วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2565

หลักคิด 22

ทุกคนที่ประสบความสำเร็จมักจะมีความรู้เฉพาะทางเสมอ แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่มีความรู้เฉพาะทางจะต้องประสบความสำเร็จ

**********

สิ่งที่เทรดเดอร์ พยายามทำคือการเข้ารับความเสี่ยงที่สูง ในยามที่ตลาดเป็นขาขึ้น เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่มากขึ้น 

ดังนั้นเทรดเดอร์ที่กล้าบ้าบิ่น จะมีผลงานที่โดดเด่นในช่วงที่เป็นตลาดขาขึ้น จะเห็นการโอ้อวดกันเต็มไปหมด (กำไรที่มากจากความผันผวนที่สูง ส่งผลต่อ mindset ทำให้ใจฟูมาก)

แต่ผลตอบแทนจากการเข้ารับความเสี่ยงที่สูงนั้นมันไม่ใช่ภาพรวมทั้งหมด

ภาพรวมทั้งหมดที่จริงแล้วคือผลตอบแทนหลังหักความเสี่ยง (risk adjust return) 

ในส่วนของการลงทุนนั้น นักลงทุนจะเข้าซื้อหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่า (มีกำไรตั้งแต่ตอนซื้อ) ซึ่งมันมักจะเป็นจังหวะที่มติของตลาดไม่เห็นด้วย (มติของตลาด คือ ราคาตลาด) และเนื่องจากช่วงเวลานั้นที่ตลาดมีมติไม่เห็นด้วย ราคาหุ้นก็อาจจะไหลลงไปได้เรื่อยๆอีกเช่นกัน 

การจะรอให้ตลาดลงมติให้เห็นด้วยนั้นต้องใช้เวลาถึงใช้เวลามาก 

แต่เนื่องจากการลงทุนนั้นเป็นการลงทุนโดยหวังผลงานของบริษัทที่ทำได้ ดังนั้นราคาตลาดที่ผันผวนระยะสั้นจากการไม่เห็นด้วยของคนทั้งตลาดในเวลานั้น จึงไม่สำคัญมากนัก หากนักลงทุนนั้นไม่ต้องรีบใช้เงิน 

นี่จึงเป็นที่มาว่าให้ลงทุนด้วยเงินเย็น พยายามอย่ากู้หรืออย่าใช้ margin ในการลงทุน เพื่อที่จะรอผลงานของบริษัทในระยะยาวได้


*******
คนที่อิจฉากำไรของคนอื่นง่ายนั้น มีแนวโน้มที่จะซื้อหุ้นแพง มีแนวโน้มที่จะโดนดึงดูดเข้าสู่ตลาดหุ้นในยามที่ตลาดหุ้นอยู่ในโซนสูงสุดของตลาดกระทิง

เพราะช่วงเวลานั้นจะเป็นช่วงเวลาที่คนรอบข้างมีกำไรเป็นอย่างมาก ความอิจฉาจะทำให้คุณกระโจนเข้าสู่ตลาดหุ้นแบบไม่คิดเลยทีเดียว

**********

ราคาหุ้นที่แพงเกินไปไม่ได้แปลว่ามันจะต้องตกทันที และราคาหุ้นที่ถูกเกินไปก็ไม่ได้แปลว่าจะต้องขึ้นในทันที

ความถูกหรือความแพงมันสามารถที่จะคงอยู่ได้ แต่สุดท้ายแล้วมูลค่าจะเป็นสิ่งสำคัญ 

ดังนั้นการลงทุนจึงต้องพยายามให้เวลาอยู่ข้างเราเสมอ

**********

จุดสูงสุดของราคาหุ้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อผู้ซื้อคนสุดท้ายได้ซื้อเสร็จแล้ว 

การที่ผู้ซื้อคนสุดท้ายซื้อนั้น ว่ากันตามจริงแล้วมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทเลย

*********

- ยุโรปเงินเฟ้อสูง และทั่วโลกเงินเฟ้อสูงขึ้น สินค้าราคาแพงขึ้น
- การเปิดเมืองหลังโควิดทำให้การท่องเที่ยวเกือบทุกที่ดูเร่งตัวสูงขึ้น คนอยากท่องเที่ยวกันมากขึ้น

น่าจะส่งผลกระทบลบต่อปริมาณยอดผู้เลี้ยงสัตว์เลี้ยงไหม ???

ยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงจะเติบโตในอัตราสูงได้ต่อเนื่องไหม ???

**********

ถ้าเมื่อไหร่รู้สึกว่าตลาดหุ้นมันดีขึ้นเรื่อยๆ และมันดีอย่างเหลือเชื่อ ให้เอะใจว่ามันเริ่มอยู่ในโซนอันตรายของฟองสบู่แล้วหรือยัง

การมองโลกในแง่ดี ใช้ได้ดีในชีวิตจริง แต่ในตลาดหุ้น มีแต่เรื่องที่ต้องระวังตัว หากมองในแง่ดีไปหมดจะตกหลุมพลางได้ง่ายๆ

ในตลาดหุ้น คุณพลาดคือคุณเสียเงิน คนอื่นรอเก็บกำไรจากการเทรดที่ผิดพลาดของคุณอยู่ ด้งนั้นในตลาดหุ้น ควรเป็นคนที่มองโลกอย่างระมัดระวัง สงสัยให้มาก หาคำตอบด้วย หากหาคำตอบไม่ได้ก็อยู่ให้ห่าง อย่าโลภด้วยความไม่รู้

*********
ถ้าผู้บริหารไม่สามารถสร้างผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้นให้เพิ่มขึ้นได้ อย่างน้อยที่สุดก็ควรรักษาระดับให้อยู่ใน "โซนค่าเฉลี่ย" ให้ได้

แต่ถ้าทำให้ผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้นลดลงต่อเนื่องยาวนาน 5-10 ปีผู้บริหารก็ควรจะพิจารณาตนเอง

*********
อาหารสัตว์ที่ใช้เนื้อขึ้นรูปใหม่นั้น ใช้วัตถุดิบอะไรมาทำเนื้อขึ้นรูปใหม่ ???

จากที่ฟังมา คำว่าปลาป่นที่ผลิตจากเศษเนื้อนั้น คือ ก้างปลา หนังปลา หัวปลา และหางปลา (คือความหมายของคำว่าเศษเนื้อ)

*****
เราต้องพยายามมองอย่างไม่มีอคติ แล้วต้องแยกให้ออก ว่าผลงานที่เราทำได้นั้น เกิดจากโชคหรือเกิดจากทักษะ

ถ้าผลงานใดที่เราไม่สามารถบอกได้อย่างแน่ชัดว่าเกิดจากทักษะอะไรของเรา มันมีแนวโน้มอย่างมากว่าจะเกิดจากโชค 

เหตุการณ์ที่เกิดจากโชคนั้นมันไม่สามารถทำซ้ำได้ ต่างจากเหตุการณ์ที่เกิดจากทักษะที่เราสามารถทำซ้ำได้

*****

การทยอยสะสมหุ้นเข้าพอร์ต สิ่งหนึ่งที่ต้องระวังคือ การโดนเพิ่มทุน 

สมมุติคุณมีรายได้เป็นรายเดือน เงินเก็บแบ่งตามสัดส่วน ส่วนสำหรับลงทุนซื้อหุ้นสะสมเข้าพอร์ตแล้ว หากอยู่ๆโดนเพิ่มทุน มันจะฉุกละหุกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากหุ้นที่เพิ่มทุนมีสัดส่วนมากในพอร์ต คุณต้องเลือกว่าจะเพิ่มทุนตาม จะไม่เพิ่มทุนแล้วโดนไดลูท หรือจะขายหุ้นทิ้ง ซึ่งทุกอย่างจะผิดแผนไปหมด

ดังนั้นเพื่อป้องกันการซื้อหุ้นที่มีโอกาสเพิ่มทุนสูงเข้ามาในพอร์ต จึงควรดูภาระหนี้สินของบริษัทอย่าให้สูงเกินไป (ต่ำไว้จะปลอดภัยกว่า)

ดูในอดีตมีการเพิ่มทุนบ่อยๆหรือไม่
ดูผู้บริหาร ว่าชอบทำธุรกิจหรือชอบเล่นหุ้น

จ้าวมือที่ชอบปั่นหุ้น เขาจะปั่นเพื่อเอากำไรจากใครถ้าไม่ใช่รายย่อย ถ้าไม่ใช่เพื่อเอาเงินจากคุณ

********
ดอกเบี้ยแบบ Flat rate (ดบ คงที่) เปลี่ยนมาเป็นแบบ Effective rate (แบบลดต้นลดดอก)

ดอกเบี้ยที่เป็นรายรับของ บ.ปล่อยกู้จะลดลงประมาณ 45-48% แม้จะเห็นตัวเลขการคิดอัตราดอกเบี้ยกับลูกค้าเท่าเดิมก็ตาม 

ตัวอย่างเช่น เงินต้น 80,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 23% ต่อปี ระยะเวลาในการผ่อน 24 งวด

หากเป็น flat rate ดอกเบี้ยจ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 36,800 บาท 

หากเป็น effective rate ดอกเบี้ยจ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 19,100 บาท (คิดเป็น 52% ของ 36,800)

จะเห็นว่าแม้ บ.จะคิด "อัตราดอกเบี้ย" เท่าเดิม แต่พอเปลี่ยนจาก flat rate เป็น effective rate  บ.ปล่อยกู้จะมีรายได้ลดลงประมาณ 48%

***********
เมื่อคนโง่ยอมรับข้อจำกัดของตนเองก็จะหายโง่
เมื่อรู้ว่าอะไรที่ไม่รู้ก็จะรอดจากความผิดพลาดได้

********

สิ่งนึงที่น่ากลัว คือการพยายามค้นหาระบบการลงทุน ระบบเทรด อะไรก็ตามแล้วทำให้เสียเวลาค่อยๆปรับปรุงระบบเหล่านั้น ที่สุดท้ายแล้ว เหมือนหนูที่อยู่ในเขาวงกต วิ่งวนหาทางออกเหมือนจะสำเร็จ เวลาที่ผ่านไป ผ่านไป แต่สุดท้ายแล้วไม่มีทางสำเร็จ เหมือนหนูวนในเขาวงกตที่ไม่มีทางออก วิ่งวนเสียเวลาจนหมดแรง หมดเวลา ตายอยู่ในเขาวงกต

ดังนั้นการเลือกหลักการอะไรในการลงทุน ควรดูว่ามัน realistic ด้วย ดูว่าเป็นสิ่งที่ในอดีตมีคนทำแล้วเป็นไปได้จริง เพราะเวลาที่เสียไปนั้นเรียกคืนมาไม่ได้ เราทุกคนมีเวลาในการลงทุนอย่างจำกัด
*********

มูลค่าที่แท้จริงของหุ้นนั้นอยู่ที่ present value ของ future cash flow

********

ฝากเงิน = ขาดทุนเงินเฟ้อ
ซื้อพันธบัตร = ความเสี่ยงขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งทางการเงินของบ.แต่ผลตอบแทนจำกัด
ซื้อกองรีท = 

กองรีทในไทยตอนนี้ เท่าที่รู้มีกอง Free hold เพียงกองเดียว ที่เหลือเป็น Lease hold

กอง Reit แบบ Lease hold เป็นกองที่มีทรัพย์สินคือสัญญาเช่าระยะยาว แล้วนำมาปล่อยเช่าระยะสั้นเพื่อกินส่วนต่างของค่าเช่า

เมื่อสัญญาระยะยาวหมดอายุ ทรัพย์สินของกองทุนก็จะกลายเป็นศูนย์

นั่นหมายความว่ายิ่งเวลาผ่านไปทรัพย์สินก็จะด้อยค่าลงไปเรื่อยๆ 

อย่าเห็นแก่ปันผลที่ดูเหมือนจะสูง แต่ในระยะยาวแล้ว สิ่งที่อยู่ในมือกับด้อยค่าลงไปเรื่อยๆ หมดเวลาในการลงทุนไปเรื่อยๆ


ทางเลือกอื่น
- ลงทุนทำธุรกิจเอง
- เป็นหุ้นส่วนธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแล้ว (ซื้อหุ้น)
- เทรด Asset ต่างๆ (เก็งกำไรหวังกินเงินคนอื่นใน pool เดียวกัน)

การเทรด, การเก็งกำไรมันคือ zero sum game คนที่ได้กำไรในช่วงเวลาขาขึ้น มันคือเงินของคนที่เสียเงินในรอบขาลง มือใหม่ที่คิดจะเก็งกำไรต้องรู้ว่า มีคนเก่าที่มีประสบการณ์สูงอยู่ในตลาดเก็งกำไรด้วยเช่นกัน
มือใหม่อ่อนประสบการณ์จะหวังกินเงินคนอื่น ก็ต้องคิดว่าฝีมือและประสบการณ์ มีไหม

การเก็งกำไร ≠ การลงทุน
แต่อาจมีส่วนทับซ้อนกันอยู่บ้าง

การลงทุน คือ การร่วมเป็นหุ้นส่วนในธุรกิจที่สร้างผลผลิตและบริการ เมื่อ บ.ที่สร้างผลผลิตและบริการมีกำไรมากขึ้น มูลค่าย่อมเพิ่มขึ้น ราคาหุ้นย่อมเพิ่มขึ้น นั่นคือ กำไรจากการลงทุน

จะลงทุน จะเก็งกำไร ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ขอให้รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ จะได้เลือกใช้หลักการได้ถูกต้อง

********
การรับจำนำทองของร้านทอง
ปัญหาไม่ใช่เรื่องเงินทุน แต่ปัญหาคือ ประชาชนมีทองมาจำนำได้ไม่มากพอสำหรับเงินทุนที่ร้านทองมี

หลักการบันทึกบัญชีเรื่องสต๊อกทองคำนั้นจะไม่ต่างอะไรกับน้ำมันคือมี stock gain , stock loss

ปัจจุบันคนซื้อทองมีจำนวนลดลง เมื่อเทียบกับอดีต เนื่องจาก มีทรัพย์สินอื่นให้เลือกลงทุนมากกว่า รวมถึงกองทุนลดหย่อนภาษีทำให้คนรู้จักการซื้อกองทุนมากขึ้นคุ้นเคยกับการซื้อกองทุนมากขึ้น การเก็บรักษาทองก็จะลำบากกว่าด้วย 

ถ้าคนมีความรู้เรื่อง CDFs สามารถซื้อทองได้โดยจะใช้ Leverage 1:1 ,1:2 หรือ 1:100 ก็ยังได้
หากใช้ Leverage 1:100 แต่สำรองเงิน 99% เป็นเงินสดฝากแบงค์จะได้ ดบ ใช้เงิน 1% ถือทองเทียบเท่า 100% จะแทบไม่ต่างกับการซื้อทอง Physical เลย (ทองจริงๆ) 

แต่สะดวกกว่ามาก ไม่ต้องไปร้านทอง + ซื้อขายได้ตลอดเวลา บนเวลาที่ real time กว่า 

ยังมีทางเลือกอื่นๆ กองทุนทอง, ETF ทองคำต่างๆ ที่ทำให้ ปัจจุบันคนซื้อทองลดลงกว่าในอดีต

**

ทำให้ส่วนตัวมองว่า ร้านทองเป็นธุรกิจ SUNSET 

เมื่อก่อน ตอนที่ยังไม่มีทางเลือกมากนัก คนส่วนใหญ่สะสมทอง นลท ซื้อทอง แม่ค้าตลาดสดซื้อทอง

ความเห็นส่วนตัว ปัจจุบัน คนส่วนใหญ่เงินไหลไปซื้อกองทุนลดภาษี นลท หันไปซื้อกองทุนทอง , etf ทอง , gold future
เหลือกลุ่มแม่ค้า โดยเฉพาะแม่ค้าตามตลาดสด ที่ยังชอบซื้อทอง และคนทั่วไปซื้อแบบเครื่องประดับซึ่งซื้อไม่บ่อยและไม่มาก จะเห็นว่ากลุ่มลูกค้าร้านทองหดตัวลงไปมาก

อ่านแล้วอาจ งง ว่าพูดถึงเรื่องนี้ทำไม แต่เดวสักพักจะเข้าใจ

********
เชื่อเถอะว่าตลอดชีวิตการลงทุนของปูบัฟเฟตต์  ปู่โดนคำสบประมาทว่า ล้าหลัง ตกยุค ตามโลกไม่ทัน ไดโนเสาร์ หลายรอบมากๆ แต่สุดท้ายก็พิสูจน์แล้วว่า หลักการที่ปู่ใช้นั้น ยังทันสมัยอยู่เสมอ ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย
**********

มีอยู่สองทางสำคัญ ที่นักลงทุนจะพาตัวเองไปอยู่ในจุดนั้นเพื่อที่จะพ่ายแพ้

หนึ่ง ลงทุนในสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจ 
สอง พ่ายแพ้ต่อความยั่วยวนของราคาจนยอมทิ้งหลักการลงทุนของตนเอง
**********

การซื้อหุ้นโตเร็วเป็นการเดิมพันกับโอกาสในอนาคต หุ้นโตเร็วมักจะต้องมีการลงทุนเพิ่มเติมมาก ดังนั้น ควรพยายามหาหุ้นที่งบดุลแข็งแกร่งเข้าไว้ 
และต้องซื้อที่ PEG ต่ำกว่า 1 เท่า
******

CPF สินค้าเป็น Solf commodity 
ผู้เล่นในตลาดเดียวกันก็คงจะเป็น BTG

***********

พยายามมองหาโอกาสในการลงทุนที่สอดคล้องกับหลักการของตนเอง อย่าพยายามหาโอกาสแบบหนึ่งในร้อยเพื่อจะได้กำไรมากๆ มันเป็นการอาศัยโชคมากกว่าทักษะ