วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2565

หลักคิด 26

นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงศตวรรษที่ 1990 กำไรของบริษัทในสหรัฐเพิ่มขึ้นมา 50 เท่า ดัชนีตลาดหุ้นขึ้นมา 60 เท่า สงคราม 4 ครั้ง เศรษฐกิจถดถอย 4 ครั้ง ประธานาธิบดี 8 คน การถอดถอนประธานาธิบดี 1 ครั้ง ก็ไม่ได้เปลี่ยนสิ่งนั้น

ทุกคนน่าจะได้สังเกตเห็นยอดขายที่แข็งแกร่งของ Dell Computer คนที่ซื้อหุ้น Dell ตั้งแต่ครั้งแรกจะได้รับผลตอบแทนถึง 889 เด้ง

(บทความนี้แสดงให้เห็นว่า แม้จะมีอุปสรรคใหญ่ขนาดไหนและมากมายขนาดไหน ก็ยังคงมีบริษัทที่เติบโต และตลาดหุ้นก็ยังมีหุ้นที่เติบโตฝ่าฟันอุปสรรคเหล่านั้นไปได้เสมอ)

*****
แม้ว่าในระยะสั้นตลาดมักจะผิด แต่น่าแปลกที่ในระยะยาวตลาดมักจะถูก 

เหมือนที่ ปีเตอร์ ลินซ์ มองเห็นอนาคตของอเมซอน แต่กลับไม่ให้ความสนใจมากพอ ทำให้เขาไม่ได้ซื้อเอาไว้ ภายในเวลาไม่ถึงปี ตลาดก็แสดงถึงสิ่งที่ถูกต้องให้เห็น

มันสะท้อนให้เห็นว่าในระยะยาวแล้วราคาจะวิ่งเข้าหามูลค่าเสมอ

*****

เมื่อคุณขายหุ้นในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวัง คุณจะขายไปในราคาถูกสุดเสมอ
**********

เวลาตลาดหุ้นตกลงหนักกว่าปกติ บรรดากองทุนต่างๆจะต้องเตรียมเงินเผื่อไว้สำหรับลูกค้าขายหน่วยลงทุนออกมา ซึ่งการเตรียมเงินในยามปกตินั้นมันมีเพียงพออยู่แล้ว แต่หากเป็นกรณีที่ตลาดหุ้นร่วงแรงเป็นพิเศษ บรรดากองทุนจะต้องขายหุ้นออกมาเพื่อเตรียมเงินไว้จ่ายให้กับลูกค้าที่ต้องการขายหน่วยลงทุนที่มีแรงขายมากเป็นพิเศษด้วย 

ดังนั้นดัชนีก็จะถูกแรงขายจากกองทุน เสริมเข้าไปอีก นั่นคือหนึ่งในสาเหตุว่าทำไมหุ้นดีๆบางตัว ราคาร่วงแรงในยามที่ดัชนีร่วงมากเป็นพิเศษ

*****

ความรู้และหลักการต่างๆ เกี่ยวกับการลงทุนมีให้ศึกษาอยู่มากมาย ความรู้สามารถเรียนรู้กันทันได้

แต่สิ่งที่จะทำให้เป็นผู้ชนะได้ โดยหลักการแล้วมันคือวินัย วินัยเป็นอะไรที่เลียนแบบกันยาก 

เป็นเรื่องที่น่าแปลกอีกอย่าง ในตลาดหุ้นแล้ว คนที่มีวินัยมากพอที่จะเป็นผู้ชนะ ก็มักจะชนะต่อไปเรื่อยๆ ในขณะที่คนที่ขาดวินัยก็มักจะเป็นผู้แพ้ที่แพ้ต่อไปเรื่อยๆเช่นกัน

******

ในตลาดหุ้นการรอให้ทุกอย่างชัดเจนก็มักจะสายเกินไปเสมอ ดังนั้นนักลงทุนที่อยู่ในตลาดหุ้นจึงต้องสามารถที่จะตัดสินใจและมีวิธีการในการตัดสินใจ บนข้อมูลที่ได้มานั้นยังไม่สมบูรณ์

*****

ถ้าคุณคาดการณ์โมเดลธุรกิจในระยะยาวได้แม่นยำ นั่นเท่ากับคุณสามารถคาดการณ์เป้าหมายของกราฟในระยะยาวได้อย่างแน่นอน
*****
การลงทุนด้วยปัจจัยพื้นฐาน ทำให้ซื้อหุ้นตั้งแต่ต้นเทรนด์ ซื้อหุ้นตั้งแต่ยังไม่มีใครสนใจ กราฟก็ยังไม่มีสัญญาณซื้อ หลายครั้งต้องรอนาน แต่ชดเชยด้วยการได้มาในราคาที่ต่ำมาก  

เมื่อต้นทุนต่ำก็จะส่งผลต่อ mindset ทำให้สามารถถือหุ้นได้ยาวนานขึ้น เนื่องจาก mdd จะน้อยกว่าการซื้อที่ราคาสูง เมื่อสามารถถือได้ทนกว่า การรันเทรนด์ยาวๆจึงทำได้ดีกว่า จึงสามารถทำกำไรเป็นกอบเป็นกำได้มากกว่า (แต่อาจไม่เร็วกว่า)

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อมี mdd ที่ต่ำกว่า โอกาศในการขาดทุนมากๆ จึงน้อยกว่าเช่นกัน

******
การดูว่าหุ้นตัวนั้นมีราคาถูกหรือแพง ไม่ใช่ดูเทียบกับราคาในอดีต แต่ต้องเทียบกับมูลค่าของบริษัทที่มีในปัจจุบันและความสามารถที่จะทำกำไรได้ในอนาคต

เช่น 
ราคาหุ้นในปัจจุบันที่เคยต่ำกว่าในอดีตอย่างมาก ไม่ได้แปลว่ามันราคาถูก ถ้าฐานะบริษัทแย่ลงมาก และ/หรือ ความสามารถในการทำกำไรในอนาคตตกต่ำ

รวมถึงราคาหุ้นที่สูงอย่างมากในปัจจุบันเมื่อเทียบกับอดีต ไม่ได้แปลว่ามันจะราคาแพงเสมอไป ถ้าฐานะทางการเงินของบริษัทดีขึ้นมาก และ/หรือ ความสามารถในการดำเนินงานในอนาคตมีแนวโน้มที่จะดีขึ้นมากๆ 

การประเมินมูลค่า ต้องใช้ร่วมกันทั้งฐานะทางการเงินของบริษัทในปัจจุบันประกอบกับความสามารถในการทำกำไรในอนาคตเข้ามาร่วมกัน ดังนั้นการประเมินมูลค่ามันจึงเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ มันจึงแตกต่างตามมุมมองของนักลงทุนแต่ละคนที่มีต่ออนาคตของบริษัท

ปล. พอร์ตหุ้นของสมาชิกในครอบครัว ที่ไม่เทรด ไม่เก็งกำไร เน้นการซื้อหุ้นเพื่อการลงทุนตั้งแต่ปัจจุบันโดยมุ่งหวังให้เป็นพอร์ตเพื่อการเกษียณในอีกหลายสิบปีข้างหน้า อายุพอร์ตประมาณ 2.5 ปี ปันผลประมาณปีละ 4-5% โดยเพิ่มขึ้นทุกปี

มีการขายหุ้นออกไปบ้าง 2-3 ตัวเพื่อสวิทช์ตัว ที่มีกำไรนอกเหนือจากแสดงอยู่ในรูป 

หุ้นที่ทั้งสองพอร์ตมีไม่เหมือนกัน คือตัวที่ซื้อน้อยๆติดพอร์ตเพื่อติดตามราคา 

หุ้นบางตัวในพอร์ตที่เห็นว่าราคาขึ้นมาแล้วนั้น ล้วนยังมีราคาต่ำกว่ามูลค่าอยู่มาก (ในมุมมองของเจ้าของพอร์ต) ถึงได้ยังถืออยู่ในพอร์ตต่อ 

การลงทุนโดยไม่เทรด ผลตอบแทนไม่ได้แย่เลย แต่สิ่งที่ได้คือ มีเวลาในการคิดอย่างสุขุมมากขึ้น มีเวลาในการใช้ชีวิตมากขึ้น คนไม่น้อยเข้าใจผิดคิดว่าการสร้างพอร์ตให้โตอย่างรวดเร็วนั้นจะต้องอาศัยการเทรดแต่เพียงอย่างเดียว 


******

มีอยู่ปีนึงที่ไปประชุมผู้ถือหุ้น จำได้ว่าคุณอนุพงษ์ ตอบคำถามนักลงทุนว่า การทำคอนโด (High rise building) มีความเสี่ยงหลายด้าน เราควรจะกระจายความเสี่ยง เราจึงต้องการ partner ร่วมลงทุน ซึ่ง partner ของเราก็เป็นบริษัทอสังหาเจ้าใหญ่ในญี่ปุ่น 

เรามาคิดดูมันจริงมาก
- การสร้างคอนโดจะต้องลงเงินทั้งก้อน เช่นถ้าโครงการ 2 พันล้าน ก็ต้องใส่เงินทั้ง 2 พันล้าน สร้างเสร็จแล้วถึงจะโอนได้ ต่างจากแนวราบ ที่สามารถทยอยสร้างเป็นเฟสและทยอยขาย ทยอยโอนได้ ความเสี่ยงจึงต่ำกว่า 

- มีตัวอย่างที่เราเห็นจากพฤกษา ซื้อที่ดินมา 2-3 แปลงแล้วไม่สามารถขึ้นคอนโดได้ ต้องพับโครงการประกาศขายที่ดิน 

- มีตัวอย่างจากศุภาลัย ที่ขนาดผ่าน EIA แล้ว ยังมีการโดนร้องเรียนระงับ EIA ชั่วคราวย้อนหลัง (อันนี้คือ งง มาก) 

- ยังดีที่ว่า ทั้งพฤกษาและศุภาลัยเป็นบริษัทใหญ่มีโครงการจำนวนมาก และฐานะการเงินแข็งแกร่ง ก็นับว่าเป็นการกระจายความเสี่ยงในตัวเองอย่างนึง 

- ยังมีตัวอย่างที่หนักหนา เช่น ‘แอชตัน อโศก’ ถูกฟ้อง เพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้าง กับแนวทาง ‘อนันดา-กทม.’ ยื่นอุทธรณ์สู้ต่อ https://www.brandbuffet.in.th/2021/08/ashton-asoke-will-appeal-to-the-supreme-administrative-court/

ถ้าเป็นบริษัทเล็กๆทำซัก 3-4 โครงการโดนไป หนึ่งโครงการแบบนี้อาจถึงขั้นล้มละลายได้  

นี่คืออีกเหตุผลหนึ่งที่ไม่ควรลงทุนในบริษัทที่เล็กจนเกินไป เพราะเวลาโดนอะไรมากระทบบางครั้งอาจล้มหายตายจากได้ง่ายๆ

********

คนที่ซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัย ส่วนมากจะคิดมารอบคอบ ทั้งการเงินและทำเล รวมถึงสิ่งแวดล้อม นั่นทำให้ส่วนมากเมื่อเวลาขาย มักจะได้กำไร และที่แน่ๆคือโอกาสหมดตัวจากการลงทุนในบ้านนั้นไม่มีเลย

ที่สำคัญ การซื้อบ้านมักจะวางเงินดาวน์ 10-20% ที่เหลือสามารถกู้ธนาคารได้ (กรมที่ดินประกาศราคาประเมินที่ดินขึ้นเกือบ 9% สำหรับสามปี) สมมติ ราคาบ้านขึ้นปีละ 3%

สมมติ บ้านราคา 5 ลบ วางดาวน์ 20% (สมมติราคาบ้านขึ้นปีละ 3%) สามปี บ้านราคา 5.45 ลบ แต่เงินลงทุน วางดาวน์ 20% คือ 1 ลบ สามปีผ่อนไปอีกประมาณ 1 ลบ

กำไร 4.5 แสน จากราคาบ้านที่ขี้น บนต้นทุน 1 ลบ (ดาวน์) + 1 ลบ (ผ่อนสามปี)
คิดเป็นผลตอบแทนคร่าวๆ 22.5% ต่อสามปี หากคำนวณละเอียดจะได้มากกว่าเพราะล้านที่ผ่อนนั้นทยอยจ่าย (ทยอยรับรู้เป็นต้นทุน)

ดังนั้นการซื้อบ้านเพื่ออยู่เอง บนทำเลที่ดี และผ่อนไหว มักจะมีกำไร จะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับความพิถีพิถันในการเลือก หมายถึงบ้านแนวราบโดยวัตถุประสงค์เพื่อการอยู่อาศัยจริงๆเท่านั้นนะครับ (ส่วนคอนโดจะมีความหวือหวากว่า)

อีกอย่างคือ ดอกเบี้ยจากการซื้ออสังหาเพื่ออยู่อาศัย ลดหย่อนภาษีได้ (ถ้าจำไม่ผิด ไม่เกินปีละหนึ่งแสน)

รวมถึงบ้านยังเป็นทรัพย์สินที่ดีที่สุดในการป้องกันเงินเฟ้อ ยิ่งเงินเฟ้อมากขึ้นราคาบ้านและที่ดินก็มักจะยิ่งขยับสูงขึ้นตาม

*****

หุ้นที่พีอีสูงลิ่ว จะต้องการกำไรที่เติบโตอย่างเหลือเชื่อเพื่อมาสนับสนุนราคาหุ้น

*********นลท ที่ตกใจง่ายเกินไปจะออกจากตลาดหุ้นในขณะที่ตลาดเต็มไปด้วยข่าวร้าย ไม่ว่าเขาจะฉลาดแค่ไหนก็ตาม

******

อาคารตามหลัก บช แล้วมักถูกตัดค่าเสื่อมเป็นเวลา 30 ปี แต่โครงสร้างของอาคารจริง ตามการใช้งานจริง มักจะสามารถใช้งานได้มากกว่า 50 ปี ดังนั้นเมื่อครบ 30 ปี ของการตัดค่าเสื่อม กำไรก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่ายเรื่องค่าเสื่อม 

หากจะต้องมีการปรับปรุงอาคาร แล้วตัดเป็นค่าเสื่อม โดยมากค่าเสื่อมของการปรับปรุงอาคาร มักจะน้อยกว่าค่าเสื่อมจากการสร้างอาคารค่อนข้างมาก พูดง่ายๆก็คือ ค่าใช้จ่ายด้านค่าเสื่อมจะลดลงค่อนข้างมากแม้จะมีการรีโนเวทก็ตาม ส่งผลให้มีโอกาสที่ NET profit margin จะเพิ่มมากขึ้น 

ธุรกิจที่ต้องใช้อาคารเป็นทรัพย์สิน เช่นโรงแรม โรงพยาบาล (การรีโนเวทโรงแรม อาจมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการรีโนเวทโรงพยาบาล) เมื่อเปิดมานานพอ จนค่าเสื่อมอาคารถูกตัดจนหมด โดยเฉพาะอาคารที่ค่าใช้จ่ายในการรีโนเวทไม่สูงมากนัก มีความน่าสนใจว่า ผลกำไรจะแข็งแกร่งขึ้นมากได้

**********

ความอดทนที่จะไม่ทำตามใจ เป็นหนึ่งในหลักการที่สำคัญของนักลงทุน

*****

ตัวอย่างการเปรียบเทียบบริษัทกับผลงานของตัวเองในอดีต 

BAFS 
3 มค 2018 ณ ราคา 44 บ.
P/B 4.5 เท่า , ROE 15.8% , IBD/E 0.52 

13 มค 2023 ณ ราคา 33.25 บ.
P/B 4.65 เท่า , ROE -9.73% , IBD/E 3.31

ปัจจุบัน
ราคาแพงกว่าดูจาก P/B (ถูกแพงไม่ใช่ดูจากราคา)
ความสามารถในการทำกำไรต่ำกว่าจาก ROE
งบการเงินอ่อนแอกว่าจาก IBD/E

*****

อย่าฝากชีวิตไว้กับเงินเดือน แม้จะต้องใช้เงินเดือนเพื่อสร้างหลักประกันในอนาคตก็ตาม

หลักประกันในอนาคตต้องสร้างด้วยตนเองจากความคิดของตนเอง เช่น คิดที่จะมีรายได้ปันผล คิดที่จะมีรายได้จากค่าเช่า 

คิดแล้วลงมือทำ

******

อย่าพยายามออกนอกหลักการลงทุนของตนเอง เพราะโอกาสผิดพลาดจะมีมากกว่า และถ้าหากไม่จำเป็นก็อย่าแก้ไขหลักการ ยกเว้นบางครั้งที่ราคาหุ้นถูกมากๆ แต่ต้องระลึกไว้เสมอ ว่าการออกนอกหลักการ โอกาสพลาดจะเพิ่มขึ้นสูงมาก

*****

พยายามคิดอยู่เสมอ ว่าตนเองไม่ใช่คนที่กล้าหาญ ที่พร้อมจะรับความทุกความเสี่ยงเพื่อไล่ล่ากำไร แต่ควรคิดอยู่เสมอว่า ข้างหน้านั้นมีความเสี่ยงอะไรอยู่บ้าง และการป้องกันความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญ

*****
อย่างน้อยมีหนึ่งสิ่งที่เรารู้อย่างแน่ชัด นั่นคือ ไม่ว่าจะตลาดหมีหรือตลาดกระทิง มันจะไม่คงอยู่ตลอดไปอย่างแน่นอน

*********

เมื่อนักลงทุนมีแนวคิดในการลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงมากขึ้นเพื่อผลตอบแทนที่สูงขึ้น ความจริงอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อได้ผลตอบแทนสูงขึ้นในบางครั้งที่ลงทุนในหุ้นบางตัว ด้วยแนวคิดนั้นจะทำให้มีหุ้นตัวอื่นที่ fail เข้ามาในพอร์ตหุ้นด้วยเช่นกัน และมันจะเข้ามาหักล้าง กับการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสูง 

แนวคิดที่เปิดกว้างเพื่อรับผลตอบแทนที่สูง แนวคิดนั้นย่อมจะเปิดรับความเสี่ยงที่สูงติดเข้ามาด้วยเสมอ 

ถ้าสังเกต ในระยะยาวแล้วแนวทางลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสูง(ในระยะสั้น) เมื่อลงทุนเป็นเวลานานเพียงพอ กลับได้ผลตอบแทนค่าเฉลี่ยไม่มากไปกว่านักลงทุนระดับโลก ที่มีผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 20 กว่าเปอร์เซ็นต์เท่านั้น 

นั่นหมายถึงว่าไม่ว่าคุณจะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม สุดท้ายแล้วในระยะยาว ก็จะโดนดึงกลับลงมา ต่ำกว่าผลตอบแทนของนักลงทุนระดับโลกเสมอ

ยกเว้นแต่เพียงว่า คุณจะใช้วิธีที่ไม่แฟร์ เช่นใช้อินไซด์ หรือใช้การคอนเนอร์หุ้น หรือใช้ชื่อเสียงเพื่อให้คนหมู่มากแห่ตาม หรือแม้กระทั่งการใช้ connection ตีซี้กับ ผบห ซึ่งวิธีการเหล่านั้น เจ้าตัวย่อมรู้อยู่แก่ใจ ผลตอบแทนที่ได้มาเกิน มันไม่โอเค

******

หลายครั้งเจอคำถาม ว่าเมื่อไรจะขายหุ้น xxxx 

คำตอบ คือ ไม่รู้จริงๆ เมื่อไรที่มีสัญญาณขายก็เมื่อนั้น ระหว่างนั้นทำได้แค่ติดตามตัวธุรกิจ และถ้าธุรกิจยังดีอยู่ ก็ยังไม่มีเหตุให้ขาย ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ธุรกิจจะแย่แบบพื้นฐานเปลี่ยนไปจริงๆ ทำให้เราไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่า จะขายหุ้นเมื่อไหร่

วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2565

หลักคิด 25

กำหนดเป้าหมาย สร้างขั้นตอนที่จะไปสู่เป้าหมาย แบ่งขั้นตอนเหล่านั้นให้เป็นขั้นตอนเล็กๆ ทำแต่ละขั้นตอนให้สำเร็จ ทำอย่างมีวินัย และมุ่งมั่น จนสำเร็จที่ละขั้นทีละขั้น สุดท้ายก็จะพิชิตเป้าหมายได้

******
จุดอ่อนของ dca คือไม่สนราคาที่ซื้อ ซึ่งจุดแข็งของ vi คือราคาที่ซื้อครับ

******

เวลาเราเทียบราคาหุ้นกับความสามารถในการทำกำไรของบริษัท แล้วมักจะใช้ค่า P/E ในการดูเพื่อเปรียบเทียบ

แต่จุดอ่อนของค่า P/E คือ earning ที่เป็นตัวหาร บริษัทที่ใช้เงินกู้สูง มีโอกาสที่จะมีกำไรมากกว่าบริษัทที่ใช้เงินกู้ต่ำ แต่ความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจก็จะสูงตามไปด้วย 

การที่เราจะดูแต่ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทโดยมองข้ามความเสี่ยงที่บริษัทต้องแบกรับเอาไว้ มันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องสักทีเดียว 

มันเหมือนกับพอร์ตหุ้น ที่มุ่งแต่จะทำกำไรแล้วใช้เงินกู้สูงๆ พอร์ตหุ้นก็จะพังได้ง่ายๆ 

ดังนั้นการดูความสามารถในการทำกำไร จึงควรรวมความเสี่ยงจากเงินกู้เอาไว้ด้วย 

P/E นั้น มันก็คือ Mkt Cap / Net Profit 
เมื่อจะเอาความเสี่ยงจากเงินกู้มารวมเข้าไปด้วยสูตรก็จะเป็น 

{Mkt Cap + (Debt - Cash)} / EBIT

ก็คือเป็นการรวมเอาเงินกู้โดยการหักด้วยเงินสด แทนการใช้ market cap แต่เพียงอย่างเดียว (ซึ่งมาร์เก็ตแคปเมื่อหารด้วยจำนวนหุ้นแล้วมันก็คือ P ในสูตร P/E นั่นเอง)

ส่วนที่ใช้ ebit แทน earning หรือ net profit ก็เนื่องจาก EBIT เป็นตัวแทนของผลกำไรจากการดำเนินงานโดยตรง 

ซึ่งสูตร {Mkt Cap + (Debt - Cash)} / EBIT ก็คือ EV/EBIT (enterprise value / ebit) นั่นเอง 

การเปรียบเทียบหุ้นที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันด้วย EV/EBIT จะทำให้เห็นภาพได้ชัดกว่า P/E เพราะจะไม่โดนหลอกด้วยบริษัทที่ใช้ leverage สูงๆ
โดยการใช้ค่า EV/EBIT ก็จะมีหลักการเหมือนกับค่า P/E คือ ค่าที่ต่ำจะเป็นที่ Prefer มากกว่าค่าที่สูง

ตัวอย่าง การเปรียบเทียบค่า EV/EBIT ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน 

ณ 2/12/2022
TICKER P/E EV/EBIT ค่าแตกต่าง
AP 5.72 8.51 48.7%
PSH 10.40 12.29 18.2%
SC 8.25 13.80 67.3%
LH 13.55 25.40 87.5%  
BRI 7.06 9.52 34.8%
ORI 7.33 15.44 110.6%  

การใช้ค่า EV/EBIT คือ ค่าที่ต่ำจะเป็นที่ชื่นชอบมากกว่า เหมือนค่า P/E โดยการดูเปรียบเทียบกับตัวอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน

ส่วน "ค่าแตกต่าง" คือ ค่าที่แตกต่างระหว่าง EV/EBIT กับ P/E 

เนื่องจาก P กับ EV ต่างกันเพียง Debt ที่บวกเข้ามา
ดังนั้น ค่า P/E ที่แตกต่างกับ EV/EBIT มากๆ จะหมายถึง บ.นั้นมีการใช้ leverage ที่สูง (มี debt ในสัดส่วนที่สูงกว่าบริษัทที่มีค่าที่แตกต่างกันน้อยนั่นเอง)

อนึ่ง หากจะใช้ค่า EV/NET PROFIT หรือ EV/EBITDA เพื่อเปรียบเทียบกับแต่ละบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันก็สามารถทำได้เช่นกัน

******
แต่ละธุรกิจต้องหาจุดตายที่เป็น "ปัจจัยหลัก" ของตัวเองให้เจอ ส่วนปัจจัยอื่นเป็นเพียงปัจจัยรอบด้านจะมีทั้งลูกค้าที่ยอมรับได้และรับไม่ได้กับปัจจัยข้างเคียง แต่ลูกค้าทั้งหมดจะยอมรับไม่ได้ถ้าปัจจัยหลักไม่ตอบโจทย์

ตัวอย่างเช่น ร้านอาหาร ปัจจัยหลักคือความอร่อยและสะอาดถูกอนามัย ส่วนเรื่องให้ปริมาณมากหรือน้อย ราคาถูกหรือแพง  จะมี "ลูกค้าบางกลุ่ม" ยอมรับได้และยอมรับไม่ได้ 

แต่ถ้าปัจจัยหลักคือไม่อร่อยและไม่สะอาด "ลูกค้าทุกกลุ่ม" จะยอมรับไม่ได้อย่างแน่นอน ซึ่งนั่นจะทำให้ตัวธุรกิจไปไม่รอด

********

จุดอ่อนของการสะสมหุ้นแบบ dca คือไม่สนราคาที่ซื้อ ซึ่งราคาที่ซื้อเป็นจุดแข็งของการลงทุนแบบ vi

*******

ให้ ❤️ แทนเงินปันผลของบ.ที่มีการเติบโต

A
การลงทุนในบริษัทที่มีการเติบโต ตัวอย่างเช่น การเติบโต 4-8% แบบต่อเนื่อง บริษัทก็จะมีปันผลที่จ่ายค่อยๆเติบโตขึ้นทุกปี สังเกตที่รูป A 
เงินปันผล ❤️ จะค่อยๆเติบโต รวมทั้งมูลค่าของบริษัทก็จะค่อยๆเติบโตเพิ่มขึ้น 

มูลค่าของบริษัท เหมือนรูปสามเหลี่ยมสีน้ำเงิน จากปัจจุบันไปอนาคต คือค่อยๆมีค่ามากขึ้นในระยะยาว  

B
แต่หากลงทุนในกอง Reit ที่เป็น Lease Hold เช่นลงทุนในสิทธิการเช่าระยะยาว แล้วนำมาปล่อยเช่าต่อ ภาพรวมที่ได้จะเป็นแบบรูป B
คือเงินปันผล ❤️ ดูเหมือนจะได้มาก แต่เงินปันผลจะได้ประมาณใกล้เคียงเดิม รวมทั้งมูลค่าของบริษัทจะค่อยๆลดลงตามสัญญาเช่าระยะยาวที่หมดอายุลงไปเรื่อยๆ
มูลค่าของบริษัทจะเหมือนในรูปสามเหลี่ยมสีแดง จากปัจจุบันไปอนาคต มูลค่าก็จะมีแต่ลดลง ตามระยะเวลาสัญญาที่ได้มา ที่ค่อยๆหมดลง

นักลงทุนระยะยาวควรที่จะถือทรัพย์สินที่มีค่าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไปยิ่งนานยิ่งมีค่ามากขึ้น ไม่ใช่ถือทรัพย์สินที่มีค่าลดลงเมื่อเวลาผ่านไป 

ยิ่งถ้าหากคำนวณ IRR ตลอดอายุสัญญาไม่เป็นแล้วไปซื้อทรัพย์สินที่ในอนาคตมีมูลค่าลดลงเข้าพอร์ต โอกาสที่จะเสียเงิน หรือได้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่าจับเวลาที่เสียไปนั้นมีสูงมาก 

********

ความยุ่ง ความวุ่นวาย ความเร่งรีบ ในกิจกรรมที่ทำอยู่ตลอดเวลานั้น ทำให้ไม่มีเวลามากพอที่จะคิด เพื่อกำหนดเป้าหมาย เพื่อวางแผนขั้นตอนไปสู่เป้าหมาย เพราะมัววุ่นวายอยู่กับกิจกรรมระยะสั้นตลอดเวลาจนหมดวัน

******
ความเข้าใจเรื่อง DCF แบบง่ายๆ

สมมติ โต๊ะตัวนึงราคาปัจจุบัน $172 
ด้วยอัตราเงินเฟ้อ 3% โต๊ะตัวเดียวกันอีก 5 ปีข้างหน้าจะขายอยู่ที่ราคา $200

ถ้าในอีก 5 ปีข้างหน้า คุณมีความจำเป็นต้องใช้โต๊ะตัวนั้น คุณคงไม่อยากซื้อโต๊ะตัวนั้นในตอนนี้ที่ราคา $172 เพราะราคามันไม่ดึงดูดใจมากนัก

แต่ถ้าร้านค้าเสนอว่าให้ส่วนลด 30% จากราคาปัจจุบัน เหลือ $120 เพื่อให้คุณตัดสินใจซื้อได้ง่าย

คุณก็จะเกิดความเปรียบเทียบแล้วว่า ต้องใช้โต๊ะตัวนี้ในอนาคตอีก 5 ปีข้างหน้า ราคาโต๊ะจะอยู่ที่ $200 แต่ถ้าซื้อตอนนี้ $120
มันน่าจะคุ้มค่าที่จะซื้อตอนนี้เลย

ราคา $200 ในอนาคต 5ปีข้างน้า เราเรียก Future value

เงินเฟ้อ 3% มันคือ "อัตราคิดลด" 

ส่วนราคาปัจจุบัน $172 เรียก Present value

ส่วนลดที่ร้านค้าเสนอให้ 30% มันคือ Margin of safety (ส่วนเผื่อความปลอดภัย) นั่นเอง

เป็นไอเดียง่ายๆที่จะเข้าใจ DCF และ MOS

********"

ค่า PE ที่เป็นปัจจุบัน หรือ Trailing P/E เปรียบเทียบถึงราคากับกำไรของบริษัทที่ผ่านไปแล้วเท่านั้น 

ส่วนค่า PE ที่ใช้ forward earning นั้นได้สะท้อนการคาดการณ์ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในอนาคตเข้ามาไว้ ซึ่งการคาดการณ์นั้นอาจจะมี bias ในทางบวกหรือทางลบมากกว่าความเป็นจริงก็ได้

สิ่งที่ไม่ได้สะท้อนไว้ในค่า P/E ก็คือความแข็งแกร่งและความเสี่ยงต่างๆของบริษัท

*****

ถ้าบาทแข็งค่าขึ้น ส่งออกจะเสียประโยชน์ 

สมมติ ในบ.ที่ส่งออกล้วนไม่มีนำเข้าเลย ถ้าบาทแข็งขึ้น 5% รายรับของ บ.ลดลง 5% แต่ คชจ ของ บ.มักจะมีต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่ไม่ลดตามค่าเงิน นั่นทำให้รายรับที่ลดลงเป็น amount ส่งโดยตรงลงมาที่กำไร พอคิดเทียบการเติบโตเป็น % จะพบว่ากำไรจะลดลงมากกว่าค่าเงินที่ลดลง 

สมมติ รายได้ 100,000 (ส่งออกล้วน) 
ต้นทุนและ คชจ เป็นเงิน 80,000 
EBIT 20,000 

พอค่าเงินลด 5% รายได้เหลือ 95,000 
ต้นทุนและคชจ เท่าเดิม 80,000
EBIT 15,000 

EBIT จากเดิม 20,000 เหลือ 15,000
อัตราการเติบโตของ EBIT ลดลง -25% ทั้งที่ค่าเงินลดลงแค่ 5%

********

หาหุ้นยอดเยี่ยมในอุตสาหกรรมยอดแย่ : Peter Lynch

อุตสาหกรรมยอดแย่โดยรวมอาจไม่ค่อยโต พอมีวิกฤตเข้ามา บริษัทที่มีหนี้สินมากมีโอกาสที่จะล้มหายตายจาก 

มีบางบริษัทในอุตสาหกรรมที่เจ็บตัวหนักและฟื้นตัวได้ช้า 

บริษัทขนาดเล็กในอุตสาหกรรมที่ย่ำแย่อยู่นั้น ธนาคารไม่ปล่อยสภาพคล่องเพิ่มให้ ทำให้เสีย market share ออกไป 

ผู้แข่งรายใหม่เข้ามาแล้วไม่น่ากลัว เพราะความน่าเชื่อถือของชื่อเสียงมีน้อย 

บริษัทที่รอดเจ็บตัวน้อย หรืออาจไม่เจ็บตัวเลยถ้าวางกลยุทธ์ไว้ดีพอ หนี้สินต่ำ ฟื้นตัวไว ได้ market share เพิ่ม และยิ่งถ้าหากมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่โดนใจลูกค้า จะยิ่งกิน market share เพิ่มเข้าไปอีก

บริษัทลักษณะนี้ คือบริษัทที่น่าลงทุนและยิ่งหากมีเงินปันผลสูงด้วยแล้วล่ะก็จะสามารถทำให้ถือหุ้นรอวิกฤตนั้นผ่านไปได้

นึกถึงหุ้นตัวไหนกันครับ ที่ผ่านวิกฤติโควิดมาได้และ Gain mkt share ได้จนวิกฤติกลายเป็นโอกาสของ บ. 😊

*********

หลายๆครั้ง ข่าวแค่หาเหตุเพื่อมาอธิบายราคาหุ้นที่ขยับขึ้นลง

*******
คนไม่น้อยติดกับดักหุ้นตัวเล็ก
สิ่งที่เป็นข้อด้อยของหุ้นตัวเล็ก

- มักไม่มี economy of scale หรือมีน้อย สู้บ.ใหญ่ไม่ได้
- ต้นทุนเงินทุนของ บ.สูง ต้นทุนเงินกู้สูง 
- ความเชื่อถือที่ลูกค้ามีให้ ต่ำกว่า บ.ใหญ่
- ทรัพยากรต่างๆไม่พร้อม
- พนง ที่เก่งๆมักไปทำงานประเภทเดียวกัน อุตสาหกรรมเดียวกัน ใน บ.ที่ใหญ่กว่า 
- บ.ใหญ่กว่า offer สิ่งจูงใจในการคัดคนระดับครีมเข้าทำงานได้มากกว่า
- เมื่อเจอวิกฤติ บ.เล็กมีโอกาสล้มได้ง่ายกว่า

**********
เวลาคุณคัดเลือกหุ้นเข้าพอร์ต คุณแค่คัดเลือกหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดี มีปันผลที่พอใช้ได้ มีผู้บริหารที่มีแนวโน้มที่ดี 

เริ่มแรกอาจจะเอาเข้ามาหลายๆตัวที่มีปัจจัยแบบนั้น หลังจากนั้นติดตามผลงาน ติดตามการดำเนินงาน ถ้าหากบริษัทไหนที่ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคาดว่าจะเป็นหรือควรจะเป็น ก็แค่ตัดออก 

เป็นธรรมดา หุ้นที่คุณเลือกเข้ามาย่อมไม่มีทางถูกต้องทั้ง 100% ขอเพียงแค่ถูกสักครึ่งหนึ่ง ส่วนที่ผิดคุณไม่เจ็บตัวมากเพราะมีพื้นฐานที่ดี มีปันผลที่สูงรองรับ การตัดขาดทุนนั้น ขาดทุนจะเป็นสัดส่วนที่น้อย ในขณะที่ตัวที่เป็นผู้ชนะในพอร์ตจะสร้างกำไรครอบคลุมผลขาดทุนรวมถึงสร้างกำไรที่เกินไปอีกมากให้กับคุณ

จุดสำคัญอยู่ที่การคัดเลือกหุ้นเข้ามา โดยหุ้นทุกตัวจะต้องมีปัจจัยที่ดีเป็นตัวหนุน มีปันผลที่ดีเป็นตัวหนุน 

จะว่าไปแล้วหลักการแบบนี้ มีความคล้ายกับ การเทรดโดยใช้วิธีแบบโมเมนตัม ต่างกันตรงที่ว่า แทนที่จะใช้ในด้านของราคา ก็ใช้ในด้านของปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งมันจับต้องและเป็นสินทรัพย์ได้มากกว่า
*******
หนึ่งในข้อผิดพลาดที่นักลงทุนจำนวนไม่น้อยมักจะทำผิด คือการคิดว่าหุ้นวัฏจักรคือหุ้น growth แล้วซื้อในช่วงที่ดีของธุรกิจเพื่อลงทุนระยะยาว

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

หลักคิด 24

กลุ่ม รพ มีความสามารถต้านทานเงินเฟ้อได้สูง
เราชอบ รพ ที่กระจายหลายตำแหน่งในประเทศ ทั้งสถานที่และกลุ่มคนไข้ (กลุ่มคนไข้ที่หลากหลาย ตั้งแต่ ปกส คนไข้เงินสด ตั้งแต่ระดับกลางล่าง กลางบน กลุ่มบน ไปจนถึง Expat และ ต่างชาติ) และ รพ ที่มีแผนขยายเพิ่ม รพ ที่ชัดเจน

ในแง่ภาพรวม โควิดไม่จบลงง่ายๆ คนจำนวนไม่น้อยมีอาการเรื้อรังหลังจากรักษาโควิดหาย ไม่ต้องไปคิดถึงโรคอุบัติใหม่ที่แทบจะร้อยปีเกิดที เอาแค่ในปัจจุบัน ทุกคนก็มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าโรงพยาบาลมากขึ้น บ่อยขึ้น

ค่ารักษาพยาบาลของคนไทยเมื่อเทียบกับ GDP แล้วคิดเป็นอัตราส่วนที่ต่ำมาก ยังมี room ให้ขยายได้อีกมาก

สังคมคนสูงวัยกำลังคืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ 

คนเข้าใจในประกันสุขภาพมากขึ้นและแนวโน้มการทำประกันสุขภาพเพิ่มขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเมื่อมีประกันสุขภาพแล้วย่อมใส่ใจสุขภาพมากขึ้น

********

แก้วสามดวง ของ อ.นิเวศน์
เงินต้น อัตราผลตอบแทนทบต้น ระยะเวลาในกานลงทุน

ถ้ามีมากทั้งสามอย่างรวยแน่ๆ แต่ถ้ามีได้สองในสามก็ยังสามารถรวยได้ 

ประเด็นอยู่ที่พยายามทำให้ได้สองในสาม และโดยมากสองในสามขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา โดยเฉพาะการติดอยู่กับการลงทุนตลอดเวลาตั้งแต่อายุนังน้อยจนไปจนกว่าจะตายจากไป เป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยากแต่ต้องมั่นคงและมีวินัย

*******

อนาคตของเราจะดีหรือแย่ ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราในปัจจุบัน ซึ่งการกระทำของเรานั้น เราเป็นผู้ควบคุมและเลือกที่จะทำได้

*****

การคิดที่จะหาเงินง่ายในตลาดหุ้น รับรองได้เลยว่าในระยะยาวจะต้องผิดหวังเสมอ ตลาดหุ้นเป็นที่รวมของคนเก่ง คนขยัน รวมถึง นลท รายใหญ่ และกองทุนต่างๆ ที่มีความพร้อมอย่างมาก พร้อมที่จะเก็บเกี่ยวผลกำไรจากอนาคตที่ดีของบริษัทและ เก็บเกี่ยวผลกำไรจากความผิดพลาดของ Player ทุกคนในตลาด 

ดังนั้นแวดวงนี้ การหาความรู้เป็นเรื่องสำคัญมาก อย่าคิดทำกำไรง่ายๆ จากความมักง่าย ซึ่งมันไม่มีกระเด็นเหลือมาถึงคนมักง่ายอย่างแน่นอน อาจฟลุ๊คบ้าง แต่สุดท้ายคนมักง่ายจะต้องจ่ายคืนให้ตลาดหนักกว่าที่ได้รับมาเสมอ

*******

การใช้หลักการลงทุนที่ไม่ตรงกับบุคลิกของตนเองจะทำให้เกิดความเครียดสูง

******
การเทรดเป็น zero sum game มีคนได้จะมีคนเสียเสมอ ในตลาดจะมีเทรดเดอร์ที่มากประสบการณ์ มีเครื่องไม้เครื่องมือที่พร้อมและมีต้นทุนที่ต่ำกว่านักลงทุนรายย่อยทั่วไปมาก เช่นกองทุนต่างๆ

นักลงทุนมือใหม่หลายคนมีความฮึกเหิมคิดว่าจะเข้ามาในตลาดหุ้นเพื่อจะได้คว้ากำไรก้อนงามได้ง่ายๆ

 ลองคิดถึง บนเวทีที่มีไมค์ ไทสัน อยู่ดีๆมือใหม่จะกระโดดขึ้นเวทีเดียวกับ ไมค์ ไทสัน คำถามคือจะรอดไหม 

หากเป็นมือใหม่เข้าตลาด สิ่งแรกที่ควรคาดหวัง คือการปกป้องเงินลงทุนของตนเอง ไม่ใช่การกระโดดเข้าไปเล่นอะไรที่มีความเสี่ยงสูง
*********

การลิ้มรสความเจ็บปวดจากการเสียเงินจริงๆ คือสิ่งสำคัญของการสะสมประสบการณ์ที่จะบาดลึกเข้าถึงหัวจิตหัวใจ และเมื่อคิดได้ว่าจะต้องรักษาเงินต้นไว้ก่อน เมื่อนั้นความคิดในการลงทุนจะเปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยเป็นมาอย่างสิ้นเชิง

****

ถ้ามัวแต่คาดหวังว่าจะหาระบบการลงทุนที่เป็นสูตรสำเร็จ โดยที่ไม่ต้องเหนื่อยมาก โดยที่ไม่ต้องไขว่คว้าหาความรู้ โดยที่คาดหวังว่าจะเป็น Holy Grail  เชื่อได้ว่าจะเป็นการเสียเวลาเปล่า สู้เอาเวลาไปพัฒนาทักษะการลงทุนจะมีประโยชน์มากกว่า เวลาที่หมดไปกับสิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้มันไร้ค่า

*******
การใช้หลักการลงทุนที่ไม่ตรงกับบุคลิกของตนเอง จะทำให้เกิดความเครียดที่สูง
 ความเครียดที่สูงจะทำให้ผิดพลาดได้ง่าย และไม่สามารถถือ position ได้นานอย่างที่ควร
*********

ตลาดหุ้น
จะใช้เป็นบ่อนพนันก็ได้
จะใช้พนันแบบสุดกู่ใช้ margin ใช้ Leverage มาเล่นพนันก็ได้
จะใช้เป็นที่ทดสอบประสบการณ์ในการเทรดก็ได้ 
จะใช้เป็นที่ทดสอบระบบเทรดก็ได้
จะใช้เป็นที่ลงทุนในบริษัทที่มีการเติบโตก็ได้
จะใช้เป็นที่ลงทุนเพื่อเงินปันผลเพื่อการเกษียณในระยะยาวก็ได้

ตลาดหุ้นเป็นให้คุณได้ทั้งหมด 
แล้วแต่ว่าคุณอยากจะให้เป็นอะไร
********

ใกล้สิ้นปีแล้ว พูดถึงหุ้นผิดจากที่คาดที่้เราเอาเข้าพอร์ตบ้างดีกว่า 

ปีนี้มีสวิตช์หุ้นออกสองตัวจากที่พื้นฐานผิดไปจากที่เรามองตอนนำเข้าพอร์ตไปมาก หลังจากที่รู้ว่าพื้นฐานไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราคาดก็ทยอยขายออกสับเปลี่ยนเป็นตัวอื่น โชคดีตัวหนึ่งมีกำไรพอสมควร อีกตัวขาดทุนประมาณเกือบ 2% ทำให้ภาพรวม 2 ตัวนี้ไม่ส่งผลกระทบกับพอร์ตรวม

ตัวแรกออก w และซื้อ บ.ในตลาด ทำให้เราเริ่มไม่สบายใจ การบันทึกงบการเงินแม้จะถูกต้องตามหลักบัญชี (แต่ไม่สอดคล้องกับสัดส่วนในการถือหุ้นของบริษัทที่ไปซื้อมา คือซื้อมาในสัดส่วนไม่มากแต่บันทึกงบรวม โดยอาศัยหลักบัญชีที่ว่ามีอำนาจครอบงำกิจการในการบันทึกบัญชี) พอจะเห็นสัญญาณบางอย่างที่น่าจะไม่ตรงกับแนวทางการลงทุนของเรา ก็เลยสับเปลี่ยนออก 

ตัวที่สอง ทำผลงานไม่ได้อย่างที่ผู้บริหารบอก และก็มีการเปลี่ยนตัวผู้บริหาร รวมถึง แนวทางที่ผู้บริหารใหม่ได้ให้ไว้นั้นไม่สอดคล้องกับความคิดของเราในตอนที่ซื้อหุ้น พอร์ตหลักของเราก็ทยอยสับเปลี่ยนหุ้นออกตั้งแต่เห็นงบที่ผลงานทำไม่ได้อย่างที่ ผบห บอกไว้จนงบออกอีกครั้งก็ยืนยันสิ่งที่เราคิด 

ปีนี้โดนสองตัว แต่หุ้นที่เราคัดเลือกมานั้นเป็นหุ้นที่มีปันผลสูงรองรับ ราคาจึงไม่ลงหนัก ไม่ส่งผลกระทบต่อพอร์ตรวมของปีนี้มากนัก โชคดีที่ว่า ในจังหวะที่ต้องการจะสับเปลี่ยนตัว ได้พบบริษัทใหม่ที่มองว่ามีโอกาสที่ดีกว่า 

การสับเปลี่ยนหุ้นออกก็ทำตามหลักการ 
"ถ้าปัจจัยพื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนไปอย่างถาวรไม่ตรงกับแนวทางในตอนซื้อ" ก็ต้องรีบแก้ไขข้อผิดพลาดนั้น

ปล. แต่หุ้นตัวหลังมีงบการเงินที่แข็งแกร่งมากและมีปันผลที่สูงต่อเนื่อง รวมถึงมีธุรกิจใหม่ที่รอจะเป็นอนาคตของบริษัทได้ ดังนั้นจึงยังเหมาะกับพอร์ตหุ้นที่ต้องการเงินปันผล


SENA  PSH

แต่ PSH ยังมีความเหมาะสมกับพอร์ตที่ต้องการเงินปันผล เพราะงบการเงินของบริษัทมีฐานะที่แข็งแกร่งและฐานะการเงินดีมากประกอบกับมีการปันผลสูงต่อเนื่องตลอด รวมถึงมีอนาคตที่อาจจะไกลสักหน่อยรออยู่คือโรงพยาบาลวิมุต 

************

การรักษาเงินต้นและการใช้ชีวิตให้ต่ำกว่าฐานะเป็นทัศนคติที่แบ่งแยกคนรวยออกจากคนชั้นกลางหรือคนจน และมันคือทัศนคติพื้นฐานที่สุดของความมั่งคั่ง

*********

การลงทุนนั้นสิ่งสำคัญคือกระบวนการในการคัดเลือกหุ้นทางด้านคุณภาพและราคาที่จะซื้อ ดังนั้นการใส่ใจในกระบวนการคัดสรรจึงสำคัญอย่างยิ่ง ให้ใจจดจ่อที่กระบวนการคัดสรร ไม่ใช่จดจ่อมุ่งหวังที่ผลกำไร

******
คนที่ประสบความสำเร็จ ส่วนมากเสพติดในสิ่งที่ทำจนถอนตัวไม่ขึ้น และให้เวลากับสิ่งนั้นมากๆ
*****
จะประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้นถ้าลงทุนในสิ่งที่มีความเชี่ยวชาญ รวมถึงมีวินัยไม่ก้าวออกจากความเชี่ยวชาญที่มี
******
การลงทุนใดๆที่มีอยู่ในพอร์ตแล้วไม่เข้ากับหลักเกณฑ์ แม้ว่ามันจะเข้ากับหลักเกณฑ์ในตอนแรกก็ตามแต่ในภายหลังมันไม่เข้ากับหลักเกณฑ์ นั่นคือการลงทุนที่ผิดพลาด ควรที่จะแก้ไขทันทีโดยไม่สนใจ sunk cost

*****
การลงทุนในตลาดหุ้น คือที่ที่เหมาะสม สำหรับคนที่ มุ่งมั่นทำงานกับตนเอง ไม่ต้องการพึ่งพาคนอื่น ไม่ต้องการวุ่นวายกับคนอื่น และต้องการยืนหยัดประสบความสำเร็จด้วยตนเอง โดยมีอิสระในการทำงาน เพียงแต่มันต้องการคนที่มีวินัยและความมุ่งมั่นสูง

*****
สิ่งที่จำเป็นที่สุด ที่จะสามารถเปลี่ยนฐานะคุณได้ ในยามเกิดวิกฤตตลาดหุ้น

เงินสด + จิตใจที่จดจ่อมุ่งมั่นในการซื้อของดีราคาถูก
*****
แม้จะรู้ว่าตามสถิติแล้ว ตลาดหุ้นจะมีตกลงแรงๆประมาณ 20% ทุกๆ 5 ปี แต่เชื่อไหมว่า Player ส่วนใหญ่รอไม่ได้ อย่าว่าแต่ให้รอถึง 5 ปีเลย แค่ถือหุ้นรอผลงานจาก บ.แค่ปีเดียวยังดิ้นกันแทบแย่ 

จริงๆแล้วดิ้นกันแทบจะรายวันเลยด้วยซ้ำ เพราะรอไม่เป็น 😊

******

บางครั้งที่ไปไม่ถึงจุดหมายที่วางไว้เพราะมัวแต่สนใจเป้าหมายระยะสั้น ความเร่งรีบในโลกปัจจุบัน ทำให้มองแต่เพียงระยะสั้น

เวลาในชีวิตมันมีจำกัด หัดเล่นเกมยาวให้เป็นเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายที่เราต้องการมากที่สุด

********

การเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่งย่อมหมายถึงการปฏิเสธสิ่งอื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องพิจารณาถึงผลกระทบเหล่านั้นก่อนที่จะเลือก แต่หากไม่ตัดสินใจเลือกนั่นคือการเลือกที่จะไม่เลือก ซึ่งจะไม่ได้อะไรเลยสักทาง

*****

การจะประสบความสำเร็จในเป้าหมายระยะยาวไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมันคือการหลีกเลี่ยงความปรารถนาระยะสั้นเพื่อที่จะมุ่งสู่เป้าหมายในอนาคตที่ยังไม่แน่นอนแต่คุ้มค่า
******

การให้เวลาวันละ 20 นาที เพื่อทบทวนสิ่งที่เราทำตลอดวันเป็นสิ่งจำเป็น เป็นการป้องกันการลงแรงที่ผิดจุด ผิดทาง หากไม่ทบทวนแล้วลงแรงผิดจุดต่อไปเรื่อยๆ จะเหมือนคนขยันที่หลงทาง สิ่งที่ทำคือสูญเปล่า

*******

สร้างเกณฑ์การลงทุนหรือระบบลงทุนแล้วใช้ซ้ำๆอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลตอบแทนทบต้นในระยะยาว 

ไม่ใช่มุ่งเน้นไปที่การลงทุนหคือการเทรดเพียงครั้งใดครั้งหนึ่งแล้วหวังว่าจะทำแจ็คพอตแตก

******

ยืนหยัดด้วยตนเองให้ถึงที่สุด อย่าคิดจะพึ่งพิงแต่ผู้อื่น

การพึ่งพิงผู้อื่นโดยที่ตัวเองไม่แม้แต่จะพยายาม มันคือ การเอาเปรียบผู้อื่น

วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

หลักคิด 23

อย่าอิจฉากำไรของคนอื่นที่ลงทุนด้วยหลักการที่แตกต่างจากตนเอง ถ้าเลือกหลักการลงทุนนึง ก็ย่อมพลาดผลกำไรจากหลักการอื่น เป็นเรื่องปกติ  ยึดมั่นอยู่กับสิ่งที่ตนเองชำนาญ อย่าอิจฉาสนามหญ้าหน้าบ้านคนอื่น

*********

การคัดเลือกหุ้น โดยการหาเหตุปัจจัยที่ที่ทำให้บริษัทแข็งแกร่ง มั่นคง เติบโต จะทำให้มีโอกาสได้หุ้นที่เติบโต ที่ยอดเยี่ยม มากกว่า

หากคัดเลือกหุ้นที่เห็นปัจจัยอย่างที่ว่าแล้ว ในระยะยาว บริษัทที่เลือกมาย่อมมีอัตราที่จะประสบความสำเร็จได้สูงขึ้น 

เหตุปัจจัยที่ว่า เช่น ผู้บริหาร หนี้สินของบริษัท โมเดลธุรกิจ ธรรมาภิบาลที่เห็นแก่ประโยชน์ของผู้ถือหุ้นเป็นหลัก 

การคัดเลือกที่เหตุปัจจัยเหล่านี้ สามารถใช้การดูย้อนหลังประกอบการพิจารณาได้ 

เมื่อเลือกที่เหตุปัจจัยเหล่านี้แล้ว ตัวเร่งระยะสั้น แทบไม่มีความจำเป็นเลย (มีก็ดี ไม่มีก็ไม่ได้เสียหายอะไร) 

ที่บอกว่าตัวเร่งระยะสั้นแทบไม่มีความจำเป็น เช่น หากมีตัวเร่งระยะสั้นให้บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นมาสัก 30% หากนำมาเฉลี่ยบนการลงทุนระยะยาวเช่น 10 ปี 15 ปีแล้ว จะส่งผล 2-3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่หากเห็นว่าไม่มีตัวเร่งระยะสั้นแล้วเลือกที่จะไม่ลงทุน ในบริษัทแบบนี้ ก็กลายเป็นว่า อาจจะเสียโอกาสที่มากกว่านี้เยอะมาก 

หลักการลงทุนลักษณะนี้ เป็นการโฟกัสมุ่งเน้นไปที่เหตุที่ส่งผลต่อธุรกิจในระยะยาว ให้มีการเติบโตต่อเนื่อง ค่อนข้างจะเหมาะกับการลงทุน ในแบบที่ชอบอยู่กับตัวเองเป็นหลัก ไม่ต้องอาศัยพรรคพวกเพื่อนฝูงมากมายช่วยกันค้นหา "ตัวเร่ง" 

มันเป็นแนวการลงทุนที่พึ่งตนเองเป็นหลัก อาศัยใจที่สงบค่อยๆค้นหา ไม่ต้องเร่งรีบแก่งแย่ง ธรรมดาที่บริษัทที่มี "ตัวเร่ง" ย่อมเป็นที่หมายตา ส่งผลให้ราคาสูงชั่วคราว เข้าช้าก็จะได้ของแพง แน่นอนว่ามันไม่ใช่การลงทุนแบบใจร่มๆ 

ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความชอบ ขึ้นอยู่กับจิตใจที่รักการแข่งขันของนักลงทุนแต่ละคน นักลงทุนไม่น้อยที่ชอบการลงทุนที่ตื่นเต้นหวือหวามากกว่าการลงทุนที่เนิบๆ อย่างไรก็ตามการเลือกหลักการลงทุนที่เข้ากับจริตของตนเองจะดีที่สุด

**********

หลักเกณฑ์ในการคัดเลือกหุ้นในการลงทุนนั้นมีหลากหลายวิธี 
- บ้างชอบหุ้นวัฏจักร ซึ่งในบ้านเรานั้นหุ้นวัฏจักรก็ค่อนข้างจะเป็นกลุ่มใหญ่ไม่ว่าจะเป็นพลังงาน ปิโตรเคมี เดินเรือ สินค้าเกษตร 
- บ้างก็ชอบหุ้นเติบโต ที่มีสตอรี่ ที่มี catalyst การมีสตอรี่ที่เป็นตัวเร่งเพื่อให้เป็นจุดสนใจ 
- บ้างก็เน้นแต่หุ้นปันผล บริษัทมั่นคงมากๆปันผลสูงๆโดยไม่สนใจการเติบโตมากนัก

แต่วิธีนึงที่เราคิดว่ามั่นคงมีความเสี่ยงต่ำและได้การเติบโตควบคู่กันไปด้วยในการลงทุนระยะยาว คือวิธีที่ใช้หลักการนี้ 
- มองหาหุ้นมั่นคง ในที่นี้หมายถึงต้องมีหนี้สินที่ไม่สูง เพื่อที่จะสามารถผ่านวิกฤตไปได้โดยไม่ต้องเพิ่มทุน อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้นควรจะต่ำกว่า 1.8 เท่า
- มีการเติบโตที่มากกว่าอัตราเงินเฟ้อ อย่างน้อยควรมีการเติบโต โดยเฉลี่ยอย่างน้อยที่สุดมากกว่า 3-4% ขึ้นไป ในส่วนนี้ก็เพื่อให้แน่ใจว่าในระยะยาวแล้วความมั่งคั่งของบริษัทจะเพิ่มมากขึ้น นั่นหมายถึงราคาหุ้นในระยะยาวอยู่ในแบนด์ที่เป็นขาขึ้น หากไม่ซื้อราคาสูงจนเกินไปการเติบโตนี้จะเป็นตัวที่ทำให้ การลงทุนระยะยาวมีโอกาสขาดทุนต่ำ
- มีทรัพย์สินของบริษัทรองรับราคาอยู่พอสมควรในจุดนี้เราพรีเฟอร์ที่ค่า PB ต่ำกว่า 1.6 เท่าเนื่องจาก 1.6 เท่านี้เป็นค่า PB ของ SET INDEX ดังนั้นการที่เราจะซื้อหุ้นที่มีทรัพย์สินมารองรับเราก็ไม่ควรจะซื้อแพงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด และควรดูว่าไม่แพงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมควบคู่กันไปด้วย 
- เมื่อหาหุ้นที่เข้าหลักเกณฑ์ข้างต้นได้แล้ว ก็ยังมีจุดอ่อนตรงที่เราไม่รู้ว่าต้องรออีกนานแค่ไหนตลาดถึงจะเห็นคุณค่าของหุ้นตัวนี้ การรอโดยที่ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยมันทำให้ใจเสียได้ มันส่งผลต่อ mindset แน่นอนหากต้องรอนานๆโดยยังไม่ได้ผลตอบแทนอะไรคืนมาเลย เพื่อเป็นการปิดจุดอ่อนในจุดนี้จึงควรเลือกหุ้นที่มีเงินปันผลมากกว่า 3% ขึ้นไป อย่างน้อยที่สุดอัตรานี้ก็ยังสูงกว่าการฝากเงินธนาคาร ทำให้ใจร่มมากขึ้นในการรอคอย ให้ตลาดเห็นถึงมูลค่าของหุ้นที่เราถือ 

แน่นอนว่าการเลือกหุ้นด้วยหลักการเหล่านี้ย่อมจะทำให้เราพลาดอุตสาหกรรมที่กำลังร้อนแรงในตลาด เพราะอุตสาหกรรมที่ร้อนแรงนั้นมักจะไม่ผ่านเกณฑ์เหล่านี้ 

การคัดเลือกหุ้นเหล่านี้เข้าพอร์ต จะต้องแน่ใจว่ามีความใจเย็นมากพอที่จะถือหุ้นในระยะยาวได้มากกว่า 3 ปีขึ้นไป (ถ้าหากตัวบริษัทไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลงอย่างถาวร) 

แม้จะไม่มีใครสามารถการันตีถึงความสำเร็จได้ทั้ง 100% ก็ตาม แต่หลักการเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงลงได้มาก

วิธีการเหล่านี้เป็นเพียงหนึ่งในวิธีการคัดหุ้นจากหลายๆวิธี แต่ส่วนตัวคิดว่าน่าจะเป็นวิธีการพื้นฐานที่นักลงทุนควรจะต้องรู้จักและใช้ให้เป็น

และแน่นอนว่าหากสามารถหาหุ้นที่มีตัวเลขต่างๆดีกว่าหลักเกณฑ์เหล่านี้ได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ดีขึ้นมากเท่านั้น

********
เมื่อไหร่ก็ตามที่เผลอทำให้การลงทุน กลายเป็นกิจกรรมที่ไม่ต้องใช้ความคิด ให้ระวังให้ดี

*******
ต้องระวังผู้บริหารที่รู้อยู่แก่ใจว่าการตัดสินใจนั้นส่งผลเชิงลบต่อนักลงทุนแต่ก็ยังจะทำ 

และต้องระวังผู้บริหารที่พยายามจะรายงานข้อมูลทางการเงินของบริษัทในรูปแบบที่ไม่สอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงของบริษัท

*********

แนวทางลงทุนในหุ้นปันผล ควบคู่กับอสังหา โดยอย่างน้อยต้อง
-มีเงินต้น (ถ้าไม่มีเงินต้นก็ลงทุนไม่ได้)
-ความรู้ในการลงทุนประมาณนึง
-สนใจลงทุนในคอนโด

สมมติ มีเงินต้น 2ลบ และเข้าใจการลงทุนระยะยาวในหุ้นปันผล และต้องการซื้อคอนโดให้เช่า(สมมติคอนโดราคา 2ลบ)

ถ้าคนที่ไม่คิดอะไรมากก็จะซื้อด้วยเงินสดที่มี แล้วปล่อยเช่า

คอนโดราคา 2 ลบ สมมติได้ค่าเช่า 9,000 บ ต่อเดือน ปีนึงจะได้ 90,000 บ (หัก คชจ 2 เดือน)

แทนที่จะซื้อด้วยเงินสด ก็เป็นซื้อด้วยเงินกู้แล้วนำเงินสดที่มีไปซื้อหุ้นปันผล ที่ราคาไม่หวือหวาและ หาที่ได้ปันผลสัก 6% (มีหลาย บ.) เงินต้น 2ลบ ดาวน์คอนโด 20% เหลือเงิน 1.6 ลบ

นำเงินต้นที่เหลือ 1.6 ลบ ลงทุนในหุ้นปันผลได้ เงินปันผล 96,000 ต่อปี

***เท่ากับตอนนี้ฝั่งรายได้ ได้ค่าเช่าคอนโด 90,000 + เงินปันผล 96,000 = 186,000 ต่อปี (จากเงินต้นทั้งหมด 2 ลบ)

ฝั่งเงินกู้ ที่กู้ซื้อคอนโดราคา 2 ลบ จ่ายดาวน์ไปแล้ว 20% (สี่แสนบาท) เป็นเงินกู้แบงค์ 1.6 ลบ

เงินกู้ทุกๆ 1 ลบ ที่ ดบ 6% ผ่อน 30 ปี จะต้องผ่อนจ่ายเดือนละ 6,000 บ โดยประมาณ

***เงินกู้ 1.6 ลบ ต้องผ่อนธนาคารเดือนละ 9,600 บ เท่ากับปีละ 115,200 บ นี่คือฝั่งรายจ่าย 

ยังจำฝั่งรายได้ ได้ไหม ย้อนกลับขึ้นไปดูที่ทำดอกจันไว้ ฝั่งรายได้รวม 186,000 ต่อปี

เท่ากับจะเหลือเงินปีละ 70,800 บ ต่อปี

โอเค ก็จะมีคำถามประมาณว่า แล้วหากคนเช่าไม่เต็มหล่ะ ไม่มีคนเช่าหล่ะ ก็จะมีเงินจำนวนนี้เป็น Buffer 70,800 เทียบกับค่าเช่าห้อง ด.ละ 9,000 เท่ากับมี Buffer 7-8 เดือน (มีกันชนทางการเงิน)

หากมีเงินทุนมากกว่านี้ ก็คำนวณเป็นทวีคูณกันไป

อีกจุดนึงคือฝั่งเงินกู้ธนาคารส่วนใหญ่แล้วมักจะมีโปรโมชั่น โดย 3 ปีแรกอัตราดอกเบี้ยจะถูกเป็นพิเศษ เช่น 2% , 1.5% อะไรก็ว่าไป มันจะทำให้ 3 ปีแรก ฝั่งรายจ่ายน้อยกว่าที่คำนวณไว้ ทำให้ไม่น่ากลัวถ้าหากในช่วง 3 ปีแรกมีผู้เช่า น้อยกว่าที่คำนวณ เท่ากับเป็น Buffer ที่สอง

ที่เล่านี่คือเป็นหลักการ การคิดโดยคร่าวๆ หากลงทุนทำจริงๆมันก็จะพบในรายละเอียดปลีกย่อย มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ที่เราสามารถ ที่จะปรับปรุง แต่งเติมการลงทุนของเราให้ดีขึ้นได้อีก

จะลงทุนต้องมีเงินต้น ถ้าไม่มีเงินต้นก็คือไม่มีทุน จะเรียกว่าการลงทุนไม่ได้

**********

การลงทุนเน้นคุณค่าคล้ายกับการซื้อแบงค์ร้อยในราคา 70 บาท มันคือการหาบริษัทที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าอย่างมีนัยยะ
*****
พยายามวิเคราะห์โอกาสในการลงทุนด้วยตัวเองฟังความเห็นการลงทุนจากแหล่งต่างๆแต่นำมาวิเคราะห์เพื่อหาคำตอบด้วยตัวเอง พยายามสะสมหุ้นดีๆแต่ไม่มากตัวจนติดตามไม่ไหว
*****
การมีทัศนคติต่อการลงทุนที่ถูกต้องนั้นเป็นสิ่งสำคัญพอๆกับความมีวินัย

*********

ซื้อเพราะบริษัทมีความได้เปรียบในการแข่งขัน ขายเมื่อความได้เปรียบนั้นหมดไป

ซื้อเพราะมีโอกาสการลงทุนที่ดี ขายเมื่อการลงทุนอื่นมีโอกาสที่ดีมากกว่า 

ซื้อเพราะเป็นไปตามหลักการ ขายเมื่อรู้ตัวว่าทำผิดพลาดไปหรือคิดได้ว่าไม่ควรลงทุนแต่แรก

*********

หมั่นวัดความก้าวหน้าของการลงทุนเปรียบเทียบกับเกณฑ์การลงทุนของตนเองเสมอ

นักลงทุนที่ไม่มีหลักการของตนเอง ย่อมหาจุดซื้อ จุดขายไม่เจอ

*****
คนที่ไม่อดทน คนที่ใจร้อน คนที่ต้องการเห็นผลของการลงทุนแบบทันทีทันใด มักจะมีปัญหากับการลงทุนในแนวทางของ value investing (mindset ไม่ได้)
*******

เพื่อกำไรสุทธิหนึ่งบาทต่อปี เคยคำนวนไหมว่าจะยอมจ่ายเงินสูงสุดเท่าไร

**********

ในตลาดกระทิงคนที่ไม่กลัวจะเคาะขวาเพราะมีความเชื่อมั่นว่าราคาหุ้นจะขึ้นต่อได้และจะมีคนยินดีที่จะซื้อหุ้นต่อในราคาที่สูงขึ้น แต่ท้ายที่สุดแล้วมูลค่าคือสิ่งสำคัญ และคนที่ถือหุ้นราคาสูงคนสุดท้าย คือคนที่จะขาดทุน

*********
ความผิดพลาดที่พบเห็นได้บ่อยคือการมองข้ามความเป็นวัฏจักรของหุ้นโดยคิดว่ามันจะดีเหมือนปัจจุบันตลอดไป

******
เข้มงวดในหลักการกระบวนการในการค้นหาการลงทุน เพื่อให้เจอการลงทุนที่มีผลตอบแทนสูงกว่าค่าเฉลี่ย และเฝ้าดูบริษัทอย่างใกล้ชิด ให้เหมือนตอนที่ค้นหา

******
นักลงทุนที่ไม่มีหลักการของตนเอง ย่อมหาจุดซื้อ จุดขายไม่เจอ
**********

ความเข้าใจในงบการเงินจะทำให้ มีความอดทนมากขึ้นในการถือหุ้น

*********
การลงทุนเพื่อสร้างฐานะ ทุกคนมีเงินลงทุนจำกัด มีเวลาในการลงทุนจำกัด

ทัศนคติการลงทุนที่ถูกต้องคือ ลงทุนบนความเสี่ยงต่ำ แต่มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่หักลบกับความเสี่ยงแล้วสูง (risk adjust return) 

ทัศนคติที่ว่า เสี่ยงสูง ผลตอบแทนสูง นั้นเป็นทัศนคติของนักพนัน ไม่ใช่นักลงทุน

*********
ทุกคนล้วนเคยทำผิดพลาดไม่ว่าจะเป็นคนฉลาดหรือคนโง่ แต่ต่างกันตรงที่คนฉลาดเรียนรู้จากความผิดพลาดส่วนคนโง่นั้นไม่
********
ต้องรู้ตั้งแต่ก่อนจะซื้อหุ้น ว่าจะขายเมื่อไรบ้าง และเมื่อซื้อแล้วก็แค่รอจนกว่าเหตุผลนั้นจะเกิดขึ้น
*********

หลักการขายจะประมาณ นี้

หุ้นมั่นคงเติบโตต่ำ ปันผลสูง ซื้อเมื่อราคาต่ำกว่ามูลค่ามากพอสมควร มีส่วนเผื่อความปลอดภัยสูง
- ขายเมื่อราคาเต็มมูลค่า
- ขายทันทีที่พื้นฐานกิจการเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลงอย่างถาวร
- ขายเมื่อพบโอกาสอื่นที่ดีกว่า

หุ้นมั่นคงที่มีการเติบโตพอประมาณ ซื้อเมื่อราคาต่ำกว่ามูลค่า มีส่วนเผื่อความปลอดภัยพอสมควร 
- ขายเมื่อราคาสูงกว่ามูลค่า
- ขายเมื่อพื้นฐานกิจการเปลี่ยนในทางแย่ลงอย่างถาวร
- ขายเมื่อพบเจอโอกาสอื่นที่ดีกว่ามาก

หุ้นเติบโต ซื้อที่ราคาเหมาะสม การเติบโตจะเป็นส่วนเพื่อความปลอดภัยให้เอง 
- ขายเมื่อการเติบโตลดลงอย่างชัดเจนต่อเนื่องถาวร
- ขายเมื่อพบเจอโอกาสอื่นที่ดีกว่ามาก

แน่นอนว่าจะเป็นการขายโดยไม่มอง sunk cost 

#ขาย

********

ประโยชน์ของการมีเงินคือทำให้สามารถซื้ออะไรก็ได้ที่อยากได้ แต่ไม่ได้แปลว่าพอมีเงินแล้วจะต้องเปลี่ยนนิสัยให้กลายเป็นคนฟุ่มเฟือย หรือมีรสนิยมหรูหรา เงินแสดงนิสัยดั้งเดิมของคนให้เด่นชัดขึ้น

คนประหยัดตอนไม่มีเงินก็ดูไม่ออกว่าประหยัดหรือเป็นเพราะไม่มีเงิน แต่พอมีเงินเขาก็ยังประหยัดเหมือนเดิมทำให้เห็นได้ชัดว่าแม้จะมีเงินแต่มีนิสัยเป็นคนประหยัดไม่ฟุ่มเฟือย 

คนไม่มีเงินที่มีนิสัยฟุ่มเฟือย เขาก็ฟุ่มเฟือยไม่ได้เพราะมันไม่มีเงิน แต่พอมีเงินเขาจะแสดงนิสัยแห่งความฟุ่มเฟือยออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด ว่าเป็นคนฟุ่มเฟือย 

เงินไม่ได้เปลี่ยนนิสัยคน แต่เงินช่วยแสดงนิสัยดั้งเดิมให้เด่นชัดยิ่งขึ้น

*****

การลงทุน/การซื้อหุ้น คือการเอาเงินของตัวเองไปให้คนอื่นดูแล ดังนั้นอย่าลืมที่จะดูบุคลิกนิสัยของผู้บริหาร และมอบหน้าที่นี้ให้กับคนที่สามารถไว้วางใจได้เท่านั้น

ถ้าผู้บริหารชอบทำตัวเป็นเจ้ามือ ปั่นลากทุบเพื่อกินเงินนักลงทุนรายย่อย คุณจะไว้ใจผู้บริหารเหล่านี้ให้ดูแลเงินของคุณได้หรือ

********
เวลาเลือกหุ้นสำหรับลงทุน เราชอบที่จะเลือกเพื่อให้ เราไม่ต้องเดาอนาคตของ บ.มากเกินไป

การที่จะไม่ต้องเดาอนาคตของ บ.นั้นทำให้เราต้อง
- มองหาบ.ที่มีอดีตที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ 
- ปัจจุบันของ บ.ไม่เปลี่ยนไปชนิดกระทันหัน
- บ.อยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงเร็วมากนัก

- บ.ที่มีการเติบโตได้ดีต่อเนื่องจากอดีตมาถึงปัจจุบัน และเทรนด์ในอนาคตยังไม่เปลี่ยนแปลง

หากเลือกบริษัทได้ตามนี้ ก็ยอมที่จะคาดหวังในภาพรวมได้ว่าบริษัทจะยังสามารถดำเนินธุรกิจด้วยปัจจัยแบบเดิมและเติบโตได้ดีต่อเนื่องไปในอนาคต โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าบริษัทจะมี "ตัวเร่ง" หรือไม่

ถ้าเราเลือกองค์ประกอบต่างๆของบริษัทให้ดีเข้าไว้ และเลือกบริษัทลักษณะนี้หลายๆตัวเข้าพอร์ต โอกาสจะเจอบริษัทที่มีอนาคตเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลงจะมีน้อย ภาพรวมของพอร์ตจะถูกพยุงด้วยบริษัทที่ดี เมื่อบริษัทไหนที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลง เราก็คัดออก หาตัวใหม่ทดแทน

สุดท้ายแล้วในพอร์ตก็จะถูกพยุงด้วย บริษัทที่ดีและมั่นคงในระยะยาวได้ ทำให้สามารถลงทุนระยะยาวได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องคอยหาบริษัทที่มี catalyst อยู่ร่ำไป

******""

ในกิจการที่มี margin ดี การออก W จะเป็นสิ่งที่ไม่คุ้มค่าเลย เพราะถ้ากิจการมี ROI ที่สูง แล้วต้องการเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มการกู้ยืมเป็นทางออกที่ดีที่สุดเนื่องจากจ่ายเพียงดอกเบี้ย 

บริษัทที่จะออก warrant มันอาจหมายถึง 
- มีหนี้สินในระดับสูงไม่สามารถกู้ยืมเพิ่มเติมได้แล้ว 
- ผลประกอบการมี ROI ที่ต่ำ ไม่คุ้มค่ากับการจ่ายดอกเบี้ย 
- ต้องการพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ 

ภาพรวมคือ บ.ที่ออก W จะเป็นภาพที่แย่ในสายตาเรา (นลท แต่ละคนไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนเรา) 

W มันคือการเพิ่มทุนอย่างหนึ่งที่สุดท้ายแล้วจะทำให้มีจำนวนหุ้นเพิ่มมากขึ้น 

จำนวนหุ้นที่เพิ่มมากขึ้นมันหมายถึง ตัวหารกำไรที่มากขึ้นด้วย กำไรต่อหุ้นก็จะถูกเจือจางลง

******
FTD : SET +1.x% OR MORE AND BIGGER VOLUME THAN PREVIOUS DAY

DD : SET -0.2% OR MORE AND VOLUME HIGHER THAN PREVIOUS DAY, DD 5-6 DAYS IN 4-5 WEEK ENOUGH TO TURN MARKET DECLINE

*****
ตลาดให้อิสระกับเราทุกอย่างไม่ว่าจะ อยากลงทุนเมื่อไหร่ อยากเข้าตลาดตอนไหนเวลาไหน เข้าตลาดไหน ซื้อหุ้นอะไร ซื้อที่ราคาไหน อยากขายเมื่อไหร่ อยากขายที่ราคาไหน อยากขายด้วยเหตุผลอะไร แม้แต่อยากขายเพราะเบื่อ 

ทุกอย่างตัวเราคือคนตัดสินใจ

ดังนั้นเวลาเราเสียเงินต้องยอมรับว่าเกิดจากการผิดพลาดในบางอย่างของเราเอง

หาความผิดพลาดนั้นให้เจอแล้วแก้ไข

การหาความผิดพลาดจะเป็นเรื่องง่ายถ้ามีหลักการตั้งแต่แรก เปรียบเสมือนการวางของให้เป็นระเบียบ พออะไรที่ผิดที่ผิดทาง ก็หาจุดผิดพลาดได้ง่ายทำให้แก้ไขได้ง่ายขึ้น

การแก้ไขจุดผิดพลาดทีละจุดนี่แหละที่สุดท้ายแล้วจะทำให้ข้อผิดพลาดค่อยๆหมดไป

**********

ถ้าเลือกบริษัทที่ดีพร้อมแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นฐานะทางการเงิน ความเชี่ยวชาญของผู้บริหาร ความเชี่ยวชาญของทีมงาน ทรัพยากรที่มีอย่างเพียงพอในการประกอบธุรกิจ มีประวัติการสร้างผลงานที่ดีมาต่อเนื่อง มีความสามารถในการแข่งขันสูง ผู้บริหารให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของนักลงทุน รวมถึงมีเป้าหมายการเติบโตในอนาคตที่ดีและชัดเจน 

สิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้ คือควรถือหุ้นให้แน่นๆรอให้เป็น อย่าไขว้เขวไปกับเศรษฐกิจภาพรวมที่อาจจะมีขึ้นๆลงๆบ้าง 

ภาพรวมของเศรษฐกิจนั้นอาจจะมีกระทบกับทุกบริษัทมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป แต่ในบริษัทที่มีความพร้อมอย่างที่กล่าวมานั้น จะสามารถรับมือกับเศรษฐกิจที่ลุ่มๆดอนๆชั่วคราวได้ รวมถึงพร้อมที่จะเติบโตไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเมื่อเศรษฐกิจเอื้ออำนวย 

บางครั้งการใส่ใจในรายละเอียดกับผลการดำเนินงานที่โดนกระทบจากเศรษฐกิจภาพรวมมากเกินไป จะทำให้พลาดโอกาสที่ดีในระยะยาว

*********

การคิดที่จะหาเงินง่ายในตลาดหุ้น รับรองได้เลยว่าในระยะยาวจะต้องผิดหวังเสมอ ตลาดหุ้นเป็นที่รวมของคนเก่ง คนขยัน รวมถึง นลท รายใหญ่ และกองทุนต่างๆ ที่มีความพร้อมอย่างมาก พร้อมที่จะเก็บเกี่ยวผลกำไรจากอนาคตที่ดีของบริษัทและ เก็บเกี่ยวผลกำไรจากความผิดพลาดของ Player ทุกคนในตลาด 

ดังนั้นแวดวงนี้ การหาความรู้เป็นเรื่องสำคัญมาก อย่าคิดทำกำไรง่ายๆ จากความมักง่าย ซึ่งมันไม่มีกระเด็นเหลือมาถึงคนมักง่ายอย่างแน่นอน อาจฟลุ๊คบ้าง แต่สุดท้ายคนมักง่ายจะต้องจ่ายคืนให้ตลาดหนักกว่าที่ได้รับมาเสมอ

วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2565

หลักคิด 22

ทุกคนที่ประสบความสำเร็จมักจะมีความรู้เฉพาะทางเสมอ แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่มีความรู้เฉพาะทางจะต้องประสบความสำเร็จ

**********

สิ่งที่เทรดเดอร์ พยายามทำคือการเข้ารับความเสี่ยงที่สูง ในยามที่ตลาดเป็นขาขึ้น เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่มากขึ้น 

ดังนั้นเทรดเดอร์ที่กล้าบ้าบิ่น จะมีผลงานที่โดดเด่นในช่วงที่เป็นตลาดขาขึ้น จะเห็นการโอ้อวดกันเต็มไปหมด (กำไรที่มากจากความผันผวนที่สูง ส่งผลต่อ mindset ทำให้ใจฟูมาก)

แต่ผลตอบแทนจากการเข้ารับความเสี่ยงที่สูงนั้นมันไม่ใช่ภาพรวมทั้งหมด

ภาพรวมทั้งหมดที่จริงแล้วคือผลตอบแทนหลังหักความเสี่ยง (risk adjust return) 

ในส่วนของการลงทุนนั้น นักลงทุนจะเข้าซื้อหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่า (มีกำไรตั้งแต่ตอนซื้อ) ซึ่งมันมักจะเป็นจังหวะที่มติของตลาดไม่เห็นด้วย (มติของตลาด คือ ราคาตลาด) และเนื่องจากช่วงเวลานั้นที่ตลาดมีมติไม่เห็นด้วย ราคาหุ้นก็อาจจะไหลลงไปได้เรื่อยๆอีกเช่นกัน 

การจะรอให้ตลาดลงมติให้เห็นด้วยนั้นต้องใช้เวลาถึงใช้เวลามาก 

แต่เนื่องจากการลงทุนนั้นเป็นการลงทุนโดยหวังผลงานของบริษัทที่ทำได้ ดังนั้นราคาตลาดที่ผันผวนระยะสั้นจากการไม่เห็นด้วยของคนทั้งตลาดในเวลานั้น จึงไม่สำคัญมากนัก หากนักลงทุนนั้นไม่ต้องรีบใช้เงิน 

นี่จึงเป็นที่มาว่าให้ลงทุนด้วยเงินเย็น พยายามอย่ากู้หรืออย่าใช้ margin ในการลงทุน เพื่อที่จะรอผลงานของบริษัทในระยะยาวได้


*******
คนที่อิจฉากำไรของคนอื่นง่ายนั้น มีแนวโน้มที่จะซื้อหุ้นแพง มีแนวโน้มที่จะโดนดึงดูดเข้าสู่ตลาดหุ้นในยามที่ตลาดหุ้นอยู่ในโซนสูงสุดของตลาดกระทิง

เพราะช่วงเวลานั้นจะเป็นช่วงเวลาที่คนรอบข้างมีกำไรเป็นอย่างมาก ความอิจฉาจะทำให้คุณกระโจนเข้าสู่ตลาดหุ้นแบบไม่คิดเลยทีเดียว

**********

ราคาหุ้นที่แพงเกินไปไม่ได้แปลว่ามันจะต้องตกทันที และราคาหุ้นที่ถูกเกินไปก็ไม่ได้แปลว่าจะต้องขึ้นในทันที

ความถูกหรือความแพงมันสามารถที่จะคงอยู่ได้ แต่สุดท้ายแล้วมูลค่าจะเป็นสิ่งสำคัญ 

ดังนั้นการลงทุนจึงต้องพยายามให้เวลาอยู่ข้างเราเสมอ

**********

จุดสูงสุดของราคาหุ้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อผู้ซื้อคนสุดท้ายได้ซื้อเสร็จแล้ว 

การที่ผู้ซื้อคนสุดท้ายซื้อนั้น ว่ากันตามจริงแล้วมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทเลย

*********

- ยุโรปเงินเฟ้อสูง และทั่วโลกเงินเฟ้อสูงขึ้น สินค้าราคาแพงขึ้น
- การเปิดเมืองหลังโควิดทำให้การท่องเที่ยวเกือบทุกที่ดูเร่งตัวสูงขึ้น คนอยากท่องเที่ยวกันมากขึ้น

น่าจะส่งผลกระทบลบต่อปริมาณยอดผู้เลี้ยงสัตว์เลี้ยงไหม ???

ยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงจะเติบโตในอัตราสูงได้ต่อเนื่องไหม ???

**********

ถ้าเมื่อไหร่รู้สึกว่าตลาดหุ้นมันดีขึ้นเรื่อยๆ และมันดีอย่างเหลือเชื่อ ให้เอะใจว่ามันเริ่มอยู่ในโซนอันตรายของฟองสบู่แล้วหรือยัง

การมองโลกในแง่ดี ใช้ได้ดีในชีวิตจริง แต่ในตลาดหุ้น มีแต่เรื่องที่ต้องระวังตัว หากมองในแง่ดีไปหมดจะตกหลุมพลางได้ง่ายๆ

ในตลาดหุ้น คุณพลาดคือคุณเสียเงิน คนอื่นรอเก็บกำไรจากการเทรดที่ผิดพลาดของคุณอยู่ ด้งนั้นในตลาดหุ้น ควรเป็นคนที่มองโลกอย่างระมัดระวัง สงสัยให้มาก หาคำตอบด้วย หากหาคำตอบไม่ได้ก็อยู่ให้ห่าง อย่าโลภด้วยความไม่รู้

*********
ถ้าผู้บริหารไม่สามารถสร้างผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้นให้เพิ่มขึ้นได้ อย่างน้อยที่สุดก็ควรรักษาระดับให้อยู่ใน "โซนค่าเฉลี่ย" ให้ได้

แต่ถ้าทำให้ผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้นลดลงต่อเนื่องยาวนาน 5-10 ปีผู้บริหารก็ควรจะพิจารณาตนเอง

*********
อาหารสัตว์ที่ใช้เนื้อขึ้นรูปใหม่นั้น ใช้วัตถุดิบอะไรมาทำเนื้อขึ้นรูปใหม่ ???

จากที่ฟังมา คำว่าปลาป่นที่ผลิตจากเศษเนื้อนั้น คือ ก้างปลา หนังปลา หัวปลา และหางปลา (คือความหมายของคำว่าเศษเนื้อ)

*****
เราต้องพยายามมองอย่างไม่มีอคติ แล้วต้องแยกให้ออก ว่าผลงานที่เราทำได้นั้น เกิดจากโชคหรือเกิดจากทักษะ

ถ้าผลงานใดที่เราไม่สามารถบอกได้อย่างแน่ชัดว่าเกิดจากทักษะอะไรของเรา มันมีแนวโน้มอย่างมากว่าจะเกิดจากโชค 

เหตุการณ์ที่เกิดจากโชคนั้นมันไม่สามารถทำซ้ำได้ ต่างจากเหตุการณ์ที่เกิดจากทักษะที่เราสามารถทำซ้ำได้

*****

การทยอยสะสมหุ้นเข้าพอร์ต สิ่งหนึ่งที่ต้องระวังคือ การโดนเพิ่มทุน 

สมมุติคุณมีรายได้เป็นรายเดือน เงินเก็บแบ่งตามสัดส่วน ส่วนสำหรับลงทุนซื้อหุ้นสะสมเข้าพอร์ตแล้ว หากอยู่ๆโดนเพิ่มทุน มันจะฉุกละหุกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากหุ้นที่เพิ่มทุนมีสัดส่วนมากในพอร์ต คุณต้องเลือกว่าจะเพิ่มทุนตาม จะไม่เพิ่มทุนแล้วโดนไดลูท หรือจะขายหุ้นทิ้ง ซึ่งทุกอย่างจะผิดแผนไปหมด

ดังนั้นเพื่อป้องกันการซื้อหุ้นที่มีโอกาสเพิ่มทุนสูงเข้ามาในพอร์ต จึงควรดูภาระหนี้สินของบริษัทอย่าให้สูงเกินไป (ต่ำไว้จะปลอดภัยกว่า)

ดูในอดีตมีการเพิ่มทุนบ่อยๆหรือไม่
ดูผู้บริหาร ว่าชอบทำธุรกิจหรือชอบเล่นหุ้น

จ้าวมือที่ชอบปั่นหุ้น เขาจะปั่นเพื่อเอากำไรจากใครถ้าไม่ใช่รายย่อย ถ้าไม่ใช่เพื่อเอาเงินจากคุณ

********
ดอกเบี้ยแบบ Flat rate (ดบ คงที่) เปลี่ยนมาเป็นแบบ Effective rate (แบบลดต้นลดดอก)

ดอกเบี้ยที่เป็นรายรับของ บ.ปล่อยกู้จะลดลงประมาณ 45-48% แม้จะเห็นตัวเลขการคิดอัตราดอกเบี้ยกับลูกค้าเท่าเดิมก็ตาม 

ตัวอย่างเช่น เงินต้น 80,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 23% ต่อปี ระยะเวลาในการผ่อน 24 งวด

หากเป็น flat rate ดอกเบี้ยจ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 36,800 บาท 

หากเป็น effective rate ดอกเบี้ยจ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 19,100 บาท (คิดเป็น 52% ของ 36,800)

จะเห็นว่าแม้ บ.จะคิด "อัตราดอกเบี้ย" เท่าเดิม แต่พอเปลี่ยนจาก flat rate เป็น effective rate  บ.ปล่อยกู้จะมีรายได้ลดลงประมาณ 48%

***********
เมื่อคนโง่ยอมรับข้อจำกัดของตนเองก็จะหายโง่
เมื่อรู้ว่าอะไรที่ไม่รู้ก็จะรอดจากความผิดพลาดได้

********

สิ่งนึงที่น่ากลัว คือการพยายามค้นหาระบบการลงทุน ระบบเทรด อะไรก็ตามแล้วทำให้เสียเวลาค่อยๆปรับปรุงระบบเหล่านั้น ที่สุดท้ายแล้ว เหมือนหนูที่อยู่ในเขาวงกต วิ่งวนหาทางออกเหมือนจะสำเร็จ เวลาที่ผ่านไป ผ่านไป แต่สุดท้ายแล้วไม่มีทางสำเร็จ เหมือนหนูวนในเขาวงกตที่ไม่มีทางออก วิ่งวนเสียเวลาจนหมดแรง หมดเวลา ตายอยู่ในเขาวงกต

ดังนั้นการเลือกหลักการอะไรในการลงทุน ควรดูว่ามัน realistic ด้วย ดูว่าเป็นสิ่งที่ในอดีตมีคนทำแล้วเป็นไปได้จริง เพราะเวลาที่เสียไปนั้นเรียกคืนมาไม่ได้ เราทุกคนมีเวลาในการลงทุนอย่างจำกัด
*********

มูลค่าที่แท้จริงของหุ้นนั้นอยู่ที่ present value ของ future cash flow

********

ฝากเงิน = ขาดทุนเงินเฟ้อ
ซื้อพันธบัตร = ความเสี่ยงขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งทางการเงินของบ.แต่ผลตอบแทนจำกัด
ซื้อกองรีท = 

กองรีทในไทยตอนนี้ เท่าที่รู้มีกอง Free hold เพียงกองเดียว ที่เหลือเป็น Lease hold

กอง Reit แบบ Lease hold เป็นกองที่มีทรัพย์สินคือสัญญาเช่าระยะยาว แล้วนำมาปล่อยเช่าระยะสั้นเพื่อกินส่วนต่างของค่าเช่า

เมื่อสัญญาระยะยาวหมดอายุ ทรัพย์สินของกองทุนก็จะกลายเป็นศูนย์

นั่นหมายความว่ายิ่งเวลาผ่านไปทรัพย์สินก็จะด้อยค่าลงไปเรื่อยๆ 

อย่าเห็นแก่ปันผลที่ดูเหมือนจะสูง แต่ในระยะยาวแล้ว สิ่งที่อยู่ในมือกับด้อยค่าลงไปเรื่อยๆ หมดเวลาในการลงทุนไปเรื่อยๆ


ทางเลือกอื่น
- ลงทุนทำธุรกิจเอง
- เป็นหุ้นส่วนธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแล้ว (ซื้อหุ้น)
- เทรด Asset ต่างๆ (เก็งกำไรหวังกินเงินคนอื่นใน pool เดียวกัน)

การเทรด, การเก็งกำไรมันคือ zero sum game คนที่ได้กำไรในช่วงเวลาขาขึ้น มันคือเงินของคนที่เสียเงินในรอบขาลง มือใหม่ที่คิดจะเก็งกำไรต้องรู้ว่า มีคนเก่าที่มีประสบการณ์สูงอยู่ในตลาดเก็งกำไรด้วยเช่นกัน
มือใหม่อ่อนประสบการณ์จะหวังกินเงินคนอื่น ก็ต้องคิดว่าฝีมือและประสบการณ์ มีไหม

การเก็งกำไร ≠ การลงทุน
แต่อาจมีส่วนทับซ้อนกันอยู่บ้าง

การลงทุน คือ การร่วมเป็นหุ้นส่วนในธุรกิจที่สร้างผลผลิตและบริการ เมื่อ บ.ที่สร้างผลผลิตและบริการมีกำไรมากขึ้น มูลค่าย่อมเพิ่มขึ้น ราคาหุ้นย่อมเพิ่มขึ้น นั่นคือ กำไรจากการลงทุน

จะลงทุน จะเก็งกำไร ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ขอให้รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ จะได้เลือกใช้หลักการได้ถูกต้อง

********
การรับจำนำทองของร้านทอง
ปัญหาไม่ใช่เรื่องเงินทุน แต่ปัญหาคือ ประชาชนมีทองมาจำนำได้ไม่มากพอสำหรับเงินทุนที่ร้านทองมี

หลักการบันทึกบัญชีเรื่องสต๊อกทองคำนั้นจะไม่ต่างอะไรกับน้ำมันคือมี stock gain , stock loss

ปัจจุบันคนซื้อทองมีจำนวนลดลง เมื่อเทียบกับอดีต เนื่องจาก มีทรัพย์สินอื่นให้เลือกลงทุนมากกว่า รวมถึงกองทุนลดหย่อนภาษีทำให้คนรู้จักการซื้อกองทุนมากขึ้นคุ้นเคยกับการซื้อกองทุนมากขึ้น การเก็บรักษาทองก็จะลำบากกว่าด้วย 

ถ้าคนมีความรู้เรื่อง CDFs สามารถซื้อทองได้โดยจะใช้ Leverage 1:1 ,1:2 หรือ 1:100 ก็ยังได้
หากใช้ Leverage 1:100 แต่สำรองเงิน 99% เป็นเงินสดฝากแบงค์จะได้ ดบ ใช้เงิน 1% ถือทองเทียบเท่า 100% จะแทบไม่ต่างกับการซื้อทอง Physical เลย (ทองจริงๆ) 

แต่สะดวกกว่ามาก ไม่ต้องไปร้านทอง + ซื้อขายได้ตลอดเวลา บนเวลาที่ real time กว่า 

ยังมีทางเลือกอื่นๆ กองทุนทอง, ETF ทองคำต่างๆ ที่ทำให้ ปัจจุบันคนซื้อทองลดลงกว่าในอดีต

**

ทำให้ส่วนตัวมองว่า ร้านทองเป็นธุรกิจ SUNSET 

เมื่อก่อน ตอนที่ยังไม่มีทางเลือกมากนัก คนส่วนใหญ่สะสมทอง นลท ซื้อทอง แม่ค้าตลาดสดซื้อทอง

ความเห็นส่วนตัว ปัจจุบัน คนส่วนใหญ่เงินไหลไปซื้อกองทุนลดภาษี นลท หันไปซื้อกองทุนทอง , etf ทอง , gold future
เหลือกลุ่มแม่ค้า โดยเฉพาะแม่ค้าตามตลาดสด ที่ยังชอบซื้อทอง และคนทั่วไปซื้อแบบเครื่องประดับซึ่งซื้อไม่บ่อยและไม่มาก จะเห็นว่ากลุ่มลูกค้าร้านทองหดตัวลงไปมาก

อ่านแล้วอาจ งง ว่าพูดถึงเรื่องนี้ทำไม แต่เดวสักพักจะเข้าใจ

********
เชื่อเถอะว่าตลอดชีวิตการลงทุนของปูบัฟเฟตต์  ปู่โดนคำสบประมาทว่า ล้าหลัง ตกยุค ตามโลกไม่ทัน ไดโนเสาร์ หลายรอบมากๆ แต่สุดท้ายก็พิสูจน์แล้วว่า หลักการที่ปู่ใช้นั้น ยังทันสมัยอยู่เสมอ ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย
**********

มีอยู่สองทางสำคัญ ที่นักลงทุนจะพาตัวเองไปอยู่ในจุดนั้นเพื่อที่จะพ่ายแพ้

หนึ่ง ลงทุนในสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจ 
สอง พ่ายแพ้ต่อความยั่วยวนของราคาจนยอมทิ้งหลักการลงทุนของตนเอง
**********

การซื้อหุ้นโตเร็วเป็นการเดิมพันกับโอกาสในอนาคต หุ้นโตเร็วมักจะต้องมีการลงทุนเพิ่มเติมมาก ดังนั้น ควรพยายามหาหุ้นที่งบดุลแข็งแกร่งเข้าไว้ 
และต้องซื้อที่ PEG ต่ำกว่า 1 เท่า
******

CPF สินค้าเป็น Solf commodity 
ผู้เล่นในตลาดเดียวกันก็คงจะเป็น BTG

***********

พยายามมองหาโอกาสในการลงทุนที่สอดคล้องกับหลักการของตนเอง อย่าพยายามหาโอกาสแบบหนึ่งในร้อยเพื่อจะได้กำไรมากๆ มันเป็นการอาศัยโชคมากกว่าทักษะ

วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2565

หลักคิด 21

คิดว่ากองทุนต่างๆในไทยกองไหน
มี ผจก กองทุนไหนใส่เงินส่วนตัวมากกว่า 60% ของความมั่งคั่งที่ตนเองมี เข้าไปลงทุนในกองทุนที่ตัวเองบริหารบ้างไหมนะ ???

ถ้ามีไม่มาก หรือไม่มีเลย เพราะอะไรถึงเป็นแบบนั้น ???
ผจก กองทุนมั่นใจในฝีมือตัวเองมากแค่ไหน ???

กองทุนส่วนมากมักจะบอกว่ามีการกระจายความเสี่ยงเป็นอย่างดี ลงทุนในหุ้นจำนวนมากหลายสิบอาจจะเป็นร้อยตัว 

แล้วทำไมผู้จัดการกองทุนส่วนมากถึงไม่กล้าเอาความมั่งคั่งของตัวเองมาใส่ลงในกองทุนที่ตัวเองบริหารให้มากพอ ???

ปล.ก่อนจะซื้อกองทุนเป็นจำนวนมากอย่าลืมถามว่าผู้จัดการกองทุนได้ใส่เงินของตัวเองลงไปมากน้อยแค่ไหน

*********
หุ้นหลายตัวที่นักลงทุนได้ซื้อไว้จะมีกำไรอย่างมาก แค่เพียงแต่นักลงทุนไม่ใส่ใจกับคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับทิศทางของตลาดและเศรษฐกิจ

เพราะคำแนะนำเหล่านั้นจะทำให้คุณกลัวจนไม่กล้าซื้อหรือแม้กระทั่งยอมขายหุ้นที่ควรจะได้กำไรหากถือไว้นานพอ

หากได้ซื้อกิจการที่ยอดเยี่ยมเข้าพอร์ตหุ้นในราคาที่เหมาะสม จริงๆแล้วเราควรจะลงทุนตลอดเวลา เพราะหากตลาดหมีมาเยือน มันก็ไม่ใช่เวลาที่จะขายกิจการที่ยอดเยี่ยมออกไป

*****
ถ้าคุณเชื่อว่ากำไรมากๆมาจากการเทรดที่มีความเสี่ยงสูงๆแล้วล่ะก็ โอกาสที่คุณต้องออกจากตลาดก็จะสูงตามไปด้วย

********

ถ้าคุณซื้อหุ้นของบริษัทยอดเยี่ยม ในราคาต่ำกว่ามูลค่า แม้ราคาระยะสั้นจะเป็นขาลง แต่ในระยะยาวไม่มีบริษัทไหนที่ราคาจะไม่ขยับขึ้นไปตามมูลค่าที่เติบโตขึ้นทุกปี

ส่วนหุ้นที่ราคาดำดิ่งแล้วไม่กลับฟื้นขึ้นมาเลยนั้น หุ้นเหล่านั้นไร้ซึ่งการเติบโต หรือราคาที่ซื้อนั้นแพงกว่ามูลค่าเป็นอย่างมาก ซึ่งการซื้อหุ้นเหล่านี้ มันผิดตั้งแต่ตอนซื้อแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาผิดตอนที่ราคาไหลลง ดังนั้นถึงแม้หุ้นเหล่านี้ราคาจะไม่ลงก็ควรจะขายทิ้งอยู่ดี 

คนที่ไม่แยกแยะ ชอบเอาบริษัทห่วยๆ ที่ราคาดำดิ่ง มาเหมารวมกับหุ้นของบริษัทยอดเยี่ยมที่ราคาถูกขายเพราะความแตกตื่นชั่วคราว คนที่ไม่แยกแยะเหล่านั้นที่แท้ก็คือมิสเตอร์มาร์เก็ต ของอาจารย์เกรแฮมนั่นเอง
**********

ถ้าลงทุนในหุ้นรายตัว ไม่ได้ลงทุนในกองทุนอิงดัชนี ไม่ต้องกังวลใจเรื่องดัชนีขึ้นๆลงๆให้มากนัก เพราะดัชนีมันรวมเอาหุ้นอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งไม่ได้ส่งผลต่อปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่เราซื้อ จะมีเพียงแต่ sentiment ด้านราคาระยะสั้นชั่วคราวเท่านั้น ที่อาจได้รับผลกระทบ

ต้องอย่าลืมถามตัวเอง ว่าซื้อหุ้นเพื่อหวังราคาระยะสั้น ให้ราคาหุ้นขึ้นทันทีที่ซื้อ หรือซื้อหุ้นเพื่อลงทุนบนการเติบโตระยะยาวของบริษัท

หากซื้อหุ้นเพื่อหวังให้ราคาระยะสั้นปรับตัวขึ้นทันทีที่ซื้อเสร็จ คุณมาผิดทางแล้ว นั่นไม่ใช่การลงทุน คุณต้องไปใช้หลักการเก็งกำไร หลักการในการเทรด
*************
อย่าซื้อหุ้นเพียงเพราะหวังว่าราคาหุ้นจะขึ้นทันทีที่คุณซื้อ 

แต่ให้ซื้อหุ้น เพราะเข้าหลักเกณฑ์การซื้อของคุณ เพราะเข้าหลักเกณฑ์การลงทุนที่เมื่อทำตามอย่างมีวินัยแล้วจะเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในการลงทุน

************
ค้นหาเหตุการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้สูง และถ้าเหตุการณ์นั้นเกี่ยวข้องกับการเติบโตต่อเนื่องของบริษัท ก็สามารถที่จะลงทุนได้บนราคาที่สมเหตุสมผล

*********
อีโก้มันทำให้พัง มันทำให้เสียหาย ยิ่งอีโก้ใหญ่ยิ่งพังมาก ทุกคนล้วนมีอีโก้ 

แต่พยายามรู้ตัวให้ไว พอมันเริ่มใหญ่ ต้องรู้ตัว ต้องถอยออกจากอีโก้ เรื่องแบบนี้ประสบการณ์จะสอนเอง ยิ่งอายุมากขึ้นประสบการณ์จะมากขึ้น ก็จะรู้ตัวได้ไวขึ้น 

แต่ในบางคน ยิ่งแก่ตัวอีโก้ยิ่งใหญ่มากขึ้น สุดท้ายจะพังหนักมาก 

อีโก้มันทำให้พังเสมอไม่ว่าการใช้ชีวิตหรือการลงทุนก็ตาม

**********

“Read 500 pages every day. That’s how knowledge works. It builds up, like compound interest. All of you can do it, but I guarantee not many of you will do it.” - Warren Buffett

นี่สินะคือเคล็ดลับ สมองดีของสองปู่ 

เราสงสัยมาตลอดว่าปู่บัฟเฟตต์อายุ 92 ปี ส่วนปู่ชาร์ลีอายุ 98 ปี ทำไมสมอง ความคิดอ่านและความจำ ถึงยังดีอยู่มากๆ เมื่อเทียบกับคนสวนใหญ่แล้วอายุขนาดนี้ ความจำมักจะไปไม่ค่อยรอดแล้ว 

การอ่านหนังสือจำนวนมากทุกวัน นอกจากจะได้ความรู้แล้ว ความรู้ที่กว้างและลึกช่วยเสริมระบบความคิด และเมื่อสมองได้คิดอ่านทุกวันอย่างต่อเนื่อง (ก็คงจะเหมือนกับคนที่ออกกำลังกาย) สมองก็ยังแข็งแรง ความจำก็ยังดี ระบบวิธีคิด หลักการคิด ก็หนักแน่นขึ้นทุกวันทุกวัน คงจะเป็นเคล็ดลับที่ทำให้ 2 ปู่ สมองดีความจำดีแม้จะอายุมากแล้วก็ตาม 

เชื่อว่าช่วงอายุน้อยของปู่ก็คงยังไม่ได้อ่านหนังสือวันละ 500 หน้าแบบนี้ แต่เมื่ออ่านทุกวันทุกวัน ก็จะสามารถอ่านได้เร็วขึ้น สมองก็จะมีความคล่องแคล่วมากขึ้น

**********
สำหรับเทรดเดอร์การเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด การเกิดความผิดพลาด สิ่งที่ควรทำคือ หนีให้เร็วที่สุด ปิดสถานะที่ผิดพลาดนั้นให้เร็วที่สุด คล้ายกันกับนักลงทุนที่เมื่อลงทุนไปแล้วแต่ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงอย่างถาวรในทางที่แย่ลงแบบผิดคาด นักลงทุนก็ต้องรีบตัดขายออกอย่างรวดเร็วเช่นกัน

*****

หากไม่เจอกันลงทุนที่เข้ากับหลักเกณฑ์ของตนก็ไม่ต้องลงทุน ที่ต้องทำคือ รู้จักรอ

********
นักลงทุนที่ดีจะมองระยะเวลาของการลงทุนในหลักเดือนหรือปี

นักลงทุนยอดเยี่ยม มองระยะเวลาของการลงทุนเป็นทศวรรษ

**********
การซื้อขายหุ้นแต่ละครั้ง คุณซื้อขายบนความเชื่อที่คุณมีต่อหุ้นตัวนั้น ดังนั้นอย่าลืม สำรวจ พิสูจน์ ว่าความเชื่อนั้นสามารถใช้ได้จริง/เป็นจริง

*******

มองหาโอกาสและความน่าจะเป็นก่อนที่จะเข้าลงทุน

******

นักลงทุนแต่ละคนจะมีหลักการลงทุนที่แตกต่างกันในรายละเอียดเสมอ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความจำเป็นส่วนตัว ประสบการณ์การลงทุนที่ผ่านมา ความสบายใจในหลักการบางอย่างเป็นพิเศษ หรือความหนักใจเมื่อต้องใช้หลักการบางอย่าง รวมถึงความรู้และทักษะของแต่ละบุคคล

ดังนั้นการจะ copy หลักการลงทุนของใครมาใช้ ก็จะต้องมีการปรับปรุงรายละเอียดด้วย เพื่อให้มีความเหมาะสมกับตนเอง
*********

ระวังการให้ค่าที่มากเกินไปในหุ้นที่งั้นๆ ตอนที่กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ดีของธุรกิจ

******
นายตลาดมีนิสัยที่ดีอยู่อย่างนึง คือ เวลาเขามาเสนอขาย หรือเสนอซื้ออะไร เขาไม่เคยงอน ไม่เคยน้อยใจเวลา ที่ไม่ทำธุรกรรมด้วย 

เขาจะมาหาใหม่ในวันรุ่งขึ้นเสมอ หลายครั้งที่ข้อเสนอของเขาก็ดูเหมือนคนโกง และหลายครั้งที่ข้อเสนอของเขาดูเหมือนคนโง่

ทั้งหมดคือแล้วแต่เราว่าอยากรับข้อเสนอแบบไหน และไม่รับข้อเสนอไหน

Mr. Market

*****
บางทีคำถามง่ายๆก็ทรงพลัง
แต่คนส่วนมากมักมองข้าม 

"ผมอยากซื้อหุ้นของบริษัทนี้หรือไม่ ถ้ามีผู้บริหารชุดนี้" - ปู่ BFT
*****

ในธุรกิจ Commodity เป็นเรื่องยากที่จะเหนือกว่าคู่แข่งมากๆ และเป็นเรื่องง่ายที่จะโดน copy

**********

ในตลาดหุ้น เชื่อเถอะว่าการอดทนรอคอยเป็นเรื่องที่น่าเบื่อมากและเป็นอะไรที่ยาก เพราะถ้ามันง่าย คนที่ประสบความสำเร็จก็คงจะมีมากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะมันยากนี่แหละมันจึงคัดกรองคนได้

การรอคอยนานๆ มันจะทำให้ความคิดของเราเองนี่แหลฟุ้งซ่าน เป็นศัตรูกับการลงทุนของเราเอง มันจะทำให้เราเริ่มลังเล สงสัย จนไม่แน่ใจ และสุดท้ายยอมตัดใจออกมาจากสถานการณ์นั้นเอง ด้วยความเต็มใจของตัวเองที่จะยอมรับความพ่ายแพ้
**********

การเน้นเลือกหุ้นที่มั่นคงมากๆ ผู้บริหารที่มีความ conservative มากเกินไป สิ่งที่คุณจะเจอก็คือ ผู้บริหารให้ความสำคัญกับความมั่นคงจนมองข้ามการเติบโต 

ในบริษัทที่ผู้บริหารมุ่งแต่จะเติบโตมากเกินไป จนใจกล้าที่จะก่อหนี้มากๆ หรือกล้าลุยในธุรกิจใหม่ๆที่ตนเองไม่มีความชำนาญ คุณก็จะพบว่า บริษัทมักจะมีความเสี่ยง ด้านการเงินสูงหรือด้านโมเดลธุรกิจสูง

หากสามารถพบเจอผู้บริหารที่ให้ความสำคัญกับทั้งสองด้าน คือความมั่นคงของงบการเงิน และมีความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะให้บริษัทเติบโตในธุรกิจที่บริษัทมีความชำนาญ และซื้อหุ้นได้ในราคาที่เหมาะสมแล้วละก็ ถือหุ้นนั้นไว้ให้มั่น อย่าปล่อยให้หลุดมือไปเชียว

********มีเพียง 3 สถานการณ์เท่านั้นที่คุณควรจะขายหุ้น 

- เมื่อพบว่าคุณได้ทำพลาดไปโดยบริษัทนั้นไม่ได้เข้าเกณฑ์การลงทุนของคุณ

- บริษัทที่เคยดีกลับไม่ผ่านเกณฑ์การลงทุนของคุณอีกต่อไป

- คุณพบโอกาสที่ดีมากๆและทางเดียวที่จะมีเงินไปลงทุนก็คือต้องขายบางอย่างทิ้งไปก่อน 

- ฟิลลิป ฟิชเชอร์

**********

การประเมินมูลค่าหุ้น เป็นเสมือนศิลปะไม่มีถูกไม่มีผิดอย่างแท้จริง สิ่งสำคัญคือการพยายามพัฒนาความรู้ ความเข้าใจ เพื่อสร้างสรรค์งานศิลปะนั้น

ดังนั้นอย่าพยายามขีดเส้น ว่าแบบนี้ถูกหรือยัง แบบนี้ใช่ไหม สองปู่ใช้เรื่องมูลค่าหุ้นเหมือนกัน แต่ก็ยังคำนวนมูลค่าหุ้นตัวเดียวกันได้ต่างกัน แต่จะเห็นพ้องต้องกันเมื่อมันต่ำกว่ามูลค่ามากพอ

******

ถ้าเปรียบเทียบระหว่างหุ้น กับ ตราสารหนี้ (การฝากเงิน/พันธบัตร/หุ้นกู้)

เงินปันผล เทียบได้กับดอกเบี้ย
เงินที่จ่ายเพื่อซื้อหุ้น เทียบได้กับ เงินต้นที่ซื้อตราสารหนี้ 

โดยปกติแล้วบริษัทที่มีการดำเนินงานเติบโตอย่างมั่นคง มักจะมีการจ่ายเงินปันผลสูงขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป แต่ดอกเบี้ยเงินฝาก หุ้นกู้หรือพันธบัตรนั้น เช่นหากซื้อตราสารหนี้อายุ 10 ปี ดอกเบี้ยจะคงที่ตลอดสิบปี

และถ้าหากบริษัทที่ออกตราสารหนี้ สามารถสร้างผลกำไรที่ยอดเยี่ยม สิ่งที่ผู้ถือตราสารหนี้คาดหวังได้มากสุดคือการได้รับคืนเงินต้น เงินต้นที่ถูกเงินเฟ้อกัดกินมูลค่าไปเรียบร้อยแล้ว 

ในขณะที่บริษัทที่มีผลกำไรที่ยอดเยี่ยมนั้นก็มักจะจ่ายเงินปันผลเพิ่มมากขึ้นตามผลกำไร และราคาหุ้นเป็นเงินต้นก็จะมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นอีกต่างหากด้วย 

สำหรับนักลงทุนแล้ว สามารถที่จะสร้างพอร์ตลงทุนโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีตราสารหนี้เป็นองค์ประกอบของพอร์ตเลยก็ยังได้ 

โดยมากที่พบ คือผู้สูงอายุ ที่ไม่มีความรู้ในการลงทุน ทางเลือกที่เหลือ จึงเหลือเพียงการซื้อตราสารหนี้เท่านั้น (การฝากเงินเปรียบเสมือนกับการซื้อตราสารหนี้ที่มีลูกหนี้เป็นธนาคาร)

ดังนั้น อย่าปล่อยให้แก่ตัวลงโดยที่ไม่มีความรู้ด้านการลงทุน มันจะเสมือนการตัดช่อง บีบทางตัวเองให้แคบลง จนไม่เหลือทางเลือก ทำได้เพียงซื้อตราสารหนี้ยามแก่ตัว

******
ควรจะประเมินมูลค่าแบบคร่าวได้อย่างเป็นอัตโนมัติ แม้จะไม่ exactly ซะทีเดียวก็ตาม (คล้ายกับที่มองรู้ว่าคนนั้นท้วม คนนี้ผอม แม้ว่าจะไม่ได้รู้น้ำหนักอย่างแน่ชัดก็ตาม) 

แม่บ้านซื้อของในซุปเปอร์สามารถที่จะเลือกหยิบสินค้าที่ดี ที่กำลังลดราคา ได้อย่างคล่องแคล่ว จริงๆแล้วแม่บ้านที่กำลังเลือกซื้อของในซุปเปอร์ก็กำลังใช้การประเมินมูลค่าแทบตลอดเวลาและอย่างคล่องแคล่วด้วย

*******
การอ่าน หนังสือดีๆ บทความดีๆ เป็นประจำ จะค่อยๆปรับ mindset ให้เข้าที่เข้าทาง ให้คิดมากขึ้น วิเคราะห์มากขึ้น มันช่วยให้แผนการลงทุนมีความละเอียดขึ้นได้ 

ดังนั้นการเลือกบทความมาอ่านจึงมีความสำคัญ เสมือนค่อยๆสะสม ปรับเปลี่ยน ความคิดที่มีต่อการลงทุนให้เข้าที่เข้าทางในระยะยาว

*******

หากเจอหุ้นที่คิดว่าโอเคแล้วแต่ยังต้องการเวลาเพิ่มเติมในการศึกษารายละเอียด  หลายๆครั้งการซื้อหุ้นนั้นเข้าพอร์ตไว้ก่อนในสัดส่วนที่น้อย ช่วยให้มีแรงขับในการติดตามบริษัทได้มากขึ้น ช่วยเพิ่มความสนใจในบริษัทได้
**********
การกระจายความเสี่ยง ต้องคิดให้ละเอียดว่าที่ทำอยู่เป็นการกระจายความเสี่ยง หรือเป็นการกระจายความมั่งคั่ง และต้องอย่าลืมคิดถึงปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นด้วย

พอร์ตที่มีหุ้น 30 ตัวหากหุ้นตัวใดตัวหนึ่งในพอร์ตราคาเพิ่มขึ้น 100% กำไรนั้นจะส่งผลต่อพอร์ตรวมให้เพิ่มขึ้น 3.3%

พอร์ตที่มีหุ้น 4 ตัว หากมีหุ้น 1 ตัวที่ราคาขึ้น 100% กำไรนั้นจะส่งผลต่อพอร์ตรวมให้เพิ่มขึ้น 25% 

และปริมาณงานในการติดตามหุ้น 30 ตัวกับหุ้น 4 ตัวนั้น จะต่างกันอย่างมาก หุ้นจำนวนน้อยตัว คุณจะสามารถโฟกัสและติดตามได้ดีกว่า
**********

หลายคนไม่เข้าใจ ทำไมบริษัทที่ยอดเยี่ยมถึงกลายเป็นการลงทุนที่ยอดแย่ได้ถ้าหากว่าคุณซื้อมาแพงเกินไป 

ยกตัวอย่างเช่น
บริษัทเอ มี margin ดีมาก มีกำไรสูงถึง 50% 

สมมุติเจ้าของเดิมเขาใส่เงินลงทุนไป 1 ล้านเขาได้กำไรปีละ 500,000 บาท ถือว่ามีอัตราการกำไรสูงถึง 50% เป็นธุรกิจที่ดีมากๆ (อัตรากำไร 50% ของเงินลงทุน)

ต่อมาเขาขายหุ้นให้คุณครึ่งนึง แต่เขาตั้งราคาธุรกิจรวมของเขา ที่ 10 ล้าน คุณซื้อหุ้นมาครึ่งนึง คือคุณถือหุ้นอยู่ 50% โดยจ่ายเงินไป 5 ล้าน เพื่อร่วมลงทุน 

ธุรกิจเดิมมีกำไรปีละ 5 แสน เมื่อคุณถือหุ้นครึ่งหนึ่งคุณก็จะได้กำไร 250,000 บาทตามสัดส่วนการถือหุ้น 

คุณลงทุน 5 ล้านได้กำไร 250,000 บาท คิดเป็น อัตรากำไร 5% ของเงินลงทุน 

เฮ้ย คุณเก่งนะ คุณทำให้ธุรกิจที่มีอัตรากำไร 50% กลายเป็นธุรกิจที่มีอัตรากำไร 5% ได้ด้วยการร่วมลงทุน ซื้อหุ้นในราคาแพง 

คุณทำให้บริษัทยอดเยี่ยม กลายเป็นบริษัทยอดแย่ในการลงทุนได้ 

คุณยังสามารถวาดฝันต่อได้อีกว่าที่คุณจ่ายเงินลงทุนไป 5 ล้านอาจจะมีคนที่โง่กว่าคุณมาซื้อต่อจากคุณในราคา 10 ล้านก็ได้ แค่ฝันก็มีความสุขแล้ว

*************
ความรู้ที่กว้างขึ้นและลึกขึ้น + การฝึกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้เกิดความชำนาญมากขึ้น ความสามารถเหล่านั้นจะค่อยๆซึมซับลงสู่ระบบอัตโนมัติ คือสามารถทำซ้ำกระบวนการนั้นได้เป็นอัตโนมัติ ความเคยชินความคุ้นเคย 

การยึดมั่นกับหลักการลงทุนหรือหลักการเทรดจนมันกลายเป็นอัตโนมัติเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในการลงทุน

ดังนั้นการใช้หลักการ 2 อย่างที่ขัดแย้งกัน พร้อมๆกันในช่วงเวลาเดียวกัน จึงเป็นสิ่งที่จะสร้างความขัดแย้งทางความคิดในภายหลัง รวมถึงขัดแย้งกับกระบวนการอัตโนมัติ 

ตัวอย่างเช่น การลงทุนที่เน้นซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่ามูลค่าก็จะพยายามมองหาหุ้นที่มีราคาถูก ในขณะที่การเทรดแบบโมเมนตัมก็จะต้องพยายามหาหุ้นที่ทำ new high 

เมื่อความคิดทั้งสองอย่างที่ขัดแย้งกัน ฝึกซ้ำๆใช้ซ้ำๆ จนลงสู่ระดับจิตใต้สำนึก มันจะเกิดการขัดแย้งกันเองในภายหลัง 

นักลงทุนหรือเทรดเดอร์ที่เก่งมากๆ จะลงทุนหรือเทรดอย่างชัดเจนราบรื่นราวกับไม่ต้องใช้ความพยายามมากเพราะทุกอย่างเป็นไปโดยอัตโนมัติ ตามกระบวนการตามหลักการในการลงทุน ในการเทรด 

แต่หากมีหลักการที่ขัดแย้งกันอยู่ในจิตใต้สำนึก ขบวนการที่เป็นอัตโนมัตินั้น จะเป็นอุปสรรคในภายหลัง

เช่น ช่วงที่เป็นตลาดกระทิง การเทรดแบบโมเมนตัมอาจจะสร้างผลงานได้ดีกว่า คุณก็จะเกิดความคิดที่ขัดแย้งว่า มัวเอาเงินมาจมอยู่กับการลงทุนทำไมตั้งเยอะ ทำให้เสียโอกาสอย่างมาก

หรือบางช่วงที่เป็นตลาดหมี คุณขาดทุนจากการเทรดมาก แต่การลงทุนกลับรักษาพอร์ตของคุณเอาไว้ได้ คุณก็จะเกิดความคิดว่าไม่น่าหาเรื่องเทรดเลย น่าจะลงทุนทั้งหมดก็จะไม่เจ็บตัวแบบนี้
***********
ฃถ้าคุณเป็นเทรดเดอร์คุณต้องให้ความสำคัญกับสภาพคล่อง แต่ถ้าคุณเป็นนักลงทุน สภาพคล่องแม้จะสำคัญแต่ก็อาจจะไม่สำคัญมากเท่ากับราคาที่มีส่วนต่างความปลอดภัยที่มากเพียงพอ

**********

KLINIQ 
ราคา ipo 24.50 บาทต่อหุ้น
จำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดหลัง ipo 220 ล้านหุ้น
คิดเป็นมูลค่าบริษัทที่ราคา ipo 5,390 ล้านบาท

มีสาขาทั้งสิ้น 39 สาขา 
เป็นคลินิกเวชกรรม 35 สาขา
ศูนย์ศัลยกรรม 1 สาขา
ร้านทำเล็บ 3 สาขา 

(ศูนย์ศัลยกรรมน่าจะลงทุนมากกว่าคลินิกแต่ร้านทำเล็บน่าจะลงทุนน้อยกว่าคลินิกเยอะมาก)

ราคาที่ขาย ipo นำมาหารเฉลี่ยเพื่อดูราคาต่อสาขาไปเลย เท่ากับ 1 สาขาจะมีมูลค่า 138.20 ล้านบาท (ราคานี้รวมฐานลูกค้าทั้งหมดและการเติบโตในอนาคต)

2562 รายได้สุทธิ 975.84 ล้านบาท
2563 รายได้สุทธิ 1,000.55 ล้านบาท
2564 รายได้สุทธิ 949.93 ล้านบาท
1H64 รายได้สุทธิ 451.58 ล้านบาท
1H65 รายได้สุทธิ 714.72 ล้านบาท 

2562 กำไรสุทธิ 115.47 ล้านบาท
2563 กำไรสุทธิ 144.69 ล้านบาท
2564 กำไรสุทธิ 129.25 ล้านบาท
1H64 กำไรสุทธิ 60 ล้านบาท
1H65 กำไรสุทธิ 100.22 ล้านบาท 

ถ้าให้ 3 สาขาเล็กเท่ากับ 1 สาขาปกติ ปัจจุบันมี 36 สาขา ให้ขยายสาขาปีละ 7-8 แห่ง ครบ 11 ปีจะมีสาขาได้ 120 สาขา สมมุติให้มีกำไรเฉลี่ยสาขาละ 4.5 ล้านบาท ปีที่ 11 กำไรจะเป็น 540 ล้าน คูณด้วย P/E 25 เท่า อาจจะได้มูลค่า 13,500 ล้าน 

มูลค่าปัจจุบันที่ประมาณ 5,400 ล้าน ใช้เวลา 11 ปีเป็นมูลค่า 13,500 ล้าน คิดเป็น IRR 8.69% 

โดยมีความเสี่ยงดังนี้ 
- จะขยายได้ครบ 120 สาขาภายใน 11 ปีหรือเปล่า
- จะมีกำไรเฉลี่ยสาขาละ 4.5 ล้านบาทได้จริงหรือเปล่า 
- ปีที่ 11 การเติบโตน่าจะลดลงมากแล้วเพราะมีสาขามาก(ถ้าทำได้ ) ตลาดจะยังคงให้ PE ที่ 25 หรือเปล่า
- การขยายสาขาจำนวนมากจะทำให้คุณภาพลดลงหรือเปล่า จะหาบุคลากรเพียงพอไหม หากคุณภาพลดลงคนไข้ก็จะหนีหายส่งผลต่อกำไรเฉลี่ยที่อาจจะไม่ถึง 4.5 ล้านได้ 
- เป็นประมาณการที่ดูแล้วค่อนข้าง Aggressive (หรืออย่างน้อยที่สุดก็ไม่คอนเซอร์เวทีฟแน่ๆ)
- ถ้าทำได้ตามนี้ IRR ก็เพียงแค่ 8.69% ต่อปีเท่านั้น

หากทุกอย่างสอดคล้องกัน ก็น่าจะทำได้ แต่หากมีเพียงสิ่งใดสิ่งหนึ่งตุกติกไม่เป็นไปตามแผนหล่ะ ???

#KLINIQ

************
หุ้นมั่นคงเติบโตต่ำ ปันผลสูง ซื้อเมื่อราคาต่ำกว่ามูลค่ามากพอสมควร มีส่วนเผื่อความปลอดภัยสูง
- ขายเมื่อราคาเต็มมูลค่า
- ขายทันทีที่พื้นฐานกิจการเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลงอย่างถาวร
- ขายเมื่อพบโอกาสอื่นที่ดีกว่า 

หุ้นมั่นคงที่มีการเติบโตพอประมาณ ซื้อเมื่อราคาต่ำกว่ามูลค่า มีส่วนเผื่อความปลอดภัยพอสมควร 
- ขายเมื่อราคาสูงกว่ามูลค่า
- ขายเมื่อพื้นฐานกิจการเปลี่ยนในทางแย่ลงอย่างถาวร
- ขายเมื่อพบเจอโอกาสอื่นที่ดีกว่ามาก


หุ้นเติบโต ซื้อที่ราคาเหมาะสม การเติบโตจะเป็นส่วนเพื่อความปลอดภัยให้เอง 
- ขายเมื่อการเติบโตลดลงอย่างชัดเจนต่อเนื่องถาวร
- ขายเมื่อพบเจอโอกาสอื่นที่ดีกว่ามาก
*************

เหนื่อยหน่ายไหม กับการเดาตลาด 

เดวเมกามี recession เดวไม่มี 
เดี๋ยวเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าที่คาด เดี๋ยวจะขึ้นน้อยกว่าที่คาด 
เดี๋ยวเงินเฟ้อจะสูง เดี๋ยวเงินเฟ้อจะต่ำ 
เดี๋ยวตลาดจะตอบรับทางบวก ตลาดจะเขียว 
เดี๋ยวตลาดผิดหวังตลาดจะแดง 

สังเกตไหมว่าทุกอย่างอยู่บนความคิด ความคาดหวัง ในสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ทั้งนั้นเลย ทำได้เพียงแค่คอยวิ่งไล่ตาม "ความคาดหวัง" ไปเรื่อยๆ 

จะดีกว่าไหมถ้าลงทุนในสิ่งที่เราเลือกได้ ควบคุมการเลือกของตัวเองได้ ลงทุนในบริษัทที่มีความมั่นคง ฝ่าฟันทุกสถานการณ์ของเศรษฐกิจไปได้ สร้างผลกำไรได้ต่อเนื่องในระยะยาว

ถ้าเราเลือกปัจจัยที่เป็นสาเหตุให้ดีเพียงพอ หลังจากนั้นก็เพียงแค่ไว้วางใจ แล้วรอผลงานให้บริษัทเติบโตไปเรื่อยๆ จะเหนื่อยใจน้อยกว่าไหม จะเป็นการลงทุนที่ดีและมีความสุขกว่าไหม

**********
ถ้าคุณสามารถรู้ทุกข้อมูลของธุรกิจนั้นได้ รู้ได้ในทุกแง่ทุกมุม ทำการบ้านมาละเอียดมาก รู้ไม่น้อยกว่าผู้บริหาร เผลอๆอาจรู้มากกว่า ผบห ด้วย เนื่องจากทำการบ้านมาครอบคลุมอุตสาหกรรมต่างๆมากกว่า 

และมีประสบการณ์จากการทำการบ้านมาหลากหลายอุตสาหกรรมกว่าผู้บริหาร

แบบรู้จริงนะไม่ใช่คิดว่ารู้ ไม่ใช่คิดไปเอง (มีคนเก่งแบบนี้จริงๆนะ เก่งมากๆ แต่มีน้อยคนมากๆที่จะไปถึงจุดนั้นได้) ส่วนเผื่อความปลอดภัยก็อาจไม่จำเป็น มุ่งหา บ.ที่เน้นความก้าวหน้ามากๆ ยอมจ่ายสูงขึ้นได้ มองไปข้างหน้าแบบไม่ต้องพะวงหลัง 

แต่ ถ้าคุณไม่สามารถที่จะรู้ทุกอย่าง ทุกแง่ทุกมุม ในธุรกิจนั้นได้ คุณก็ต้องรู้ว่ามีโอกาสที่คุณจะผิดพลาดสูงขึ้น 

สิ่งที่จะมารองรับความผิดพลาดนั้นได้ สิ่งที่จะมาเป็นบัฟเฟอร์ คือ ส่วนเผื่อความปลอดภัย (MOS) ซึ่งจะได้มาจากการซื้อ ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าพอสมควร

ประเด็นคือ คนไม่น้อยที่คิดว่าตัวเองรู้ลึก คิดว่าตัวเองรู้จริง แต่ไม่รู้ว่าตนเองไม่รู้อะไรบ้าง 

แล้ววางตำแหน่งการลงทุนโดยโฟกัสที่จะพุ่งไปข้างหน้าแต่เพียงอย่างเดียว ไม่มองเผื่อทางถอยหรือความเสียหายความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นไว้บ้างเลย เวลาเกิดความผิดพลาดขึ้นมามันจะเสียหายหนัก

**********

รายการหุ้นส่วนมากมักจะวนเวียนอยู่กับการพยายามทำนายตลาด

*********

หากคุณเลือกลงทุนในบริษัทที่จ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นตลอดระยะเวลา 10-20 ปีติดต่อกันแล้ว คุณจะมีโอกาสขาดทุนน้อยมากๆ 

ยกเว้นเสียแต่ว่าคุณจะซื้อหุ้นนั้นมาแพงมากๆ หรือไปเลือกหุ้นที่มีกำหนดระยะเวลา เช่น สัมปทาน สัญญาระยะยาวที่ค่อยๆหมดไป

*********
ถ้าหากต้องการมีอิสรภาพทางการเงินที่แท้จริง มันหมายถึงว่าในแต่ละปีคุณจะต้องมีกระแสเงินสดไหลเข้าให้เพียงพอใช้ตลอดทั้งปีรวมถึงเพียงพอที่จะสะสมสำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน 

ซึ่งกระแสเงินสดที่จะไหลเข้ามาทุกปีเพื่อไว้ใช้จ่าย สำหรับนักลงทุนแล้ว คือเงินปันผล

หรือพูดง่ายๆก็คือถ้าหากอยากจะมีอิสรภาพทางการเงินต้องทยอยสะสมหุ้นปันผลเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

หากไม่เช่นนั้นแล้ว คุณก็จะไม่มีวันมีอิสรภาพทางการเงิน 

สมมุติว่าคุณชอบเทรด คุณเป็นเทรดเดอร์ วันหนึ่งที่คุณหยุดเทรด วันหนึ่งที่คุณเจ็บป่วยหรือเกิดอุบัติเหตุแล้วต้องเข้าโรงพยาบาลสัก 2-3 เดือน หรืออยากจะไปเที่ยวต่างประเทศสักเดือนนึง คุณต้องหยุดเทรด กระแสเงินสดไหลเข้านั้นหยุดไป แต่ค่าใช้จ่ายไม่เคยหยุด

หากคุณเทรดฟิวเจอร์ หรือ ออปชั่น เปิดสถานะไว้แล้วบังเอิญมีเหตุให้ไม่สามารถดูพอร์ต หรือไม่สามารถเทรดได้สัก 3-4 วัน (เช่นมีอุบัติเหตุ สลบไป) พอเปิดมาดูอีกที พอร์ตคุณอาจเสียหายหนักมากได้ 

คุณจะเห็นว่าการเป็นเทรดเดอร์มันจะกินเวลามันจะผูกพันกับเวลาและการทำงานของคุณอย่างมาก คุณแทบจะหยุดงานไม่ได้ ถ้ามันเป็นเช่นนั้นย่อมจะไม่ใช่หนทางสู่อิสรภาพทางการเงิน 

หลายคนบอกว่าต้องการจะเทรดเพื่อที่จะหาเงินไปซื้อหุ้นปันผล แต่เชื่อเถอะมีน้อยคนที่จะทำได้ เพราะในช่วงเวลาที่คุณเทรดได้คุณก็จะอยากได้มากขึ้นไปอีก คุณก็จะอยากถอนเงินจากหุ้นปันผลมาเทรด เพราะเงินที่ใส่อยู่ในหุ้นปันผลนั้นมันงอกเงยช้า 

และเมื่อความโลภมาถึงเมื่อคุณพังพอร์ตการลงทุนของคุณเอง นำเงินไปเพิ่ม position ในการเทรดพอเวลาเทรดเสียขนาดของ position ที่เทรดเสียก็จะมีขนาดใหญ่กว่าตอนที่ได้ นี่คือการเสีย 2 ต่อทั้งพอร์ตที่หวังจะสร้างอิสรภาพทางการเงิน และพังเสียหายจากการเทรดด้วย 

พอร์ตหุ้นปันผลที่จะสร้างอิสรภาพทางการเงินนั้นมันต้องใช้ระยะเวลายาวในการสะสมเมื่อคุณพังมันไปแล้ว พอมีสติก็อยากจะกลับมาสร้างใหม่ วนเวียนอยู่อย่างนี้ไปเรื่อย  

แต่ไม่เคยได้พอร์ตที่สามารถสร้างอิสรภาพทางการเงินได้จริงๆ เพราะคุณทำลายมันกับมือคุณเอง รวมถึงระยะเวลาในการลงทุนของคนเรานั้นมีจำกัด ระยะเวลาหดสั้นลงเรื่อยๆเรียกกลับคืนมาไม่ได้

วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2565

หลักคิด 20

การตัดสินใจแบบกระทันหัน มักจะมีความผิดพลาดสูง ทางแก้คือ เราควรจะวิเคราะห์การลงทุนของตัวเองในขณะที่อยู่ในภาวะปกติ ในสภาพตลาดปกติ เช่น ถ้าหากเกิดเหตุการณ์ตลาด crash เราจะทำอย่างไรบ้าง 1...2...3... เพราะอะไร .....
และตั้งใจอย่างแน่วแน่กับตนเองว่าจะทำตามขั้นตอนให้ได้ 

การวิเคราะห์และวางแผนล่วงหน้า จะช่วยลดการตัดสินใจอย่างกะทันหันซึ่งมักจะก่อให้เกิดความผิดพลาดลดลงได้

******

แม้จะรู้ว่าหลักการลงทุนที่ถูกต้องคืออะไร แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถหักห้ามใจจากหุ้น ipo ที่ร้อนแรงรวมถึงหุ้นที่กำลังเป็นกระแสนิยมได้

*********

ถ้าคุณไม่ทำความรู้จัก บ.ให้ดีพอ
ถ้าคุณไม่ประเมินค่าบริษัทด้วยตนเอง

แล้วคุณจะมั่นใจได้อย่างไร ว่าจริงๆแล้ว บ.มีมูลค่าเท่าไร และถ้าคุณไม่มั่นใจมากเพียงพอแล้ว คุณจะถือหุ้นผ่านความผันผวนสูงๆได้อย่างไร

*********

เวลาคุณลงทุนทำธุรกิจ สมมุติลงทุนเปิดร้านอาหาร เช่าพื้นที่ซื้อโต๊ะเก้าอี้และทำครัวตกแต่งร้านจ่ายเงินไปก้อนนึง

คุณจะต้องมาจำไหม ว่าซื้อโต๊ะมาเท่าไร เก้าอี้เท่าไร ครัวทำไปเท่าไร ตกแต่งร้านเท่าไร เด่วทำธุรกิจสักสามเดือนแล้ว จะขายโต๊ะ เก้าอี้ จะขายเครื่องครัวใช้แล้ว ต้องมีกำไรสัก 20% คุณทำธุรกิจไม่ได้หวังกำไรจากตรงนั้น คุณจะไปหวังว่า ขอให้มีลูกค้าเข้าร้านเยอะๆ ที่ร้านขายดี ทำมาค้าขายต่อเนื่องได้อีกหลายๆปีและมีกำไรต่อเนื่อง 

พอลงทุนในบริษัทด้วยการซื้อหุ้น กลับมองที่ราคาหุ้นเป็นหลัก แทนที่จะมองที่ธุรกิจที่บริษัททำว่าดีขึ้นหรือไม่ จ่ายปันผลเพิ่มขึ้นหรือไม่ มีกำไรเพิ่มขึ้นทุกปีทุกปีหรือไม่

ถ้าคุณโฟกัสที่ตัวธุรกิจ ราคาตลาดที่ขึ้นลงแทบไม่มีความหมายอะไรกับราคาหุ้นที่คุณซื้อเลย ตราบใดที่ธุรกิจยังดีต่อเนื่อง

ราคาหุ้นจะขึ้นหรือจะลง สัดส่วนความเป็นเจ้าของเท่าเดิมไม่ได้ลดลงเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าธุรกิจดีต่อเนื่อง ไม่มีเหตุผลให้ต้องกังวลใจเลย

**********

การซื้อหุ้นของบริษัทยอดเยี่ยมได้ในราคาต่ำกว่ามูลค่ามากเท่าไร ย่อมดีและเป็นที่ต้องการมากเท่านั้น 

แต่ความเป็นจริงคือ บริษัทที่ยอดเยี่ยม ราคาหุ้นมักลงไม่ต่ำกว่ามูลค่ามากนัก หรือ หลายๆครั้งอาจต้องรอนานหลายๆปี 

ซึ่งบางครั้งกลายเป็นว่ามูลค่ามันเติบโตขึ้นไปหาราคา ดังนั้นการทยอยซื้อหุ้นของบริษัทที่ยอดเยี่ยมในราคาที่เหมาะสม และซื้อเพิ่ม เมื่อราคาต่ำกว่ามูลค่าเมื่อมีโอกาสนั้น เป็นกลยุทธ์ที่ดีอย่างหนึ่ง

การซื้อบริษัทยอดเยี่ยมเพื่อลงทุนระยะยาวเป็น 10 ปีขึ้นไป ที่ราคาเหมาะสมย่อมจะดีสู้ซื้อที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้แย่ หากเข้าเงื่อนไขนี้ 

- บ.ยอดเยี่ยม มีแนวโน้มว่าเปิดกิจการได้มากกว่า 15 ปีนับจากวันที่ซื้อหุ้น 

- สินค้าและบริการมีความสำคัญ ทำให้ราคาสินค้าและบริการสามารถปรับเพิ่มขึ้นหนีอัตราเงินเฟ้อได้ 

- กิจการมีการเติบโตในระดับที่เหมาะสม และสามารถเติบโตต่อเนื่องในระยะยาวได้

- ผู้บริหารที่เก่งและเห็นแก่ประโยชน์ของผู้ถือหุ้นโดยที่ผู้บริหารหรือเจ้าของมีผลประโยชน์ไปในทิศทางเดียวกับผู้ถือหุ้นรายย่อย 

สมมติว่า บ. ราคาหุ้น 10 บาท มูลค่าเหมาะสม 10 บาท มีอัตราการเติบโต 10% (สมมติไม่มีการจ่ายปันผล เพื่อง่ายแต่การคำนวน)

นลท A ซื้อหุ้นที่ราคาเหมาะสมที่ 10 บาท 

นลท B รอ 4 ปี แล้วซื้อได้ที่ราคาต่ำกว่ามูลค่า 20%  

ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่นาย B ซื้อไม่ใช่ 8 บาท เพราะมูลค่าเหมาะสมเมื่อสิ้นปีที่ 4 จะอยู่ที่ 14.64 บาท เนื่องจากบริษัทมีการเติบโตปีละ 10% ตลอดช่วง 4 ปี 

ราคาที่นายบีซื้อที่มีส่วนลดต่ำกว่ามูลค่าเหมาะสมที่ 20% จะเป็นราคา 11.71 บาท

มองมุมนึง ราคาจะเห็นว่านาย A ซื้อได้ถูกกว่านาย B ประมาณ 17% บนเวลา 4 ปี (เฉลี่ยปีละ 4.25%) ซึ่งก็ไม่ได้เหนือกว่าโดดเด่นแต่ก็ไม่ได้แย่นัก

อีกมุม สมมุติ ทั้งคู่ซื้อหุ้นในปีเดียวกัน (หมายถึงตลาดผันผวนแล้วนายเอซื้อได้ในจังหวะที่มีมูลค่าเหมาะสม ส่วนนายบีซื้อได้บนส่วนลด 20%) ทั้งคู่ต่างลงทุนหุ้นตัวนี้เป็นระยะเวลา 15 ปี นาย A ซื้อราคาสูงกว่านาย B 20% หากเฉลี่ยบนเวลาในการลงทุน 15 ปี 20% ÷ 15 ปี เท่ากับนาย A ซื้อราคาสูงกว่านาย B เฉลี่ยปีละ 1.33% 

และหากมองอีกมุมนึง สมมุติเวลาผ่านไป 4 ปีแล้วราคาหุ้นไม่ลงมาให้นาย B ซื้อเลย นาย B จะพลาดไปเท่าไร ?

ลองคำนวณจากมูลค่าที่แท้จริง มูลค่าที่แท้จริงที่ 10 บาท การเติบโตปีละ 10% บนเวลา 15 ปี ราคาที่แท้จริงจะกลายเป็น 41.77 บาท 

นั่นหมายความว่าหากนายบีรอซื้อบนราคาที่มีส่วนลด 20% แล้วราคาไม่ลงมาให้ซื้อ 41.77 - 10 บาท (ราคาเหมาะสม) = 31.77 บาท คือสิ่งที่นาย B พลาดไป

นี่คือสิ่งที่ปู่ชาร์ลีพยายามบอกกับปู่บัฟเฟตต์ว่าให้ซื้อหุ้นบริษัทที่ยอดเยี่ยมในราคาที่เหมาะสม และปู่บัฟเฟตต์ก็สามารถที่จะปรับ mindset และลงทุนในบริษัทที่ยอดเยี่ยมบนราคาที่เหมาะสม 

ปล. นี่ยังไม่คำนวณจากผลกระทบทางบวกของการคูณด้วย P/E นะครับ สมมุติตลาดให้ค่า PE แก่หุ้นตัวนั้นที่ 25 เท่า สิ่งที่นายบีพลาดจะไปไกลกว่านี้มาก (เราพยายามอธิบายโดยการยกตัวอย่างที่เข้าใจได้ง่าย)

*********
ทุกคนล้วนมีเงินทุนจำกัด ไม่ว่าจะรวยแค่ไหนมันก็มีจำกัด การลงทุน คือการนำเงินไปวางไว้ในจุดที่สร้างผลตอบแทนสูงที่สุด บนความเสี่ยงที่ต่ำที่สุด

และเมื่อไหร่ที่พบการลงทุนอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าและความเสี่ยงต่ำกว่า ก็จะเกิดการโยกย้ายเงินลงทุน ไม่เว้นแม้แต่การลงทุนระยะยาว 

หากเปรียบเทียบที่ "ระยะยาวเหมือนกัน" และมีผลตอบแทนที่คิดลดด้วยความเสี่ยงแล้วแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ย่อมจะเกิดการสวิชต์เงินลงทุน
***********

หลายคนไม่เข้าใจ ทำไมซื้อพันธบัตรระยะยาวแล้วมีโอกาสขาดทุน NAV (ขาดทุนมูลค่าเงินต้น) หลายคน งง ว่าซื้อพันธบัตรเงินต้นหายได้ด้วยหรือ

สมมติ
ปี 2021 นายเอ ซื้อพันธบัตรอายุ 5 ปี หน้าตั๋วได้ดอกเบี้ย 3%

พอปี 2022 ดอกเบี้ยขยับขึ้น มี พันธบัตรอายุ 4 ปีได้ดอกเบี้ย 4% 

นายเอ อยากได้เงินต้นคืนไปลงทุนอย่างอื่น ทางออกคือ ขายพันธบัตรรุ่น 2021 ในตลาดรอง 

แต่คำถามคือ ใครจะซื้อพันธบัตรุ่นปี 2021 ที่มีอายุเหลือ 4 ปี และได้ดอกเบี้ย 3%

แน่นอนว่าไม่มีใครยอมซื้อราคาเต็มแน่ๆ เพราะได้ดอกเบี้ยต่ำ 

คนซื้อไปซื้อพันธบัตรรุ่นปี 2022 ดีกว่า ได้ดอกเบี้ย 4% อายุ 4 ปี เท่ากันกับ อายุคงเหลือของรุ่นปี 2021 ที่ได้ดอกเบี้ยเพียง 3%

ดังนั้น หากนายเอ อยากจะขาย ต้องขายแบบลดราคาให้คำนวนแล้วผลตอบแทนเทียบเท่าพันธบัตรรุ่นปี 2022 คือได้ดอกเบี้ย 4% 

คำถามคือนายเอ ต้องขายลดราคาเหลือเท่าไร ที่ดอกเบี้ยหน้าตั๋ว 3% จึงจะกลายเป็น 4% 

คำตอบคือ นายเอต้องขายที่ 75% ของราคาต้นทุนที่ซื้อพันธบัตรมา 

ดูการคำนวน

สมมติ นายเอ ลงทุนไปหนึ่งล้านบาท กับพันธบัตรรุ่น 2021 ได้ดอกเบี้ยหน้าตั๋ว 3% ดอกเบี้ยจะเป็นเงิน 30,000 บาทต่อปี

หากนายเอ ต้องการใช้เงินแล้วขายต่อที่ 75% ของราคาที่ซื้อมา คือ ขายต่อ 7.5 แสนบาท 

คนที่ซื้อไป จะได้ดอกเบี้ย 30,000 บาท จากเงินที่จ่ายคือ 7.5 แสนบาท คิดเป็นผลตอบแทน 4% ซึ่งจะได้ผลตอบแทนเท่ากับที่ซื้อพันธบัตรรุ่นปี 2022 

นั่นคือนายเอ ขาดทุน 25% หรือคิดเป็นเงิน 2.5 แสนบาท 

นี่คือที่มา ว่า ราคาพันธบัตรเดิม สามารถขาดทุนได้หากดอกเบี้ยในอนาคตขยับสูงขึ้น 

ตามตัวอย่าง คือ ปี 2022 ดอกเบี้ยขยับสูงขึ้นกว่าปี 2021 อยู่ 1% ทำให้นายเอขาดทุน NAV 25% 

แต่ถ้านายเอไม่รีบใช้เงิน ถือพันธบัตรจนครบอายุ นายเอก็จะได้อัตราผลตอบแทน 3% ตลอด 5 ปี ในขณะที่พันธบัตรรุ่นใหม่ รุ่นปี 2022 ได้อัตราผลตอบแทน 4% ตลอด 4 ปี

สังเกตว่าอายุพันธบัตร รุ่น 2022 นอกจากดอกเบี้ยสูงกว่าแล้ว ระยะเวลาในการถือพันธบัตรยังสั้นกว่าอีกด้วย (ระยะเวลายิ่งยาว ยิ่งเสี่ยงมาก ดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาวจึงควรสูงกว่าดอกเบี้ยพันธบัตรระยะสั้น)

ในทำนองเดียวกัน สมมุติ ว่ามีกองทุนซื้อหุ้นโดยคำนวณว่าผลตอบแทนระยะยาวยอมรับได้ที่ 3% ต่อปี ซื้อหุ้นที่ราคา 100 บาทได้ผลตอบแทนหลังคำนวนที่ 3 บาท 

แต่ต่อมาพันธบัตรรุ่นใหม่มีอัตราดอกเบี้ยขยับสูงขึ้น สมมุติเป็น 4% กองทุนก็ต้องคิดแล้วว่าโยกเงินไปซื้อพันธบัตรดีกว่าไหม หรือถ้าจะถือหุ้นตัวเดิมราคาหุ้นก็ต้องคิดลดลงมา เพื่อให้ผลตอบแทนขยับจาก 3% เป็น 4% เหมือนกันกับที่อธิบายไปข้างบนในเรื่องของพันธบัตร 

นั่นจึงเป็นสาเหตุที่มาว่า เมื่อดอกเบี้ยขึ้นแล้วราคาหุ้นก็ขยับลง 

ปล. สิ่งที่น่าสังเกตคือดอกเบี้ยขยับจาก 3% เป็น 4% มูลค่าของทรัพย์สินต่างๆ เช่น พันธบัตร ตามที่อธิบายไปข้างบน มูลค่าหรือ nav นั้นสามารถลดลงได้มากสุดถึง 25% (ไม่ได้รวมการคำนวนมูลค่าเงินต้น เพราะ การอธิบายเบื้องต้นให้เข้าใจง่ายจะทำได้ยาก ถ้าต้องคิดลดมูลค่าตั๋วจาก FV เป็น PV ตัวเลขลดไปถึง 25% นั้น เป็นตัวเลขที่ตลาดอาจให้ค่าได้จากการมองระยะสั้น และตัวเลขต่างๆก็เป็นเพียงตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพใหญ่คราวๆเท่านั้นครับไม่ใช่ตัวเลขเป๊ะ)

แต่ในหุ้น หากบริษัทสามารถเติบโตขึ้นมาได้ อัตราการเติบโตก็จะมาหักลบชดเชยกับมูลค่าที่ลดลง ทำให้มูลค่าลดลงน้อยกว่าพันธบัตรที่ไม่มีการเติบโต 

ถ้าอ่านโพสต์ก่อนหน้าเรื่องผลตอบแทนเปรียบเทียบจะเข้าใจเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น (ลิ้งโพสก่อนหน้า ในคอมเม้นท์ครับ)

เนื่องจากมีเพื่อนทักท้วงเรื่องการคำนวณมูลค่าพันธบัตรเมื่อครบกำหนดอายุเกี่ยวกับเงินต้น

จึงอธิบายเพิ่มเติมแบบนี้

ผมคำนวณอย่างละเอียดด้วย excel จะได้ตามรูปเลยครับ
แต่ต้องไม่ลืมว่าเวลาตลาด "มองระยะสั้น" จะมองเชิงเปรียบเทียบอย่างที่ผมเขียนในโพสต์กันเป็นส่วนมาก มีจำนวนน้อยที่จะคำนวณอย่างละเอียดเพราะต้องการความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ในส่วนของตลาดพันธบัตรผู้เล่นส่วนใหญ่มีความรู้ ความคลาดเคลื่อนจำนวนมากอาจเกิดขึ้นได้น้อย แต่หากอ่านวรรคหลังของที่โพสต์ ที่เกี่ยวข้องกับหุ้น คนในตลาดหุ้นมักจะใช้การคำนวณผลตอบแทนเปรียบเทียบอย่างที่ผมเขียนเพราะการคำนวณเงินต้นในอนาคตมันไม่มีมูลค่าที่แน่นอนเหมือนพันธบัตร 

แต่หากจะคำนวณอย่าง exactly 💯 ต้องมีความเข้าใจมากพอสมควร ว่าจะเห็นว่าดอกเบี้ยขึ้นแล้วทำให้มูลค่าลดลงจริง ส่วนจะลดลงมากน้อยขนาดไหน ขึ้นอยู่กับระยะเวลาเพราะในตลาดหุ้นคนส่วนมากถือหุ้นไม่ถึง 1 ปี ดังนั้นจึงมองที่ผลตอบแทนระยะสั้นต่อปีมาเปรียบเทียบ (ซึ่งการคำนวณผลตอบแทนระยะสั้นมาเปรียบเทียบนั้นก็จะเป็นไปตามที่โพสต์ด้านบนเขียนไว้ เนื่องจากความสนใจอยู่ที่ระยะเวลาไม่เกิน 1 ปีทำให้ไม่สนใจที่จะถือพันธบัตรจนครบกำหนด player จำนวนไม่น้อยจึงคำนวณแบบระยะสั้น)

สรุปคือ ถ้าถือหุ้นระยะยาวและคำนวณอย่างถูกต้องจริงๆแล้วก็จะได้ตามรูปเลยครับ

By Joe Pojthaveekiat



********

หุ้นที่มีราคาถูกย่อมถูกลงได้อีกเสมอ แต่ราคาถูก คือเงื่อนไขซื้อที่ดีที่สุดสำหรับการลงทุนระยะยาวในบริษัทยอดเยี่ยม

******

ตลาดจะยังไม่ฟื้นหากยังมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แต่ตลาดจะเริ่มฟื้นเมื่อทุกอย่างมืดสนิทแล้ว (เมื่อทุกอย่างมืดสนิท หมายถึงแรงขายหมดแล้ว จึงเหลือแต่แรงซื้อที่จะเข้ามาแทน)

******

พยายามอย่านำตัวเองไปอยู่ในสถานะที่มีแรงกดดัน ซึ่งจะนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดได้ง่าย เช่น การก่อหนี้มาซื้อหุ้น การใช้มาร์จิ้น หรือการนำเงินที่ต้องใช้ในเวลาอันใกล้มาซื้อหุ้น

******

ถ้าคุณเอาชนะความโลภไม่ได้ คุณก็จะเป็นลูกไล่ให้กับความโลภของตัวคุณเองตลอดเวลา เช่นเดียวกับความกลัว 

ถ้าคุณซื้อหุ้นแล้วกลัวจะขาดทุน คุณจะโดนความกลัวบังคับให้คุณออกจากตลาด

สิ่งที่จะชนะความโลภและความกลัว คือ ข้อเท็จจริงของ บ. ที่คุณจะต้องเรียนรู้ให้มาก รวมถึงรู้ให้ได้ ว่าจริงๆแล้ว บ.มีมูลค่าเท่าไร

**********

คนที่ใช้ความคิดที่รวดเร็วแบบรวบรัด จะสูญเสียการควบคุมตัวเองเร็วกว่าคนที่ใช้ระบบความคิดแบบมีตรรกะ

********

ซื้อหุ้นของบ.ที่ดีเพื่อลงทุนตอนที่มีราคาถูก ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วจะไปซื้อตอนไหน

**********
ITNS IPO 3.89 บาท พาร์ 1 บ.
หุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขาย ipo มีจำนวน 220 ล้านหุ้น 

หุ้น ipo เสนอขาย 70 ล้านหุ้น + จัดสรรหุ้นสามัญส่วนเกินอีกไม่เกิน 10 ล้านหุ้น 

หน่วย ลบ.
2562 รายได้รวม 282.03 กำไรสุทธิ 21.25 
2563 รายได้รวม 375.39 กำไรสุทธิ 28.83
2564 รายได้รวม 370.95 กำไรสุทธิ 32.59

1H64 รายได้รวม 176.56 กำไรสุทธิ 11.38 
1H65 รายได้รวม 176.05 กำไรสุทธิ 22.23

ณ วันที่ 11 สิงหาคม 2565 อนุมัติปันผล 22.50 ล้านบาท ส่วนผู้ถือหุ้นของงบ 30 มิ.ย 65 (งบการเงินปรับปรุงภายหลังจ่ายเงินปันผล 22.5 ล้านบาท) 158.06 ลบ 

**** 
เครื่องคิดเลข พร้อม 😆

ค่าเฉลี่ย กำไรสุทธิจาก 2562, 2563, 1H2564 (2.5 ปี) 24.58 ลบ 

หุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขาย ipo มีจำนวน 220 ล้านหุ้น ราคา IPO 3.89 บาท

24.58 / 220 = EPS 0.1117 บาท

ราคา IPO 3.89 ÷ 0.1117 = P/E 34.80 เท่า

เราให้ค่าพีอี BCH (มี รพในเครือ 15 รพ ) ที่ 28-35 เท่า

ส่วนนี่ บ. เทคโนโลยีอะไรไม่รู้ ขาย ipo พีอี 34.80 เท่า 

การลงทุนคือการเปรียบเทียบว่าจะเอาเงินไปลงที่ไหน ที่คุ้มค่า+เสี่ยงน้อยสุด

*********

ข้อมูลที่มีผลทางจิตใจ แต่ไม่มีประโยชน์ในการตัดสินใจนั้นไม่มีความหมายอะไรเลย

********
เคยมีคนถามว่าทำไมไม่ไปลงทุนต่างประเทศ เวียดนามเติบโตดีกว่าไทยนะ อนาคตก็ดีกว่าไทยแน่นอน ประชากรกำลังหนุ่มสาว ส่วนไทยนั้นมีแต่เฒ่าชะแลแก่ชราเยอะแยะ อาจารย์นิเวศน์ก็ไปลงทุนเวียดนามไม่ใช่หรือ

- เห็นด้วยทุกอย่างเลยว่าประเทศเวียดนามกำลังเติบโตดี คนหนุ่มสาวอยู่ในวัยทำงานมาก และอาจารย์นิเวศน์ก็น่าจะดูขาด ดูไม่ผิดแน่นอน

แต่ประเด็นคือถึงอาจารย์จะดูขาด แต่ตัวผมเองดูไม่ขาด ความสามารถของเราไม่เท่าอาจารย์ การจะไปลงทุนในสิ่งที่เราไม่รู้จักดีพอนั้น มันคือการแบกความเสี่ยงอย่างสูงเอาไว้

และในมุมที่เรามองคือเวียดนามเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ เบื้องหลังกิจการเอกชนล้วนแต่เป็นทหารทั้งนั้น 

กิจการใดๆก็มักต้องขอสัมปทานจากรัฐบาลทหาร เรื่องเหล่านี้ ต้องเป็นคนที่อยู่ในเวียดนามเท่านั้นและเข้าใจภาษาเวียดนามเท่านั้น ถึงจะเข้าใจเทรนด์ เข้าใจความรู้สึกที่มีนัยยะของสังคมได้ทันท่วงที เข้าใจ action ของรัฐบาลได้ทันท่วงที 

ต้องเป็นคนเวียดนามเท่านั้นที่ใกล้ชิดกับประเทศของตัวเองและเข้าใจวิธีทางของรัฐบาลคอมมิวนิสต์ของเขา ว่าการขยับแต่ละท่าทีมันคืออะไร 

ซึ่งการขยับตัวของรัฐบาลส่งผลต่อนโยบายเศรษฐกิจแน่นอน 

ในขณะที่เราเป็นคนต่างชาติเราเข้าไม่ถึงความรู้สึกแบบนั้น ทำให้เราเข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่างๆได้ช้ากว่าคนในประเทศ 

แม้กระทั่งความเข้าใจแนวโน้มความต้องการสินค้าของคนในประเทศเวียดนามเองนั้น เราที่เป็นคนต่างชาติก็เข้าใจได้ไม่ดีพอ 

แต่โอเคนักลงทุนเก่งๆหลายท่านอาจจะเข้าใจมันดี ก็เป็นเรื่องที่เขารู้สึกไม่เสี่ยง แต่ไม่ใช่เราเพราะเราไม่สามารถเข้าใจมันได้ดีพอ สำหรับเราแล้วมันจึงเสี่ยงสูง 

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยหลักๆที่ทำให้เราไม่ได้ไปลงทุนต่างประเทศ

ประกอบกับการลงทุนในประเทศยังมี บริษัทที่สามารถให้เราลงทุนได้ตามเป้าหมาย ดังนั้นเราจึงไม่อยากไปแบกความเสี่ยงที่มากเกินความจำเป็น ด้วย "ความอยาก" เพียงเพราะเห็นคนแห่กันไปลงทุน

การรู้ว่าเราไม่รู้อะไรเป็นสิ่งสำคัญ เพราะมันช่วยให้เราหลีกเลี่ยงความเสี่ยงได้

********

การลงทุนในหุ้นเติบโตต้องรอดูว่ามีการเติบโตจริงไม่ใช่แค่ story แล้วรีบซื้อ เพราะถ้าทำไม่ได้ตาม story ราคาจะลงแรงมาก 

เมื่อพูดถึงในมุมมองเชิงเทคนิคของหุ้นเติบโต การรอดูว่ามีการเติบโตจริงนั้น แน่นอนว่าราคาต้องขยับขึ้นมาแล้ว ซึ่งจะตรงกับทางเทคนิค ที่ราคามักจะทำ new high ซึ่งสายโมเมนตัมเทรดจะแห่ซื้อตาม 

หุ้นเติบโตทุกตัวราคามักจะทำ new high เสมอ 
แต่หุ้นที่ทำ new high ทุกตัวไม่ได้หมายความว่าจะเป็นหุ้นเติบโตเสมอไป

***********

ข้อมูลที่มากเกินไป บางทีเป็น noise
แต่ข้อมูลหลักสามอย่างสำคัญที่ต้องรู้
- ราคาขณะนี้ต่ำกว่ามูลค่าแค่ไหน
- ฐานะการเงินแข็งแกร่งแค่ไหน (มีโอกาสต้องเพิ่มทุนไหม หรือล้มละลายมากแค่ไหน)
- ผบห ซื่อสัตย์และ บริหารเงินทุนสร้างผลตอบแทนได้สูงเท่าไร

*********

ความเสี่ยงต่ำ + โอกาสในการทำกำไรสูง = การลงทุน

High-risk High-return = การเก็งกำไร

*******

- อย่าถือหุ้นหลายตัวจนคิดตามข่าวสารไม่ทัน
- รายได้และกำไร เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอัตราที่ยอมรับได้
- หนี้สินไม่มาก และสามารถผ่านวิกฤติเศรษฐกิจได้หากมี
- ซื้อมาในราคาสมเหตุสมผล

**********
มันเหมือนจะง่าย ที่จะบอกกับตัวเองว่าคราวหน้าตอนตลาดหุ้นตก เราจะมองข้ามข่าวร้ายและจะซื้อหุ้นราคาถูก

แต่วิกฤตแต่ละครั้งที่เกิดมันมักจะดูหนักกว่าครั้งก่อนทุกครั้ง ดังนั้นการมองข้ามข่าวร้ายจึงเป็นเรื่องที่คนส่วนมากทำได้ยาก

******
การใช้ชีวิตคือการ balance แต่ละด้านของชีวิตให้สมดุลให้มากที่สุด 

ไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องให้เวลากับทุกๆอย่างเท่าๆกัน แต่หมายถึงว่าให้เวลากับสิ่งที่ขาดมากสักหน่อยเพื่อให้สิ่งที่ขาดนั้นมีเพิ่มมากขึ้น balance กับด้านอื่นๆของชีวิต 

เช่น คนที่ขาดแทนทุนทรัพย์ก็ต้องขยันและอดออมมากขึ้น ในคนที่มีทรัพย์สมบัติมากแล้วก็อาจจะแบ่งเวลาให้กับการท่องเที่ยวเพื่อเพิ่มประสบการณ์ชีวิต ให้กับการศึกษาเพื่อเพิ่มทักษะความรู้ ให้กับการออกกำลังกายให้มากขึ้นเพื่อสุขภาพที่ดี

เพื่อให้ด้านอื่นๆของชีวิตมากขึ้นมาสมดุลกับทรัพย์สิน ไม่ใช่มีทรัพย์สินมากพอ แต่ก็ยังมุ่งหาเงินจนละเลยสุขภาพกลายเป็นขาดแคลนสุขภาพ แบบนี้เรียกว่าไม่สมดุล

ขยันออกกำลังกายมีสุขภาพดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ แบบนี้ก็ไม่ไหว ใช้ชีวิตอย่างลำบาก

มีทรัพย์มากแต่ขาดแคลนสุขภาพ แบบนี้ก็แย่ ใช้ชีวิตลำบาก แถมตายไปก็เอาทรัพย์สินไปไม่ได้ สุขภาพไม่ดีอายุสั้นไม่ได้อยู่ใช้ทรัพย์ที่มี

มีทรัพย์มาก ขาดทักษะความรู้ แบบนี้รักษาทรัพย์ไว้ไม่ได้แน่ ไม่นานก็หมด