- สิบกว่าปีที่ผ่านมา เงินง่ายไม่ได้ไหลเข้าตลาดหุ้นไทย มีแต่ไหลออก เพิ่งมีปลายปี 2021 ที่เริ่มมีกลับมาซื้อตลาดไทย
- หุ้นมั่นคงแนว value บ.จะไม่ล้มหายตายจากอีกอย่างน้อยสิบปี นานพอที่กระทิงตัวใหม่จะมา
- เงินปันผล สำคัญมาก ถ้าให้รอเป็นสิบปี แล้วไม่มีเงินปันผลมาช่วยเป็นกำลังใจ จิตใจคงห่อเหี่ยวน่าดู แต่ถ้ามีปันผล ที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยธนาคาร ก็ยังสบายใจ ว่าลงทุนแล้วยังได้ปันผลดีกว่าฝากธนาคาร
ไอเดียอาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน แต่เราเน้นจำกัด ความเสี่ยงเป็นหลัก ส่วนกำไรจะตามมาเองถ้าคุมการขาดทุนไว้ได้
********
หลายครั้งที่เราเฝ้ารอโอกาสการลงทุนที่ดีให้มาถึง บางครั้งใช้เวลาในการรอค่อนข้างนาน และเมื่อโอกาสมาถึงแล้ว ถ้าเราปล่อยให้โอกาสการลงทุนที่ดีหลุดมือไป หรือลงทุนน้อยเกินไปในจังหวะนั้น นับได้ว่าเป็นความผิดพลาดอย่างหนึ่ง
*********
เวลาดูหุ้นที่เป็น super stock ใครๆก็คิดว่าถ้ามีโอกาสได้ซื้อตอนราคาถูกแล้วถือยาวเหมือนอาจารย์นิเวศน์ก็คงจะรวยเหมือนๆกัน
อย่าง CPALL ราคาปี 2008 อยู่แถว 3.75 (ราคาปัจจุบัน หลังแตกพาร์) ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 62 บาท ใครๆก็คิดว่าการถือ CPALL เป็นเรื่องง่ายถ้าซื้อได้ตอนถูกแล้วถือยาวก็คงจะรวยได้
แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เป็นเช่นนั้นเลย เพราะว่าระหว่างทาง มีความผันผวน ระดับติดลบ 20% ถึงติดลบประมาณ 40% อยู่หลายครั้งทีเดียว
ถ้าคนที่ไม่ยึดมั่นในหลักการลงทุน ไม่ศึกษาบริษัทให้มากพอ ไม่มีทางถือหุ้นผ่านความผันผวนระดับนั้นมาได้
โดยมากเจอความผันผวนระดับ 7-10% ก็รีบเทขายหนีตายกันแล้ว
"การขาดทุนก้อนใหญ่ (แบบชั่วคราว) เป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนระยะยาว ถ้ายอมรับมันไม่ได้ คุณก็ไม่อาจเก็บเกี่ยวผลตอบแทนระยะยาวที่ตลาดจะมอบให้กับคุณ" - ชาลี มังเกอร์
***********
การที่จะกล้าซื้อสวนกระแสได้นั้น จะต้องมีข้อมูลที่มากเพียงพอ รู้ลึก รู้จริง และแม่นยำ
**********
จากที่ได้ฟังมา นักลงทุนเก่งๆหลายคนที่ไปลงทุนในหุ้นเติบโตที่ยังไม่มีกำไร หลังจากที่เจอตลาดหมีจากการขึ้นดอกเบี้ย และการทำ qt ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ประเมินมูลค่าหุ้นเติบโตเหล่านั้นสูงเกินไป ประเมินมูลค่าหุ้นเหล่านั้นผิดพลาด
เบื้องหลังการประเมินมูลค่าที่ผิดพลาดทั้งๆที่แต่ละคนก็เป็นนักลงทุนเก่งๆ ผมคิดว่าเกิดจาก โดนสมองตัวเองหลอก เมื่อคนเราเกิดความโลภแต่ไม่ยอมรับว่าโลภ สมองก็จะคิดหาวิธีต่างๆนานา ทั้งหลอกว่าเราเก่งพอที่จะเอาตัวรอด ในตลาดที่เราเสียเปรียบ ทั้งหลอกว่าตัวเองประเมินมูลค่าหุ้น conservative เพียงพอ ทั้งๆที่ความจริงแล้ว หลักการที่ใช้ แตกต่างกับหลักการที่ตนเองถนัดเมื่อลงทุนหุ้นไทย
เมื่อความโลภบังตา มันไม่ได้ทำให้เรารู้ว่าเราโลภ แต่มันเปลี่ยนวิธีคิดของสมองเรา ให้สมองเราหลอกตัวเราเอง
กว่าจะรู้ตัว หรือที่เรียกว่าตาสว่าง คิดได้ว่าเราทำอะไรลงไป ก็ตอนที่ขาดทุน
ความตกใจ ความกลัว ความเสียใจ มันไล่ความโลภออกไป ทำให้ความคิดที่เคยหลอกตัวเองนั้นมลายหายไป ถึงได้ตาสว่างขึ้นมา หลายคนยอมรับภายหลัง ว่าเพราะตอนนั้นโลภ กลัวตกรถ
การแพ้อารมณ์ตนเอง เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ เก่งมากเผลอใจไป ก็โดนอีโก้กินกันได้ทุกคน ต้องหมั่นรู้ใจตนเองบ่อยๆ :)
ถ้าลงทุนได้กำไรปีละ 20% ต่อเนื่องกันสามปี เงิน 10 ล้านจะกลายเป็นประมาณ 17 ลบ และหากปีที่สี่ ขาดทุน 45% จากเงิน 17 ลบ จะเหลือไม่ถึง 10 ล้านบาท
**********
- วิกฤติต้มยำกุ้ง
- วิกฤติซับไพร์ม
- วิกฤติโควิด
ต่อจากโควิด ตอนนี้กำลังโดนซ้ำด้วยวิกฤติเงินเฟ้อ สินะ
โควิดส่งผลให้สหรัฐ ทำ Unlimited QE เป็นสาเหตุหลักให้ ศก ฟื้นเร็ว เงินเฟ้อสูง จนต้องขึ้นขึ้นดอกเบี้ยและลด QE + สงครามยูเครน รัสเซีย เป็นตัวกระตุ้นให้เงินเฟ้อเร็วขึ้นไปอีกทั้งโลก
****
หนี้สินที่สูงสามารถส่งผลกระทบต่อบริษัทได้ 2 ทาง
- ในแง่ต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้มี margin ลดลงหรืออาจจะต้องเพิ่มราคาขาย
- เมื่อต้นทุนสินค้าเพิ่มขึ้นราคาสินค้าเพิ่มขึ้นอาจจะส่งผลให้ ความสามารถในการแข่งขันลดลง หรือยอดขายลดลง
*****
วิกฤติซ้ำซ้อน (วิกฤติเงินเฟ้อต่อจากวิกฤติโควิด) นักลงทุนต้องพิจารณาอะไรบ้าง
ขึ้นอยู่กับ หลักการลงทุน การเตรียมพร้อมในช่วงก่อนหน้า และ ความอดทน ระยะเวลาคาดหวัง ของการลงทุน ที่แต่ละคนมีไม่เหมือนกันครับ
- ลงทุนด้วยหลักการไหน หุ้นเติบโต หรือหุ้น value
- มีเงินสำรอง หรือรายได้เพิ่มเติมระหว่างที่รอผลลัพธ์จากการลงทุนได้นานแค่ไหน
- มีความอดทนรอผลลัพธ์ในการลงทุนได้นานแค่ไหน ยึดมั่นในหลักการของตนเองได้นานแค่ไหน โดยที่ไม่ทรมานใจ และระหว่างรอมีปันผลมากพอไหม
- ก่อนหน้าตลาดหมี ตั้งหลักการลงทุนบนระยะยาว หรือระยะกลาง หรือระยะสั้น
ถ้าตอบคำถามเหล่านี้ได้ และทุกคำตอบสอดคล้องกับการลงทุนระยะยาว ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรที่จะถือ position ต่อ และหากมีรายได้เข้ามาต่อเนื่องอาจเป็นจังหวะในการลงทุนเพิ่ม
แต่ถ้าแต่ละคำตอบขัดแย้งในตัวมันเอง ก็อาจจะเหนื่อยหน่อยที่จะถือ position ผ่านตลาดหมีครับ
ปล.
ไม่ว่าราคาหุ้นจะเป็นเท่าไหร่ สัดส่วนในความเป็นเจ้าของ ก็ยังเหมือนเดิม
ถ้าผลประกอบการของ บ.ไม่ได้ลดลง (หรืออาจเพิ่มน้อยกว่าคาด) แล้วละก็ ไม่ว่าราคาหุ้นจะเป็นเท่าไร เงินปันผล จากหุ้นเดิมในมือ ก็ไม่ได้แตกต่างจากเดิมอย่างมีนัยยะ
**********
การลงทุนลงทุนได้ทันทีเมื่อพบเจอธุรกิจที่ดีมีงบการเงินที่แข็งแรงมั่นคง มีสินค้าและบริการที่มียอดขายแข็งแรงเพียงพอ บ.ที่มีความทนทานต่อทุกภาวะเศรษฐกิจ บนราคาที่สมเหตุสมผล
ไม่ต้องมัวรอภาวะตลาด ว่าจะรอเศรษฐกิจดี ปัญหาไม่มี เพราะปัญหาไม่เคยหายไปจากระบบเศรษฐกิจไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะไหนก็ตาม
สารพัดปัญหาที่มี
เศรษฐกิจซบเซา การค้าไม่ดี ผลประกอบการตกต่ำ คนตกงาน โดนกดค่าแรง สินค้าราคาตกต่ำ ดอกเบี้ยเงินฝากลดลง พอมีนักท่องเที่ยวคนจีนเยอะ ก็ว่าเสียงดังน่ารำคาญไม่มีมารยาท
หรือจะปัญหาแบบ ดอกเบี้ยขึ้น เงินเฟ้อ สินค้าราคาแพง ค่าแรงขั้นต่ำขึ้น ต้นทุนผลิตสินค้าสูง นักท่องเที่ยวจีนไม่มีก็บอกว่าทำให้เศรษฐกิจไม่ดี
จะเห็นว่า ไม่ว่าเศรษฐกิจอยู่ในภาวะไหนมันก็มีปัญหาตลอด ปัญหาไม่เคยหายไป แค่เปลี่ยนรูปแบบไปเรื่อยๆ
ถ้าจะรอหให้ปัญหาหายไปแล้วค่อยลงทุน คงไม่มีวันได้ลงทุน
เพียงหา บริษัทที่มั่นคง หนี้สินต่ำ สามารถเอาตัวรอดและฝ่าฟันเศรษฐกิจในสภาพต่างๆได้ ในราคาสมเหตุสม แล้วลงทุนไปเรื่อยๆ ทำทุกปัจจัยและทุกเงื่อนไขให้เวลาอยู่ข้างเรา แล้วผลลัพธ์ที่ดีจะเกิดขึ้นเอง
**********
ตัวเลข EPS และ dividend นำมาจากบริษัทจริง เพื่อเป็นตัวอย่าง คำพูดของปู่บัฟเฟตต์
"การซื้อหุ้นของบางบริษัท ที่มีผลประกอบการค่อนข้างสม่ำเสมอ มีการเติบโตของกำไร เปรียบเสมือนกับการซื้อพันธบัตร ที่จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นทุกปี"
ตัวอย่าง คือสมมุติซื้อ หุ้นที่ราคาต่างๆ (6.50 , 7.40 และ 8.50 ) ของบริษัทเดียวกัน
ดูที่ช่อง % DIV จะเห็นว่าอัตราเงินปันผลต่อราคาหุ้น เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเปรียบเสมือนพันธบัตรที่จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นทุกปี
หากสามารถซื้อหุ้นได้ในลักษณะนี้แล้ว และผลประกอบการของบริษัทก็ยังดีอยู่ มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องที่ดีอยู่ ก็คงไม่อยากจะขายมันออกไป โดยเฉพาะหากซื้อได้ในราคาที่ถูกด้วยแล้วล่ะก็
ทั้งนี้ยังไม่ได้รวมถึงการเติบโตของราคาหุ้น ที่เป็นกำไรเพิ่มเติมอีกต่างหาก
หากทยอยสะสมหุ้นลักษณะนี้เข้าพอร์ต หลายๆบริษัท มันจะสร้างเป็นพอร์ตที่มีกระแสเงินสดที่มั่นคง จ่ายให้กับผู้ถือหุ้น ทุกปีและมากขึ้นทุกๆปี มันจะดีแค่ไหน ทั้งๆที่บริษัทที่นำมาเป็นตัวอย่างนี้ราคาหุ้นมีความผันผวนตลอด แต่ราคาตลาดไม่ได้เกี่ยวกับกระแสเงินสด (เงินปันผล) ที่นักลงทุนจะได้รับจากบริษัทเลย
การลงทุนระยะยาวนั้น ไม่ได้ยากที่หลักการ แต่
-ยากที่ความเข้าใจในหลักการอย่างลึกซึ้ง
- ยากที่การปรับ mindset ให้เข้ากับหลักการ หรือหาหลักการที่เข้ากับ mindset
- ยากที่ต้องใช้ความอดทนอย่างสูง
- ยากที่ต้องหัดอยู่นิ่งๆให้เป็น
**********
การทำอะไรโง่ๆ หมายถึง การจ่ายแพงกว่ามูลค่าของธุรกิจ - ชาลี มังเกอร์
***********
หากต้องการสร้างพอร์ตเพื่ออิสรภาพทางการเงิน พอร์ตหุ้นควรเต็มไปด้วยหุ้นที่เติบโตต่อเนื่องและมีมูลค่าเพิ่มในระยะยาว จำนวนหลายตัว ที่จะหาเพิ่มเข้าพอร์ตได้
แต่การสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆนั้น แสดงว่า หุ้นเหล่านั้นต้องเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ทำให้ไม่ต้องคอยขายหุ้นออกมาบ่อยๆ
หากต้องขายหุ้นออกจากพอร์ตบ่อยๆ การสะสมหุ้นที่ดีที่ยั่งยืนก็จะทำได้ช้าลง เพราะมีทั้งซื้อเข้าและขายออกจากพอร์ต
แต่หากสามารถหาบริษัทที่ซื้อเข้าและไม่ต้องขายออกในระยะยาว การสะสมหุ้นในพอร์ตก็จะมีแต่การสะสมหุ้นที่ดีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นการสร้างพอร์ตเติบโตขึ้นเรื่อยๆในระยะยาว
แต่ไม่ใช่ว่าหุ้นราคาถูกคุณภาพปานกลางจะลงทุนไม่ได้เลย ในบางช่วงเวลาที่ไม่สามารถหาหุ้นคุณภาพดีในราคาที่เหมาะสมได้ หุ้นคุณภาพปานกลางราคาถูกมากก็เป็นในทางเลือก สามารถสร้างผลตอบแทนได้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง จนเมื่อราคามันเต็มมูลค่า ซึ่งก็เป็นทางเลือกที่ดีกว่าไม่มีอะไรให้ลงทุนเลย
ถ้าเราเลือกบริษัทที่ถูกแล้ว การถือหุ้นไปเรื่อยๆนั้น ผลตอบแทนจะคุ้มค่าอย่างมาก
***********
สำหรับสายเทรดเท่านั้น !!!
(เป็นหลักการของสายเทรดไม่ใช่นักลงทุน)
ในตลาดหมี indicator ทุกอินดี้ หรือสัญญาณการเทรดทุกสัญญาณ สามารถเป็นสัญญาณที่ผิดพลาดได้มากกว่าที่คิด
ในตลาดหมี การเปิดสถานะซื้อใหม่ ควรใช้การ stop loss ที่กระชับขึ้น เช่น 2 ถึง 4 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับ 7-8 เปอร์เซ็นต์ ในตลาดปกติ
- อย่าซื้อเพียงเพราะทำตามคำแนะนำของบทวิเคราะห์
- ถ้า day trade ให้ขายทำกำไรอย่างรวดเร็ว
- อย่าซื้อเพียงเพราะ "รู้สึกว่า ตลาดหมีน่าจะจบลงแล้ว"
- อย่าเล่นเกมที่พยายามจะซื้อที่จุดต่ำสุดของตลาด
- อย่าใช้ margin
- เงินสดคือพระเจ้าในตลาดหมี
- หุ้น 3 ใน 4 จะวิ่งตามแนวโน้มของตลาดรวม
- นักลงทุนมือใหม่ มันไม่ใช่เวลาที่จะลองแหย่ดู รอก่อนจะฉลาดกว่า
- อย่าพยายามมี position ที่แย่ๆ
- ก่อนตลาดหมีจะมา ยิ่งคุณมีอีโก้มากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งเสียหายหนักมากเท่านั้นในเวลาที่ตลาดหมีมาเยือน
***********
มีความกลัวว่าในอนาคตเศรษฐกิจประเทศไทยจะชะลอตัวลง จากปัญหาต่างๆ เงินเฟ้อ มันแพง สินค้าแพง ต้องขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในอนาคต
มองในฐานะนักลงทุน การลงทุนของเราก็อย่าวางแผนการลงทุน บนเศรษฐกิจที่คาดว่าจะเติบโตเร็วนักสิ แผนการลงทุน เลือกลงทุนบนการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไม่ได้เติบโตเร็วนัก โดยให้เวลาอยู่ข้างเรา
แน่นอนที่พูดถึงนั้น ในฐานะของนักลงทุน ในส่วนของผู้กำหนดนโยบายนั้นก็ต้องทำให้ดีที่สุด เติบโตได้มากเพื่อที่จะได้แข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้
แต่ในฐานะนักลงทุน เราทำอะไรไม่ได้ มากไปกว่าการวางแผนการลงทุนของตนเองให้สอดคล้องกับความเป็นจริงอย่างอนุรักษ์นิยม โดยให้เวลาอยู่ข้างเรา อย่าทำตัวเป็นศัตรูกับเวลา อย่าทำอะไรเร่งรีบตลอดเวลา จะทำให้ขาดสติ
*************
เมื่อมีบ้าน มีคอนโด มีอสังหาริมทรัพย์ เป็นของตนเองแล้ว เมื่อเวลาผ่านไป ทุกคนย่อมอยากให้ราคาบ้านขยับสูงขึ้นตามกาลเวลา คงไม่มีใครอยากให้บ้านราคาลดลง
และการที่บ้านราคาสูงขึ้น มันก็เหมือนทรัพย์สินอื่นๆที่ราคาสูงขึ้น คือ นอกจากตัวมันมีคุณค่าเป็นที่ต้องการมากขึ้นแล้ว อีกสิ่งที่ช่วยให้ราคาบ้านสูงขึ้น คือ เงินเฟ้อ
จริงๆแล้วเงินเฟ้ออ่อนๆ ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ
เงินเฟ้อไม่ใช่ผู้ร้ายไปซะทุกทาง เงินเฟ้อมากเกินไปก็ไม่ดี น้อยเกินไปก็ไม่ดี มันมีระดับที่เหมาะสม
*************