วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2565

หลักคิด 25

กำหนดเป้าหมาย สร้างขั้นตอนที่จะไปสู่เป้าหมาย แบ่งขั้นตอนเหล่านั้นให้เป็นขั้นตอนเล็กๆ ทำแต่ละขั้นตอนให้สำเร็จ ทำอย่างมีวินัย และมุ่งมั่น จนสำเร็จที่ละขั้นทีละขั้น สุดท้ายก็จะพิชิตเป้าหมายได้

******
จุดอ่อนของ dca คือไม่สนราคาที่ซื้อ ซึ่งจุดแข็งของ vi คือราคาที่ซื้อครับ

******

เวลาเราเทียบราคาหุ้นกับความสามารถในการทำกำไรของบริษัท แล้วมักจะใช้ค่า P/E ในการดูเพื่อเปรียบเทียบ

แต่จุดอ่อนของค่า P/E คือ earning ที่เป็นตัวหาร บริษัทที่ใช้เงินกู้สูง มีโอกาสที่จะมีกำไรมากกว่าบริษัทที่ใช้เงินกู้ต่ำ แต่ความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจก็จะสูงตามไปด้วย 

การที่เราจะดูแต่ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทโดยมองข้ามความเสี่ยงที่บริษัทต้องแบกรับเอาไว้ มันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องสักทีเดียว 

มันเหมือนกับพอร์ตหุ้น ที่มุ่งแต่จะทำกำไรแล้วใช้เงินกู้สูงๆ พอร์ตหุ้นก็จะพังได้ง่ายๆ 

ดังนั้นการดูความสามารถในการทำกำไร จึงควรรวมความเสี่ยงจากเงินกู้เอาไว้ด้วย 

P/E นั้น มันก็คือ Mkt Cap / Net Profit 
เมื่อจะเอาความเสี่ยงจากเงินกู้มารวมเข้าไปด้วยสูตรก็จะเป็น 

{Mkt Cap + (Debt - Cash)} / EBIT

ก็คือเป็นการรวมเอาเงินกู้โดยการหักด้วยเงินสด แทนการใช้ market cap แต่เพียงอย่างเดียว (ซึ่งมาร์เก็ตแคปเมื่อหารด้วยจำนวนหุ้นแล้วมันก็คือ P ในสูตร P/E นั่นเอง)

ส่วนที่ใช้ ebit แทน earning หรือ net profit ก็เนื่องจาก EBIT เป็นตัวแทนของผลกำไรจากการดำเนินงานโดยตรง 

ซึ่งสูตร {Mkt Cap + (Debt - Cash)} / EBIT ก็คือ EV/EBIT (enterprise value / ebit) นั่นเอง 

การเปรียบเทียบหุ้นที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันด้วย EV/EBIT จะทำให้เห็นภาพได้ชัดกว่า P/E เพราะจะไม่โดนหลอกด้วยบริษัทที่ใช้ leverage สูงๆ
โดยการใช้ค่า EV/EBIT ก็จะมีหลักการเหมือนกับค่า P/E คือ ค่าที่ต่ำจะเป็นที่ Prefer มากกว่าค่าที่สูง

ตัวอย่าง การเปรียบเทียบค่า EV/EBIT ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน 

ณ 2/12/2022
TICKER P/E EV/EBIT ค่าแตกต่าง
AP 5.72 8.51 48.7%
PSH 10.40 12.29 18.2%
SC 8.25 13.80 67.3%
LH 13.55 25.40 87.5%  
BRI 7.06 9.52 34.8%
ORI 7.33 15.44 110.6%  

การใช้ค่า EV/EBIT คือ ค่าที่ต่ำจะเป็นที่ชื่นชอบมากกว่า เหมือนค่า P/E โดยการดูเปรียบเทียบกับตัวอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน

ส่วน "ค่าแตกต่าง" คือ ค่าที่แตกต่างระหว่าง EV/EBIT กับ P/E 

เนื่องจาก P กับ EV ต่างกันเพียง Debt ที่บวกเข้ามา
ดังนั้น ค่า P/E ที่แตกต่างกับ EV/EBIT มากๆ จะหมายถึง บ.นั้นมีการใช้ leverage ที่สูง (มี debt ในสัดส่วนที่สูงกว่าบริษัทที่มีค่าที่แตกต่างกันน้อยนั่นเอง)

อนึ่ง หากจะใช้ค่า EV/NET PROFIT หรือ EV/EBITDA เพื่อเปรียบเทียบกับแต่ละบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันก็สามารถทำได้เช่นกัน

******
แต่ละธุรกิจต้องหาจุดตายที่เป็น "ปัจจัยหลัก" ของตัวเองให้เจอ ส่วนปัจจัยอื่นเป็นเพียงปัจจัยรอบด้านจะมีทั้งลูกค้าที่ยอมรับได้และรับไม่ได้กับปัจจัยข้างเคียง แต่ลูกค้าทั้งหมดจะยอมรับไม่ได้ถ้าปัจจัยหลักไม่ตอบโจทย์

ตัวอย่างเช่น ร้านอาหาร ปัจจัยหลักคือความอร่อยและสะอาดถูกอนามัย ส่วนเรื่องให้ปริมาณมากหรือน้อย ราคาถูกหรือแพง  จะมี "ลูกค้าบางกลุ่ม" ยอมรับได้และยอมรับไม่ได้ 

แต่ถ้าปัจจัยหลักคือไม่อร่อยและไม่สะอาด "ลูกค้าทุกกลุ่ม" จะยอมรับไม่ได้อย่างแน่นอน ซึ่งนั่นจะทำให้ตัวธุรกิจไปไม่รอด

********

จุดอ่อนของการสะสมหุ้นแบบ dca คือไม่สนราคาที่ซื้อ ซึ่งราคาที่ซื้อเป็นจุดแข็งของการลงทุนแบบ vi

*******

ให้ ❤️ แทนเงินปันผลของบ.ที่มีการเติบโต

A
การลงทุนในบริษัทที่มีการเติบโต ตัวอย่างเช่น การเติบโต 4-8% แบบต่อเนื่อง บริษัทก็จะมีปันผลที่จ่ายค่อยๆเติบโตขึ้นทุกปี สังเกตที่รูป A 
เงินปันผล ❤️ จะค่อยๆเติบโต รวมทั้งมูลค่าของบริษัทก็จะค่อยๆเติบโตเพิ่มขึ้น 

มูลค่าของบริษัท เหมือนรูปสามเหลี่ยมสีน้ำเงิน จากปัจจุบันไปอนาคต คือค่อยๆมีค่ามากขึ้นในระยะยาว  

B
แต่หากลงทุนในกอง Reit ที่เป็น Lease Hold เช่นลงทุนในสิทธิการเช่าระยะยาว แล้วนำมาปล่อยเช่าต่อ ภาพรวมที่ได้จะเป็นแบบรูป B
คือเงินปันผล ❤️ ดูเหมือนจะได้มาก แต่เงินปันผลจะได้ประมาณใกล้เคียงเดิม รวมทั้งมูลค่าของบริษัทจะค่อยๆลดลงตามสัญญาเช่าระยะยาวที่หมดอายุลงไปเรื่อยๆ
มูลค่าของบริษัทจะเหมือนในรูปสามเหลี่ยมสีแดง จากปัจจุบันไปอนาคต มูลค่าก็จะมีแต่ลดลง ตามระยะเวลาสัญญาที่ได้มา ที่ค่อยๆหมดลง

นักลงทุนระยะยาวควรที่จะถือทรัพย์สินที่มีค่าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไปยิ่งนานยิ่งมีค่ามากขึ้น ไม่ใช่ถือทรัพย์สินที่มีค่าลดลงเมื่อเวลาผ่านไป 

ยิ่งถ้าหากคำนวณ IRR ตลอดอายุสัญญาไม่เป็นแล้วไปซื้อทรัพย์สินที่ในอนาคตมีมูลค่าลดลงเข้าพอร์ต โอกาสที่จะเสียเงิน หรือได้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่าจับเวลาที่เสียไปนั้นมีสูงมาก 

********

ความยุ่ง ความวุ่นวาย ความเร่งรีบ ในกิจกรรมที่ทำอยู่ตลอดเวลานั้น ทำให้ไม่มีเวลามากพอที่จะคิด เพื่อกำหนดเป้าหมาย เพื่อวางแผนขั้นตอนไปสู่เป้าหมาย เพราะมัววุ่นวายอยู่กับกิจกรรมระยะสั้นตลอดเวลาจนหมดวัน

******
ความเข้าใจเรื่อง DCF แบบง่ายๆ

สมมติ โต๊ะตัวนึงราคาปัจจุบัน $172 
ด้วยอัตราเงินเฟ้อ 3% โต๊ะตัวเดียวกันอีก 5 ปีข้างหน้าจะขายอยู่ที่ราคา $200

ถ้าในอีก 5 ปีข้างหน้า คุณมีความจำเป็นต้องใช้โต๊ะตัวนั้น คุณคงไม่อยากซื้อโต๊ะตัวนั้นในตอนนี้ที่ราคา $172 เพราะราคามันไม่ดึงดูดใจมากนัก

แต่ถ้าร้านค้าเสนอว่าให้ส่วนลด 30% จากราคาปัจจุบัน เหลือ $120 เพื่อให้คุณตัดสินใจซื้อได้ง่าย

คุณก็จะเกิดความเปรียบเทียบแล้วว่า ต้องใช้โต๊ะตัวนี้ในอนาคตอีก 5 ปีข้างหน้า ราคาโต๊ะจะอยู่ที่ $200 แต่ถ้าซื้อตอนนี้ $120
มันน่าจะคุ้มค่าที่จะซื้อตอนนี้เลย

ราคา $200 ในอนาคต 5ปีข้างน้า เราเรียก Future value

เงินเฟ้อ 3% มันคือ "อัตราคิดลด" 

ส่วนราคาปัจจุบัน $172 เรียก Present value

ส่วนลดที่ร้านค้าเสนอให้ 30% มันคือ Margin of safety (ส่วนเผื่อความปลอดภัย) นั่นเอง

เป็นไอเดียง่ายๆที่จะเข้าใจ DCF และ MOS

********"

ค่า PE ที่เป็นปัจจุบัน หรือ Trailing P/E เปรียบเทียบถึงราคากับกำไรของบริษัทที่ผ่านไปแล้วเท่านั้น 

ส่วนค่า PE ที่ใช้ forward earning นั้นได้สะท้อนการคาดการณ์ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในอนาคตเข้ามาไว้ ซึ่งการคาดการณ์นั้นอาจจะมี bias ในทางบวกหรือทางลบมากกว่าความเป็นจริงก็ได้

สิ่งที่ไม่ได้สะท้อนไว้ในค่า P/E ก็คือความแข็งแกร่งและความเสี่ยงต่างๆของบริษัท

*****

ถ้าบาทแข็งค่าขึ้น ส่งออกจะเสียประโยชน์ 

สมมติ ในบ.ที่ส่งออกล้วนไม่มีนำเข้าเลย ถ้าบาทแข็งขึ้น 5% รายรับของ บ.ลดลง 5% แต่ คชจ ของ บ.มักจะมีต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่ไม่ลดตามค่าเงิน นั่นทำให้รายรับที่ลดลงเป็น amount ส่งโดยตรงลงมาที่กำไร พอคิดเทียบการเติบโตเป็น % จะพบว่ากำไรจะลดลงมากกว่าค่าเงินที่ลดลง 

สมมติ รายได้ 100,000 (ส่งออกล้วน) 
ต้นทุนและ คชจ เป็นเงิน 80,000 
EBIT 20,000 

พอค่าเงินลด 5% รายได้เหลือ 95,000 
ต้นทุนและคชจ เท่าเดิม 80,000
EBIT 15,000 

EBIT จากเดิม 20,000 เหลือ 15,000
อัตราการเติบโตของ EBIT ลดลง -25% ทั้งที่ค่าเงินลดลงแค่ 5%

********

หาหุ้นยอดเยี่ยมในอุตสาหกรรมยอดแย่ : Peter Lynch

อุตสาหกรรมยอดแย่โดยรวมอาจไม่ค่อยโต พอมีวิกฤตเข้ามา บริษัทที่มีหนี้สินมากมีโอกาสที่จะล้มหายตายจาก 

มีบางบริษัทในอุตสาหกรรมที่เจ็บตัวหนักและฟื้นตัวได้ช้า 

บริษัทขนาดเล็กในอุตสาหกรรมที่ย่ำแย่อยู่นั้น ธนาคารไม่ปล่อยสภาพคล่องเพิ่มให้ ทำให้เสีย market share ออกไป 

ผู้แข่งรายใหม่เข้ามาแล้วไม่น่ากลัว เพราะความน่าเชื่อถือของชื่อเสียงมีน้อย 

บริษัทที่รอดเจ็บตัวน้อย หรืออาจไม่เจ็บตัวเลยถ้าวางกลยุทธ์ไว้ดีพอ หนี้สินต่ำ ฟื้นตัวไว ได้ market share เพิ่ม และยิ่งถ้าหากมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่โดนใจลูกค้า จะยิ่งกิน market share เพิ่มเข้าไปอีก

บริษัทลักษณะนี้ คือบริษัทที่น่าลงทุนและยิ่งหากมีเงินปันผลสูงด้วยแล้วล่ะก็จะสามารถทำให้ถือหุ้นรอวิกฤตนั้นผ่านไปได้

นึกถึงหุ้นตัวไหนกันครับ ที่ผ่านวิกฤติโควิดมาได้และ Gain mkt share ได้จนวิกฤติกลายเป็นโอกาสของ บ. 😊

*********

หลายๆครั้ง ข่าวแค่หาเหตุเพื่อมาอธิบายราคาหุ้นที่ขยับขึ้นลง

*******
คนไม่น้อยติดกับดักหุ้นตัวเล็ก
สิ่งที่เป็นข้อด้อยของหุ้นตัวเล็ก

- มักไม่มี economy of scale หรือมีน้อย สู้บ.ใหญ่ไม่ได้
- ต้นทุนเงินทุนของ บ.สูง ต้นทุนเงินกู้สูง 
- ความเชื่อถือที่ลูกค้ามีให้ ต่ำกว่า บ.ใหญ่
- ทรัพยากรต่างๆไม่พร้อม
- พนง ที่เก่งๆมักไปทำงานประเภทเดียวกัน อุตสาหกรรมเดียวกัน ใน บ.ที่ใหญ่กว่า 
- บ.ใหญ่กว่า offer สิ่งจูงใจในการคัดคนระดับครีมเข้าทำงานได้มากกว่า
- เมื่อเจอวิกฤติ บ.เล็กมีโอกาสล้มได้ง่ายกว่า

**********
เวลาคุณคัดเลือกหุ้นเข้าพอร์ต คุณแค่คัดเลือกหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดี มีปันผลที่พอใช้ได้ มีผู้บริหารที่มีแนวโน้มที่ดี 

เริ่มแรกอาจจะเอาเข้ามาหลายๆตัวที่มีปัจจัยแบบนั้น หลังจากนั้นติดตามผลงาน ติดตามการดำเนินงาน ถ้าหากบริษัทไหนที่ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคาดว่าจะเป็นหรือควรจะเป็น ก็แค่ตัดออก 

เป็นธรรมดา หุ้นที่คุณเลือกเข้ามาย่อมไม่มีทางถูกต้องทั้ง 100% ขอเพียงแค่ถูกสักครึ่งหนึ่ง ส่วนที่ผิดคุณไม่เจ็บตัวมากเพราะมีพื้นฐานที่ดี มีปันผลที่สูงรองรับ การตัดขาดทุนนั้น ขาดทุนจะเป็นสัดส่วนที่น้อย ในขณะที่ตัวที่เป็นผู้ชนะในพอร์ตจะสร้างกำไรครอบคลุมผลขาดทุนรวมถึงสร้างกำไรที่เกินไปอีกมากให้กับคุณ

จุดสำคัญอยู่ที่การคัดเลือกหุ้นเข้ามา โดยหุ้นทุกตัวจะต้องมีปัจจัยที่ดีเป็นตัวหนุน มีปันผลที่ดีเป็นตัวหนุน 

จะว่าไปแล้วหลักการแบบนี้ มีความคล้ายกับ การเทรดโดยใช้วิธีแบบโมเมนตัม ต่างกันตรงที่ว่า แทนที่จะใช้ในด้านของราคา ก็ใช้ในด้านของปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งมันจับต้องและเป็นสินทรัพย์ได้มากกว่า
*******
หนึ่งในข้อผิดพลาดที่นักลงทุนจำนวนไม่น้อยมักจะทำผิด คือการคิดว่าหุ้นวัฏจักรคือหุ้น growth แล้วซื้อในช่วงที่ดีของธุรกิจเพื่อลงทุนระยะยาว