***********
ดอกเบี้ยของธนาคารกลาง ต้องคำนึงถึง 2 จุดหลักใหญ่ ขึ้นให้มากพอที่จะหยุดยั้งเงินไหลออก แต่ต้องไม่มากเกิน ที่จะทำให้เศรษฐกิจ การค้า ธุรกิจในประเทศพัง
**********
อย่าหลอกตัวเองว่ากำลังลงทุน ทั้งๆที่กำลังเก็งกำไรอยู่
************
ที่สำคัญคือเงินเฟ้อของไทยมาจากพลังงานแพงเป็นหลัก การขึ้นดอกเบี้ยไม่ได้ทำให้น้ำมันราคาถูกลงด้วยสิ การแก้เงินเฟ้อเลยยาก
ในแง่ของค่าเงินที่อ่อน หากพยุงให้อ่อนช้าเกินไป เกิดการเก็งกำไรค่าเงิน และเกิดการ short sell ค่าเงิน ซึ่งจะทำให้เงินไหลออก ค่าเงินอ่อนหนักมากขึ้นไปอีก แต่หากค่าเงินอ่อนเร็วเกินไป หลายธุรกิจที่เกี่ยวกับนำเข้าส่งออกจะปรับตัวไม่ทัน ต้องหาจุดสมดุลตรงนี้ให้ได้
**********
ความผันผวนของราคา มีความสำคัญต่อนักลงทุนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือมันจะให้โอกาสนักลงทุนในการซื้อหุ้น ในตอนที่ราคาลดลงอย่างหนัก และให้โอกาสนักลงทุนขายออกเมื่อตลาดได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นไปอย่างมากจนราคาสูงกว่ามูลค่าไปมากๆ
ในช่วงเวลาอื่นๆนั้น การละเลยตลาดหุ้น แล้วหันไปใส่ใจต่อเงินปันผลและการดำเนินงานของบริษัทเป็นเรื่องที่ดีกว่า
***********
สิ่งที่คุณไม่ได้ทำ มีความสำคัญต่อความสำเร็จของคุณพอๆกับสิ่งที่คุณทำ
***********
ระหว่างที่กำลังแตกตื่นกับราคาหุ้นกัน คนลืมไปหมดแล้ว ว่าเราซื้อหุ้นเพราะจะได้ "สัดส่วนความเป็นเจ้าของ" ระหว่างที่ราคาหุ้นลดลงอย่างรุนแรงนั้น สัดส่วนความเป็นเจ้าของไม่ได้ลดลงตามราคาหุ้น
************
เป็นธรรมดาที่ทุกๆตลาดกระทิงจะต้องจบลงอย่างเจ็บปวด 😊
***********
อย่าจ่ายแพงเกินไปไม่ว่าการลงทุนนั้นจะดูน่าตื่นเต้นขนาดไหนก็ตาม
**********
ในชีวิตจริง ใครๆก็บอกว่าให้ห่างจากคนคิดลบ ให้มองโลกในแง่ดีเข้าไว้
แต่มันใช้ไม่ได้กับการลงทุน การมองโลกในแง่ดีอาจทำให้ประเมินการทำกำไรของ บ.สูงเกินไป
และเนื่องจากคนส่วนมากชอบมองบวกเกินไปในหุ้นที่ตนเองมี/ชอบ แม้จะระวังตัวแล้วก็ตาม ดังนั้นจึงมีคำว่า "ส่วนเผื่อความปลอดภัย" มาช่วยอีกชั้นนึง
*************
เงินสำรองระหว่างประเทศสุทธิ ในรูปเงินบาทและเงินดอลลาร์
เงินทุนสำรองระหว่างประเทศเปรียบเสมือนเป็นบัฟเฟอร์ สำหรับปกป้องประเทศจากเหตุการณ์กระแสเงินทุนไหลออก
ค่าเงินบาทที่อ่อน + แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยทั่วโลก ทำให้ควรต้องจับตาหนี้ต่างประเทศให้ดีๆ
ค่าเงินบาทที่อ่อนทำให้หนี้ ตปท เพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ และดอกเบี้ยทั่วโลกที่เริ่มขยับขึ้น ย่อมทำให้มีภาระดอกเบี้ยจ่ายมากขึ้น
การมีหนี้ ตปท ลดลง (และในระดับต่ำ) ย่อมเป็นที่ Prefer กว่า
😆😆😆😆😆😆😆😆😆😆😆
ดุลบัญชีเดินสะพัด = ดุลการค้า+ดุลบริการ
ดุลบริการ (Services) เป็นผลสุทธิระหว่างรายรับและรายจ่ายของบริการระหว่างประเทศ ประกอบด้วยค่า ขนส่ง ค่าท่องเที่ยว ค่าบริการและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ของภาคทางการ ค่าสื่อสารโทรคมนาคม ค่ารับเหมา ก่อสร้าง ค่าลิขสิทธิ์/เครื่องหมายการค้า/สิทธิบัตร ค่าประกันภัย เป็นต้น
การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจะส่งผลให้ต้องทำการกู้ยืมเพื่อชดเชยการขาดดุล
*************
หุ้นที่มี PE ต่ำ และมีกำไรต่ำกว่าคาดการณ์ มักจะถูกตลาดลงโทษ โดยราคาลดลงมากกว่าที่ควรจะเป็น
***********
เงินเฟ้อที่สูง ส่งผลให้เกิดความรู้สึกไม่อยากเก็บออมเป็นเงิน เพราะค่าเงินลดลงเรื่อยๆ ทางนึงที่เป็นไปได้ คือการเปลี่ยนเงินเป็นทรัพย์สินที่มีความคงทนถาวรและสามารถสร้างรายได้ และมีมูลค่าเพิ่มในอนาคต
ทรัพย์สินนึงที่คนคุ้นเคย มีความภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าของ และมีความต้องการกันทุกคน คือ อสังหาริมทรัพย์ (บ้าน คอนโด) ไม่ว่าจะซื้อเก็บเพื่อเพิ่มมูลค่า หรือซื้อเพื่อการลงทุน
จึงมีความเป็นไปได้ว่าจะเกิด demand ในอสังหาเพื่อหนีเงินเฟ้อ (ในกลุ่มคนที่พอมีกำลังซื้อ)
รวมถึงราคาสินทรัพย์ที่มีความคงทนถาวรอาจจะมีราคาถูกลงในสายตาของต่างชาติ ให้ทำให้ต่างชาติอยากจะเข้ามาซื้อสินทรัพย์ที่มีความถาวรเพิ่มขึ้นได้ เช่น คนจีน มาซื้อบ้าน คอนโด (เนื่องจากเงินเฟ้อส่งผลให้ค่าเงินอ่อน และทำให้ราคาสินทรัพย์ในประเทศมีราคาถูกลงในสายตาต่างชาติ)
สมมติ เงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปี 5%
กู้เงินเสียดอกเบี้ย 3% (ส่วนมากมีโปร 3 ปีแรกถ้าซื้ออสังหา หลังจากนั้นรีไฟแนนซ์ได้)
คนกู้ได้ประโยชน์ (หากกู้เพื่อลงทุน) เพราะ กู้วันนี้ สมมตินำไปซื้อทรัพย์สินที่รักษามูลค่าได้ หรือเพิ่มมูลค่าได้ เช่น ซื้อบ้าน
พอปีหน้า ราคาบ้านขึ้นตามเงินเฟ้อ 5% แต่จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ 3% เท่ากับยังกำไร 2% ในขณะที่ สมมติ มีเงินสดเก็บไว้เฉยๆ พอผ่านไป 1 ปีมูลค่าจะลดลง 5%
***********
จำง่ายๆว่า Stagflation มีผลกระทบหลักๆ คือ
1. หาเงินยากขึ้น
2. เงินด้อยค่าลงทุกวัน
ถ้าจำหลักนี้ได้ จะไม่งงเวลาฟังข่าว หรือฟัง นวค
*********
สิ่งสำคัญยิ่งกว่าฝีมือ คือความอดทน
**********
ซื้อ บ.ที่มีอนาคต มีการเติบโต เมื่อราคาสมเหตุสมผล ส่วนเศรษฐกิจภาพใหญ่ บางครั้งก็ช่วยหนุนบริษัท บางครั้งก็เป็นแรงต้านบริษัท
แต่ในระยะยาวแล้ว บริษัทที่มีอนาคตก็จะฝ่าฟัน ภาพใหญ่ของเศรษฐกิจที่ทั้งเกื้อหนุนและคอยถ่วง ไปได้อยู่ดี
กังวลหรือกะเก็งสภาพตลาดให้น้อยลง ศึกษาตัว บ.และธุรกิจให้มากขึ้นแทน
**********
ยังจำความรู้สึก ของตลาดหุ้นเมื่อวันก่อนที่ลบ 19 จุดได้ไหมครับ หลายคนรู้สึกว่ามันหมีสุดๆ และมันจะต้องหมีตัวใหญ่ต่ออีกอย่างแน่นอน
เมื่อเทียบกับความรู้สึกของวันนี้ดูเหมือนจะเปลี่ยนมุมมองเป็นกระทิงกันแล้ว
ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรที่ทำให้เมื่อ 2 วันก่อนเป็นหมีและวันนี้เป็นกระทิง จริงๆแล้วแค่ 2 วัน เหตุผลมันไม่ได้เปลี่ยนไปเลย มันอยู่ที่ตลาดจะให้น้ำหนักกับข่าวที่เป็นหมีหรือเป็นกระทิงมากกว่า
สิ่งที่อยากจะสื่อก็คือ ข่าวมีมาตลอดเวลา เดี๋ยวหมีบ้าง เดี๋ยวกระทิงบ้าง ตลาดจะให้น้ำหนักไปในทางไหนขึ้นอยู่กับอารมณ์เป็นหลัก
หากคุณเป็นนักลงทุน สามารถที่จะมองข้ามความผันผวนเหล่านี้ออกไปได้เลย โฟกัสไปที่ราคาที่จ่ายกับคุณค่าที่ได้รับ หากมันคุ้มค่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะยาวแล้วล่ะก็ ไม่ต้องไปใส่ใจกับความผันผวนระยะสั้นเลย
ตลาดมันอยากจะแกว่งก็ให้มันแกว่งไป ถ้าคุณซื้อแบงค์ร้อยด้วยเงิน 70 บาท แล้วมีคนมาขอซื้อแบงค์ร้อยของคุณด้วยราคา 50 บาท คุณต้องบ้าจี้ขายให้เขาไหม ?
เมื่อจ่ายไปในราคาที่คุ้มกับคุณค่าที่จะได้รับแล้วล่ะก็ ทำใจร่มๆ นิ่งๆ แค่รอสิ่งดีๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
*********
ถ้าตลาดให้ราคาผิดพลาดเป็นเวลาที่นานพอ ก็จะทำให้คนส่วนใหญ่คล้อยตามได้
**********
ความรู้ทักษะที่หลากหลาย สามารถช่วยส่งเสริมทักษะที่มีอยู่เดิมได้ ช่วยให้เก่งขึ้น ลึกซึ้งขึ้นได้
******
ใครๆก็อยากประสบความสำเร็จ แต่อย่าลืมถามตัวเองว่า เลือกทาง + ทุ่มเทอย่างหนักมากเพียงพอที่จะคู่ควรกับความสำเร็จนั้นไหม
ความสำเร็จแบบฟลุ๊คที่มาจากความโชคดีนั้นอยู่ได้ไม่นาน แต่ความสำเร็จจากความมุ่งมั่นบากบั่นนี่สิยืนยาวกว่า
**********
ถ้าใช้หลักการซื้อหุ้นด้วยการเก็งกำไร หุ้นทุกตัวที่คุณซื้อก็คือการเก็งกำไร
ถ้าใช้หลักการลงทุนเลือกซื้อหุ้น หุ้นทุกตัวที่คุณซื้อก็คือการลงทุน
มันไม่มีหรอก ที่ใช้หลักการเก็งกำไรในการซื้อ พอติดดอยแล้วบอกว่าเป็นหุ้นลงทุน เป็นวีไอ
ใช้หลักการไหนก็ไม่ผิด แต่จะผิดถ้าหลอกตัวเอง และในตลาดหุ้น คนผิดคือคนจ่ายเสมอ
**********
เวลาซื้อหุ้นเพื่อลงทุน เมื่อตั้งใจจะ "ลงทุน" แล้ว แปลว่า ควรต้องยอมรับความผันผวนระยะสั้นของตลาดได้แล้ว (ปกติ ถ้าซื้อหุ้นได้ในราคาถูกหรือราคาสมเหตุสมผล ความผันผวนสูงสุด Max DD จากที่สังเกตนักลงทุนเก่งๆระดับโลก จะอยู่ที่ประมาณ 40% บวกลบ นั่นคือสิ่งที่ควรรู้และเตรียมใจไว้)
ลองมาดูความผันผวนของ BRK-A ที่เป็นพอร์ตหุ้นหลักของทั้งปู่ชาลีร์ และปู่ บัฟเฟตต์ จะเห็นว่าพอร์ตหลักของทั้ง 2 ปู่มีความผันผวนสูงสุดถึงประมาณ 50% เลยทีเดียว แต่มันก็เป็นแค่ความผันผวนบนช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น สุดท้ายแล้วพอร์ตก็ยังคงเติบโต เติบโต และเติบโต (รูปสุดท้าย)
เวลาดูหุ้นที่เป็น super stock ใครๆก็คิดว่าถ้ามีโอกาสได้ซื้อตอนราคาถูกแล้วถือยาวเหมือนอาจารย์นิเวศน์ก็คงจะรวยเหมือนๆกัน
อย่าง CPALL ราคาปี 2008 อยู่แถว 3.75 (ราคาปัจจุบัน หลังแตกพาร์) ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 62 บาท ใครๆก็คิดว่าการถือ CPALL เป็นเรื่องง่ายถ้าซื้อได้ตอนถูกแล้วถือยาวก็คงจะรวยได้
แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เป็นเช่นนั้นเลย เพราะว่าระหว่างทาง มีความผันผวน ระดับติดลบ 20% ถึงติดลบประมาณ 40% อยู่หลายครั้งทีเดียว
ถ้าคนที่ไม่ยึดมั่นในหลักการลงทุน ไม่ศึกษาบริษัทให้มากพอ ไม่มีทางถือหุ้นผ่านความผันผวนระดับนั้นมาได้
โดยมากเจอความผันผวนระดับ 7-10% ก็รีบเทขายหนีตายกันแล้ว
"การขาดทุนก้อนใหญ่ (แบบชั่วคราว) เป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนระยะยาว ถ้ายอมรับมันไม่ได้ คุณก็ไม่อาจเก็บเกี่ยวผลตอบแทนระยะยาวที่ตลาดจะมอบให้กับคุณ" - ชาลี มังเกอร์
**********
ถ้าคุณซื้อหุ้นของบริษัทที่ดี แข็งแรง มั่นคงในราคาถูกหรือราคาสมเหตุสมผลแล้วล่ะก็ คุณไม่ต้องกลัวว่าบริษัทจะล้มหายตายจาก จนราคาหุ้นกลายเป็นศูนย์ ถึงแม้ว่ามันจะมีความผันผวนที่มากก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วราคาหุ้นก็จะกลับมาได้ ตามพื้นฐานมูลค่าของบริษัทอยู่ดี
ประเด็นคือ คุณมั่นใจขนาดไหนว่ารู้จริง ว่า
- ซื้อหุ้นได้ในราคาไม่แพงหรือสมเหตุสมผล
- บริษัทมีความแข็งแรงมั่นคง ผู้บริหารมีความตั้งมั่น ตั้งใจจริงในการทำธุรกิจอย่างซื่อสัตย์
**********
การซื้อหุ้นเพื่อลงทุน เป็นเรื่องระหว่างราคาและคุณค่าที่ได้รับกลับมา
**********
การเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จนั้นต้องอาศัยการตอบสนองอัตโนมัติแบบที่ถูกต้อง ซึ่งการจะมีการตอบสนองแบบนั้นได้ ต้องผ่านการฝึกฝนมา
เช่น ทุกคนรู้ว่าหากราคาหุ้นลดลงมาต่ำมากๆ ควรจะลงทุนเพิ่ม จะซื้อหุ้นเพื่อการลงทุนเพิ่ม
แต่พอตลาดเทกระจาดลงมาอย่างรุนแรงจริงๆ action ที่เป็นอัตโนมัติกับกลายเป็นรีบคัดลอสหุ้นที่มีอยู่ในพอร์ต แทนที่จะลงทุนเพิ่มตามความรู้ที่มี สาเหตุเป็นเพราะ การตอบสนองแบบอัตโนมัติไม่ได้ถูกฝึกมาให้สอดคล้องกับการลงทุน ทำให้ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจแทนหลักการที่มีเหตุผล หรืออาจจะใช้หลักการของเทรดเดอร์แทนหลักการลงทุน (ใช้หลักการไม่สอดคล้องกับวิธีการ)
*****
ความเข้าใจในงบการเงินจะทำให้ มีความอดทนมากขึ้นในการถือหุ้น
*****
มันไม่มีอยู่จริงหรอกการลงทุนแบบไฮบริด มันมีแค่นักลงทุนหรือเทรดเดอร์ เท่านั้นแหละ
การใช้ข้อมูลพื้นฐาน เพื่อประกอบการซื้อๆขายๆ โดยใช้กฎของการเทรด มันก็คือการเทรดนั่นแหละ แค่ใช้ปัจจัยพื้นฐานเป็นสตอรี่ เพื่อหวังจะให้มันเป็น catalyte เป็นตัวเร่งราคาเท่านั้นเอง
เป็นเทรดเดอร์ก็แค่ยอมรับว่าเป็นเทรดเดอร์มันไม่ได้ผิดอะไร หากไม่ยอมรับก็จะนำหลักการที่ไม่ตรงกับวิธีการมาใช้ เป็นการหลงผิดโดยไม่รู้ตัว ซึ่งแน่นอนว่าในตลาดหุ้น คนที่ผิดคือคนที่จ่ายเสมอ
**********
เวลาอ่านในเรื่องความเสี่ยงของบริษัท บางบริษัทอาจจะมีความเสี่ยงในด้านที่มีลูกค้ารายใหญ่ จำนวนไม่กี่ราย ที่มีผลต่อรายได้ของบริษัทเป็นจำนวนมาก วิธีป้องกันความเสี่ยงที่บริษัทมักจะเขียนไว้คือเรามีความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้ามานานนับ 10 ปี จึงไม่น่าที่จะ มีใครมาแย่งลูกค้าไปได้
หรือมองอีกมุมนึง เราควรจะพูดว่า มีลูกค้ามาเป็น 10 ปีแล้ว ไม่มีรายใหม่ๆเพิ่มขึ้นมาบ้างเลยหรือ ทำไมมีอยู่เพียงไม่กี่รายเท่าเดิม มันน่ากลัวนะ
******
เพิ่มพูนความรู้ + พยายามมีสติ เพื่อตัดสินใจให้ดีในทุกสถานการณ์ "อย่างสม่ำเสมอ"
******
ด้วยเหตุผลทางจิตวิทยา เมื่อเราขายหุ้น ที่ราคาขึ้นมาแล้ว เราก็มักจะไม่กลับไปซื้อหุ้นตัวเดิมในราคาที่แพงกว่าตอนที่ขายออกไป
และเมื่อราคาหุ้นไม่ลงมา เท่ากับเราจะหมดหุ้นดีไปอีกหนึ่งตัว แล้วการจะไปหาหุ้นดีตัวใหม่ ซึ่งไม่รู้ว่าจะดีกว่าเดิมหรือเปล่า นั่นทำให้ต้องพยายามถือหุ้นให้ยาวที่สุดเท่าที่เป็นไปได้