วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2558

บางส่วนจาก FB ห้อง Invested in Stocks

บางส่วนจาก FB ห้อง Invested in Stocks

ในภาวะที่มีความมั่นใจมากเกินไป จะไม่รับรู้ถึงความเสี่ยงใดๆทั้งสิ้น และสุดท้ายก็จะ Overtrade

ต้นตอของปัญหาหลักในการลงทุน ที่แท้จริงแล้วคือ "มุมมอง" ของ นลท นั่นเอง แต่โดยมากมักเข้าใจผิดว่าเกิดจาก มีความรู้เกี่ยวกับตลาดน้อยไป

การโทษตลาด จากความเจ็บปวดที่เกิดจากการเทรดแล้วขาดทุนนั้น หนังสือสักเล่มบอกว่ามันคือการโยงเอานิสัยตอนเด็กมาใช้ เมื่อเด็กโดนห้ามเล่นอะไรบางอย่างที่อันตรายก็มักจะโทษคนห้ามว่าเป็นคนทำลายความสุข และสร้างความเจ็บปวดให้‪#‎คุมความเสี่ยงก่อนเทรด‬

การเทรดที่ไม่ได้เกิดจากวิธีการที่ถูกต้อง (bad trade good result) แต่ชนะครั้งแล้วครั้งเล่าจะตอกย้ำแล้ววิธีการเทรดที่แย่จนติดเป็นนิสัย จนกระทั้งเมื่อ bad result มาถึงจะสร้างความเสียหายอย่างหนัก
ส่วนการเทรดที่เกิดจากวิธีการที่ถูกต้อง แต่แพ้ครั้งแล้วครั้งเล่าติดๆกัน (good trade bad result) จะไม่ทำให้เกิดการเสียหายหนักๆ แต่มันจะบั่นทอนจิตใจ ทำให้ขาดความเชื่อมั่นในวิธีการจนสุดท้ายจะ break rule ออกไปเอง เหลือไว้แต่ผู้ที่สามารถคง good trade ได้อย่างต่อเนื่องเท่านั้น ที่สุดท้ายจะได้รับ good trade good result


Bias คือ ความโน้มเอียงของภาวะจิตใจหรือทัศนคติ ที่จะแสดงหรือยึดถือความคิดเห็นที่ไม่สมบูรณ์ บ่อยครั้งมาพร้อมกับการปฏิเสธที่จะพิจารณาความเป็นไปได้ของความคิดเห็นที่ต่างออกไป
ซื้อขายหุ้นมีไบแอสกันหรือเปล่า

Selection bias คือ ความผิดพลาดทางสถิติ เนื่องมาจากวิธีการเลือกตัวอย่างหรือกลุ่มตัวอย่างในงานศึกษา (ใน system trade ของหุ้น คือการเลือก sample ) กลุ่ม หรือข้อมูลเพื่อทำการวิเคราะห์ โดยที่ไม่มีการสุ่ม (randomization) ที่สมควร และดังนั้นจึงทำให้ตัวอย่างที่ได้มา ไม่สามารถเป็นตัวแทนของทั้งหมดที่ต้องการจะวิเคราะห์ ทำให้ผลการวิเคราะห์นั้นผิดพลาดได้ (ในทาง system trade จึงควรมีการดึงเอา out sample มาทดสอบด้วย )


Confirmation bias เป็นความลำเอียงในข้อมูลที่ยืนยันความคิดหรือทฤษฎีหรือสมมติฐานฝ่ายตน เรียกว่ามีความลำเอียงนี้เมื่อสะสมข้อมูลที่เลือกเฟ้น หรือว่าเมื่อมีการตีความหมายข้อมูลอย่างลำเอียง
ความลำเอียงนี้มีอยู่ในระดับสูงในประเด็นที่ทำให้เกิดอารมณ์หรือเกี่ยวกับความเชื่อที่ฝังแน่น นอกจากนั้นแล้ว มักตีความหมายข้อมูลที่ยังไม่ชัดเจน เพื่อสนับสนุนความคิดเห็นของตนเอง มีการใช้การสืบหา การตีความหมาย และความทรงจำที่ประกอบด้วยความลำเอียงเช่นนี้ เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ
ไบแอสชนิดนี้ พบได้มากในกลุ่มนักลงทุนวีไอ

Self-enhancement bias (ความเอนเอียงในการยกตน) อาจจะมีบทบาท คือเรามีแรงจูงใจที่จะมองตนในแง่ดี แต่เพราะว่าความเอนเอียงเป็นสิ่งที่ไม่น่าชอบใจ ดังนั้น เรามักจะคิดว่าการรับรู้และการตัดสินใจของเรานั้นมีเหตุผล แม่นยำ และปราศจากความเอนเอียง และเรามักจะมีความเอนเอียงในการยกตนเมื่อต้องวิเคราะห์การตัดสินใจของตนด้วย คือเรามักจะคิดว่า เราตัดสินใจได้ดีกว่าคนอื่น
ไบแอสแบบนี้มักเกิดในคนเก่ง คนที่มีความรู้ เช่น หากวิเคราะห์งบเก่ง หรือวิเคราะห์กราฟเก่ง จนไม่รับฟังเหตุผลหรือความเห็นของนักวิเคราะห์คนอื่น ประกอบการตัดสินใจเพราะคิดว่าตนเองตัดสินใจได้ดีที่สุดแล้ว ออกแนวมั่นใจจนเกินไป อันนี้ต้องระวัง การมั่นใจมากเกินไปจะส่งผลให้เกิดการ overtrade ได้ง่าย

“Bandwagon Effect” หรือ “การแห่ตามกระแสนิยม” เป็นการอคติทางความคิด (Cognitive Bias) ประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์แห่ทำตามๆ กันเป็นจำนวนมากซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่มีเหตุผลมาสนับสนุน ในบางครั้งอาจนำไปสู่การอุปทานหมู่ หรือการนำไปใช้ประโยชน์ของผู้ที่อยากควบคุมมวลชนคือการทำจิตวิทยาหมู่
"หุ้นตัวนี้ดีนะ ซื้อกันเยอะแทบทุกคนที่เก่งๆต้องมีหุ้นตัวนี้ในพอร์ต"
คนที่ได้ฟังจะเริ่มสนใจ และมีความโน้มเอียงที่จะซื้อบ้างเพราะกลัวตกรถ โดยที่ไม่ได้ดูเหตุผลในการซื้อของตนเอง

Availability cascade คือ ข่าวที่ถูกกล่าวซ้ำๆ จนเหมือนเป็นกระแส แม้จะไม่ใช่ความจริงแต่หากถูกกล่าวซ้ำๆก็ยิ่งได้รับการเชื่อว่าเป็นความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นอาการไบแอสอย่างนึงของคนที่ได้รับฟัง แม้ว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้ก็ตาม


"ความเชื่อ" ของเทรดเดอร์ ว่าอะไรคือความจริงเป็นสิ่งสำคัญต่อการคิด ต่อมุมมอง ต่อการตัดสินใจ และต่อการกระทำ และมันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ตัดสินใจเทรดสวนทางกับความเชื่อ ดังนั้นสิ่งพื้นฐานที่สำคัญที่สุดคือ การมีความเชื่ออย่างถูกต้อง

หมั่นถามตัวเองเมื่อเกิดความขัดแย้งในจิตใจ ว่าสิ่งที่เราคิดเกิดจากการรับรู้ข้อมูลจากตลาด หรือเกิดจากจิตใจเราสะท้อนความกลัว ความโลภออกมาให้เราคิดกันแน่

การเทรด ที่มีการควบคุมความเสี่ยงไว้แล้ว หมายความว่า จะต้องไม่กังวล ไม่กลัว ไม่ว่าผลการเทรดจะออกมาในรูปแบบใด หากยังกังวล หรือ เครียดกับผลการเทรด แสดงว่า ความเสี่ยงที่วางไว้นั้น ยังสูงเกินไป การวางแผนการเทรดที่ดีนั้น เมื่อเกิดผลลบ จะต้องไม่กระทบกับจิตใจ เป็นจุดสำคัญ


ราคาหุ้นถูกผลักดันจากแรงซื้อและแรงขาย เพียงสองอย่างนี้เท่านั้นที่จะกำหนดทิศทางของราคาได้ 
Player ในตลาดก็สามารถทำกำไรได้จากการกระทำสองทาง คือ ซื้อราคาต่ำขายราคาสูง หรือ ขายราคาสูงแล้วค่อยซื้อคืนราคาต่ำ
หากแรงซื้อและแรงขายสมดุลกันราคาก็จะไม่ไปไหน แต่หากแรงด้านไหนมากกว่าก็จะผลักดันให้ราคาเคลื่อนที่ไป
ในจุดที่สมดุลของราคา หากมีแรงที่เกินกว่าในด้านซื้อหรือขายจากเทรดเดอร์เพียงแค่คนเดียวก็จะเกิดการไหลของราคา มันเหมือนกับตาชั่งที่จะเอียงไปด้านใดด้านนึงจากแรงผลักที่เกินสมดุลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เช่นกับกับการเทรด ณ จุดสมดุล เทรดเดอร์เพียงคนเดียวก็สามารถผลักดันราคาให้เคลื่อนที่ได้แล้ว



การโยนเหรียญแต่ละครั้ง จะไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะออกหัวหรือออกก้อย (เรียกจุดนี้ว่า ในภาพเล็ก)
แต่การโยนเหรียญหลายร้อยครั้งถึงเป็นพันครั้ง จะสามารถคาดเดาผลที่จะเกิดได้ คือ % ออกหัวและก้อย จะประมาณ 50% (เรียกจุดนี้ว่าภาพใหญ่)
หากเราตั้งกฎว่า หากออกหัววางเดิมพัน 1 จะได้คืนมา 2 (ไม่รวมทุน) และหากออกก้อย วางเดิมพัน 1 จะเสีย 1
เกมนี้ในภาพเล็กเราไม่อาจคาดเดาได้ว่าแต่ละครั้งจะออกหัวหรือก้อย จะได้เงินเดิมพันหรือเสียเงินเดิมพัน แต่ในภาพใหญ่เรารู้แน่ๆว่าจะได้กำไร เพราะเวลาได้จะได้ 2 เวลาเสียจะเสีย 1 และอัตราการเกิดหัวและก้อยคือ 50:50
หุ้นก็เช่นกัน ในภาพเล็กเราไม่สามารถคาดเดาได้อย่างแน่ๆ ว่าจะวิ่งขึ้นหรือลง แต่ในภาพใหญ่ ในบางสภาวะของตลาดเราสามารถคาดการณ์ได้ว่า ผลที่เกิดขึ้นจะเอียงไปทางไหน และการทำกำไรก็อยู่ที่การตั้งกฎเกณฑ์



นักลงทุนทั่วไปพยายามจะเป็นคนถูกทุกครั้ง ที่เข้าซื้อขายหุ้น แต่เป็นความพยายามที่ไม่มีทางเป็นไปได้ เป็นความพยายามที่จะทำในสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง

การขาดทุนเป็นส่วนนึงของความสำเร็จ แต่ต้องมีลิมิต เป็นส่วนนึงของการคุมความเสี่ยง แต่ก็ไม่ใช่ไม่ยอมรับการขาดทุนเลย


ช่วงนี้มีบางคนเริ่มซื้อ ซื้อ ซื้อ แล้วก็ซื้อ ทีละหน่อยไปเรื่อยๆ พอเงินใกล้หมดก็บอกว่าใกล้เด้งแล้ว คือแบบ ตลาดมันสนใจด้วยหรอ ว่าคนซื้อเงินใกล้จะหมดแล้วนะ จะต้องเด้งได้แล้ว ตลาดมันสนใจด้วยหรอว่าซื้อเสร็จแล้วนะ ถึงเวลาเด้งแล้ว
ปู่ไม่ใช่แมวนะ ที่พอกลับถึงบ้านแล้วก็ร้องบอก ฉันเที่ยวเสร็จแล้ว ฉันกลับมาแล้ว เอาอาหารมาให้ฉันซะดีๆ ^^




จริงๆแล้วหากเราสามารถเทรดชนะตลาดได้สัก 10-12% ต่อปี ทั้งในตลาดขาขึ้นและตลาดขาลง ในระยะยาวแล้วจะมีผลงานที่ดีมากๆทีเดียว
คำว่าชนะตลาดสัก 10% ไม่ได้หมายความว่าจะติดลบเงินต้นไม่ได้ เช่น หากตลาด -20% แล้วเราสามารถชนะตลาดได้ 10% ก็คือเงินต้นติดลบ -10% ในปีที่ตลาด +15% แล้วเราสามารถชนะตลาด 10% นั่นคือเราจะบวก +25% ในปีนั้น
ระยะยาวตั้งแต่ตลาดเปิดถึงปัจจุบัน จาก 100 จุดถึง 1260 จุดบนเวลา 40ปีนั้น เท่ากับตลาดโตแบบ "ทบต้น" ปีละ 6.5% ดังนั้นในระยะยาวหากเราชนะตลาดได้ปีละ 10% นั่นแปลว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ปีละ 16.5% ตลอดเวลา 40 ปี ถ้าทำได้ผลงานระดับนี้ ทำให้คนกลายเป็นเศรษฐีได้เลยทีเดียว
***เงิน 100,000 โตทบต้นปีละ 16.5% ตลอด 40 ปี จะกลายเป็นเงินประมาณ 45 ล้าน



คนเรารับรู้ข้อมูลจากสิ่งแวดล้อมได้ผ่านการแปลความหมายของตนเอง และการรับรู้ข้อมูลนั้นอาจถูกปิดกั้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งสาเหตุที่สำคัญมาจาก มาจากใจที่ปิดกั้นด้วยจิตใต้สำนึก เป็นการปิดกั้นการรับข้อมูลแบบเราไม่รู้ตัวว่าโดนปิดกั้นด้วยใจเราเอง เช่น ลองสังเกต เวลาพอร์ตเราเขียว เรามักจะเปิดดูพอร์ตบ่อยกว่าตอนพอร์ตแดงหนักๆ เพราะใจเราป้องกันตัวเองจากความขุ่นเคือง
ลักษณะที่จิตใจเราปิดกั้นข้อมูลนี้ จะส่งผลต่อการเทรดด้วยเช่นกัน เช่น ตลาดแสดงข้อมูลแนวโน้มขาลง แต่เราคาดให้มันขึ้น ใจเราจะปิดกั้นการรับรู้ข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา โดยการหาเหตุผลต่างๆมาอ้างกับตัวเอง เพื่อให้เราถือสถานะนั้นต่อ จนสุดท้ายขาดทุนหนักทนไม่ไหวจึงปิดสถานะออกมา แล้วจึงมามองย้อนหลังค่อยเห็นแนวโน้มที่ตลาดบอก หลังจากที่ไม่มีสถานะแล้ว ไม่มีอะไรคาดหวังกับตลาดแล้ว เราจึงค่อยมองเห็นข้อมูลจากตลาดตามความเป็นจริงอย่างตรงไปตรงมา เมื่อไรที่เริ่มคาดหวัง และเริ่มจะผิดหวัง ใจเราจะป้องกันตัวแบบอัติโนมัติด้วยการปิดการรับรู้ข้อมูลบางอย่าง นั่นคือทำให้เรามีไบแอสนั่นเอง เมื่อเรารู้ว่าจิตใจเรามีระบบป้องกันตัวโดยอัติโนมัติซึ่งทำให้เกิดการบิดเบี้ยวของการรับรู้ข้อมูล (ไบแอส) ทางแก้คือทำอย่างไรให้จิตใจไม่ต้องป้องกันตัวโดยอัติโมัติ หากทำได้เราจะสามารถรับรู้สิ่งที่ตลาดบอกเราได้อย่างตรงไปตรงมา
จิตใจป้องกันเราจากอะไร
จากอารมณ์ขุ่นเคือง จากอารมณ์กลัว
อารมณ์เหล่านี้เกิดได้จาก การคาดหวังแล้วผิดหวังและความเสียหายในระดับที่ยอมรับไม่ได้ ทางแก้ คือ ไม่คาดหวัง และคุมความเสียหายให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ก็คือที่ชอบพูดกันว่า คุม risk นั่นเอง ที่บอกว่าไม่คาดหวัง คืออะไร
เช่น เราโยนเหรียญ เราย่อมไม่สามารถคาดหวังได้ว่าจะออกหัวหรือก้อยนั่นเอง


คนส่วนใหญ่ชอบเข้มงวดต่อความคาดหวัง และผ่อนปรนต่อกฎการเทรด ซึ่งที่ถูกต้องทำกลับกัน

บอกเลยปีนี้หุ้นที่ราคาขึ้นเกินร้อยเปอร์เซนต์ มีเกินสิบตัว และหุ้นที่ราคาขึ้นเกินสามสิบเปอมีเกินห้าสิบตัว ว่าแต่เราไปทำอะไรอยู่ ทำไมไปซื้อตัวที่ขาดทุน ฮาาา #2558

เวลาดูภาพรวมธุรกิจอย่าลืมดู 3ส่วนต่อไปนี้
Mkt growth ,Mkt share , Net margin
‪#‎ดูธุรกิจนะคับ‬ ‪#‎ดูหุ้นอีกเรื่อง‬ ‪#‎ฮาาา‬

พวกเราส่วนใหญ่ รู้ดีว่าควรเทรดยังไง คัทลอสยังไง แต่จริงๆแล้วการลงมือทำจริงต่างหากที่เป็นปัญหา แทบทุกเรื่องปัญหาไม่ได้อยู่ที่ความรู้แต่อยู่ที่การปฎิบัติ ทุกคนรู้ดีว่าควรออกกำลังกายอาทิตย์ละ 4-5 วัน วันละอย่างน้อยสามสิบนาที แต่ทำเป็นประจำ มีวินัยในการทำได้หรือไม่ รู้ว่ากินของทอดไม่ดีแต่ยังกินกันอยู่หรือไม่ เทรดหุ้นก็เช่นกัน

ตัวข้อมูลจากตลาดนั้น ไม่ได้ติดเอาอารมณ์เจ็บปวดขุ่นเคืองมาให้เรา มิเช่นนั้น คนที่รับรู้ข้อมูล ก็จะต้องเจ็บปวดขุ่นเคือง เหมือนกันทุกคนที่ได้รับข้อมูลนั้น เช่น เวลาตลาดลงแรงๆ คนที่ S ไว้ก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บเมื่อตลาดลง 
แต่อารมณ์เจ็บปวดเกิดจาก "การตีความหมาย" ของข้อมูลที่เราได้รับต่างหาก


ไม่ว่ากลยุทธ์จะดีเพียงใด จะเจ๋งแค่ไหน สุดท้ายเราก็ดูที่ผลลัพธ์

ในตลาดหุ้นอะไรก็เกิดขึ้นได้ ไม่จำเป็นต้องรู้อนาคต ก็ทำเงินจากมันได้ (รวมทั้งเสียเงินด้วย ฮา)
หุ้นในตลาดถ้าดูดีๆตัวที่พื้นฐานดี งบการเงินดีก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็น winner
ตัวที่งบเน่าก็ไม่เสมอไปว่าจะเป็น loser ทุกตัว จนน่าจะกล่าวได้ว่า ตัวที่เป็นผู้ขนะและผู้แพ้น่าจะมีการกระจายตัวแบบสุ่ม บนการการกระจายตัวแบบสุ่มนั้น สามารถระบุตัวชี้วัดความได้เปรียบ หรือเสียเปรียบในภาพรวมได้ แต่ในภาพเล็กย่อยๆแต่ละภาพเป็นเรื่องเฉพาะตัว คือไม่เกี่ยวกัน เช่น หุ้นตัวนี้เคยเป็นผู้ชนะในช่วงเวลานึง ไม่ได้แปลว่า จะต้องกลับมาเป็นผู้ชนะอีก มันชนะในเวลานั้นก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวมันเองในเวลานั้น
ถ้าเรายอมรับมันได้แบบนี้ จะไม่ต้องผิดหวังเวลาหุ้นที่เราซื้อแล้วราคาลง เหมือนกับที่ทายการโยนเหรียญผิด ทายหัวออกก้อย ผิดหวังไหม ไม่ผิดหวังเพราะรู้อยู่แล้วว่า จะออกหัวหรือก้อยคือการสุ่มออกมา หุ้นก็เช่นกัน
แต่สามารถระบุกฎของความได้เปรียบขึ้นมาได้ เช่น กฎอะไรบ้างที่ทำให้ขาดทุนน้อย กฎอะไรบ้างที่ทำให้กำไรเติบโต นี่คือภาพใหญ่ นี่คือตัวชี้วัดความได้เปรียบ
‪#‎จดเท่าที่คิด‬

ทำไมถึงไม่ควรคาดหวังว่าจะเป็นฝั่งถูกเสมอไป หากสังเกตจะพบว่าเวลาเราอยู่ฝั่งถูก อารมณ์จะลิงโลด ฟูฟ่อง เวลาเราอยู่ฝั่งผิดอารมณืจะหดหู่ห่อเหี่ยว ผิดหวัง (เพราะเราเป็นคน ไม่ใช่ robot ที่จะไม่มีอารมณ์ความรู้สึก แต่เราสามารถลดอารมณ์ลงได้ ด้วยการกำหนดความคาดหวังของเรา หวกหวังต่ำหรือไม่หวังก็จะไม่ผิดหวัง)
อารมณ์จากความผิดหวังและดีใจ ส่งผลต่อการเทรดครั้งต่อไปของเราอย่างแน่นอน หากเราเทรดด้วยอารมณ์ ผลการเทรดย่อมต่างจากการเทรดอย่างมีหลักเกณฑ์อย่างแน่นอน

“There are no external solutions to your internal problems.”

Bias Blind Spot ความลำเอียงในการมองข้ามความผิดของตนเอง มองเห็นแต่ความผิดของผู้อื่น

If you can’t define your risk because something unexpected has occurred, get to cash as fast as possible. You will think with a clearer head if you don’t have money on the line.

เข้ามาตลาดหุ้นเพื่อทำเงินไม่ใช่หรือ
ทำเงินจากหุ้นตัวไหนก็เหมือนกันหมดไม่ใช่หรือ
ทำเงินจากหุ้นดี ทำเงินจากหุ้นเลว สุดท้ายคือ ทำเงินได้หรือไม่ต่างหากเล่า
หุ้นดีที่ไม่ทำเงิน น่าสนใจหรือ
หุ้นเลวที่ทำเงินได้ ไม่น่าสนใจหรือ
นานาจิตตัง

Cut your losers at the knees before they cut your throat.
Big losers had to have been small losers first.
Don’t hedge speculative positions. Get out of them by offsetting.
If you can’t define your blind spots, you are not working hard enough in risk management.


ความสวยงามของระบบเทรดอย่างนึง ก็คือ คุณไม่จำเป็นต้องรู้อนาคตว่าตลาดจะเป็นอย่างไร คุณไม่จำเป็นต้องคาดเดาทิศทางตลาดว่าจะไปในทางไหน คุณก็สามารถทำกำไรจากมันได้

จริงๆแล้ว การใช้ระบบเทรด มันก็คือการนำการคาดการณ์อนาคตจากเครื่องมือต่างๆ มาใช้ เช่น ระบบง่ายๆ บอกว่าซื้อเมื่อ Hist. MACD มากกว่า 0 และขายเมื่อต่ำกว่า 0 
นั่นก็เป็นเพราะคาดอนาคตว่าหาก MACD มากกว่า 0 ราคาจะวิ่งขึ้น จะทำให้เรามีกำไร แต่เมื่อเอามาทำเป็นระบบ มันคือเราไม่แทรกแซงการตัดสินใจเมื่อมันเข้าตามเงื่อนไข เราเพียงทำตามระบบที่วางไว้ โดยไม่ต้องคาดอนาคตด้วยตัวเองอีก ปล่อยให้เงื่อนไขการซื้อขาย ทำหน้าที่ของมัน ทุกเครื่องมือนำเข้ามาทำระบบได้หมด ทั้งเส้นค่าเฉลี่ย ทั้งเวฟ หรือรูปแบบต่างๆของกราฟ (Pattern)

ทำไมเราจึงควรปล่อยให้ ระบบเป็นผู้คาดหวัง แทนเรา ทั้งทั้งที่เราสามารถดู indicator ต่างๆได้เอง เราสามารถคาดหวังอนาคตและผลกำไรได้จากอินดิเคเตอร์เอง เพราะเมื่อเรามีความคาดหวังใด สิ่งที่ตามมาคืออารมณ์และความคิดต่อเนื่องจากอารมณ์ เช่น เราคาดว่า macd ตัดขึ้นแล้ว เดวราคาวิ่งแน่ (อารมณ์โลภเกิดแล้ว) เราต้องซื้อ แต่จะซื้อเท่าไรดีหล่ะ ซื้อน้อยๆละกันเดวผิดทาง ราคาหุ้นขยับขึ้น ใจเริ่มคิด ซื้อน้อยเกินไปซื้อเพิ่มอีกหน่อยละกัน (จุดซื้อตรงนี้ เกินเลยกว่าระบบสั่งแล้ว) ราคาขึ้นต่อ (ใจเริ่มคิด เมื่อกี้น่าจะซื้อเยอะๆ ต้องอัดซื้อเลย)
มาถึงจุดนี้คือลืมเรื่องคุม RISK ไปเรียบร้อยแล้ว กำลังหน้ามืดตามัวจนลืมคุมความเสี่ยงแล้ว อาการแบบนี้เกิดตลอดเวลาเมื่ออยู่ในตลาดหุ้น จะมากจะน้อยเท่านั้นเอง

การสร้างระบบของตัวเอง แบบง่ายๆเบื้องต้น ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่าอะไรเป็นเหตุให้เราซื้อหุ้น และขายหุ้น หากยังไม่รู้ก็ให้ลองจดไดอารี่บันทึกการซื้อขายทุกวัน ว่าวันนี้เราซื้อตัวนี้เพราะอะไร ขายเพราะอะไร หลังจากนั้นเราจะเริ่มมองเห็นเงื่อนไขการซื้อและการขายของเรา เราก็จะสามารถนำมาตั้งเป็นกฎได้ ที่เหลือก็เพียงทำตามกฎที่ตัวเองตั้งให้ได้

Intention equals results. Behavior predicts where you end up.

แมลงสาบไม่เคยมาตัวเดียว

นี่เป็นกฎที่คุณต้องจำไว้นะครับ
แมลงสาบไม่เคยมาตัวเดียว
เมื่อข่าวร้ายเริ่มออกมาข่าวหนึ่ง
มันมักจะมีข่าวร้ายตามออกมาอีกเรื่อยๆ
มันเป็นเรื่องแบบนี้แหละ
แมลงสาบ ไม่เคยมรตัวเดียว
มันยังจะมีข่าวร้ายตามมาอีกเรื่อยๆไม่จบไม่สิ้น
เพราะมันเป็นเช่นนั้นเอง
คุณจะเห็นว่ามันมีแต่ข่าวร้ายออกมาเรื่อยๆ
ยังจะมีแมลงสาบตัวใหม่ออกมาเรื่อยๆ
มันไม่เคยมาตัวเดียว มันมาเป็นฝูง
และมันยังจะตามออกมาอีกเรื่อยๆ
คุณต้องลดขนาดการลงทุนของคุณลง
เสี่ยงให้น้อยลง
ให้น้อยลงอีก
น้อยลงอีก
และน้อยลงอีก
เสี่ยงให้น้อยลง
ให้น้อยลงที่สุด
จนกว่าคุณจะเริ่มกลับมามีกำไรอีกครั้ง
แล้วค่อยเพิ่มความเสี่ยงขึ้นมา
ค่อยๆเพิ่มมันขึ้นมาอีก
เพิ่มขึ้นมาอีกครับ
เพิ่มให้มากกว่าเดิม
แล้วเพิ่มให้มากขึ้นอีก

ความกลัวจะปิดกั้นจิตใจเราในการรับรู้ข้อมูลบางอย่างโดยอัตโนมัติ ทำให้เราเพิกเฉย มองข้าม ข้อมูลบางอย่างโดยที่เราไม่รู้ตัว ตัวอย่าง เคยสังเกตไหมหากพอร์ตแดงมาก แรกๆจะวิตกคิดมาก อาจถึงขั้นนอนไม่หลับ แต่พอผ่านไปสักระยะ จะรู้สึกไม่อยากดูพอร์ต สังเกตดูจะเห็นว่าเปิดดูพอร์ตน้อยกว่าตอนพอร์ตเขียวๆ นั่นเป็นการปกป้องสภาวะจิตจากความกลัวโดยอัตโนมัติของจิตใจมนุษย์ เรื่องเดียวกันนี้ก็ส่งผลต่อการเทรดด้วยความกลัว และความโลภ เช่นกัน เมื่อเราโลภความคิดเราจะไบแอส มองแต่ด้านดี มองข้ามความเสี่ยงต่างๆไปหมด และเมื่อเราเทรดด้วยความกลัว เราจะไม่รับรู้ข้อมูลบางอย่างที่ตลาดเปิดโอกาสให้เรา

จะมีอิสระทางการเงินได้นั้น ควรมีรายได้ที่ประกอบด้วยสามอย่างนี้เป็นอย่างน้อย
1.รายได้จากดอกเบี้ย
2.รายได้จากค่าเช่า
3.รายได้จากเงินปันผล
ส่วนจะตั้งสัดส่วนเท่าไรในแต่ละอย่าง ก็ขึ้นกับความเหมาะสมของแต่ละบุคคล

หุ้นเวลามันลง ไม่เคยมีคำว่าลงต่ำเกินไปแล้วนะคับ เวลามันลงก็คือ บ่อหนั่งไอ่ (ไม่มีคนเอา) ราคาก็ลงได้เรื่อยๆ ต่ำแล้วที่ต่ำกว่าก็มีได้เสมอ 

การเทรดที่ดีจะง่าย แค่รู้ว่าจะต้องทำอะไรและทำในสิ่งที่ต้องทำ และไม่ทำในสิ่งที่ไม่ต้องทำ ทำตามระบบโดยไม่ต้องคิดมากเพียงเท่านั้นเองแต่ระบบนั้นจะต้องผ่านการทดสอบมาเป็นอย่างดี และอย่างละเอียดด้วยนะ