ยึดแนวทาง DSM แทนการยึดติดที่ตัวหุ้นแทนเริ่มต้นด้วยจำนวนหุ้นเท่าใดจำนวนหุ้นที่เหมาะสมสำหรับวิธี DSM คือ 10,000 หุ้น ดังนั้นถ้าหุ้นที่คุณหมายตาไว้มีราคาหุ้นละ 100 บาท คุณจะต้องมีเงินลงทุน 1 ล้านบาท การเลือกหุ้นในระดับราคาที่เหมาะสมจะทำให้การซื้อขายหุ้นตามแผนการลงทุนทำได้อย่างมีประสิทธิภาพถ้าคุณรักและอยากลงทุนในหุ้นราคา 100 บาทจริงๆ มี 2 วิธี1. หาเงินล้านจากการทำงานมาลงทุน2. เริ่มจากหุ้นตัวละ 10 บาท ใช้เงินลงทุน 1 แสน ลงทุนด้วยวิธี DSM อย่างมีวินัย ไม่เกิน 7 ปี คุณก็จะก้าวไปลงทุนในหุ้นระดับราคา 100 บาท ได้อย่างสง่าผ่าเผย (อัตราเฉลี่ย3%ต่อเดือน)


8. DSM (8) – กลยุทธ์เมื่อหุ้นลงซื้อหุ้นแล้ว ไม่มีใครรับประกันได้ว่าราคาหุ้นจะขึ้น ดังนั้นจึงต้องมีกลยุทธ์เพื่อรับมือในเวลาหุ้นลงสมมุติว่าคุณซื้อหุ้นราคา 10.00 บาท จำนวน 10,000 หุ้นบนหน้าจอจะเป็นแบบนี้Vol.           Bid             Offer    Vol. 100,000    9.95            10.00   50,000จำไว้ว่า ขายที่ Bid ซื้อที่ Offer อย่าไปเสียเวลาต่อรองราคาเหมือนเดินเป็นอันขาด วิธีคือ ถ้าราคาหุ้นต่ำกว่าที่ซื้อ 2 ช่อง ให้ขาย 10% (คงพอจะได้คำตอบแล้วนะว่า ทำไมขายครั้งแรกต้อง 2 ช่อง เพราะจะได้รู้ว่าหุ้นลงจริง ไม่ได้ลงหลอกๆ จะได้ไม่เสียหุ้นง่ายเกินไป) และอย่ากลัวการขายเมื่อหุ้นลง (แดง) อย่ากลัวว่าจะซื้อหุ้นคืนไม่ได้เพราะว่าอย่างไรก็สามารถซื้อหุ้นคืนได้ตลอดเวลาที่ต้องการ ด้วยแผนการลงทุนที่ทำเอาไว้ถ้าราคาลงมาเป็นแบบนี้Vol.           Bid        Offer    Vol. 200,000     9.90       9.95     170,000ลงมา 2 ช่องแล้ว ขายเลยดีไหม ยัง ๆ อย่าใจร้อนรออีกนิด ก่อนอื่นต้องรู้ว่าเราจะขายกี่หุ้น กรณีนี้เราจะขาย 1,000 หุ้น ให้ดูวอลุ่มที่ช่อง Bid ว่ามีมากแค่ไหน และดูด้วยว่ามีใครขายที่ราคา 9.90 หรือยังอย่าขายเป็นคนแรก เพราะอาจโดน กลต. เพ่งเล็งได้ว่ามีเจตนาทุบราคา(โดยเฉพาะขาย 100 หุ้น)ถ้าสักพัก ราคาเป็นแบบนี้Vol.       Bid       Offer    Vol.50,000   9.90      9.95    120,000ถึงตรงนี้ต้องจับตาดู ถ้าเห็นว่ามีขายครั้งละหลายๆ หมื่นหุ้น ก็อย่ารอช้ารีบขาย 1,000 หุ้นของเราได้เลย ตรงนี้แหละสำหรับมือใหม่ที่จะทำได้ยาก มัวแต่ลังเลว่าจะขายดีหรือไม่ อย่าลังเลครับ ถ้าคุณลังเลขายช้า แทนที่จะขายได้ที่ 9.90 กลับต้องไปขายที่ 9.85 คุณทำเงินหล่นหายไปแล้ว 0.05 บาทต่อหุ้น จากความลังเลในครั้งนี้ แต่สามารถลดความเก็งและกลัวได้ เมื่อเห็นราคาที่ Bid ต่ำกว่า 2 ช่องแล้ว ให้ขายเลย จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลานั่งเฝ้าเพื่อต่อรองเล็กๆ น้อยๆ จบการขายครั้งแรก ให้กำหนดจุดซื้อคืนไว้ที่ 3 ช่องจากราคาขาย นั่นก็คือ 9.75 ราคานี้ให้มองฝั่ง Offer ถ้ามาถึงซื้อทันทีอย่ารีรอถ้าสักพัก ราคาเป็นแบบนี้Vol.       Bid        Offer   Vol. 60,000   9.85       9.90    50,000วิธี DSM คือรอ ไม่ต้องทำอะไร เพราะราคายังลงมาไม่ถึง 2 ช่องจากจุดเดิมที่เราเคยขายไปแล้วแต่แบบของผมถ้าเห็นแนวโน้มแล้วว่ามีแรงขายเข้ามาตลอด ผมจะขายที่ราคา 9.85 อีก 5% แล้วไปขายที่ 9.80 อีก 5% รวมแล้วก็ 10% พอดี ถึงตรงนี้แล้ว ใครที่ยังไม่เข้าใจให้ลองทำดูนะมีคำถามปิดท้ายนิดนึ่งว่า ผมใช้กองหลังแค่ 20% ในเวลาปกติ เฉลยคือ ขายทุก 2 ช่อง รับคืนทุก 3 ช่อง ถ้าเป็นขาลงในขาลงจริง ต้อง ขายให้เร็ว ขายให้ % มากที่สุด บ้างครั้งอาจถึง 10%, 20%, 25%, 50%, 100% ในไม้เดียวก็ได้ แต่ขอเน้นย้ำ ว่าห้ามเดาตลาดจากที่ผ่านมาข้างต้นจะเห็นได้ว่าขายทุก 2 ช่องและซื้อหุ้นคืนกลับทุก 3 ช่อง แต่ก็สามารถขยายช่องเหล่านี้ได้ อาจเป็นขายทุก 3 ช่องและซื้อหุ้นคืนกลับทุก 5 ช่อง แต่ถ้าขายไม่ทันตามช่องที่กำหนดไว้ไม่เป็นไรก็ให้ขายราคาที่เห็นตอนนั้นถึงแม้ว่าจะลงมาเป็น 4 หรือ 5 ช่องก็ตามเพราะอย่างนี้แสดงว่าหุ้นลงเร็วมาก และยังไม่ควรรีบเข้าไปรับหุ้นกลับตามแผนที่วางไว้รับที่ต่ำกว่า 3 ช่องหรือ 5 ช่อง หรือการรับหุ้นกับหลังจากการขาย สามารถเปลี่ยนมาเป็นการกำหนดว่าจะรับกับกี่% ก็ได้เช่นขายหุ้นออกไป และเราตั้งกฎว่าจะรับกับ 3%, 5% ,7% ,10% เป็นต้นก็ได้มีคำกล่าวไว้ว่า  “หุ้นขึ้นกล้าซื้อ หุ้นลงกล้าขาย” เป็นอย่างนี้เอง

9. DSM (9) – DSM วัวเนื้อหรือวัวนมเปรียบเทียบแนวคิดของ DSM กับการขุนวัวเนื้อและรีดนมวัวDSM ไม่ใช่สูตรสำเร็จที่ทำแล้วจะรวยทันที แต่เป็นกระบวนการที่ทำให้คุณไปถึงอิสรภาพทางการเงินในระยะเวลาที่คุณกำหนดได้ โดยในระหว่างเดินทางในเส้นทางนี้ ร่างกายและจิตใจของคุณจะสดชื่นเบิกบาน เปรียบเสมือนมีอิสรภาพทางเวลา และ จิตใจ ไปพร้อมกับการมีอิสรภาพทางการเงินการซื้อขายหุ้นแบบเก็งกำไร ก็เหมือนการขุนวัวเนื้อให้อ้วนแล้วก็จับไปชำแหละ(ฆ่า) ส่วนการเก็บหุ้นปันผลไว้ก็เหมือนกับการเลี้ยงวัวนมเพื่อรีดนมวัว             การขายวัวเนื้อแต่ละครั้งได้เงินมากมาย ต่างจากการรีดนมวัวแต่ละวันที่ได้เงินทีละนิด แต่ได้สม่ำเสมอทุกวัน และได้ลูกวัวเป็นของแถมด้วย ลูกวัวที่ได้นี้ ถ้าเป็นแม่วัวนมเมื่อเลี้ยงให้โตก็จะได้แม่วัวไว้รีดนมวัวเพิ่ม ถ้าเป็นวัวตัวผู้จะเก็บไว้เป็นพ่อพันธุ์หรือขายเป็นวัวเนื้อก็ได้ทั้งนั้น การที่เลี้ยงวัวนมและรีดนมทุกวันวันละนิดวันละหน่อยนั้นคือการได้กระแสเงินสดแฝงทุกวัน และเลี้ยงวัวนมต่อมาก็จะได้ลูกวัวตามมาอีกนั้นคือได้หุ้นฟรีจากกระแสเงินสดแฝงที่จะสะสมทุก ๆวันและจากเงินปันผลอีก ไม่ว่าคุณจะใช้ DSM กับหุ้นตัวไหน ถ้ายังคงแนวคิดและเป้าหมายในการเป็นเจ้าของวัวนมล่ะก็ คุณยังอยู่ในทางของ DSM ระหว่างทางจะขายลูกวัวตัวผู้ไปบ้างก็ไม่เป็นไร เงินที่ได้ถ้ายังนำกลับมาซื้อแม่วัวก็ยังอยู่ในแนวทางของ DSMการขุนวัวเนื้อถ้าวัวตัวนี้ติดโรคหรือไม่ยอมกินอาหารก็จะผอมแห้งไม่มีเนื้อมีแต่หนังหุ้มกระดูก หรืออาจถึงตาย ก่อนที่จะได้ขายเสียด้วยซ้ำ ซึ่งคงทำความลำบากใจให้กับคนเลี้ยงไม่ใช่น้อยเพราะหมายถึงการขาดทุนนั้นเอง แต่ถ้าวัวนมมีปัญหาเริ่มติดโรคคนเลี้ยงDSM จะทยอยขายวัวนมออกไป ถ้ายังไม่หายจากโรคก็ทยอยของออกไปจนหมด แล้วรอวันเวลาที่หายจากการติดโรคค่อยซื้อกับมาเลี้ยงเพื่อรีดนมวัวต่อไปDSM มีข้อดีคือมีกระบวนการที่จะป้องกันไม่ให้ใครมาทำร้ายรังแกหุ้นของเรา นอกจากนั้น DSM ยังช่วยให้คุณสดชื่นเบิกบานกับหุ้นของคุณได้ทุกวัน ตรงนี้ล่ะคือความสุขที่แท้จริงที่เงินซื้อไม่ได้ และอย่าลืมตั้งเป้าหมายในอนาคตของคุณด้วยว่า เมื่อมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว จะทำอะไรบางคนมีเป้าหมายชัดเจนว่า จะใช้เวลาอบรมสั่งสอนให้ลูกเป็นคนดี ไม่อยากให้เป็นเหมือนพ่อแม่สมัยนี้ที่ต้องทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน๊อตโดยไม่มีเวลาสั่งสอนและให้ความอบอุ่นกับลูก เป้าหมายที่แน่ชัดนี้จะช่วยส่งให้คุณมีวินัยที่จะทำต่อไปจนถึงจุดหมาย คิดว่าเราต้อง “ซื่อสัตย์ต่อตัวเองในอนาคต” ไม่ควรซื่อสัตย์ต่อตัวเองในอดีตที่ผ่านมา


10. DSM (10) – Warren Buffett ลงทุนวิธี DSM ด้วยหรือไม่“My favorite time frame for holding a stock is forever” หมายถึง“เวลาที่ผมชอบที่สุดคือเวลาที่ผมได้ถือหุ้นไว้ตลอดไป” คำประโยคนี้คือหัวใจที่ทำให้ Warren Buffett ทำกำไรจากหุ้นได้มากที่สุด นั่นคือ Warren Buffett คิดและลงทุนในแนวทางของคนรีดนมวัว และจะเลือกหุ้นที่มีอนาคตดี ชนิดที่เรียกว่า ต่อให้เขาตายไปแล้วบริษัทนั้นก็ยังคงอยู่ต่อไป เช่น โค้ก ยิลเล๊ต และกอดหุ้นเหล่านั้นไว้ตลอดไป ซึ่งเป็นแนวคิดเช่นเดียวกับ DSM ถึงแม้ว่าวิธีการจะแตกต่างกันแต่จุดมุ่งหมายเป็นไปตามแนวทางเดียวกันและที่สำคัญวิธีDSM น่าจะประสบความสำเร็จได้เร็วกว่าวิธีการของ Warren Buffett ที่ทำไว้ได้หรือไม่ คงต้องรอให้ได้รับการพิสูจน์กันต่อไปในอนาคตเหมือนคำกล่าวที่ว่า “ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน” ดังนั้นต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปี เป็นเครื่องพิสูจน์วิธีDSM ทำให้มีคำกล่าวโดยเฉพาะว่า“My favorite time frame for trading on DSM is forever” สำหรับชาวDSMer ทุกท่านจะใช้ DSM ให้ประสบความสำเร็จ ต้องลืมเรื่องเวลา ต้องลืมเรื่องกำไรขาดทุน นักเล่นหุ้นที่มีราคาหุ้นติดสูงอยู่ ลองถามตัวเองสักนิดว่า กังวลใจเพราะอะไร เพราะราคาหรือเวลา ถ้าซื้อหุ้นแล้วรีบร้อนอยากขาย ขายถูกขายแพงก็เป็นทุกข์ ดังนั้นถ้าตั้งใจจะลงทุนตามแนวทาง DSM แล้วห้ามเลิกกลางคันเป็นอันขาด และต้องลงทุนตลอดชีวิตหรือว่าลงทุนระยะยาว ๆ มาก ต้องเลือกหุ้นที่อยู่กับเราไปจนวันตายเมื่อดังที่ Warren Buffett ได้ทำการเลือกหุ้นแล้วอยู่กับหุ้นตัวไหนตลอดชีวิต


11. DSM (11) – ระบบการซื้อ - ขายหุ้น DSMระบบการซื้อ - ขายที่ดี คือส่วนสำคัญของ DSMเมื่อกระโจนเข้าสู่สมรภูมิหุ้น บ่อยครั้งที่อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล ทำให้เกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาดได้บ่อยๆ หลายๆ ครั้งที่เรามักไม่กล้าขายหุ้นเมื่อหุ้นลง จนหุ้นลงมาก ก็ยิ่งตัดใจขายลำบากยิ่งขึ้น วิธี DSM ช่วยสร้างระบบป้องกันตัวไว้อย่างแยบยล การตัดขายเพียง 10% นอกจากจะช่วยสร้างกระแสเงินสดแฝงแล้ว ยังเหมือนกับการประกันเพื่อลดความเสี่ยงของหุ้นและยังมีหุ้นที่เหลืออีก 90% ที่เราถือไว้อีกด้วย ซึ่งต้องปฏิบัติไปตามแผนการลงทุนที่วางเอาไว้และอย่าลังเล เมื่อถึงเวลาที่ต้องขาย ถึงเวลาซื้อก็ต้องซื้อ เรื่องง่าย ๆ แค่นี้จริง ๆ ถึงต้องเน้นว่าต้องมีการวางแผนการก่อนเทรดหุ้น ว่าถ้าหุ้นลงจะทำอย่างไร ถ้าหุ้นขึ้นจะทำอย่างไร เพื่อที่จะได้จำกัดและลดอารมณ์ร่วมตามอารมณ์ตลาดหุ้น แล้วจะประสบความสำเร็จการลงทุนตามแนวทางนี้ได้การลงทุนควรจะเป็นไปแบบอัตโนมัติ  คือไม่ต้องใช้ความคิดเลย มันจะเป็นไปตามระบบ ตามแผน ตาม Step ของมัน ถ้าสร้างแผน สร้างระบบ มันจะทำหน้าที่แทนเรา ตัดสินใจแทนเราและแทนการใช้อารมณ์ของเราให้จำไว้ว่า ลงทุนด้วยวิธีDSM ไม่มีทุนเดิม ซื้อมาแล้วก็ให้ลบราคาซื้อออกไป และราคาขายขึ้นอยู่กับราคาในแต่ละวัน ในแต่ละเวลา ส่วนราคาซื้อคืน คือราคาที่ซื้อแล้วได้กระแสเงินสดแฝงจากราคาที่ขายไป ซึ่งเป็นไปตามแผนการที่วางเอาไว้ว่าขายกี่ช่อง รับคืนกี่ช่องของนักลงทุนแต่ละท่านนั้นเอง


12. DSM (12) – หลักการซื้อคืน 3 แบบหลักการซื้อคืนดังนี้ 3 แบบ ดังต่อไปนี้ 1. ซื้อคืนเมื่อราคาต่ำกว่าที่ขาย ประมาณ 5 ช่อง2. ซื้อคืนเมื่อซื้อกลับมาได้รวดเดียว 3 ราคาที่ขายไป3. ซื้อคืนเมื่อหุ้นขึ้นจากจุดต่ำสุดขึ้นมา 4 ช่อง ค่อยเข้าซื้อสมมุติว่าคุณซื้อหุ้นราคา 10.00 บาท จำนวน 10,000 หุ้น ทีละ 10% เท่ากับ 1,000 หุ้นกรณีที่ 1. หมายถึงว่าได้ขายหุ้นไปหุ้นไปที่ราคา 9.90 บาท และสามารถรับหุ้นกลับได้ที่ 9.65 บาท ให้เคาะซื้อด้าน offerกรณีที่ 2. หมายถึงว่าได้ขายหุ้นไปตามแผนที่วางไว้ ขาย ทุก 2 ช่อง รับหุ้นกับคืนทุก 3 ช่อง เช่น ขายไปที่ 9.90, 9.80, 9.70, 9.60, 9.50 บาทแล้วราคาหุ้นมานิ่งที่ 9.55 บาท ซึ่งสามารถรับกลับได้ที่ 9.90, 9.80, 9.70 ซึ่งสามารถซื้อกลับได้ 3 ไม้ที่ขายไป กรณีที่ 3. หมายถึงว่าได้ทำการขายหุ้นไปตามแผนที่วางไว้ แล้วมีแรงขายออกมาจากหุ้นอย่างมากและต่อเนื่อง ซึ่งไม่ควรรีบไปรับหุ้นกลับต้องรอให้หุ้นลงจนสุดและนิ่งแล้วราคาเริ่มขึ้นมาได้ 4 ช่อง แล้วค่อยซื้อคืน เช่น ขายที่ 9.90, 9.80, 9.70, 9.60, 9.50, 9.40, 9.30, 9.20, 9.10, 9.00 บาท แล้วราคาก็ไหลลงไปอีกเรื่อย ๆ หลังจากที่เราขายหมดมือไปแล้ว สมมุติว่า ราคาลงไปถึง 8.50 บาท แล้วเริ่มนิ่งๆ มีแรงซื้อกลับเข้ามาอยู่ที่ 8.70 บาท ก็สามารถซื้อคืนทั้งหมดที่เราขายไปได้ทั้งสิบไม้ ถ้าหลังจากรับกลับแล้วขึ้นวิ่งขึ้นมาที่ 9.20 บาท ก็ยิ้ม แต่ถ้าซื้อแล้วหุ้นลงต่อทำอย่างไรดี ไม่ต้องกลัวก็ขายใหม่โดยเอาจุดที่เราซื้อคืน 8.70 บาท เป็นฐาน ถ้าลงมาที่8.60 บาท ขายตามแผนการลงทุนที่วางไว้การซื้อรูปแบบที่ 3 ใช้กับหุ้นที่เรามีจำนวนมากเพราะยังแสดงว่าหุ้นลงและซื้อกลับได้ ส่วนการซื้อรูปแบบที่ 1-2 ใช้กับหุ้นที่เรามีเหลือจำนวนน้อย และส่วนที่ยังซื้อคืนไม่ได้ทิ้งไว้เป็นกองหลังต่อไปข้อสังเกตเพิ่มเติมว่าถ้าหุ้นไหลลงอย่างแรงอย่างมาก อาจมีการลงต่ออีกหลายวันต้องพิจารณาแต่ละเหตุการณ์ไป หรือรอให้ราคาหุ้นตกจนสุดหรือเรียกว่าสะเด็ดน้ำหรือมีดตกถึงเขียงแล้วค่อยเข้าไปซื้อคืนตอนที่หุ้นเขียวอ่อน ๆ และขึ้นมาจากจุดสุดท้าย 4 ช่อง เพื่อรับประกันว่าขึ้นจริง แต่อย่าลืมที่บอกไปนะว่าถ้าลง ก็ขายตามแผนต่อ อยากจะบอกและเน้นย้ำว่า DSM เป็นแนวคิดไม่ใช่วิธีการใด ๆ ไม่มีวิธีการใดดีที่สุดสำหรับนักลงทุนแต่ละท่าน ต้องค้นหาวิธีการที่เหมาะสมกับตัวนักลงทุนแต่ละท่านเอง ถ้าถามว่า หลักการซื้อคืนข้อไหนดีที่สุด ก็คงบอกไม่ได้ว่าข้อไหน แต่ต้องบอกว่าแล้วแต่สถานการณ์นั้นๆ เป็นหลัก แต่ถ้าเป็นไปได้อย่างให้ยึดหลักการซื้อคืนข้อ 3 เป็นหลัก เพราะการซื้อคืนเมื่อหุ้นขึ้นจากจุดต่ำสุดขึ้นมา 4 ช่อง แล้วเข้าซื้อ นั้นย่อมแสดงว่าหุ้นมีการกลับตัวเป็นขาขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แล้วโอกาสที่หุ้นจะลงต่อก็น้อยลงไปด้วย แต่ก็อาจจะลงต่อได้เมื่อกัน อย่าลืมว่าห้ามเดาตลาด เพราะเป็นอะไรที่เดาไม่ถูก100% แน่นอนถ้าถามว่า การซื้อหุ้นกลับคืนเร็วตามลำดับการขาย(ข้อ 1, 2) กับ การซื้อแบบรวบยอด (ข้อ 3) มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ มีความแตกต่างกัน 2 ข้อใหญ่ดังต่อไปนี้1. การซื้อคืนแบบรวบยอด ทำให้ได้กระแสเงินสดแฝงมากกว่าอย่างมีนัยสำคัญ   2. การไม่รีบซื้อหุ้นคืน อาจจะช่วยชีวิตเราได้ในยามที่ วงในมีข่าวร้ายแล้วเค้าค่อย ๆ ระบายหุ้นทิ้ง เพราะหากเกิดกรณีเช่นนี้ การซื้อหุ้นคืนเร็วเกินไป แล้วต้องมาขายหุ้นอีก  เมื่อราคาไหลลงต่อ เพื่อจะได้ซื้อหุ้นคืนกลับแบบไม่รู้จบโดยขายและซื้อกลับซ้ำแล้วซ้ำอีก แทนที่จะขายให้หมดมือ แล้วรอจนอาการดีขึ้นซึ่งบางครั้ง อาจไม่ดีขึ้นเลยก็ได้ ตัวอย่างหุ้น เช่น PICNI เป็นต้น นักลงทุนท่านใด ทำการซื้อคืนตามแบบข้อ 1, 2 กับ การซื้อคืนตามแบบข้อ 3 ก็จะได้เห็นความแตกต่างของกระแสเงินสดอย่างมีนัยสำคัญ และการซื้อคืนตามแบบข้อ 3 ก็ช่วยชีวิตท่านได้อีกเช่นกันแต่สิ่งที่สำคัญจริงๆไม่ได้อยู่ที่การซื้อคืนตามลำดับหรือว่าการซื้อคืนแบบรวมยอด แต่สิ่งสำคัญมากกว่าคือ “เมื่อหุ้นลง ต้องขายลงมาเรื่อย ๆ ตามแผน แล้วไม่รีบซื้อกลับคืน” สิ่งนี้ถือว่าสำคัญกว่าวิธีการซื้อหุ้นกลับคืนไม่ว่าวิธีไหน ๆ


13. DSM (13) – ช่องว่างและการแปลงร่างคืออะไรช่องว่างของตลาดหุ้น  ต้องใช้ให้ถูกจังหวะอย่าไปเร่งพอร์ต ควบคุมการใช้ช่องว่างด้วยระบบบัญชี โดยให้หุ้นสมดุลด้วยช่องว่างและให้ช่องว่างสมดุลด้วยระบบบัญชีการแปลงร่าง จะแปลงไปเป็นหุ้นกลุ่มใดตัวใดก็ได้ ขอเพียงให้มีราคาต่ำกว่าและอยู่ในช่อง Spread หุ้นเดียวกัน และเงินที่เหลือจากการแปลงร่าง ให้ถือว่าเป็นกระแสเงินสดแฝงแต่มันเป็นกระแสเงินสดแฝงเทียม ซึ่งไม่ควรแปลงร่างมากเกินไปโดยไม่จำเป็นการแปลงร่างใช้กับหุ้นขาขึ้นเท่านั้น ถ้าหุ้นขาลงจะไม่แปลงร่าง(ยกเว้นกรณีที่ต้องการเปลี่ยนตัวเพราะต้องการไล่หุ้นตัวเดิมออกจากพอร์ต) ปกติแล้วจะใช้การแปลงร่างเมื่อ หุ้นตัวนั้นเหลือในมือแค่ 10-20% การแปลงร่างมี 2 แบบคือ แปลงร่างเป็นตัวมันเอง (ที่เหลือน้อย) กับ แปลงร่างไปเป็นหุ้นตัวอื่นๆ และหุ้นตัวอื่นๆ แปลงร่างมาเป็นตัวมัน นั่นคือการแปลงร่างอย่างสมดุลซึ่งกันและกันการแปลงร่างจะไม่ใช่การเปลี่ยนตัวหุ้น แต่การแปลงร่างเป็นเหมือนการขยายการลงทุนในจังหวะที่ต้องขยาย นั่นคือ เมื่อแปลงจากหุ้น A ไปเป็นหุ้น B แล้ว เราต้องดูแลทั้ง Aและ B เราจะไม่ทิ้ง เมื่อใดที่มีจังหวะ เก็บหุ้น A คืนได้ ก็ควรเก็บกลับคืนมามันจะทำให้พอร์ตของเราค่อยๆ ขยายตัวอย่างเหมาะสม ไม่แนะนำให้แปลงร่างบ่อยเกินไป ทุกครั้งในการแปลงร่างต้องมีเหตุมีผลรองรับเสมอ และห้ามทำตามใจ อย่าเห็นกันกระแสเงินสดแฝงเทียมเพียงอย่างเดียวการจะเข้าซื้อหุ้นตัวเดิมในราคาที่แพงโดยอาศัยกระแสเงินสดแฝง จะซื้อเมื่อหุ้นตัวเดิมนั้นเป็นขาขึ้น และเหลือหุ้นในมือเพียง 10-20% (จากปริมาณที่เริ่มต้นมา) เพราะหากซื้อแล้วขึ้นต่อ ทรัพย์สินเราก็มีมูลค่าสูงขึ้นไปด้วยและเหลือ 10-20% อีก ก็จะเข้าไปซื้อเพิ่มอีก แต่หากซื้อแล้วลง จะทยอยเก็บคืนที่เคยขายไป ซึ่งการทำอย่างนี้ จะไม่มีผลกระทบต่อเงินสดที่เหลือในพอร์ต เพราะจะควบคุมได้ แต่เกิดการสะดุดยังมีเงินสำรองหนี้ (เงินที่ได้ดึงต้นทุนออกมาแล้ว) ไว้รองรับจากนั้นทำตามขั้นตอนตามแผนการขายและซื้อ จะได้กระแสเงินสดแฝง จากทั้งหุ้นเดิม และหุ้นใหม่(ที่ซื้อเดิมและที่ซื้อใหม่)  ได้เงินกระแสเงินสดแฝงมาโปะกับเงินสำรองหนี้ได้เองอย่างอัตโนมัติและระบบบัญชีจะต้องรัดกุมเพื่อคุมการขยายพอร์ตอย่างมีจังหวะด้วย แล้วรูปแบบหรือขบวนหุ้นจะปรับตัวเองตามจังหวะของมันอย่างอัตโนมัติ ช่วง Spread แต่ละช่วงราคาของหุ้นช่วงของราคา ช่วง(บาท)ต่ำกว่า 2 บาท 0.01ตั้งแต่ 2 ถึง 5 บาท 0.02ตั้งแต่ 5 ถึง 10 บาท 0.05ตั้งแต่ 10 ถึง 25 บาท 0.10ตั้งแต่ 25 ถึง 50 บาท 0.25ตั้งแต่ 50 ถึง 100 บาท 0.50ตั้งแต่ 100 ถึง 200 บาท 1.00ตั้งแต่ 200 ถึง 400 บาท 2.00ตั้งแต่ 400 ขึ้นไป 4.00ตัวอย่างการเอาหุ้นมาแปลงร่างเมื่อหุ้นที่ขายไปไม่สามารถซื้อกับได้ และราคาก็ขึ้นไปสูงมากพอสมควร และมองว่าไม่สามารถรับกลับได้ในระยะเวลาอันใกล้ เช่น หุ้น A ราคา 9.20 จำนวน 1,000 หุ้น แปลงร่างมาเป็นหุ้น B ที่ราคา 8.20 บาท จำนวน 1,000 หุ้น ได้เงินกระแสเงินสดแฝง 1,000 บาท (ยังไม่ได้หักค่าคอมมิชชั่น) แต่ก็ยังถือว่าเป็นกระแสเงินสดแฝงเทียมแต่หลังจากได้ทำการลงทุนด้วยวิธี DSM สามารถเล่นหุ้นแบบโน้ตดนตรี ให้ติดตามได้ในบท DSM (30) – วิธีเล่นหุ้นDSM Music Theory และสามารถได้รับกระแสเงินสดแฝงที่แท้จริง ไม่เหมือนกันวิธีการแปลงร่างที่ได้กระแสเงินสดแฝงเทียม


14. DSM (14) – หุ้นขึ้นได้หุ้น หุ้นลงได้เงิน นักลงทุนหุ้นวิธีDSM เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ...การเล่นหุ้นทั้งขาลงและขาขึ้น...หุ้นขึ้นได้เงิน หุ้นลงได้หุ้น... เป็นคำกล่าวที่เสี่ยงอย่างมาก ๆ ที่จริงแล้วต้องเป็น “หุ้นขึ้นได้หุ้น หุ้นลงได้เงิน” เป็นอย่างไร ทำไมต้องพูดว่า “หุ้นขึ้นได้หุ้น หุ้นลงได้เงิน” เพราะเปรียบเทียบการลงทุนในหุ้น เสมือนทำกิจการให้เช่าหุ้น ดังนั้นหลักการคิดคือ กิจการที่เราทำอยู่กำลังดี กำลังเติบโต เราต้องเพิ่มการลงทุน หรือ ขยายกิจการออกไป แต่ถ้า เมื่อไรที่กิจการกำลังก้ำกึ่งระหว่างจะดีหรือไม่ดีไม่ควรเพิ่มการลงทุนหรือขยายกิจการเป็นอันขาด ต้องแยกคำ “ซื้อหุ้นคืน” กับ “ซื้อหุ้นเพิ่ม”(เงินจากกระแสเงินสดแฝง) เมื่อเราทำตามแผนการที่วางไว้ ของการลงทุนด้วยวิธี DSM เมื่อหุ้นเป็นขาลงเริ่มแดง ขายออกทุก 2 ช่อง ช่องละ10% ไปเรื่อย ๆ จะจนกว่าหุ้นเริ่มขึ้นจะซื้อคืนเมื่อหุ้นขึ้นจากจุดต่ำสุดมา 4 ช่อง ค่อยเข้าซื้ออันนี้หมายถึงการ “ซื้อหุ้นคืน” แต่เมื่อไรที่จะซื้อหุ้นเพิ่ม คือการเอาเงินจากกระแสเงินสดแฝงมาซื้อหุ้นเพิ่มเติม แต่อย่าลืมนะ ต้องซื้อหุ้นตัวที่เหลือน้อย หมายความว่าหุ้นตัวนี้ขายดี หรือขึ้นมามาก เปรียบเทียบได้กับเป็นกิจการที่ดี กำลังเจริญเติบโต ต้องมีการขยายงาน ถึงจะเริ่มมีการ “ซื้อหุ้นเพิ่ม”จากเงินกระแสเงินสดแฝง ถ้าให้ดีการซื้อหุ้นเพิ่มต้องซื้อหุ้นอย่างน้อย 1,000 หุ้น หรือ อย่างน้อย200,000 บาท ซึ่งซื้อแล้วสามารถทำงานได้ทันทีจากหุ้นที่ซื้อเพิ่มขึ้นมา ถ้านักลงทุนต้องการซื้อหุ้นเพิ่มโดยที่ยังไม่ได้เหลือหุ้น 10-20% จากของเดิมตัวนั้นๆ เพราะคิดว่า เป็นหุ้นที่ดี กลัวจะเสียโอกาสในการเพิ่มหุ้นกลับดังนั้นแล้วเมื่อไร ถึงจะ “ซื้อหุ้นเพิ่ม” ที่ใช้เงินจากกระแสเงินสดแฝงซื้อ มาถึงตอนนี้ทุกท่าน ต้องสร้างหลักการในการซื้อหุ้นเพิ่มอย่างไรดี การสร้างหลักการในการซื้อหุ้นเพิ่มนั้นนักลงทุนแต่ละท่าน อาจไม่เหมือนกันก็ได้ แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน ยกตัวอย่างเช่น หุ้น A ราคา เริ่มแรก 10.00 บาทต่อหุ้น เมื่อหุ้นเริ่มลงหรือเริ่มแดง ก็ขาย ออกตามที่วางแผนเอาไว้ นั้นคือ 9.80, 9.70, 9.60, 9.50, 9.40, 9.30, 9.20, 9.10, 9.00, 8.90…, จนลงไปเรื่อยๆ ไปถึง และเริ่มนิ่งๆ ที่ 7.00 บาท(ช่วงขาลงช่วงหนึ่ง ๆ ) แล้วมีแรงซื้อกลับเข้ามาในหุ้นเริ่มกับตัวมาที่ 7.20 ก็เริ่มซื้อหุ้นคืนทั้งหมดที่ขายไป ที่ราคา7.20 บาท อันนี้เป็น “การซื้อหุ้นคืน”  หลังจากนี้เงินที่ได้การกระแสเงินสดแฝงจากการขายและซื้อกลับหุ้นตัวนี้และต้องการซื้อหุ้นเพิ่มตัวเดิมกลับด้วย จะซื้อตรงไหนดี ให้แน่ใจว่าซื้อแล้วหุ้นขึ้นจริงๆ เปรียบเสมือนกับกิจการกำลังเจริญเติบโต และจะขยายงาน  ถ้าพูดถึงของแผนการเดิมต่ออีกหน่อย หลังจากนี้เราจะตั้งจุด short หุ้นใหม่อีก 15 ช่อง นั้นก็คือที่ราคา 7.95 บาท จะเป็นราคาที่เราจะ short หุ้นใหม่สำหรับกองหลัง  แล้วเราจะตั้งกฎตั้งเกณฑ์อย่างไรดีกว่ามันขึ้นจริงๆ จะได้ซื้อหุ้นเพิ่มสักทีเพราะต้องการขยายกิจการ แล้วแต่ละคนไม่เหมือนกัน เช่นตัวอย่าง จะซื้อหุ้นเพิ่มที่ขึ้นมาจากจุดที่ซื้อกับคืนมา 5 ช่อง นั้นคือ ราคา 7.45 บาท จะเป็นราคาที่เราจะ ซื้อหุ้นเพิ่ม แล้วคิดว่าหุ้นจะขึ้นต่อไป หรืออาจตั้งที่ 10 ช่อง , 15 ช่อง หรือ 20 ช่องไปเลย ก็ยังได้ เพื่อให้แน่ใจกว่า หุ้นขึ้นจริงๆ หรือกิจการกำลังดีจริงแล้วควรขยายงานต่อไป ในการเริ่มลงทุนหุ้นวิธี DSM ลงเงินก้อนแรกไป ไม่ควรเพิ่มเงินลงทุนในพอร์ตหรือในกิจการให้เช่าหุ้น แต่อันนี้สำหรับนักลงทุนผู้ที่เริ่มต้นการลงทุนด้วยวิธีนี้เพราะเหมือนกับเราทำกิจการอะไรสักอย่างในที่นี้คือกิจการให้เช่าหุ้น ยังไม่รู้ว่ากิจการจะดีหรือเปล่า จะรอดหรือเปล่า ยังไม่ควรลงเงินเพื่อเพิ่มการลงทุนใดๆ แต่เมื่อใด ที่เราทำกิจการได้ดี มีผลตอบแทนที่ดี สามารถเพิ่มการลงทุนเพื่อขยายงานหรือกิจการได้ เพราะการลงทุนด้วยวิธี DSM เหมือนการลงทุนทั่วไป ไม่มีข้อห้ามในการเพิ่มเงินลงทุน แต่จะเพิ่มเงินลงทุนเพราะอะไร ถ้าเพิ่มเงินลงทุนเพื่อขยายกิจการ เพราะกิจการ DSM ที่ผ่านมาทำยอดได้ตามเป้า แบบนี้เพิ่มได้เลย แต่ถ้าเพิ่มเงินลงทุนเพื่ออุดปัญหาของกิจการ แบบนี้ไม่ควรเพิ่มเงินลงทุน ต้องเน้นย้ำว่าให้เพิ่มเงินลงทุนในกิจการที่กำลังเจริญเติบโตหรือเพื่อขยายกิจการเท่านั้น


15. DSM (15) – สิ่งที่ควรคิดเมื่อรักจะเป็น DSMersนักลงทุนหุ้นวิธี DSM จะเรียกตัวเองว่าเป็น DSMers 1. DSMers ต้องมีเป้าหมายชีวิต อย่างน้อยที่สุด เราควรจะรู้ว่า ความฝันของเราคืออะไร แล้วมันเกี่ยวข้องกับการลงทุนแบบไหน อย่างไร ตั้งเป้าหมายให้ใหญ่ ๆเข้าไว้ หาความสัมพันธ์ระหว่างความฝันกับการลงทุนให้เจอ แล้วพยายามไปให้ถึง2. ศึกษาวิธี DSM ให้ถ่องแท้ แล้วค่อยๆทดลองปรับใช้จนลงตัว แล้วกำหนดมันเป็นแผนการอันนำไปสู่เป้าหมายชีวิตที่กำหนดไว้ หรือความฝันที่ตั้งใจ DSM เป็นเพียงวิธีการหนึ่งของการลงทุน การลงทุนที่แท้จริงคือแผนการที่จะนำเราไปสู่เป้าหมายชีวิตอย่างเป็นรูปธรรมนั่นเอง3. ใช้เงินทำงานให้เรา ไม่ใช่ใช้ตัวเราทำงานเพื่อเงิน ในDSM ตัวเงินไม่ใช่สิ่งที่เราสนใจแต่เรามองรายได้ที่เกิดขึ้น มองจำนวนหุ้นเพิ่มมากขึ้น ควรมีหักค่าบริหารพอร์ตออกมาทุกระยะเป็นค่าใช้จ่ายด้วยเพื่อเป็นกำลังใจในการลงทุน กำไรไม่ใช่สิ่งที่เราสนใจเลย เราต้องการหารายได้จากพอร์ตการลงทุนของเรา             เงินค่าของมันเป็นเพียงสื่อกลางแลกเปลี่ยนสินค้า ตัวมันเองผลิตตัวมันเองไม่ได้  สิ่งที่ผลิตเงินได้ คือ พอร์ตของเราต่างหาก กระแสเงินสดแฝงที่เกิดขึ้น ควรนำมาขยายพอร์ตการลงทุนหลังจากหักค่าบริหารพอร์ตแล้ว ใช้เงินซื้อหลักทรัพย์ที่ดี แล้ววันหนึ่งมันก็จะกลายเป็นสินทรัพย์อย่างถาวรที่ผลิตเงินให้เราเปรียบเสมือนตู้ATM ที่กดเอาเงินจากตลาดหลักทรัพย์ไม่มีวันหมด ตราบนานเท่านานที่ตลาดหลักทรัพย์ยังไม่ปิดทำการอย่างถาวร หรือพังทลายไปเสียก่อน4. สิ่งที่สำคัญสำหรับDSMers คือเวลา เพราะมันเป็นทรัพย์สินที่สำคัญและมีค่าที่สุด ในชีวิตหนึ่งๆ คนเรามีเวลา24 ชั่วโมงเท่ากันต่อวัน แต่ละคนใช้ไม่เท่ากันและไม่เหมือนกัน อย่างไรก็ดี เรามีเวลาให้ใช้จำกัดเพียงเท่านี้ ไม่มีวันใด ที่เราจะมี 25 ชั่วโมงไปได้ เนื่องจากเวลา คือสิ่งที่เราถูกจำกัดอยู่ และในแต่ละช่วงชีวิตของเรา จะมีสิ่งที่เราทำได้ กับทำไม่ได้อยู่ ในบางช่วงชีวิต ถ้าเราไม่ได้ทำสิ่งนั้นแล้ว เราก็จะไม่ได้ทำสิ่งนั้นอีกต่อไป แบ่งเวลาในแต่ละช่วงชีวิตอย่างสมดุล และใช้เวลาให้มีค่าที่สุดสำหรับตัวเอง และห่วงใยคนที่คุณรักด้วย เพราะการลงทุนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต5. ค้นหาอิสรภาพทางใจให้พบ ในระหว่างทาง เราอาจจะเหนื่อยล้า สับสน กับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น แต่ในความผิดพลาดมักจะมีโอกาสแฝงเร้นอยู่ด้วยเสมอ เหมือนกับเหรียญที่มีสองด้าน มีคนซื้อก็ต้องมีคนขาย แต่สิ่งหนึ่งที่จะคอยฉุดรั้งเราให้เดินทางต่อไป ไม่ยอมแพ้ ก็คือจิตใจของเรานี่เอง เราจะต้องค้นพบให้ได้ ว่าใจของเราต้องการอะไร ถ้าทำได้ เราจะมีความสุขมากกว่าที่เคยเป็นอยู่



16. DSM (16) – DSM 7 ข้อ ดั่งแก้วสารพัดนึกดั่งแก้วสารพัดนึกแบ่งได้เป็นข้อ ๆ ดังนี้1. DSMers ต้องเข้าใจว่า เป้าหมายของเราคือ การเก็บสะสมหุ้นให้ได้มากขึ้น โดยไม่ต้องใช้เงินเพิ่ม2. DSMers ต้องไม่สนใจมูลค่าพอร์ตหุ้นไม่ว่าจะมีมูลค่าเพิ่มหรือลดลง 3. DSMers สนใจแต่กระแสเงินสดแฝงเพราะกระแสเงินสดแฝง คือรายได้ ซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งการเพิ่มจำนวนหุ้น การเร่งเพิ่มกระแสเงินสดแฝง โดยยังไม่เข้าใจดีพอ เป็นอันตรายพอควร เช่น การใช้ กระแสเงินสดแฝงในอนาคตนั้น ปลอดภัยดีจริง แต่หากยังไม่ชำนาญอาจพอร์ตชอร์ตได้ จุดสำคัญที่สุดของการขยายพอร์ตคือ ต้องไม่เกิดกระแสเงินสดชอร์ต เมื่อใดก็ตามที่ท่านเพิ่มเงินเพราะภาวะเงินชอร์ต ท่านกำลังเข้าสู่การสูญเสียการควบคุมบัญชีของท่าน เหมือนกับการลงทุนขาดทุนแล้วเอาเงินลงไปอีกหรือเหมือนซื้อหุ้นเฉลี่ยขาลงซึ่งไม่ควรทำที่สุดอย่างหนึ่ง4. การเข้าซื้อยังคงมีความสำคัญมาก ส่วนจะเข้าซื้ออย่างไร เช่นไร ล้วนแล้วแต่การฝึกฝนในแนวทางของตน หากเข้าซื้อ แล้วหุ้นลงเริ่มสร้างได้กระแสเงินสดแฝงได้เลย แล้วถ้าหุ้นขึ้น มูลค่าเพิ่ม (ไว้ไปได้กระแสเงินสดแฝงที่มากขึ้น) ล้วนแล้วแต่ดีทั้งนั้น แต่อย่าลืมว่าไม่ได้ดูที่มูลค่าพอร์ตที่เพิ่มขึ้นหรือว่าลดลงแต่อย่างไร5. DSMers ยิ้มตลอดเวลา ไม่เครียด เพราะหุ้นขึ้นทำให้มูลค่าเพิ่มเพื่อได้กระแสเงินสดแฝงมากขึ้น เมื่อหุ้นลงจะเกิดรายได้จากกระแสเงินสดแฝงจากหุ้นทันที ดังนั้น DSMers จึงยิ้มตลอด ก้าวเข้าสู่เส้นชัย อิสรภาพทางการเงินอย่างสบายอารมณ์    6. DSM ไม่มีวิธีการที่ตายตัว เปลี่ยนแปลงได้เสมอ โดยยึดหลักการและแนวคิดเหมือนเดิม 7. DSMers ต้องเตรียมการ เตรียมใจ รับมือได้ในสภาวการณ์หลัก ๆ ของหุ้นดังต่อไปนี้ คือ ขาขึ้น ขาลง และ ไซด์เวย์ คิดและปรับใช้ให้ตรงกับวิธีการบริหารพอร์ต และนิสัยหุ้นและตัวนักลงทุนเองอย่างไรก็ดี DSM ใช้ออกได้ดั่งใจนึกนั้น ไม่ได้มาจากทฤษฎี หรือการคำนวณในExcel เป็นแน่แท้ ท่านต้องลงทุนจริงตามแนวทางนี้ และเก็บข้อมูลของตัวท่าน พอร์ตของท่าน วิธีการเทรดของท่านอย่างต่อเนื่อง และปรับใช้ให้เหมาะกับนิสัยของท่านเอง


17. DSM (17) – Q&A DSM จากใจถึงใจQ. สิ่งที่สำคัญที่สุดใน DSM คืออะไรA. แนวคิดและใจ (วิธีการมาทีหลัง พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา) แนวคิดที่สำคัญจริงๆก็คือ เราต้องการหากระแสเงินสดแฝงจากการซื้อขายหุ้นในพอร์ตของเราเอง เพื่อมาเพิ่มจำนวนหุ้นในพอร์ต มูลค่าของพอร์ตจะเป็นอย่างไรยังไม่ใช่ประเด็นหลักถ้าใจโลเลของชาว DSMers แบบลูกครึ่งจะแสดงออกมาเวลาที่หุ้นขึ้น ๆ ลง ๆ แล้ว เราคาดเดาตลาด(สังเกตว่า เดาถูกเราดีใจ เดาผิดเราเสียดาย อะไรแบบนี้ เมื่อเกิดความรู้สึกแบบนี้ ให้รีบฉุกคิดว่า ตอนนี้กำลังเดาอยู่นะ ผิดวัตถุประสงค์แล้ว) โดยเฉพาะเวลาที่หุ้นขึ้น เราอยากจะขาย ตรงจุดที่คิดว่า Peak 100%  เหมือนตอนเก็งกำไร ซึ่งเราก็รู้ว่า ทำไม่เคยได้ ก็เลยอยากจะหาวิธีที่ไม่ต้องเดาตลาด จึงมาเลือกวิธีนี้ พอมาเลือกแล้ว จะเดากันอีกทำไม ถ้าอย่างนั้น ก็มาเล่นเก็งกำไรกันให้สนุกสนานเหมือนเดิม แล้วก็ร้องไห้ขายหมู ซื้องูกันต่อไปดีกว่าไหมดังนั้น DSMer พันธุ์แท้ ต้องไม่เดาตลาดและไม่สนมูลค่าพอร์ต ถึงราคาขายต้องขายตาม Step ถึงราคาซื้อ ต้องซื้อตาม Step ระยะยาวแล้วเห็นผลเอง มองให้เป็นการลงทุนระยะยาว ๆQ. ขายไปแล้วซื้อคืนไม่ได้ทำอย่างไรดีA. ทำไมซื้อคืนไม่ได้รู้ไหม คำตอบคือหุ้นขึ้นไปแล้วไง  หุ้นขึ้นไปแล้ว ถึงจุดชอร์ตแล้ว(ต้องมีช่วงห่างของจุดชอร์ตพอควรด้วย)ก็ต้องขายไปอีกทีละ step สมมติว่าซื้อคืนไม่ได้อีก หุ้นไปต่อ ขายอีกทีละ step ซื้อคืนไม่ได้อีก หุ้นขึ้นต่อ เห็นไหมว่า เราขายหุ้นไปในขณะที่หุ้นขึ้นการที่เราขายหุ้นไปในขณะที่หุ้นขึ้นแสดงว่า เราได้เงินสดกลับมามากกว่ามูลค่าหุ้นตอนที่ซื้อ  ภาษาเก็งกำไร เขาเรียกว่า ขายได้กำไร(เพิ่มมูลค่าหุ้น ขายไป ได้เงินสดมากกว่าเดิมกลับมา มีแต่เรื่องดี) ไม่เห็นต้องสนใจตัวที่ยังซื้อคืนไม่ได้เลยทีนี้มาถึงจุดที่เรา เหลือหุ้นในมืออีกสัก 10-20% ก็แสดงว่าราคาสูงขึ้นมามากแล้ว(สมมติอาจจะสูงกว่าราคาซื้อสัก50ช่องก็แล้วกัน)ซื้อกลับไม่ได้แก้ไขโดยการใช้ช่องว่าง นำเงินที่ได้จากการขายหุ้นของกองหลัง ซึ่งอีกนานกว่าจะซื้อคืนได้ ไปซื้อหุ้นตัวอื่น(ซึ่งเราเล็งไว้แล้วว่าราคาถูกกว่ากองหลังที่ขายไปแล้ว ตรงนี้แนะนำด้วยความเห็นส่วนตัวว่าให้หาหุ้นที่เราจับตาราคาของมันอยู่ว่ากำลังลงสู่จุดOversold จะได้ผลดีมาก)Q. ทำไมนำเงินกองหลังตรงนี้ไปซื้อหุ้นตัวอื่นA. ก็เพราะว่า หุ้นขึ้นลง โดยเฉพาะหุ้นพื้นฐานดี จะวิ่งรวดเดียวลงมา50 ช่องนั้นเกิดค่อนข้างนาน ระหว่างนั้น ถ้าเราไม่ทำอะไรกับเงินสดในพอร์ต ก็คือการเสียโอกาสหารายได้(มีหุ้นคือใช้สร้างรายได้ รายได้คือกระแสเงินสดแฝง) ดังนั้นจึงนำเงินส่วนนี้ เข้าซื้อหุ้นที่เล็งไว้ นั้นคือการแปลงร่างQ.ทำไมการนำเงินส่วนนี้เข้าซื้อหุ้นที่เล็งไว้จะไม่ทำให้กระแสเงินสดเกิดการไม่สมดุลA.เพราะว่า ตอนที่เราขายหุ้นตัวแรกไปนั้น เราได้เงินสดมากกว่าตอนที่เราซื้อมันเข้ามา ดังนั้นการทำบัญชีว่า กระแสเงินสดที่เกิดขึ้นมีมากกว่าเดิมหรือไม่ จะทำให้เรากันเงินออกมาซื้อหุ้นตัวอื่นได้ในปริมาณที่เราสบายใจว่า กระแสเงินสดจะเกิดการชอร์ตได้น้อยมากครับ Q. ระบบบัญชีไม่ทำได้หรือเปล่าA. ได้ครับ แต่เจ๊งแน่นอน ดังนั้นต้องทำบัญชีเสมอ และบัญชีเป็นส่วนหนึ่งในการลงทุนแนวทางนี้ซึ่งสำคัญมาก ๆ Q. ทำไมต้องมีการแบ่งส่วนกระแสเงินสดแฝง ก่อนการขยายพอร์ต (25%ใช้สำรอง, 25%ใช้จ่าย, 50%ใช้ขยายพอร์ต)A. ป้องกันกระแสเงินสดชอร์ต ทำสักระยะจะรู้ว่าเมื่อเราขยายงานมากๆ และเร็วเกินไป จะทำให้กระแสเงินสดไม่พอบ่อยเลย อีกอย่าง เราต้องใช้จ่ายเงินถึงต้องมีการดึงส่วน25%ใช้จ่ายออกมาQ. ควรซื้อเพิ่ม เวลาไหนA. นี่สิ จุดสำคัญมากที่สุดของการเพิ่มมูลค่าและปริมาณหุ้นในพอร์ต คุณเด่นศรีบอกว่า ให้ซื้อตัวที่หุ้นในมือเหลือน้อยที่สุด ก็คือหุ้นที่แข็งกว่าตลาดนั่นเอง ถ้าทำตามวิธีของพี่เด่นก็คือว่า หุ้นที่ขึ้นมาเยอะแล้ว มีโอกาสที่จะลงมาก ถ้าลงมาแล้ว เราจะมีกระแสเงินสดแฝงมากมายเลยแต่ผมขอเลือกทำอีกแบบหนึ่งนะผมจะเลือกซื้อตัวที่เข้าสู่จุด oversold เป็นหลัก เพราะหุ้นจะมีโอกาสเพิ่มมูลค่าได้มากกว่า ซึ่งการขยายงานเพิ่มปริมาณหุ้นของพอร์ต อาจจะช้ากว่า แต่มูลค่าของหุ้นจะลดลงน้อยกว่า และเพิ่มขึ้นเข้าสู่จุดคุ้มทุนเร็วกว่า จะได้สบายใจเร็วๆQ. ไม่ขายขาขึ้นทีละน้อยๆดีกว่า หรือขายดีกว่ากันA. อันนี้แล้วแต่ความถนัด สำหรับผม ผมว่าไม่ขายดีกว่า ถ้าผมขายทีละ1% ล่ะก็ ผมแบ่งพอร์ตออกมาส่วนหนึ่ง เล่นเก็งกำไรไปเลยเต็มๆดีกว่า มันกว่าด้วย แต่ต้องเก็บข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบกันด้วยQ. ไม่มีเวลาดูหุ้นทำอย่างไรดีA. เปิดตลาดทั้งเช้า-บ่ายดูหนึ่งรอบ ใกล้ปิดตลาดทั้งเช้า- บ่ายดูอีกหนึ่งรอบ (เป็น 4 รอบ) ขายได้เท่าไร ขายไป ซื้อได้เท่าไรซื้อมา ถ้าระหว่างวัน ราคาปิด และเปิดห่างกันพอควร คุณได้กระแสเงินสดแฝงพอสมควร ดังนั้นต้องเลือกหุ้นราคาปิดเปิดที่วิ่งมีความห่างพอสมควรQ. ฉันอยากรู้ว่า ฉันเหมาะเป็น DSMers หรือเปล่าA. ก่อนทดสอบต้องทำดังต่อไปนี้ก่อน-อ่านหนังสือพ่อรวยเล่มต่าง ๆ เช่น พ่อรวยสอนลูก,  พ่อรวยสอนลงทุน, เกษียณเร็วเกษียณรวย, และใครเอาเงินของฉันไป แล้วดูว่าเห็นด้วยกับแนวคิดอิสรภาพทางการเงินหรือไม่-อ่านกระทู้หลักๆในคลับเพื่ออิสรภาพทางการเงินเสียก่อน และทดสอบความเข้าใจของตัวคุณเอง กับคนที่สนใจวิธีนี้อย่างจริงจัง และทดลองปรับใช้ดูถ้าคุณทำมาได้ถึงตอนนี้ และยังอยากทำต่อ คุณก็เป็นDSMers ในแนวคิดมาครึ่งตัวแล้ว(เพราะอ่านหนังสือมาเป็นเล่ม อ่านกระทู้มาเป็นหน้ายังอยากทำได้ แสดงว่ามีใจให้กันจริงๆ )วิธีทดสอบคือแบ่งพอร์ตของคุณเป็นสองส่วนจะด้านละกี่เปอร์เซ็นต์ก็ได้ ตามใจจะกล้าเสี่ยง หรือจะเปิดสองพอร์ตก็ได้ แล้วใช้เงินนั้น เข้าซื้อหุ้นตัวเดียวกัน ด้านหนึ่งใช้ DSM เต็มตัว(ทั้งใจ วิธีการและระบบบัญชี) อีกด้านหนึ่งเก็งกำไรเต็มตัว เก็บข้อมูลทั้งหมด ทำอย่างต่ำ 1 ปี แล้วเปรียบเทียบเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าและการเติบโตของพอร์ตระหว่างกันถ้าหุ้นเป็นขาขึ้นพอร์ตเล่นเก็งกำไรควรจะได้มากกว่า แต่อย่าเพิ่งได้ใจ หุ้นมีรอบของมัน เดี๋ยวก็ต้องลง ตอนนั้น เรายังสามารถทำกำไรจากมันได้อยู่หรือไม่  และวิธีDSM จะอยู่กับหุ้นตัวนั้นตลอดเวลา หุ้นขึ้นหรือลง เราอยู่กับมันตลอด มันเหมือนการเติมน้ำลงไปในแก้วหลายแก้วที่มีก้นเดียวกันครับ บางครั้งแก้วนี้เราเติมมาก(หุ้นขึ้น)หน่อย แก้วนั้นเราเติมน้อย(หุ้นลง)หน่อย พอถึงเวลามันก็จะไหลลงไปที่ก้นเดียวกัน จนปริมาณน้ำในแต่ละแก้วค่อยๆเพิ่มปริมาณขึ้นพร้อมๆกัน ขออย่างเดียวอย่าให้แก้วแตก(หุ้นเจ๊ง) แต่ถ้าเก็งกำไร คุณเลือกแก้วมาหลายใบ น้ำแก้วนี้คุณเติมมาก แก้วนี้คุณเติมน้อย ถ้าคุณเติมน้อยมากกว่าเติมมาก สุดท้ายคุณจะมีน้ำน้อยลง(เก็งกำไร ถ้าเก่งจริง คุณรวยที่สุดอยู่แล้ว นั่นคือคุณต้องเติมน้ำได้มากกว่าเดิมตลอดเวลา)วิธีทดสอบนี้ ระหว่างทาง อุปนิสัยของคุณ การมองโลกของคุณ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของคุณ จะเป็นตัวกำหนดทิศทางการเทรดของคุณเอง และในไม่ช้า คุณอาจจะค้นพบวิธีที่ทำให้ทั้งสองด้าน มารวมกันเป็นเนื้อเดียวได้ก็เป็นได้


19. DSM (19) – เปรียบเทียบ VI กับ DSM แบบถึงลูกถึงหุ้นบทนี้ได้เน้นการเปรียบเทียบ VI กับ DSM เจาะลึกแบบถึงลูกถึงหุ้นโดยเปรียบเทียบเป็นข้อๆไป ดังต่อไปนี้1.การมองและวิธีคิดVI…ข่าวดีปล่อย ข่าวร้ายซื้อ เป็นการสวนกระแสแบบพิจารณารอบคอบ เพราะเข้าใจอย่างดีว่าหุ้นตก แค่เพียงราคาในตลาดตกชั่วคราว แต่ถ้าบริษัทนั้นๆ มีความสามารถในการแข่งขันเชิงยั่งยืน (ส่วนต่างกำไรดีและการหมุนเวียนสินค้าคงคลังมีสภาพคล่อง) หมายถึงเราได้ของดีราคาถูก เราหาประโยชน์จากตลาด ไม่ยอมให้อารมณ์ตลาดมาชักนำ ต่างจากคนทั่วไป ที่ดูราคาเฉพาะกราฟหุ้น เพราะราคาหุ้นที่ผันผวนส่วนใหญ่เกิดจากจินตนาการในทางผิดๆ โดยเฉพาะเน้นไปทางร้าย ไม่ใช่ปัญหาธุรกิจDSM… มองหุ้นที่ถือและครอบครองเสมือนเป็นทรัพย์สิน ซึ่งต้องการสร้างรายได้จากทรัพย์สินนั้นๆ โดยได้รับกระแสเงินสดแฝงเปรียบเสมือนเก็บค่าเช่าจากทรัพย์สินชิ้นนั้นๆ ต้องเริ่มจากความเข้าใจในการลงทุน จะทำให้เกิดความคิดในการลงทุนที่เปลี่ยนไป ซึ่งจะทำให้การลงทุนในหุ้นตามแนวทางนี้ และก็จะได้รับผลของการลงทุนอย่างคุ้มค่า อย่างต่อเนื่องและระยะยาวตลอดไปเรื่อย ทำให้เห็นว่าหุ้นตกก็ยิ้มได้  และหุ้นขึ้นก็ยิ่งยิ้มได้ ดังนั้นยิ้มได้ทั้งสองทางไม่ว่าจะขึ้นหรือจะลง2.ขาขึ้นVI…ปล่อยให้ Port โต ระยะยาว เก็บไปจนแก่ มีความสุขที่ทำได้DSM…ปล่อยให้ Port โต ขายตามแผนที่วางไว้ได้รับกระแสเงินสดแฝงมากขึ้น มีความสุขเช่นเดียวกัน 3. ขาลงVI…เก็บให้เยอะที่สุด โดยเฉพาะเมื่อราคาตก รีบเข้าไปเก็บเพิ่มหุ้น เป็นโอกาสวิเศษ ที่จะรีบวิ่งไล่เก็บสะสมของดีไว้ใน Port แต่ต้องเพิ่มเงินลงทุนเข้าพอร์ตDSM…ขาย Short ทีละ Step แล้วจับคู่ซื้อคืน ซื้อราคาถูกกว่าที่ขายเท่ากับได้กระแสเงินสดแฝง (Phantom cash flow) นำกลับมาซื้อสะสมจำนวนหุ้นเพิ่ม การไม่เอาเงินลงทุนมาใส่เพิ่ม แต่อาศัยเงินจากกระแสเงินสดแฝงเท่านั้น ทำให้พอร์ตโตขึ้นเรื่อยๆ แบบสะสมใจเย็น4. การวิเคราะห์ปัจจัยทางพื้นฐานVI…1.หุ้นเด่น เลือกพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เช่น P/E, P/B ต่ำ หนี้น้อย เงินสดมาก เงินคงคลังลดลง กำไรดี ปันผลพอควร และเติบโตระยะยาว และถ้า Market Cap สูง เป็นตัวเด่นในอุตสาหกรรมนั้นๆ ถ้าผูกขาดได้ยิ่งดี  2. หุ้นที่ดูด้อย เลือกหุ้นตัวที่มีปัญหาปัจจุบัน แต่ยังมีสินทรัพย์และเงินสดเหลือเฟือ (พิจารณาจากงบการเงินและการหาข้อมูลรอบข้าง) ซึ่งหมายถึงจะได้หุ้นมีคุณภาพแต่ราคาถูก คนอื่นมองข้าม 3. ต้องเลี่ยงหุ้นที่ร้อนแรงและสินค้าเล่นแข่งราคากันหรือมีคู่แข่งมากเกินไปในตลาดรวมทั้งสินค้าฉาบฉวยอายุสั้น DSM…แม้ปัจจัยพื้นฐาน ไม่ใช่หัวใจของการสร้างกระแสเงินสดแฝง แต่ก็ต้องมองหาเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และเติบโตระยะยาว อย่างเช่น ใน SET 50 หรือ SET 100 เพราะพอหุ้นตก สุดท้ายยังไงก็ต้องดีดกลับมา และเราอยากถือยาวโดยไม่ขายทิ้งจึงควรพิจารณาหุ้นที่เด่นและแกร่งในวงการ (แต่ระวังพอควรพื้นฐานดี แต่หุ้นนิ่งเกินไปไม่สวิงเลย ก็จะทำกระแสเงินสดแฝงได้ช้ามาก) การวิเคราะห์งบการเงิน ไม่ได้เป็นประโยชน์เท่าใดนัก เพราะความเป็นจริง งบการเงินถูกตบแต่งหลอกตานักลงทุนได้ง่าย5. การวิเคราะห์ทางเทคนิคVI…ไม่จำเป็น แต่ต้องการหาความรู้เกี่ยวกับความเป็นไปของกิจการและสินค้าของบริษัทนั้นๆ สำคัญกว่าDSM…ไม่จำเป็น เพราะเป็นการเสียเวลา ที่เอาอดีตมาดูอนาคต รายใหญ่สร้างกราฟได้เสมอ6. จุดเด่นของแต่ละวิธีVI…ดูหุ้น ซื้อเหมือนหวังจะครอบครองกิจการ ดูอุตสาหกรรมและสินค้า รวมทั้งคู่แข่งรอบข้างด้วย และเป็นการเก็บ "ห่านทองคำ" ให้ "ออกไข่ทองคำ" ให้กินระยะยาว โดยเฉพาะมีเงินปันผลสุดท้ายก็คืออิสรภาพทางการเงินDSM…อาจมีหุ้นมากตัวได้ แต่การสวิงของหุ้นต้องสูง เพราะจะได้กระแสเงินสดแฝงมาก จาก Step ของหุ้นที่ราคาตก ถ้ามีเงินปันผลก็ยิ่งดี และต้องมีการสะสมหุ้นเพิ่มขึ้นเรื่อยจากกระแสเงินสดแฝงที่ได้ เป็นเจ้าของกิจการนั้นๆ ด้วย สุดท้ายก็คืออิสรภาพทางการเงิน7. กระแสตลาดและความเป็นไปของสังคม กับการตัดสินใจลงทุน ซื้อขายVI…อย่าตื่นข่าวลือและระวังหุ้นที่ร้อนแรงเพราะปั่น แต่ก็ต้องอ่านหาความรู้รอบตัวมากพอควร คอยตามเก็บหุ้นที่เราอยากเป็นเจ้าของกิจการ เมื่อราคาตก (ชั่วคราว) ไปตามตลาด แต่คุณค่าของหุ้นตัวนั้นๆ ยังเยี่ยมอยู่ รวมทั้งกวาดสายตามองหาหุ้นอื่นที่คนอื่นไม่สนใจ และวิเคราะห์กิจการที่ยังไปได้ไม่ค่อยดี แต่ยังเป็น "ของดี" ด้วย  ระวังเรื่องอัตราดอกเบี้ย ถ้าเพิ่มมูลค่าธุรกิจจะลดลงเสมอและจะทำให้หุ้นราคาตกDSM…ไม่ต้องใช้ความรู้รอบตัวของเหตุการณ์มาก อาจทำให้ไขว้เขวด้วยซ้ำ เพราะอาจฉุดอารมณ์ให้ร้อนรนหรือซบเซาไปตามตลาด  โดยให้ยึดทำตามแผนการอย่างสม่ำเสมอและการวิเคราะห์ทางการเงิน ความเชื่อถือไม่ค่อยมีประโยชน์ได้ได้มากนัก และพวกข่าวดีข่าวลับต่างๆ ทั้งหลาย นักลงทุนวงใน มักนำไปหาประโยชน์ก่อนหน้านี้แล้ว  แต่การมุ่งใช้วินัยในการตามเก็บกระแสเงินสดแฝง และค้นหาอิสรภาพทางการเงิน แบบวิธีพอเพียง ทำให้สุขุม เยือกเย็น และเป็นสุขกว่า โดยเฉพาะช่วงหุ้นขาลงที่ผู้อื่นมักเป็นทุกข์ ยิ่งทำให้นักลงทุนโดยวิธีการนี้มีความแตกต่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว8. การให้เวลาVI…ไม่ต้องนั่งเฝ้ามากนัก แต่ก็ต้องดูแลเพื่อตัดสินใจ โดยเฉพาะสภาวะตลาดไม่น่าไว้วางใจ ตลาดหมี มีโอกาสซื้อ ตลาดกระทิงสร้างผลกำไร DSM…ต้องคอยนั่งเฝ้าดูการตกของหุ้น...อย่างสบายใจ เพื่อจับคู่ “ขายเพื่อซื้อ” หรือ “ขายเพื่อสร้างโอกาสซื้อ” แต่ควรไปตามวิถีการดำเนินชีวิตปกติแต่ละคน9. การใช้ชีวิตVI & DSM…เรียบง่าย สบายๆ แบบพระราชดำรัส อยู่แบบพอเพียง ไม่ยึดติด "รวยเพราะพอเพียง" และเหลือเฟือด้วยซ้ำ แบ่งรายได้ส่วนเกินไปทำบุญหรือช่วยเหลือสังคมบ้าง นำมาหาความสุขให้ตนเองบ้างพอควร เพราะเงินเป็นแค่ตัวเลขทางบัญชีวันนี้พวกเราใช้ DSM กับหุ้นโดยเปรียบเหมือนว่ายังต้องการดูแลกิจการด้วยตัวเองอยู่ (ด้าน S ใน Rich Dad) จนวันนึ่งได้ไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ คงไม่ต้องมาคอยดูแลกิจการธุรกิจให้เช่าหุ้นด้วยตัวเอง ตอนนั้นผมก็คงเป็นนักลงทุนแบบ VI ได้เต็มตัว (B & I ใน Rich Dad)


20. DSM (20) – เปรียบเทียบวิธีการลงทุนของ VI, DSM กับอสังหาริมทรัพย์เปรียบเทียบการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของหุ้นแบบ VI,  DSM กับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์  ซึ่งจะทำให้เราเห็นภาพมากขึ้นอย่างชัดเจน VI…คือคนที่รู้ว่าทำเลทองอยู่ที่ไหน และที่สำคัญกว่าคือรู้ว่าทำเลทองที่ว่า ตอนนี้ราคาถูกมาก และเข้าไปกว้านซื้อเก็บไว้ ถ้าเกิดจะมีคนมาขอซื้อต่อแพงๆ เรา VI ก็เฉยๆ เพราะเรารู้ว่าเราจับจองทำเลทองไว้อยู่ ในอนาคตเมื่อคนอื่นๆ รู้มากขึ้น การค้าก็ไหลมาเทมา รายได้จากค่า เช่าค่าเซ้งก็จะไหลมาเทมา และราคาที่ดินก็จะขึ้นตามไปด้วยในที่สุด DSM…คือคนที่ประมาณได้ว่าทำเลทองอยู่ที่ไหน เลือกเอาที่คนพลุกพล่านหน่อยๆ จะได้ซื้อคล่องขายคล่อง แต่อาจจะไม่รู้ว่าราคาตลาดขณะนั้นเป็นราคาที่เหมาะสมหรือยัง ก็เข้าไปกว้านซื้อที่ไว้ เสร็จแล้วก็เอามาแบ่งขายเป็น lot เล็กๆ ที่ราคาตลาด ถ้าตลาดมี Demand สูงก็โก่งราคาหน่อย ถ้าปล่อยถูกๆ แล้วยังไม่มีคนเอาก็ตั้งราคาถูกลงไปอีก แต่ที่สำคัญเมื่อปล่อยไปแล้ว ก็ค่อยๆ ทยอยซื้อคืนเมื่อ lot ที่เราปล่อยขายไปนั้น ราคาตกลงมาต่ำกว่าราคาที่เราขายไป รายได้จากการปล่อยขายนี้ เราก็เอาไปลงทุนในทำเลอื่นบ้าง เพิ่มพื้นที่ในทำเลเดิมบ้าง หรือย้ายทำเลไปจังหวัดใหม่บ้าง ตามแต่แผนการลงทุน VI… จะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเฟ้นหาทำเลทอง และประเมินมูลค่าทำเล  นั้นว่าถูกแสนถูกหรือยัง ถ้าทำเลนั้นมีสิ่งปลูกสร้างที่ปล่อยเช่าได้ จะยิ่งดีเงินสดจะเก็บเอาไว้จนกว่าจะเจอทำเลทองที่ถูกใจถูกราคาจริงๆ ถึงเข้าซื้อDSM…ส่วนใหญ่จะใช้เวลาไปกับการวางแผนว่า วันพรุ่งนี้จะต้องขายอะไรและซื้ออะไร เมื่อราคาตลาดเป็นเท่าไหร่ คนส่วนมากมักจะคิดว่าเวลาของDSM หมดไปกับการเทรด แต่จริงๆ แล้วเป็นการวางแผนตอนเย็นหลังปิดตลาดหุ้นหรือตอนกลางคืน ปกติ DSM จะใช้เวลาวางแผนกันประมาณครึ่งถึงสองชั่วโมง แล้วแต่จำนวนหุ้นที่ติดตาม (ทั้งถือและไม่ได้ถืออยู่) ส่วนเวลาในการเทรด น่าจะรวมกันทั้งวันไม่เกิน 15 นาที บางคนใช้เวลาแค่ 2 นาที คือช่วงปิดตลาดเช้าเย็น วันละสองครั้ง คิดว่าเป็นแนวทางการลงทุนที่สำเร็จแน่นอน แทบจะปราศจากความเสี่ยง (ในแง่หมดเนื้อหมดตัว) และให้ผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจ  “ถ้าสามารถรักษาวินัยการลงทุนได้อย่างเคร่งครัด” และไม่เอาอารมณ์มาช่วยตัดสินใจ เพราะการตัดสินใจทำไปแล้วตั้งแต่ตอนเย็นหลังปิดตลาดหุ้นหรือตอนกลางคืนถ้าต้องการผสมผสาน VI กับ DSM เข้าด้วยก็สามารถทำได้ คือนำ DSM มาใช้ร่วมกับ Value Investing แล้วอันนี้จะเรียกได้ว่า "สุดยอดไปเลย" เพราะลำพัง VI อย่างเดียว ซื้อหุ้นมาได้ตอนถูก แล้วถือรอจนได้ผลตอบแทนสูง แต่จำนวนหุ้นยังเท่าเดิม แต่ถ้าเราวิเคราะห์แบบ VI แล้วซื้อหุ้นตัวนั้นมาถือ ระหว่างถือรอราคาขึ้น ก็ทำ DSM ไปด้วย เราจะได้จำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ โดยไม่ต้องลงเงินเพิ่มเลย อย่างนี้จะทำให้เกิดความสุดยอดจริงๆ อย่างนี้คงเรียกได้ว่าเป็นแค่ DSM พันธุ์ทางเท่านั้น ไม่ได้เป็นDSM พันธุ์แท้แต่อย่างไร



24. DSM (24) – DSM รับประกันเงินต้นคืน100% นักลงทุนทุกท่าน เคยได้ยินการรับประกันในแบบต่าง ๆ กันมาแล้ว อย่างพวกอสังหาริมทรัพย์ มีการประกันอัคคีภัย มีประกันแผ่นดินไหว หรือ พวกขนส่งต่าง ๆ ก็มีการประกันภัยสินค้าและอุบัติหรือ เมื่อเราไปรับประทานอาหารภัตตาคารที่มีชื่อเสียง ไม่พอใจในรสชาติของอาหารก็ยังมีประกันความพอใจ หรือไปซื้อสินค้าพวกเครื่องไฟฟ้า เสื้อผ้า ก็ยังมีการรับประกันความพอใจ แต่ทำไม นักลงทุนในหุ้นถึงไม่มีใครรับประกันคืนเงินต้น ทั้ง ๆ ที่มีแต่โบรกเกอร์ชื่อดังต่าง ๆ  ออกบทวิเคราะห์ต่าง ๆ มากมายแล้ว ราคาหุ้นไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ให้ไว้กับนักลงทุนที่เป็นลูกค้าของโบรกนั้น ๆ ดังนั้นนักลงทุนหุ้นทุกท่านไม่มีโบรกไหนเลยที่จะรับประกันคืนเงินต้น แล้วอย่างนี้จะทำอย่างไรดีถ้าอย่างนี้ไม่มีโบรกไหนกล้ารับประกันคืนเงิน แล้วเราซึ่งเป็นนักลงทุนเองทำไม ไม่รับประกันคืนเงินให้กันตัวของนักลงทุนเสียเอง ซึ่งจริง ๆ แล้วนักลงทุนผู้ชาญฉลาดจะรับประกันคืนเงินให้กับตัวเองเสมอ แต่ถ้านักลงทุนบางท่านไม่สามารถรับประกันคืนเงินให้กันตนเองได้ อย่างนี้ต้องเรียกว่าเป็นนักพนัน ไม่ใช่นักลงทุน แต่จริง ๆแล้วในโลกแห่งการลงทุน มีนักพนันจำนวนมากที่คิดว่าตนเองเป็นนักลงทุน แล้วอย่างนี้เราซึ่งเป็นนักลงทุนจะทำอย่างไรถึงจะรับประกันเงินให้กันตัวเองได้ และต้องการเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาดจะทำอย่างไรแต่มีการลงทุนหุ้นวิธี DSM สามารถรับประกันคืนเงินต้นให้กับตัวนักลงทุนเอง และที่สำคัญรับประกันคืนเงินต้นถึง 100% ถึงแม้ว่าราคาหุ้นจะไม่สูงกว่าตอนที่เริ่มซื้อหุ้นตอนเริ่มแรกก็ตามที ดังนั้นการเล่นหุ้นด้วยวิธีDSM เป็นการสร้างรายได้ ให้ก่อเกิดกระแสเงินสดแฝง จากการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น เมื่อได้กระแสเงินสดแฝงมา แบ่งเป็นตามสัดส่วนของเงิน และนำเอา25% เงินสำรองหนี้มีการดึงเงินต้นออกมาจากเงินต้นทุนที่เริ่มลงลงทุน จนครบตามจำนวนเงินเริ่มต้นทั้งหมดอย่างนี้ก็เรียกว่าได้ เป็นการรับประกันคืนเงินต้นถึง100% เลยที่เดียวสรุปว่าการลงทุนหุ้นวิธีDSM เป็นการประกันคืนเงินต้น 100% และตัวนักลงทุนเองยังได้เป็นเจ้าของทรัพย์สิน (หุ้น) นั้น ๆ อยู่เหมือนเดิมแล้วยังได้ทรัพย์สิน (หุ้น) เพิ่มขึ้นมาอีกจำนวนมากเมื่อเทียบกับตอนเริ่มต้นของลงทุน ซึ่งเมื่อเปรียบวิธีการลงทุนหุ้นแบบอื่น ๆ ซึ่งไม่มีใครกล้ารับประกันคืนเงินต้นเลย สักบาท เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วทำไม ไม่เริ่มศึกษา แนวคิดการลงทุนวิธี DSM ตั้งแต่ตอนนี้ และยังทำให้เราได้เป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาด (Sophisticated Investor) อีกด้วยเช่นกันที่กล้าบอกว่าเมื่อได้เงินต้นคืน 100% แล้วยังได้ทรัพย์สินเพิ่มอีกเป็นจำนวนมาก เนื่องจาก วิธีDSM ดึงเงิน 25% ซึ่งเป็นเงินสำรองหนี้ออกมาจากกระแสเงินสดแฝง สามารถดึงได้จนครบ 100% ซึ่งนั่นก็คือเป็นการรับประกันหุ้นของเราเอง 100% ด้วย เมื่อวันใด ที่เราได้เงินต้นครบ วันนั้นจะเป็นวันที่เรามีเงินในพอร์ตเป็น 4 เท่า จากการลงเงินทุนครั้งแรก เพราะว่า 3 เท่าจากกระแสเงินสดแฝง อีก 1 เท่าจากจำนวนเงินที่เริ่มต้น และเราได้รับเงินต้นคืนมาหมดแล้วอีกเช่นกัน  และติดตาม DSM (25) – กระแสเงินสดแฝงคืออะไร แบ่งรายได้อย่างไร ในตอนต่อไป



25. DSM (25) – กระแสเงินสดแฝงคืออะไร แบ่งรายได้อย่างไร กระแสเงินสดแฝง (Phantom cash flow) คือการลดค่าของทรัพย์สิน (หุ้น) ที่เราถือครอง และได้ กระแสเงินสดออกมาจากทรัพย์สิน (หุ้น) โดยที่ยังถือครองทรัพย์สินนั้นอยู่ เหมือนคำกล่าวว่า “กำไรเมื่อซื้อ ไม่ใช่กำไรเมื่อขาย” เพราะการรอให้ราคาหุ้นสูงขึ้นถือว่าช้ามากและเสี่ยงมาก ถ้าเปรียบเทียบได้กับเรามีอสังหาริมทรัพย์(หุ้น)ให้เช่า แล้วเก็บค่าเช่าทุกเดือน(กระแสเงินสดแฝงเก็บค่าเช่าทุกวัน) โดยที่เรายังเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์(หุ้น)นั้นอยู่ จะเห็นได้ว่า อัตราความเร็วของหุ้นที่ให้เช่าสามารถเก็บค่าเช่าทุกวันย่อมได้เร็วกว่าอสังหาริมทรัพย์ที่เก็บได้ทุกเดือน ดังนั้นหุ้นให้ผลตอบแทนที่สูงมากว่าอสังหาริมทรัพย์ แต่อย่างไรเราก็ไม่สามารถที่จะมีแต่หุ้นได้อย่างเดียวแล้วจะทำอย่างไรดี ถ้าเราอยากได้อสังหาริมทรัพย์ อยากมีธุรกิจต่างๆ เพื่อจะได้สร้างกระแสเงินสดอย่างต่อเนื่อง และสิ่งของมีค่าอื่นที่เป็นทรัพย์สินมีค่าอื่นๆ ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถสร้างกระแสเงินสดแฝงได้ แต่ก็มีค่าทางด้านจิตใจและจิตวิญญาณ ดังต่อไปนี้หลังจากได้กระแสเงินสดแฝงแล้วเอาไปทำอะไรดี แบ่งอย่างไรดีแบ่ง ได้ เป็น % ตามสัดส่วนดังนี้ 1.  50% นำไปลงทุนซื้อหุ้นตัวเดิมหรือหุ้นตัวใหม่เพื่อเป็นการเพิ่มกระแสเงินสดแฝง2.  25% นำไปเป็นค่าใช้จ่าย ส่วนตัว แต่ละวัน แต่ละเดือน ถ้าได้มากพอหรือว่ามากกว่าเงินประจำเดือน ก็สามารถออกจากการทำงานประจำได้ แล้วออกมาทำธุรกิจให้เช่าหุ้น อย่างเต็มตัวได้เลย3.  25% นำไปเป็นเงินสำรองหนี้ ส่วนนี้เรียกว่า สำคัญมาก ถึงมากที่สุดได้เลย เพราะสามารถสร้างประโยชน์ได้อย่างมหาศาล อย่างไม่มีขีดจำกัดใด ๆ จากเงินส่วนนี้ แบ่งเป็นประโยชน์ตามความสำคัญความจำเป็นดังนี้       3.1 ดึงเงินต้นที่ลงทุนออกจากพอร์ตหุ้น ถ้าได้ครบตามจำนวนเงินเริ่มต้นที่ลงทุน หมายความว่า พอร์ตหุ้นทั้งพอร์ตเป็นของฟรีทั้งหมด เน้นว่าของฟรีทั้งหมดหลังจากเอาเงินต้นออกหมดแล้ว       3.2 นำไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ เช่น คอนโดให้เช่า บ้านให้เช่า อาคารพาณิชย์ให้เช่า หอพักให้เช่า เป็นต้น เพื่อสร้างกระแสเงินสดอย่างต่อเนื่อง       3.3 นำไปลงทุนสร้างธุรกิจ เพื่อสร้างกระแสเงินสดอย่างต่อเนื่อง       3.4 นำไปลงทุนในตราสารหนี้ เช่น ตั๋วคงคลัง พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ เป็นต้น       3.5 นำไปลงทุนในตราสารทุน ในหุ้นที่มีเงินปันผลดี แต่ขาดสภาพแคล่ง และต้องการเป็นเจ้าของบริษัทนั้น เช่น ประกัน (AYUD, BKI, PHA, TIP) หรือ โรงพยาบาล (BGH, BH, KH, AHC, KDH) เป็นต้น       3.6 นำไปลงทุนกองทุนรวมแบบต่าง ๆ เช่น RMF, LTF ซึ่งยังช่วยลดหย่อนภาษีได้ด้วย ถ้ายังต้องเสียภาษีอยู่ แต่ถ้าไม่ต้องลดหย่อน ลงทุนกองทุนรวมแบบอื่นๆ ได้เช่นกัน       3.7 นำไปลงทุนในประกันชีวิตมี 4 ประเภท ดังนี้ แบบที่มีกำหนดระยะเวลา, ตลอดชีพ, ออมทรัพย์, รายได้ประจำ แต่ให้เน้นที่ออมทรัพย์ และยังได้ประโยชน์จากลดหย่อนภาษีเงินได้อีก ไม่เกิน 50,000 บาทต่อปี และต้องเป็นกรมธรรม์ที่มีอายุ 10 ปีขึ้นไป ถ้าต้องการลดหย่อนภาษีอยู่       3.8 นำไปลงทุนในสลากออมสิน ซึ่งต้องซื้ออย่างน้อย 10,000 เลข จะทำให้ได้รับรางวัล เลขท้าย 4 ตัว ทุกงวด ส่วนรางวัลอื่น ถือว่าเป็นของแถม ถ้าได้นะ       3.9 นำไปลงทุนฝากแบงก์ประจำทุก 3, 6, 12, 24 เดือนกินดอกเบี้ย (ถ้าได้ดอกเบี้ยสูงมากอัตราเงินเฟ้อ) ถ้าต่ำว่าเงินเฟ้อ ก็ให้พิจารณาฝากเท่าที่จำเป็นเพราะอย่างไรต้องมีเงินฝากธนาคารเพื่อความมั่งคงและความสะดวกสบาย หรือ อาจเป็นเงินประกันตัวเวลาโดนตำรวจจับเวลากลางคืนหรือวันหยุดราชการ เพราะตอนนั้นคงไม่มีตำรวจที่ไหนรับใบหุ้นเป็นหลักค้ำประกันนะแน่นอน       3.10 นำไปลงทุนทรัพย์สินมีค่าอื่นๆ เช่น ทองคำ อัญมณี (เพชร พลอย ฯลฯ) เครื่องประดับ ภาพเขียน พระเครื่อง โบราณวัตถุ แสตมป์ เป็นต้น ซึ่งมีคุณค่าด้านทางจิตใจและจิตวิญญาณเป็นหลักสำคัญ ถึงจะไม่ได้มีกระแสเงินสดหรือกระแสเงินสดแฝงก็ตามที       3.11 นำไปลงทุนสร้างบุญไว้ชาตินี้และชาติหน้า เช่น สร้างโรงเรียน สร้างมหาลัย สร้างห้องสมุด สร้างวัด สร้างโบสถ์ สร้างมูลนิธิเพื่อการศึกษา เพื่อเด็ก เพื่อคนชรา เพื่อคนป่วย เพื่อพระภิกษุป่วย เพื่อสัตว์ร่วมโลก เป็นต้น เพราะว่า คนเราตายไป ไม่สามารถนำทรัพย์สินติดตัวไปได้ แต่มี 2 สิ่งนี้ที่นำติดตัวไปได้คือ กรรมดี (บุญ) กรรมไม่ดี (บาป) เหมือนคำกล่าวของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ว่า “เป็นคนที่ประสบความสำเร็จ สู้เป็นคนที่มีคุณค่าไม่ได้”  แต่ถ้าเราเป็นคนที่ประสบความสำเร็จและเป็นคนที่มีคุณค่าต่อตัวเอง, สังคม, ประเทศชาติ, ต่อโลก ย่อมเป็นสุดยอดปรานารถทางโลก ถ้าเราฝันให้ไกล ฝันให้กว้าง เพิ่มขนาดความฝัน ขยายกรอบความคิด ย่อมไปได้ไกลจนทำให้ฝันกลายเป็นจริง “ฝันให้สูงสุด แต่อย่าหยุดเมื่อผิดหวัง” และ “ผู้แพ้ใช้เหตุที่แพ้มาเป็นข้อแก้ตัวเพื่อจะแพ้ต่อไป แต่ผู้ชนะใช้เหตุที่แพ้มาเป็นเหตุผลที่จะต้องชนะ” เหมือนกับ “ผู้แพ้ใช้วิกฤตเป็นข้อแก้ตัว ผู้ชนะใช้วิกฤตเป็นโอกาส” มีคำถามว่า ทำอย่างไร ถึงจะทำให้ทางราชการ ให้ชื่อถนนที่บ้านเราตั้งอยู่เป็นชื่อสกุลของเราได้อย่างไรนักลงทุนมืออาชีพต้องรู้สามสิ่งคือ เมื่อใดที่จะเข้าสู่ตลาด เมื่อใดที่ควรออกจากตลาด และ จะเอาเงินของเขาออกไปจากตลาดได้อย่างไร มีคติของนักพนัน ว่า “อย่านับเงินของคุณเวลาที่คุณกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะพนัน” เป้าหมายของเกมคือนำเงินของคุณออกไปจากโต๊ะและยังคงอยู่ในเกมนักพนันและนักลงทุนมืออาชีพต้องการเล่นด้วยเงินของคนอื่น ดังนั้นถ้าเปรียบเทียบกับเกมที่จะต้องเอาเงินออกจากตลาดและยังคงอยู่ในตลาดหุ้นโดยเล่นด้วยเงินของคนอื่นหรือของตลาดหุ้น ในวิธีของ DSM นั้นคือ เงินกระแสเงินสดแฝง ส่วน 25% ของเงินสำรองหนี้ ซึ่งเป็นทางออกของการเอาเงินออกจากตลาดหุ้นแล้วยังคงอยู่ในตลาดหุ้นและยังเล่นหุ้นด้วยเงินของคนอื่น ๆ โดยต้องอาศัยอัตราการหมุนเวียนของเงิน หรือพูดอีกอย่างว่า ยิ่งมีเงินของคุณอยู่ในการลงทุนมากเท่าไร ผลตอบแทนจากการลงทุนยิ่งต่ำลงเท่านั้น ยิ่งเงินของคุณอยู่ในการลงทุนน้อยเท่าไรและคุณใช้เงินของคนอื่นมากขึ้น ผลตอบแทนก็จะสูงตามไปด้วยเท่านั้น พวกเราชาว DSMers ขอให้เอาเงินของเราเองออกจากตลาดหุ้นให้เร็วที่สุด และยังคงเล่นหุ้นด้วยเงินคนอื่น ตอนนั้นจะเข้าใจว่าเล่นหุ้นด้วยเงินฟรีเป็นอย่างไร



26. DSM (26) – กระแสเงินสดแฝงในอนาคตคืออะไรคำว่า “กระแสเงินสดแฝง” เกิดจากการลดค่าของทรัพย์สิน หรือขายหุ้น แล้วซื้อหุ้นให้ถูกกว่าที่ขายไป จะได้กระแสเงินสดแฝงขึ้นมาก แล้วคำว่า “กระแสเงินสดแฝงในอนาคต” นั้นคือการที่จะได้กระแสเงินสดแฝง ที่จะเกิดขึ้นภายในอนาคต หรือ ขายหุ้นตอนปัจจุบัน แล้วจะซื้อหุ้นให้ถูกกว่าที่ขายไปในอนาคต จะทำให้เกิดกระแสเงินสดแฝงภายในอนาคต จึงเป็นที่ของคำว่า “กระแสเงินแฝงในอนาคต” และเป็นการบริหารเงินให้เกิดประโยชน์จากเงินที่เป็นกองหลัง ให้มากที่สุดนั้นเองจากตัวอย่างของหุ้น A ที่เป็นกองหลัง 3 กอง ที่ขายไว้ 9.00, 8.90, 8.80 บาท กองละ 1,000 หุ้น และ หุ้นได้ขึ้นไปอยู่ที่ราคา 9.75 บาท ซึ่งเป็นจุด short หุ้นจุดใหม่ รอบใหม่เพราะมีราคาสูงกว่าราคากองหลังตัวแรก ไป 15 ช่อง ดังนั้นราคากองหลัง 3 กอง ที่ทิ้งไว้ระวังหลัง เราจะทำประโยชน์สูงสุดจากกองหลังเหล่านี้อย่างไรดี ซึ่งทำให้เกิดการคิดคำนวณเอากระแสเงินสดแฝงในอนาคตมาใช้ ถ้าตามแผนของเรา สมมุตรับคืนที่ 5 ช่อง หรือกี่ช่องก็แล้วแต่แผนของแต่ละท่านของนักลงทุน DSMมาคำนวณกระแสเงินสดแฝงในอนาคตกันดีกว่า ขายที่ 9.00 รับกับที่ 8.75 บาท, ขายที่ 8.90 รับกับที่ 8.65 บาท, ขายที่ 8.80 รับกับที่ 8.55 บาท จะได้กระแสเงินสดแฝงในอนาคต ทั้งหมด คือ 0.25x1000x3=750 บาท(ยังไม่ได้หักค่าคอมมิชชั่น) นี้คือกระแสเงินสดแฝงในอนาคต จากกองหลังของที่เราทิ้งระวังหลังเอาไว้และสามารถนำจำนวนเงิน 750 บาท แบ่งเป็น 50% เอาไปลงทุนต่อ, 25% เอาไว้สำรอง,  25% เอาไปใช้จ่ายได้ตามสัดส่วน แล้วส่วนเงินของกองหลังที่เหลือก็เก็บเอาไว้รับหุ้นเมื่อถึงจุดที่ต้องซื้อคืน หรือเราสามารถกำหนดจุดซื้อคืน เป็น 10 , 20,  หรือ 40 ช่อง ก็ย่อมได้ แล้ว ก็คำนวณกระแสเงินสดแฝงในอนาคตนำมาใช้เพื่อลงทุนต่อในปัจจุบันได้เลย และยังสามารถประยุกต์ได้อีกนิดคือทุก ๆ ครั้งที่เราขายหุ้นออกไป สามารถคำนวณกระแสเงินสดแฝงในอนาคตได้ทันที่ที่ขายหุ้นออกไปและนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันทีโดยที่ยังไม่ต้องรอรับซื้อหุ้นคืนกลับมา และไม่จำเป็นต้องเป็นเฉพาะกองหลังเท่านั้น แต่นักลงทุนวิธีDSM ที่เล่นหุ้นแบบโน้ตดนตรี หลังจากขายกองหลังแล้ว สามารถนำไปซื้อหุ้นตัวที่กำลังเขียวอ่อนได้เลย ซึ่งการเล่นแบบนี้ไม่ต้องคำนวณหากระแสเงินสดในอนาคต ซึ่งการที่จะได้กระแสเงินสดในอนาคตนั้นต้องนักลงทุนวิธีDSM เล่นหุ้นแบบ BASIC และติดตามอ่านในการเล่นหุ้นแบบโน้ตดนตรีในตอนที่DSM (30) – DSM Music Theory คืออะไร



27. DSM (27) - หลักการตัววัดผล DSM ทั้ง 8 ตัวเมื่อได้ ทำการลงทุนหุ้น DSM แล้วละได้ กระแสเงินสดแฝง นำมาทำการแบ่งเป็นสัดส่วนแล้วให้เกิดประโยชน์สูงสุดตัววัดผลการลงทุนในหุ้น DSM มีอะไร อย่างไรบ้าง ดังต่อไปนี้1. เงินสำรองหนี้  25% ต้องเพิ่มขึ้นทุกเดือน 2. จำนวนหุ้น ต้องเพิ่มขึ้นทุกเดือนเพิ่มทั้งปริมาณและชนิดของหุ้น3. ปริมาณกระแสเงินสดแฝง ที่ได้รับแต่ละรอบของการซื้อคืน ต้องมากขึ้นหรืออย่างน้อยก็คงที่ 4. ปริมาณกองหลังจะต้องลดลงเรื่อย ๆ เพราะสามารถซื้อคืนได้5. ปริมาณอสังหาริมทรัพย์และทรัพย์สินอื่นๆ ดังที่ได้กล่าวไปแล้วต้องเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ6. หนี้สินที่เลวต้องทยอยลดลงและหมดไป7. แหล่งเงินทุนจะต้องเพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ มีเงินลงทุนเสนอเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ 8. เงินปันผลเพิ่มขึ้นทุกปี เพราะปริมาณหุ้นปันผลเพิ่มขึ้น               ถ้าเงินปันผลมีมากกว่าค่าใช้จ่ายต่อปี อาจไม่ต้องทำงานธุรกิจเช่าหุ้น หรืออาจขอหยุดพักร้อนปิดกิจการไปสักเดือนสองเดือนก็ย่อมได้เพื่อไปเที่ยวพักผ่อนในที่ๆ ต้องการได้ แต่ถ้าสามารถให้คนอื่นมาทำธุรกิจเช่าหุ้นแทนเราได้ถึงตอนนั้นอาจมีสร้างธุรกิจแบบเครือข่ายการทำธุรกิจเช่าหุ้นขึ้นมา ดังที่ว่าการใช้เงินคนอื่น และเวลาข้อคนอื่นทำงานให้เรา ซึ่งเราจะได้มีเวลาไปทำอย่างอื่นที่มีความสำคัญกว่าสิ่งนี้ความลับของคนรวย 2 ประการคือ1. OPT – Other People’s Time (เวลาของคนอื่น)   2. OPM – Other People’s Money (เงินของคนอื่น) เราต้องคิดว่าจะทำอย่างไรกับธุรกิจส่วนตัวให้เช่าหุ้น และสามารถใช้กฎของคนรวย 2 ข้อนี้ได้ในอนาคตอันใกล้นี้สามารถเปิดบริษัทเล่นหุ้นในประเทศไทยได้ ตั้งบริษัทเล่นหุ้นDSM สามารถใช้ทั้ง OPT และ OPM ได้แต่การลงทุนต้องคุมพอร์ตให้เหมาะสม มากเกินต้องรู้วิธีทำให้น้อยลง ถ้าน้อยเกินต้องรู้วิธีทำให้มากขึ้นอย่าลืมว่า ตัววัดทุกตัวต้องบอกผลงานไปทางเดียวกันและสอดคล้องกันจะมีตัวใดตัวหนึ่งผิดแปลกออกไป ถือว่ามีการเกิด Error ต้องหาสาเหตุและแก้ไขอย่างรีบด่วน28. DSM (28) - เคล็ดลับของความสำเร็จลงทุนหุ้นวิธี DSMแบ่งได้เป็นข้อๆ ดังต่อไปนี้1. เงินฟรี คิดว่าจะทำอย่างไรได้มันมา แต่ถ้าไม่ได้เงินฟรีก็ไม่เป็นไรทำตามวิธีการ สักวันจะรู้ว่าเงินฟรี คืออะไร 2. “เขียวซื้อ แดงขาย” หรือ “กอดหุ้นวิ่ง ทิ้งหุ้นแดง” ซึ่งเป็นคือ DenSri Indicator=DSI3. หุ้นเท่ากับหุ้น มองว่าหุ้นทุกตัวเป็นตัวเดียวกับหุ้นแต่ต่างกันที่ระดับราคาเท่านั้น4. ระบบบัญชีซึ่งสำคัญมากในการจับคู่หุ้นที่ซื้อขาย และยังสร้างฐานข้อมูล (Data Base) ซึ่งมีประโยชน์อันมหาศาลต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้โดยระยะเริ่มในสองปีแรก เป็นเพียงระยะหว่านเมล็ดพันธุ์ หลังจากนั้น ก็จะเริ่มระยะเก็บเกี่ยว ถึงจะรู้จักคำว่า “ไม่ได้สร้างรายได้จากหุ้นในปัจจุบัน แต่เป็นการสร้างรายได้จากฐานข้อมูลในอดีตที่ผ่านมา” เป็นอย่างไร5. สูตร 3-0-2-8 6. ธรรมชาติของตลาดหุ้นนำไปสู่การเล่นหุ้นDSM แบบโน้ตดนตรี (DSM Music Theory) ซึ่งมีโน้ตเสียงสูง เสียงต่ำหรือมีราคาที่สูง ราคาที่ต่ำ และหุ้นที่เขียว หุ้นที่แดง ซึ่งจะเขียนบทต่อไป7. การปฏิบัติตามแผน อย่างมีวินัยเท่ากับการลงทุน การมีจิตใจแน่วแน่ มั่นคง ไม่หวั่นไหว ไม่คิดกำไรขาดทุน(ไม่นับเงินบนโต๊ะพนัน) พร้อมกับดึงเงินออกจากโต๊ะ(เงินสำรองและค่าบริหาร) และเล่นเกม(ตลาดหุ้น)ต่อ แล้วต้องลืมเรื่องเวลาด้วย จะได้สบายใจและปรับปรุงไปเรื่อย ๆ ลองไปเรื่อย ๆ แล้วคุณจะพบวิธีการที่เหมาะสมกับตัวคุณ “คิดได้ จดไว้ ลงมือทำ ทบทวน” “ความผิดพลาดไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวคือกลัวผิดพลาด” และ “ไม่ยึดติดมูลค่า แต่สนใจการเปลี่ยนแปลงมูลค่า



28. DSM (28) - เคล็ดลับของความสำเร็จลงทุนหุ้นวิธี DSMแบ่งได้เป็นข้อๆ ดังต่อไปนี้1. เงินฟรี คิดว่าจะทำอย่างไรได้มันมา แต่ถ้าไม่ได้เงินฟรีก็ไม่เป็นไรทำตามวิธีการ สักวันจะรู้ว่าเงินฟรี คืออะไร 2. “เขียวซื้อ แดงขาย” หรือ “กอดหุ้นวิ่ง ทิ้งหุ้นแดง” ซึ่งเป็นคือ DenSri Indicator=DSI3. หุ้นเท่ากับหุ้น มองว่าหุ้นทุกตัวเป็นตัวเดียวกับหุ้นแต่ต่างกันที่ระดับราคาเท่านั้น4. ระบบบัญชีซึ่งสำคัญมากในการจับคู่หุ้นที่ซื้อขาย และยังสร้างฐานข้อมูล (Data Base) ซึ่งมีประโยชน์อันมหาศาลต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้โดยระยะเริ่มในสองปีแรก เป็นเพียงระยะหว่านเมล็ดพันธุ์ หลังจากนั้น ก็จะเริ่มระยะเก็บเกี่ยว ถึงจะรู้จักคำว่า “ไม่ได้สร้างรายได้จากหุ้นในปัจจุบัน แต่เป็นการสร้างรายได้จากฐานข้อมูลในอดีตที่ผ่านมา” เป็นอย่างไร5. สูตร 3-0-2-8 6. ธรรมชาติของตลาดหุ้นนำไปสู่การเล่นหุ้นDSM แบบโน้ตดนตรี (DSM Music Theory) ซึ่งมีโน้ตเสียงสูง เสียงต่ำหรือมีราคาที่สูง ราคาที่ต่ำ และหุ้นที่เขียว หุ้นที่แดง ซึ่งจะเขียนบทต่อไป7. การปฏิบัติตามแผน อย่างมีวินัยเท่ากับการลงทุน การมีจิตใจแน่วแน่ มั่นคง ไม่หวั่นไหว ไม่คิดกำไรขาดทุน(ไม่นับเงินบนโต๊ะพนัน) พร้อมกับดึงเงินออกจากโต๊ะ(เงินสำรองและค่าบริหาร) และเล่นเกม(ตลาดหุ้น)ต่อ แล้วต้องลืมเรื่องเวลาด้วย จะได้สบายใจและปรับปรุงไปเรื่อย ๆ ลองไปเรื่อย ๆ แล้วคุณจะพบวิธีการที่เหมาะสมกับตัวคุณ “คิดได้ จดไว้ ลงมือทำ ทบทวน” “ความผิดพลาดไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวคือกลัวผิดพลาด” และ “ไม่ยึดติดมูลค่า แต่สนใจการเปลี่ยนแปลงมูลค่า”


29. DSM (29) - สูตร 3-0-2-8 คืออะไรเป็นวิธีที่คิดขึ้นมากเปรียบเทียบกับกีฬาฟุตบอล(ซึ่งเป็นกีฬาโปรดของคุณเด่นศรี)ซึ่งได้แบ่งเป็นกองหลัง กองกลาง กองหน้าซึ่งแต่ละกองมีหน้าที่ต่างกันไป  3-0-2-8 คืออะไรเดิมมี  1,000  หุ้น  ทิ้งกองหลังไว้  300แล้วอาศัย  700  หุ้นที่เหลือ  สร้าง 300  ที่ปล่อยไปให้กลับคืนมา(รวมทั้งหมด1,300 หุ้น )อาจมองเป็น 10,000 หุ้น ทิ้งกองหลัง 3,000 หุ้น และใช้7,000 หุ้นสร้างหุ้นขึ้นมาอีก 3,000 หุ้นเป็น 10,000 หุ้น(รวมทั้งหมด 13,000 หุ้น)แล้ว เอามาแบ่งเป็นกองกลาง 2,000 หุ้น กองหน้า 8,000 หุ้น ซึ่งวิธีนี้ต้องระดับ DSMระดับMaster ถึงจะทำได้อย่างง่ายดายก็คือคุณเด่นศรีใช้วิธีนี้อยู่หรือ เริ่มต้นจากมีหุ้น 1,300 หุ้น แล้วแบ่งกองหลัง 300 หุ้น กองกลาง 200 หุ้น กองหน้า 800 หุ้น หรืออาจเริ่มต้นจากมีหุ้น 13,000 หุ้น จะได้แบ่งเป็นกองหลัง 3,000 หุ้น กองกลาง 2,000หุ้น กองหน้า 8,000 หุ้น ซึ่งจะสามารถแบ่งขาย กองต่างๆ ได้อย่างละ 10% ได้ง่ายหรือ เริ่มจากหุ้น 10,000 หุ้น แบ่งกองหลัง 3,000 หุ้น กองกลาง 1,400 หุ้น และกองหน้า5, 600 หุ้น ถ้ามองเป็น% จะได้ดังต่อไปนี้ หุ้น 100% แบ่งกองหลัง 30% แล้ว เอาที่เหลือ 70% คิดให้เป็น 100% แล้วจึงนำมาแบ่ง เป็นกองกลาง 20% (14%จากเริ่มต้น) และกองหน้า 80% (56%จากเริ่มต้น) และก่อนทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ทุกรอบ ที่ห่างกองหลังไปอีก 15 ช่อง ถือว่าขึ้นรอบใหม่หลังจากทราบว่า 3-0-2-8 แบ่งได้เป็นอย่างไรได้แล้วมาดูส่วนต่าง ๆ กองต่างๆทำงานกันอย่างไร3 คือ กองหลัง  ใช้เล่นทางลงอย่างเดียว ไม่ขึ้นมามาก 4 ช่องจุดต่ำสุด จะไม่ซื้อกลับ0 คือ ช่วงราคาที่หุ้นอยู่ระหว่างกองหลังทั้ง 3 กอง ซึ่งจะไม่ทำอะไร เพราะได้ขายเอาไว้แล้ว2 คือ กองกลาง หุ้นส่วนที่ใช้สำหรับตลาด side way จะปล่อยทีละนิดหน่อย (1%) โดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น  และปิดตลาดจะต้องซื้อคืน เพื่อเอาไว้เล่นเกม side wayที่อาจจะเกิดขึ้นในวันรุ่งขึ้น ส่วนนี้จะเล่นก็ได้ไม่เล่นก็ได้เช่นกัน 8 คือ กองหน้า หุ้นส่วนที่จะไม่ปล่อยไป  จนกว่าจะเลยช่วง  side way(คือประมาณ 15 ช่อง จากหัวแถวของกองหลังตัวบนสุดที่ขายไป)นั่นคือ   มีทั้งเล่นหุ้นขึ้น  เล่นหุ้นลง  และเล่นหุ้นside way ขยายความส่วนของกองกลางที่อยู่ช่วง  side way อาจสร้างกระแสเงินสดแฝงได้น้อยแต่มีประโยชน์ในแง่ความสบายใจในการที่จะไม่รีบร้อนปล่อยหุ้น ไม่ว่าจะกำลังขึ้นหรือกำลังลง ดังนั้น1 % ที่ปล่อยไปเรื่อย ๆ  อย่าคิดว่าไม่สำคัญนะ เพราะมันทำให้ทุกอย่างอยู่ในแผนที่เราควบคุมได้อย่างสบายใจ  และมันยังสร้างกระแสเงินสดแฝงเป็นค่าเทรดหุ้นเล็ก ๆ น้อย ๆ  ได้ด้วยแต่เล่นช่วงกองกลางแล้วขาย 1% ไม่คุ้มค่าคอมมิชั่น ก็อาจ จะขายทีละ 5%, 10% หรือ 20% ได้ ในช่วง 15 ช่องจากกองหลังตัวบนและหาจังหวะรับกลับ แต่ถ้าไม่สามารถรับกลับได้ก็จะเสียหุ้นไป 20% ภายในช่วง 15 ช่องนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่ยอมรับได้ตามแผนที่วางไว้แต่ถ้าต้องการแบ่งกองต่าง ๆ ให้ง่ายขึ้น อาจให้สูตร 3-0-2-5 หรือ 3-0-3-4 หรือ 3-0-4-3 ก็ย่อมได้ ให้เลือกเอาว่าจะใช้วิธีไหนตามสะดวก ตามแต่ที่ถนัดของแต่ละท่านไปอีกหนึ่งมุมมองของ 3-0-2-8 ในการบริหารพอร์ตหุ้นสามารถเอามาประยุกต์เป็น 3-3/0-2-8ให้มองว่า 3-0-2-8 เป็นการบริหารพอร์ตทั้งพอร์ตคือ เมื่อเริ่มต้นการลงทุนในตลาดหุ้นนักลงทุนทุกท่านก็ต้องมีเงินเริ่มต้นในการลงทุน ให้สมมุติ ว่าลงทุน 100,000 บาท ให้คิดเป็น 100% ของทั้งหมดของพอร์ตหุ้นโดยแบ่งตามนี้3 คือ 30% ของเงินเริ่มต้นที่ทำงานลงทุน ให้เก็บเอาไว้เป็นเงินสำรองในพอร์ตหุ้น และเก็บเอาไว้เล่นหุ้นแบบ DSM Double ในที่นี้ก็คือ 30,000 บาท อย่างนี้ และไม่ต้องคิดว่าจะหาเงินที่ไหนมาเล่นหุ้นแบบ DSM Double เพราะเราได้เตรียมเงินเอาไว้ตั้งแต่ต้นแล้วนั้นเอง และส่วนที่เหลือ อีก 70% ของพอร์ตเอามาซื้อหุ้นและแบ่งเป็น 10 ส่วนซึ่งนั้นก็คือ ส่วนละ 10% นั้นเอง3/0 คือ กองหลัง ที่ขายลงไปเรื่อยๆ ทุก 2 ช่อง ขายให้ไปเรื่อยสามารถทิ้งกองหลังได้ 3 กอง แต่ถ้าหุ้นมีแนวโน้มลงก็ขายจนหมดมือนั้นก็คือ เหลือหุ้นในมือเท่ากับ 0 นั้นเอง และเวลาหุ้นเริ่มเด้งจากสุดต่ำสุดก็รับหุ้นกลับหมด 2 คือ กองกลาง เล่นช่อง sideway เอาแบ่ง 20% มาเล่น ช่วงนี้ 15 ช่อง8 คือ กองหน้า เล่น ช่องขาขึ้นเต็มตัวที่ขึ้นมามากกว่า15 ช่องจากกองหลังตัวบนสุดก็ เป็นแนวคิดในการบริหารพอร์ตอย่างนึ่ง สามารถเล่นหุ้นแบบDSM และ DSM Double ได้โดยใช้เงินภายในพอร์ตของตนเองโดยไม่ต้องหาเงินมาเพิ่มเติมแต่อย่างใด ถ้าสงสัยว่า DSM Double คืออะไรให้ติดตามได้ในบทที่ 31 ชื่อบทว่า DSM Double Theory



30. DSM (30) – DSM Music Theory คืออะไรกฎธรรมชาติของตลาดหุ้นนำไปสู่การเล่นหุ้นแบบโน้ตดนตรี (ซึ่งมีเสียงสูง เสียงต่ำ)1. หุ้นตัวนึ่งไม่มีวันขึ้นตลอดไปหรือลงตลอดไป2. ในวันที่ตลาดขึ้นหุ้นไม่ได้ขึ้นทุกตัว และวันในวันที่ตลาดลงหุ้นไม่ได้ลงทุกตัวเช่นกันนำไปสู่การเล่นหุ้นแบบโน้ตดนตรี ซึ่งมีโน้ตเสียงสูง เสียงต่ำหรือราคาสูง ราคาต่ำ และมีหุ้นที่เขียว หุ้นที่แดง ของแต่ละวันมีหลักการง่ายดังต่อไปนี้1. เลือกหุ้นที่ต้องการเป็นเจ้าของกิจการเป็นจำนวน 30 ตัว ตามที่เราต้องการแต่ยังไม่ต้องซื้อที่เดียวหมดนี้แต่ให้จับตามองไว้ว่าหุ้นแต่ละตัวคือโน้ตดนตรีของเรานั้นเอง2. ให้เริ่มจากหุ้นตัวใดตัวหนึ่งก่อนหรืออาจหลายตัวก็ได้แต่เริ่มแรกควรตัวเดียวดีกว่าและควบคุมง่ายกว่าหลายตัวพร้อมกัน แต่ถ้าเก่งแล้วไม่ว่ากันที่จะเริ่มหลายตัวพร้อมกัน3. หลังจากที่ขายหุ้นกองหลังออกไป แล้วสามารถเอาไปลงทุนหุ้นตัวใหม่ที่อยู่ในพอร์ตที่เราสนใจว่าตัวไหนกำลังเขียวกำลังขึ้น ก็ให้เอาเงินที่ขายกองหลังไปซื้อตัวใหม่ได้เลย มีท่านอาจารย์ Coyote บอกว่าก่อนขายกองหลังหุ้นตัวนึ่งได้มองว่าจะไปซื้อหุ้นอีกตัวไว้ในใจแล้ว อย่างนี้เรียกว่าระดับ DSM ระดับ Master อีกเช่นเคยแต่สำหรับมือใหม่หัดเริ่มต้น ควรรอว่าถ้ากองหลังซื้อคืนไม่ได้แล้วค่อยเอาซื้อเพิ่มการลงทุนหุ้นตัวใหม่เป็นการสร้างวงดนตรีโดยการเพิ่มโน้ตที่ละตัวอย่างนี้ไปเรื่อย แต่จะบอกว่าที่ DSM ระดับMaster สามารถขายกองหลังแล้วไปลงทุนหุ้นตัวใหม่ได้เลยนะ ต้องมีการใช้ฐานข้อมูลที่เคยบอกว่าสำคัญอย่างไร แต่คงยังไม่จำเป็นต้องบอกตอนนี้รอให้นักลงทุนสร้างฐานข้อมูลไปได้ สองปีก่อน แล้วตอนนี้นักลงทุน DSM ระดับ Basic จะเปลี่ยนมาเป็นระดับ Master อย่างอัตโนมัติเลยที่เดียวแต่นักลงทุน DSM อยากรู้ต้องทำการลงทุนตามแนวทางนี้ไปสักสองปี จะรู้เองโดยไม่ต้องพูดไม่ต้องบอก แค่มองตาก็รู้ไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ DSM แล้ว4.หุ้นเท่ากับหุ้น มองว่าหุ้นทุกตัวเป็นตัวเดียวกับหุ้นแต่ต่างกันที่ระดับราคาเท่านั้น ต้องใช้ข้อนี้ประกอบด้วย แล้วจะร้องว่า ....โถ โถ โถ มันเป็นอย่างนี้เอง  ทำให้เราได้สร้างวงดนตรีพอร์ตหุ้น DSM Music Theory ขึ้นมาอีกวงหนึ่ง ซึ่งรับรองได้ว่าได้รับกระแสเงินสดแฝงมากกว่าแบบระดับBasicการทำตามสูตร3-0-2-8 และผสมผสานกับวิธีเล่นหุ้นDSM Music Theory ทำให้นักลงทุนหลุดพ้นจากภาวะตลาดหุ้นไม่ว่าจะเป็นตอนตลาดหุ้นขาขึ้นหรือว่าตลาดหุ้นขาลง และสามารถที่จะสร้างรายได้จากหุ้นแล้วได้รับกระแสเงินสดแฝงจากหุ้นทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี และตลอดไป ตราบใดที่วงดนตรีแห่งนี้ยังมีเสียงเพลงอยู่ตลอดเวลาและตลอดไป และถึงตอนนั้นจะเข้าใจประโยชน์ของฐานข้อมูลที่เก็บสะสมมาอย่างน้อยสองปีได้เป็นดีที่สุด และทำให้ทราบประโยคที่ว่า “ไม่ได้สร้างรายได้จากหุ้นในปัจจุบัน แต่เป็นการสร้างรายได้จากฐานข้อมูลในอดีตที่ผ่านมา” เป็นไปอย่างอัตโนมัตินั้นเองข้อแนะนำในการทำสร้างวงดนตรีพอร์ตหุ้น นักลงทุนต้องจำกัดวงเงินการลงทุนในพอร์ตหุ้น การซื้อขายหุ้นในพอร์ตหุ้นวงดนตรีนี้ไม่ควรมีการซื้อขายเกินกว่า 1.5 เท่า ของวงเงินเริ่มต้นในการลงทุน จะทำให้สามารถซื้อหุ้นกลับได้ครบทุกตัวที่ขายไปเมื่อเวลาหุ้นลงพร้อม ๆ กัน แล้วให้ลงทุนในหุ้นที่เราได้เลือกไว้ ในวงเท่านั้นอย่างออกนอกวง ไม่อย่างนั้น จะเกิดปัญหาพอร์ตหุ้นขาดเงินหมุนเวียนได้ และถ้าตลาดหุ้นอยู่ในภาวะแนวโน้มขาลงการเล่นด้วยวิธีนี้ได้ไม่ดีนัก เพราะหุ้นส่วนมากจะลงตามตลาด ให้คงอยู่ในหุ้นตัวของมันเองอย่ารีบเปลี่ยนตัวหุ้นเร็วจนเกินไป



31. DSM (31) – DSM Double Theory คืออะไรอะไรคือ Double Theory ชาว DSMers บางท่านคงเคยได้ยินมาก่อน จากคุณลำชี (หนึ่งในศิษย์เอก DSM) ได้เล่าให้ฟังว่า ได้คิดค้นวิธี Double โดยบังเอิญซึ่งตอนนั้น คุณลำชีได้พยายามคิดค้นคำว่าช่องว่างของตลาดหุ้นคืออะไร และเป็นความบังเอิญในระหว่างการเทรดหุ้น DSM เกิดขึ้นตอนซื้อหุ้นกลับหลังจากขายกองหลังไป แล้วได้ค้นพบวิธีนี้โดยบังเอิญ จะเล่าสู่กันฟังว่า เป็นอย่างไร1. วิธีนี้เหมาะเล่นหุ้นตอน side way กับตอนหุ้นขาลงเริ่มใช้ตอนหุ้นกลับตัว (เขียวอ่อน)2. วิธีนี้เป็นการผสมผสานระหว่างวิธี DSM กับการเก็งกำไร โดยการใช้ประโยชน์จากกองหลังที่ทิ้งเอาไว้จากวิธี DSM 3. วิธีนี้ต้องมีเงินลงทุนอีกหนึ่งก้อนเพื่อใช้เอาไว้เล่นเก็งกำไรอย่างเดียว ซึ่งไม่เกี่ยวกับบัญชีของวิธี DSM 4. วิธีนี้ทำให้เราเป็นนักเก็งกำไรหรือนักพนัน ซึ่งใช้ประโยชน์จากการเป็นนักลงทุนวิธี DSM 5. วิธีนี้สามารถประยุกต์เอามาใช้กับการเล่น Day Trade DSM Double Theory ถือว่าเป็นการผสมผสานระหว่าง DSM กับ การเก็งกำไร ต้องใช้ประสบการณ์ส่วนตัวประกอบในการเก็งกำไรอีกด้วย ดังนั้นเล่าให้ฟังเบื้องต้นว่ามีวิธีการเล่นหุ้นแบบนี้อยู่ แต่จะไม่ขอลงรายละเอียดในวิธีการ เพราะไม่ต้องการให้ชาว DSMers เกิดความสับสนในระหว่างการลงทุน และต้องการให้มุ่งมั่นเป็นนักลงทุนเพื่อสร้างรายได้จากกระแสเงินสดแฝงกับเงินปันผล




32. DSM (32) – DSM Double Pyramid Theory คืออะไรคือการบริหารพอร์ตหุ้น DSM อีกแบบหนึ่งเพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิ์ภาพการลงทุนให้มีขีดความสามารถสูงสุดเท่าที่จะทำได้ มีนักลงทุนหลายท่านได้ บ่นถึงว่า เวลาหุ้นเป็นขาลงทำให้มูลค่าพอร์ตลดลงอย่างรวดเร็วทำให้นักลงทุนบ้างท่านอาจไม่สบายใจกับมูลค่าพอร์ตที่ลดลง แต่จริงๆแล้วDSM ไม่สนใจมูลค่าพอร์ตแต่อย่างไร แต่ทำอย่างไรได้ เราเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งอาจมีช่วงเวลานึ่งที่ไปดูแล้วเกิดอารมณ์ร่วมกับมัน ทั้งที่รู้ว่าไม่ควรใส่ใจกับมัน เลยเป็นที่มาของการเล่นวิธีการลงทุนแบบ DSM Double Pyramid Theory ก็ต้องมาขยายความอีกนิดหน่อยว่าคำว่า Double ก็คือคู่ หรือ สอง ส่วน Pyramid นี้นักลงทุนทุกท่านคงน่าจะเคยเห็นรูปร่างของPyramid อยู่แล้วว่ามีฐาน กว้างและยอดของมันเล็ก เอามาประยุกต์กับการเล่นหุ้นได้ซึ่งอาจไม่ได้เป็นเรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใดแต่ได้เอามาประยุกต์ใช้เท่านั้นแนวคิดการลงทุนหุ้นให้มองรูปแบบว่าเราใช้Pyramid เป็นรูปแบบการลงทุน คือเวลาลงทุนหุ้นขาขึ้นหรือซื้อหุ้น ให้ซื้อแบบ Pyramid หัวตั้ง ก็ซื้อฐานกว้าง ยิ่งขึ้นยิ่งซื้อแต่ ซื้อน้อยลงเป็นสัดส่วนกันไปส่วนเวลาหุ้นขาลงหรือขายให้ขายแบบ Pyramid หัวกลับ โดยขายครั้งแรกขายปริมาณมากและขายตามสัดส่วนที่ลดลงถ้าลงทุนตามวิธีการนี้สามารถเพิ่มประสิทธิ์ภาพการลงทุนในDSM ได้มากสุดทั้งขาขึ้นและขาลง สามารถทำให้การลดลงของมูลค่าพอร์ตตอนหุ้นขาลง ลดลงน้อยกว่าวิธี Basic DSM อย่างมากบทนี้ขอเขียนแต่แนวคิดเท่านั้น ไม่สามารถเขียนเปิดเผยวิธีการเล่นใดๆได้ เพราะอาจทำให้นักลงทุนเองสับสนกับ Basic DSM แต่ที่นำเสนอเอาไว้จะได้รู้ว่ามีวิธีการเล่นหุ้นDSM อีกหนึ่งแบบซึ่งมีประสิทธิภาพสูงสุดอีกหนึ่งวิธี



33. DSM (33) – กลยุทธ์หุ้น DSM สู้ศึก XD ทำอย่างไรการลงทุนหุ้นวิธี DSM เป็นไปตามแผนที่วางมา ไม่ว่าวันนี้หุ้นจะแดง หรือว่าจะเขียว ไม่ต้องคิดคาดเดาตลาด (กอดหุ้นวิ่ง ทิ้งหุ้นแดง) ในภาวะตามปกติ แต่เมื่อไรเข้าช่วงเดือนมี.ค.ถึงพ.ค. ของแต่ละปี ยอมมีเงินปันผล สำหรับบริษัทที่เงินปันผล  นักลงทุนสามารถทำตามแผนอย่างไม่หวั่นไหว วันที่ต้อง ขึ้น XD หลังวัน XD เราก็ทำตามแผน แต่ว่ามันเป็นแผนที่เรารู้ว่ามันต้องราคาลดลงเท่ากับที่ได้ปันผล แต่มีการตั้งคำถามว่า ถ้าไม่อยากได้เงินปันผลจะทำอย่างไรดี โดยมีเหตุผลดังต่อไปนี้1. ไม่อยากรอรับเงินปันผลหลังจากวัน XD ไปอีก อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์2. เงินปันผลที่ได้รับโดนหักภาษี ณ ที่จ่ายอีก 10% ของเงินปันผล ยิ่งทุนน้อยยิ่งไม่ต้องการเสียเงินส่วนนี้3. หุ้นบางตัวก็มีเครดิตภาษี บางตัวก็ไม่มีเครดิตภาษี ทำให้ไม่ได้รับผลประโยชน์จากการขอรับเครดิตภาษีได้อย่างเต็มที 4. นักลงทุนบางคนไม่ต้องการได้เครดิตภาษี เพราะเสียภาษีที่ฐานภาษีสูงแล้วหรือไม่ต้องการโดนตรวจสอบอย่างละเอียดเมื่อขอรับเครดิตภาษี โดยมีเหตุผลส่วนตัวอื่นๆ 5. เพราะต้องการรับเป็นกระแสเงินแฝงมากกว่ารับเงินปันผลจึงมีที่มาของคำถามว่าการลงทุนหุ้น DSM แล้วจะขึ้น XD ทำอย่างไรดี ที่ไม่ผิดกฎ ซื้อให้ถูกกว่าขาย ไม่คาดเดาตลาด เพราะเดาอย่างไรก็ไม่ถูก ถ้าเดาตลาดถูกหรือรู้น่ารวยไปนานแล้ว จริงหรือเปล่า ท่านผู้อ่านทุกท่านคุณ Vprewat(หนึ่งในศิษย์เอก DSM)  ได้ลองทำกับหุ้น LOXLEY, LPN จึงเป็นที่มาของกลยุทธ์หุ้นDSMสู้ศึก XD ได้คาดเดาว่ามันน่าจะลงเท่าเงินปันผลหรือมากกว่า ได้ทำการขายหุ้นทั้งหมด 100% ก่อนขึ้นวัน XD แล้วผลออกมาอย่างไรกันบ้าง มันน่าจะได้รับกระแสเงินสดแฝงเท่ากับเงินปันผลหรือมากกว่า แต่อย่าลืมนะว่า ห้ามเดาตลาด คำนี้ใช้ได้ผลเสมอทั้งๆ ที่ว่ามันน่าจะลงเท่ากับเงินปันผลแต่ผลที่ตามมาไม่ใช่ แล้วอย่างไร ตัวอย่างนะเมื่อวันที่ 1 เม.ย. 48 มีหุ้น XD ทั้งหมด 45 ตัวมีหุ้นตัวใหญ่หลายตัว เช่น BANPU, SCC ซึ่งคิดเดาว่ามันน่าจะแดงทั้ง SET และทั้งตัวหุ้น ตามมาดูผลกันนะหุ้น BANPU ปันผล 3.25 บาทต่อหุ้น จ่ายเงินปันผลวันที่ 11 พ.ค. 48 และราคาหุ้นปิดวันที่ 31 มี.ค.48 อยู่ที่ราคา 162 บาท แล้ววันที่ขึ้น XD ราคาเปิด 161 บาท, สูงสุด 168 บาท, ต่ำสุด 161บาท, ราคาปิด 166 บาท ดังนี้วันนี้ ได้เงินปันผลฟรี และยังได้ผลต่างอีก 4 บาท ถ้ารวม จะได้เงินวันนี้ 7.25บาท แล้วหุ้นยังวิ่งต่อไปถึงวันที่12 เม.ย.48 ราคาปิด 170 บาท มากกว่าวันก่อนขึ้น XD ถึง 8 บาท ถ้าขายวันนี้ตอนปิดตลาดจะได้ทั้งเงินปันผลและผลต่างถึง 11.25 บาท  แต่จะไม่ขอยกตัวอย่างของหุ้น LOXLEY, LPN นะให้ไปถามคุณVprewat โดยตรงแต่มีหุ้นอีกจำนวนมากอีกหลายตัวที่ลงเท่าเงินปันผลหรือว่ามากกว่าเงินปันผล แต่ตัวอย่างนี้เป็นการบอกไม่ควรคาดเดาตลาด และจะทำให้เราเสียหุ้นที่ถืออยู่ให้มือหมดเลย ถึง 100% แล้ว แต่ถ้าเราจะคิดหลักการกลยุทธ์รับมือกับหุ้น XD โดยไม่เดาตลาดได้อย่างไร มีดังต่อไปนี้นักลงทุนหุ้นDSM มีหุ้นในมือก่อนขึ้นวัน XD อย่างหนึ่งวัน ถ้าให้ดีควรขายทำประกันก่อน XD สัก 2-3 วันก่อนขึ้นวันเครื่องหมายจะได้ราคาที่ดี ให้ขายทำประกันเอาไว้ 30% ของพอร์ต แล้วถือรับเงินปันผล 70% ของพอร์ต เหตุผลสนับสนุนดังนี้1. ทำไมต้องขายทำประกัน 30% เพราะเท่ากับจำนวนหุ้นที่เรายินดีทิ้งไว้เป็นกองหลังนั้นเอง คงไม่ต้องสงสัยว่าตัวเลขนี้เอามาจากไหนนะ2. เงินปันผลสำหรับ DSMer ถือว่าเป็นเงินฟรี ดังนั้นจะได้มากหรือน้อย ก็ไม่สำคัญ3. ถ้าหุ้นวิ่งขึ้นสวนแทนที่มันจะลงก็ยิ้ม เพราะเราได้รับเงินปันผล 70% ของพอร์ต แล้วหุ้นยังขึ้นต่อไปอีกด้วย4. ถ้าหุ้นวิ่งต่ำว่าเงินปันผลก็ยิ้มเพราะได้รับปันผล 70% ของพอร์ต แล้วยังได้ขายทำประกันหุ้นตกต่ำว่าปันผลอีก 30% ซึ่งอย่างนี้ไม่ยิ้มได้อย่างไร สามารถที่จะขายตามแผนที่วางไว้ต่อได้ แต่ถ้า DSMers ท่านใดไม่ต้องการทำตามกลยุทธ์นี้ก็ได้ครับถือหุ้นรับปันผล 100% เลยก็ได้ แต่กลยุทธ์ นี้สำหรับ DSMers บางท่านตามเหตุผลข้างบทที่ได้กล่าวมาแล้วขอแนะนำและสังเกตกว่า หุ้นที่วิ่งสวนวันXD ส่วนมากจะเป็นหุ้นกลุ่มพลังงาน และอีกตัวอย่างนึ่งช่วยสนับสนุนกลุ่มพลังงาน หุ้น RPC ขึ้น XD วันที่ 11 เม.ย.48 , ราคาปิดวันที่ 8 เม.ย.48 อยู่ที่ 8.20 บาท ปันผล 0.40 บาทต่อหุ้น จ่ายปันผลวันที่ 29 เม.ย.48 ตามคาดว่าวันที่ขึ้น XD วันที่ 11 เม.ย.48 ราคาน่าจะอยู่ที่ 7.80 บาท ตามดูผลกันนะ ณ วันที่ 11 เม.ย.48 ราคาเปิด อยู่ที่7.80 บาท(ตามคาด),  สูงสุด 8.00 บาท,  ต่ำสุด 7.8 บาท, ราคาปิด 7.95 บาท สรุปได้ว่า วันนี้ถือได้เงินปันฟรีและยังได้เพิ่มอีก 0.15 บาทรวมเป็น 0.55 บาท ดูต่ออีกวันซิ วันที่ 12 เม.ย. 48 ราคาเปิด 8.00 บาท, สูงสุด 8.10 บาท ต่ำสุด 7.90 บาท, ราคาปิด 7.95 บาท อันนี้เป็นตัวอย่างอีกตัวอย่างนึ่ง ซึ่งไม่ได้เป็นวันที่ 1 เม.ย.48 แล้วมันก็ไม่ได้เป็นไปตามความคาดว่ามันจะลงเท่ากับหรือว่ามากกว่าปันผล ถ้า DSMers คิดจะคาดเดาตลาด ตามเหตุผลข้างบทที่ได้กล่าวมาแล้ว หรือหุ้นกลุ่มเดินเรือ อีกตัว TTA อยากรู้ว่าเป็นอย่างไร หาข้อมูลแล้วจะรู้ว่าเป็นอีกตัวได้เงินปันผลฟรีพร้อมผลต่างอีกด้วยถ้านึกย้อนไปประมาณ เดือนเดียวกันนี้ ปี พ.ศ. 2547 หุ้น PTTEP ก็วิ่งสวนปันผลใครถือก็ได้เงินปันผลฟรีพร้อมกับส่วนต่าง ขอจบเกร็ดกลยุทธ์หุ้นDSM สู้ศึก XD ไว้เท่านี้ หมายเหตุ1.นักลงทุน DSM ควรคิดและพิจารณาพร้อมกับวางแผนการล่วงหน้ารับมือไม่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือว่าจะลง ขอให้ชาวDSMer เกาะติดคลื่นทะเลหุ้นไปตามกระแสน้ำรับรองว่าทุกท่านที่เป็นDSMer จะได้พบกับอิสรภาพทางการเงินในเร็ววันอย่างแน่นอน2. XD = Excluding Dividend = ผู้ซื้อหุ้นในวันที่แขวนป้ายนี้ จะไม่มีสิทธิ์ได้รับเงินปันผล ตามที่บริษัทประกาศจ่ายในงวดนั้น หากต้องการรับเงินปันผลก็ต้องซื้อหุ้นก่อนหรือซื้อช่วงที่มีข่าวประกาศ XD แต่เมื่อข่าวออกมาแล้วหุ้นก็จะแพงขึ้นมารับข่าวนั้นด้วย




34. DSM (34) – กลยุทธ์หุ้นDSM สู้ศึก XR ทำอย่างไรการเพิ่มทุนของหุ้นในการลงทุนหุ้น DSM จะทำอย่างไรดี หัวข้อนี้ได้แรงบันดาลใจจากคุณ Minibar(หนึ่งในศิษย์เอก DSM)ได้พูดคุยใน MSN ว่าได้ไปจ่ายเงินเพิ่มทุนให้กับหุ้นตัวหนึ่งในราคาหุ้นละ 1.71 บาท(รู้หรือยังว่าหุ้นอะไร ถ้ายังติดตามต่อนะ) เลยได้เกิดข้อคิดอะไรบ้างอย่างทำให้ต้องเขียนกลยุทธ์หุ้น DSM สู้ศึก XR จะทำอย่างไรดี เพราะหลักการข้อหนึ่งของการลงทุนDSM คือไม่ควรเพิ่มเงินลงทุนเข้าไปในพอร์ตอีก แล้วใช้กระแสเงินสดแฝงของหุ้นตัวเองสร้างและสะสมหุ้นให้มากขึ้น เพื่อที่จะได้กระแสเงินสดแฝงมากขึ้น เหมือนเงาที่ติดตามตัว(หุ้นมากขึ้น กระแสเงินสดแฝงมากขึ้นเช่นกัน)เดือนแห่งความรัก เช้าวันนึ่งก่อนตลาดหุ้นเปิดเวลาประมาณ 09.36 น. ของวันที่ 3 ก.พ.48 หุ้น THL ได้ขึ้นเครื่องหมาย H ห้ามการซื้อขาย และปลด H เวลา 13.36 น. ของวันเดียวกัน ราคาเปิดของหุ้น 2.78 บาทเปิดมาก็ติดลบลงไปถึง 0.14 บาท (ราคาปิดวันที่ 2 ก.พ.48 คือ 2.92 บาท) ราคาสูงสุด 2.85 บาท ต่ำสุด 2.74 บาท ราคาปิด 2.76 บาท ได้มีคำถามว่าเกิด อะไรขึ้นตั้งแต่ เห็น H ห้ามซื้อขาย ได้รู้คำตอบว่า มีการเพิ่มทุนอย่างไม่สมเหตุผล จึงเป็นที่มาของคำถามว่า เราชาว DSMers จะทำอย่างไรเมื่อรู้ว่าหุ้นมีการเพิ่มทุน(XR) และหุ้นที่เราถือประวัติ หรือผลประกอบการก็ไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี และเราก็ไม่มีเงินจะซื้อหุ้นเพิ่มทุนเสียด้วย เพราะเงินมีจำกัดจะทำอย่างไรดี ยิ่งเป็นนักลงทุนหุ้น DSM เริ่มลงทุนใหม่ หรือพอร์ตเล็ก ๆ แต่ถ้ามีเงินจากกระแสเงินสดแฝงจากตัวหุ้นเองสามารถที่จะซื้อเพิ่มทุนได้ ก็ให้มองข้ามวิธีที่จะแนะนำต่อไปนี้ได้เลยกลยุทธ์นี้เมื่อหุ้นประกาศเพิ่มทุน แต่ไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อหุ้นเพิ่มทุน ทำได้ดังนี้1.ทำการขายหุ้นตัวนั้นออก ให้มากและเร็วที่สุดในวันที่รู้ข่าวประกาศเพิ่มทุน โดยยังขายตามแผน อาจจะขาย 10%, 20% , 50%, 100% อย่างไรก็ได้แล้วแต่จังหวะ และรอจนกว่าหุ้นเพิ่มทุนตัวนั้น ได้เข้ามาทำการซื้อขายในตลาดแล้วหรือซื้อในราคาที่เหมาะสมหลังเพิ่มทุนตามสัดส่วนแล้วน่าจะซื้อให้ต่ำว่าเราค่าเหมาะสมจะดีมากและรอจังหวะซื้อหุ้นคืนตอนหุ้นกำลังเขียว ๆ เข้าสูตร กอดหุ้นวิ่ง ทิ้งหุ้นแดง หรือ2.ทำการซื้อขายหุ้นตัวนั้น ตามแผนที่วางเอาไว้อย่างไม่หวั่นไหว  แต่ยังอยู่ในเงื่อนไขไม่มีเงินซื้อหุ้นเพิ่มทุนและก็ไม่สามารถที่จะทำการหากระแสเงินสดแฝงจากหุ้นตัวมันเองในระยะเวลาก่อนขึ้นเครื่องหมาย XR ไม่มีเงินพอไปจ่ายเงินค่าหุ้นเพิ่ม แต่กรณีนี้มีความแตกต่างจากการเทรดหุ้นDSM ตามภาวะปกติ นั้นคือหลังจากที่เราได้ทำการตามแผนลงทุนหุ้น DSM แล้วได้หุ้นเพิ่มได้กระแสเงินสดแฝงเพิ่ม ให้ขายหุ้นออก 100%ของพอร์ต ก่อนวันที่ขึ้น XR เพื่อที่จะไม่ต้องเพิ่มทุนหุ้น และไปรอรับหุ้นกลับหลังจากที่ลูกหุ้นได้เข้าทำการซื้อขายในตลาดแล้ว และซื้อตอนหุ้นเขียวจะขึ้น ให้เข้าซื้อหุ้นกลับ ก็จะได้กระเงินสดแฝง และจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้น โดยที่ไม่ต้องใส่เงินเพิ่มเข้าไปในพอร์ตหุ้นDSM สักบาท ตามมาดูหุ้น THL กันนะ หลังจากประกาศเพิ่มทุนแล้วหุ้นตก ได้ข้อมูลว่า วันที่จะขึ้น XR วันที่ 9 มี.ค. 48 ในอัตราส่วน 4:1 @ 1.71 บาท หมายความว่า 4 หุ้นเดิมซื้อหุ้นใหม่ 1 หุ้นในราคา 1.71 บาท และวันจองจ่ายเงินค่าหุ้นเพิ่มวันที่ 24-30 มี.ค.48 ถ้าใครถือหุ้นถึงวันที่ 9 มี.ค.48 แต่ไม่จ่ายเงินค่าหุ้นเพิ่ม ก็อดได้หุ้นใหม่ ตามสัดส่วนนะดูราคาปิดวันที่ 8 มี.ค.48 ราคา 2.42 บาท และราคาเปิดของวันที่ 9 มี.ค. 48 อยู่ที่ 2.44 บาท สูงสุด 2.56 บาท ต่ำสุด 2.40 บาท ราคาปิด 2.40 บาทลองมาคำนวณหาราคาที่เหมาะสมหลังจากเพิ่มทุนกันดีกว่านะ 4 หุ้นต่อ 1 หุ้นใหม่ ราคา 1.71 บาท จะได้ราคาเฉลี่ยเท่าไร (เอาราคาปิดของวันที่ 9 มี.ค.48 มาคิด 2.42 บาท) ได้ดังต่อไปนี้ราคาหุ้นที่เหมาะสม= (4x2.42+1.71x1)/5=2.28 บาท ดังนั้นได้ราคาที่เหมาะสมที่ 2.28 บาท ถ้าเห็นราคาตลาดหลังขึ้นเครื่องหมาย XR แล้วราคาหุ้นได้เท่ากับ 2.28 บาทถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสม แต่ถ้าได้ต่ำว่า 2.28 บาทก็ยิ่งดีหลังจากได้นั้นวันที่ลูกหุ้นเข้าทำการซื้อขาย เป็นจำนวน 151,387,893 หุ้น เมื่อวันที่ 20 เม.ย. 48 มาดูผลของราคากันนะ ราคาเปิด 2.04 บาท สูงสุด 2.20 บาท ต่ำสุด 2.00 บาท ราคาปิด 2.10 บาท มาลองเปรียบว่า ตั้งแต่วันที่ 3 ก.พ.48 ราคาปิด 2.76 บาท ถึงวันที่ก่อนขึ้น XR ราคาปิดวันที่ 8 มี.ค.48 ผลต่าง 0.34 บาท (2.76 -2.42) ติดเป็น 12.31% ภายในระยะเวลาหนึ่ง เดือน (3 ก.พ.-8มี.ค.48) เราสามารถสร้างกระแสเงินสดแฝงเท่ากับ12.31 % ได้หรือไม่มาลองเปรียบว่า ตั้งแต่วันที่ 3 ก.พ.48 ราคาปิด 2.76 บาท ถึงวันที่ ลูกหุ้นใหม่เข้าเทรดในตลาดเป็นอย่างไรบ้าง ผลต่าง 0.66 บาท (2.76-2.10) ติดเป็น 23.91% มาดูซิว่าถ้าเราทำตามวิธีการที่ 1 ผลจะออกมาเป็นอย่างไร ภายใต้สมมุติฐานว่า ขายหุ้น 100% ราคาปิด 2.76 บาท และซื้อคืนวันแรกที่หุ้นเทรดในตลาด ที่ราคาปิด 2.10 บาทได้ผลต่าง 0.66 บาท คิดเป็น 23.91% จะได้กระแสเงินสดแฝงภายในระยะเวลาหนึ่งเดือนครึ่งเท่านั้นมาดูวิธีการที่ 2 กันนะทำตามแผนจะได้กระแสเงินสดแฝงเท่าใด ไม่ทราบได้ ในระยะเวลาหนึ่งเดือน เมื่อเปรียบเทียบกับการขายที่ราคาปิดของวันที่ 3 ก.พ.48 จนถึง ราคาปิด ของวันที่ 8 มี.ค. 48 ซึ่งได้ ผลต่าง 0.34 บาท ติดเป็น 12.31% ซึ่งไม่แน่ว่าการทำตามแผนการจะได้ผลตอบแทนเท่ากับหรือมากกว่า 12.31% ได้หรือไม่ และขายออกวันที่ 8 มี.ค.48 ณ ราคาปิดที่ 2.42 บาท มาซื้อหุ้นคืนที่ 20 เม.ย.48 ราคาปิด 2.10 บาท ผลต่าง 0.32 บาทคิดเป็น 13.22 % ภายในระยะเวลา 2  สัปดาห์ ดังนี้ก็ให้ชาว DSMers ตัดสินใจว่าจะเลือกวิธีไหนดี อันนี้เป็นการยกตัวอย่างหุ้นตัวนี้นะครับ หุ้นตัวอื่นๆอาจไม่ได้เป็นแบบนี้ก็ได้ แต่ถ้านักลงทุน DSMer มีเงินมากพอที่จะเพิ่มทุน ก็คงไม่มีปัญหาอะไรทำตามแผน แต่ก็อีก คนชั่งคิดไปเรื่อย ถ้าเราทำตามแผนการลงทุนในหุ้น DSM ไปเรื่อยๆจนวันที่ลูกหุ้นใหม่เข้าตลาด กับเมื่อเปรียบเทียบการที่เราทำตามแผนไปจะถึงวันที่ขึ้น XR วันที่ 9 มี.ค.48 แล้วขายหุ้น ณ ราคาปิด (2.40) ตลาดหมดและแล้วไปรับหุ้นกลับวันที่ลูกหุ้นเข้าเทรดอันไหนแบบไหนน่าจะได้กระแสเงินสดแฝงมากกว่ากัน หรือ แบบไหนจะได้จำนวนหุ้นมากกว่ากัน ฝากเป็นการบ้านก็ยังมีการเพิ่มทุน ทั้งลดพาร์ ของหุ้นบางตัวที่ชั่งแต่ต่างจากหุ้น THL เหลือเกิน และยังทั้งร้อนทั้งแรง ใครๆก็ต้องพูดถึง นั้นคือ หุ้น TPI นั้นเอง แต่สังเกตให้ดีถึงจะมีอะไรที่แต่ต่างกันอย่างกับสวรรค์ (TPI) กับนรก (THL), หรือมุมตกกระทบ (THL) กับมุมสะท้อน (TPI) แต่อย่างน้อยๆถ้าไม่มองข้ามไป ก็มีความเหมือนที่แตกต่างนะ ทายดูซิ ว่าคืออะไร เป็นหุ้นที่ขึ้นต้นด้วย T เหมือนกัน และเป็นหุ้นอยู่กลุ่ม Rehabilitation เหมือนกัน แต่TPI กำลังจะย้ายไปเทรดในกลุ่มพลังงานแล้วเหมือนขึ้นจากขุมนรกที่ 18 ไปสู่สวรรค์อย่างไรอย่างนั้นเลยหุ้น TPI เพิ่มทุนพร้อมลดพาร์จาก 10 มาเป็นพาร์ 1 และ น่าจะ 1:3 ราคา 3.30 บาท คือ 1 หุ้นเดิมได้ 3 หุ้นใหม่ ในราคาหุ้นละ 3.30 บาทตัวอย่างการคำนวณสมมุติ เอาราคาปิดวันที่ 20 เม.ย.48 ที่ 10.00 บาทราคาที่เหมาะสมหลังเพิ่มทุน= (10 +3x3.5)/4=4.975 บาท แล้วอาจได้เห็น TPI กลายเป็น ATC ภาค 2 หรือ อาจได้เห็นราคายืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับ TOP ได้เช่นกัน แต่อย่าลืมว่าไม่คาดเดาตลาดหมายเหตุ1. หุ้น TPI ใครยังไม่มีควรหามาประดับพอร์ตได้ แต่ถ้าถามว่าไม่มีเงินเพิ่มทุนจะทำอย่างไร ก็ทำตามที่ได้นำเสนอไปตามข้างบน2.  XR = Excluding Right = ผู้ซื้อหุ้นในวันที่แขวนป้ายนี้ จะไม่มีสิทธิ์ในการจองซื้อหุ้นใหม่ ต้องซื้อก่อนหรือช่วงก่อนแขวนป้ายเช่นเดียวกัน3. H = Halt Trade = เครื่องหมายแสดงให้นักลงทุนทราบว่าหลักทรัพย์ดังกล่าวอยู่ระหว่าง ห้ามซื้อขาย สำหรับช่วงเวลาซื้อขายรอบนั้น



35. DSM (35) – SET DSM index คืออะไรวิธีคิดดัชนี DSM ของพอร์ตของนักลงทุนแต่ละท่านวัตถุประสงค์1. เพื่อไม่ให้พวกเราทั้งหลายที่ทำ DSM แล้วหลงไปยึดติดกับ SET INDEX2. เพื่อเอาไว้ดูว่าในแต่ละวันดัชนี DSM ของเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร     การคำนวณดัชนีหุ้นนั้นมีอยู่หลายวิธี แต่ละวิธีก็มีจุดดี จุดด้อย นี่คือสาเหตุที่เราต้องมีทั้ง SET INDEX  , SET50 และ SET100วิธีคิดแบบแรกคือ PRICE WEIGHT คิดแค่ราคาหุ้นอย่างเดียว เช่นตัวอย่างข้อมูลวันแรกเริ่มทำ DSM ITD ราคา 12.00  บาทKEST ราคา 32.00  บาทTPI ราคา 9.00  บาทเราก็จับเอาราคาทั้ง 4 ตัวมาบวกกันแล้วหารด้วยจำนวนหลักทรัพย์ = ( 12 + 32 + 9 ) / 3  = 17.67   นี่คือค่าดัชนีเริ่มต้นแล้วถ้าเป็นข้อมูล ณ.ปัจจุบัน(ราคาตลาดปิดวันนั้นๆ)ITD ราคา 11.00  บาทSHIN ราคา 37.00  บาทTPI ราคา 10.00  บาทVNT ราคา 9.00  บาท= ( 11 + 37 + 10 + 9 ) / 4 = 16.67   นี่คือค่าดัชนี ณ. ปัจจุบันนั้นก็แสดว่าดัชนีของ DSM พอร์ตตั้งแต่เริ่มทำมาจนถึงปัจจุบัน ลดลงไป 1.00 จุด คิดเป็น 5.66% ถ้าคิดด้วยวิธีนี้มูลค่าพอร์ตของเราก็ควรจะต้องลดลง 5.66% เช่นกัน แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่อย่างนั้นเพราะเราถือหุ้นแต่ละตัวในจำนวนที่ไม่เท่ากัน สูตรคำนวณที่ตลาดฯใช้อยู่คิดแบบ MARKET VALUE WEIGHT โดยให้น้ำหนักกับจำนวนหุ้นที่อยู่ในตลาด ดังนั้นหุ้นที่มีขนาดใหญ่จึงมีผลต่อการขึ้นลงของดัชนี วิธีนี้จึงเหมาะสมกว่าที่เราจะเอามาคิดดัชนี แต่แทนที่เราจะหยิบหุ้นทั้งตลาดมาคิด เราก็หยิบเอาเฉพาะหุ้นมี่เราถืออยู่และจำนวนที่เราถือ เช่นตัวอย่างข้อมูลวันแรกเริ่มทำ DSMITD ราคา 10,000*12.00 = 120,000 บาทKEST ราคา 3,000*32.00 = 96,000   บาทTPI ราคา 10,000*9.00 = 90,000 บาท(สมมุติว่าไม่ได้คิดค่าคอมมิชั่นรวมไปด้วยในตัวอย่างภายในบทนี้)รวมทั้ง 3 หุ้นได้เท่ากับ 306,000 เป็นตัวอ้างอิง สมมุติให้เป็น SET DSM index ดัชนีเริ่มต้นเท่ากับ 100 จุด (ตรงนี้จะกำหนดเป็น 1000 จุดก็ได้แล้วแต่เราชอบ) ข้อมูล ณ.ปัจจุบัน (ราคาตลาดปิดวันนั้นๆ) ITD ราคา 11,000*11.00 = 121,000  บาทSHIN ราคา 3,000*37.00 = 111,000  บาทTPI ราคา 4,000*10.00 = 40,000  บาทVNT ราคา 5,000*9.00 = 45,000  บาทรวมทั้ง 4 หุ้นได้เท่ากับ 317,000  บาทSET DSM index ณ.ปัจจุบัน = (317,000*100) / 306,000 = 103.59 จุด เท่ากับเพิ่มขึ้น 3.59 จุด (3.59%) มูลค่าพอร์ตของเราก็ควรจะต้องเพิ่มขึ้นเช่นกัน.  จะเห็นได้ว่าเมื่อคิดดัชนีด้วยวิธีนี้แล้ว จะมีความเป็นธรรมต่อจำนวนหุ้นแต่ละตัวในพอร์ตของเราที่ไม่เท่ากัน.ดังนั้นเราจึงไม่สามารถเอา SET INDEX มาดูเพื่อเป็นตัวอ้างอิงกับพอร์ต DSM ได้ เพราะเขาเอาหุ้นทุกตัวมาคิดคำนวณ แต่เรามีหุ้นแค่บางตัว และเมื่อหุ้นบางตัวที่เราไม่มีแต่ดันขึ้นเช่น PTT, PTTEP พวกนี้มีผลต่อ SET INDEX ค่อนข้างมาก ก็จะทำให้ SET INDEX ปรับขึ้นตาม แต่ตลาดฯก็ต้องมีตัวอ้าวอิงจึงต้องใช้วิธีนี้และมีตัวอ้างอิงตัวอื่นๆไว้เปรียบเทียบ.     ฉะนั้นพวกเราเองที่ทำ DSM ก็จำเป็นต้องมีตัวอ้างอิงของเราไว้ค่อยเปรียบเทียบด้วย เพราะเมื่อขนาดพอร์ตเปลี่ยนไป ราคาเปลี่ยนไป เราจะเห็นได้ชัดว่าที่เราทำ DSM อยู่นั้น ว่าดีขนาดไหนจากตัวอย่างข้างบน ถ้าคิดตามวิธีแรกปรากฏว่า SET DSM ลดลง 1.00 จุด (5.66%) แต่ถ้าคิดตามวิธีการถ่วงน้ำหนักแล้ว SET DSM index กลับเพิ่มขึ้น 3.59 จุด (3.59%) แสดงว่าถ้าทำ DSM กลับเป็นว่ามูลค่าพอร์ตเพิ่มขึ้น และถ้าจะให้เป็นจริงมากขึ้นเราก็ควรที่จะต้องนำเอาเงินกระแสเงินสดแฝงที่มีอยู่ใส่เข้าไปด้วย (เหมือนกับว่าเราซื้อหุ้นใส่เข้าไปจนหมดเงิน)สรุปเป็นสูตร SET DSM index ได้ดังนี้SET DSM index  =  { ผลรวม(จำนวนหุ้นY * ราคาหุ้นY) + เงินสดคงเหลือ } * 100 / ผลรวม(จำนวนหุ้นX * ราคาหุ้นX)เมื่อ   X = หุ้น ณ.วันแรกเริ่มทำ DSM, Y = หุ้นในพอร์ต ณ.ปัจจุบัน เงินสดคงเหลือ = เงินสดทั้งหมด - เงินออม 25% - เงินค่าใช้จ่าย 25%หวังว่าคงพอจะเป็นประโยชน์กับพวกเราชาว DSMจะได้เอาไว้ค่อยดูการเปลี่ยนแปลงของ SET DSM indexของเราเอง เพื่อไม่ให้ SET INDEX หลอกพวกเราชาว DSMer ได้อีกต่อไปปล. วันนี้นักลงทุน DSMer มี SET DSM index กันของแต่ละพอร์ตแล้วหรือยัง