มุมมองที่ นลท มีต่อบอนด์ เทียบกับมุมมองที่ นลท มีต่อ asset ประเภทอื่นๆเช่น หุ้น ทอง
ช่วงหุ้นลง นลท ที่หูตาไวออกจากหุ้นก่อน หลายคนเหตุผลที่ออกเพราะ ต้องการรักษากำไรและเงินต้น อีกหลายคนที่ออกเพราะหุ้นที่มีในมือมันแพงมากกว่า หรือใกล้เคียงมูลค่าแล้ว
เมื่อออกจากหุ้นแล้วมองว่าตลาดจะมีอาการซึมยาว หลายคนต้องหาผลตอบแทนจากทางอื่นชั่วคราว บางคนซื้อซื้อหุ้นกู้ บางคนที่ต้องการความพร้อมของเงินตลอดเวลาเลือกฝากประจำสั้นๆ บางคนเลือกซื้อหุ้นที่มีส่วนต่างราคาทำเทนเดอร์
ช่วงหุ้นลง นลท ที่หูตาไวออกจากหุ้นก่อน หลายคนเหตุผลที่ออกเพราะ ต้องการรักษากำไรและเงินต้น อีกหลายคนที่ออกเพราะหุ้นที่มีในมือมันแพงมากกว่า หรือใกล้เคียงมูลค่าแล้ว
เมื่อออกจากหุ้นแล้วมองว่าตลาดจะมีอาการซึมยาว หลายคนต้องหาผลตอบแทนจากทางอื่นชั่วคราว บางคนซื้อซื้อหุ้นกู้ บางคนที่ต้องการความพร้อมของเงินตลอดเวลาเลือกฝากประจำสั้นๆ บางคนเลือกซื้อหุ้นที่มีส่วนต่างราคาทำเทนเดอร์
มามองถึงคนที่ซื้อหุ้นกู้หรือฝากเงินกัน มักจะคิดว่าเงินต้นอยู่ครบจริงๆแล้วมันอยู่ครบ ถ้าอัตราดอกเบี้ย TTM ที่เราถือมันไม่เปลี่ยน แต่หาก mark to market ทุกวันเหมือนหุ้น จะเห็นได้ว่า NAV ของเงินฝากหรือของเงินที่เราซื้อหุ้นกู้นั้น เปลี่ยนทุกวันไม่ต่างจากหุ้น เพียงแต่เราไม่ได้เอามาคำนวนหรือดูมันบ่อยเท่าหุ้น และมันมีการันตีตอนครบกำหนดว่าเงินต้นอยู่ครบ แต่การันตีนั้นแลกด้วยผลตอบแทนที่ต่ำกว่าเงินเฟ้อเฉลี่ยย้อนหลัง
ลองคำนวนเล่นๆว่า NAV หายไปได้เท่าไร
ลองคำนวนเล่นๆว่า NAV หายไปได้เท่าไร
สมมติ bond 10ปี เราซื้อไว้ที่ ดบ 3.5% มูลค่าที่ซื้อ (NAV) 1,000,000 ต่อมา ดบ เพิ่มเป็น 4.5% หากเราคำนวน NAV จะได้ว่า NAV เหลือ 777,777 บ. ขาดทุนไปถึง 22.22%
เงินฝาก ธนาคาร หรือหุ้นกู้ก็เช่นเดียวกัน
เชื่อว่าหลายคนคงคิดไม่ถึง ว่าการฝากเงินหรือซื้อบอนด์ เมื่อ mark to market แล้ว จะขาดทุนยาม ดบ ขึ้นได้มากขนาดนั้น แค่เรารู้สึกสบายใจที่ไม่ยอมรับความจริงที่เป็น เราปิดตาตัวเอง ไม่มองมันจนกว่าจะครบกำหนด เราอาจเคยสงสัยว่าคำนวนยังไง แต่เราเลือกที่จะไม่หาวิธีในการคำนวน ไม่อยากรับรู้ความจริงเท่านั้นเอง
เงินฝาก ธนาคาร หรือหุ้นกู้ก็เช่นเดียวกัน
เชื่อว่าหลายคนคงคิดไม่ถึง ว่าการฝากเงินหรือซื้อบอนด์ เมื่อ mark to market แล้ว จะขาดทุนยาม ดบ ขึ้นได้มากขนาดนั้น แค่เรารู้สึกสบายใจที่ไม่ยอมรับความจริงที่เป็น เราปิดตาตัวเอง ไม่มองมันจนกว่าจะครบกำหนด เราอาจเคยสงสัยว่าคำนวนยังไง แต่เราเลือกที่จะไม่หาวิธีในการคำนวน ไม่อยากรับรู้ความจริงเท่านั้นเอง
มามองความเหมือนความต่างกับหุ้น อย่างแรกเลยการขายหุ้นที่ over value "เมื่อยามหมดตลาดกระทิง" เป็นสิ่งควรทำ ต่อมาหากเราสามารถซื้อหุ้นที่มีผลตอบแทนจากการดำเนินงานที่เหมาะสม ( irr "จากการดำเนินงาน" ในจุดที่เราเริ่มพอใจ) และเราได้คำนวนเผื่อไปในอนาคตอย่าง conservative เพียงพอ เมื่อเราเริ่มซื้อหุ้นแล้ว และราคายังลงต่อไป เราอาจปิดหูปิดตาเหมือนที่เราฝากเงินกับธนาคารหรือซื้อหุ้นกู้ บนเงื่อนไขสองข้อ
1. การมอง บ.ที่ลงทุนไม่ผิดพลาด และมีการคำนวนที่เผื่อไว้พอสวมควร
2. เห็นภาพ บ.ในอนาคตชัดเจนว่ามูลค่ายามตลาดปกติควรอยู่ที่เท่าไร (ไม่ใช่บนตลาดกระทิง)
1. การมอง บ.ที่ลงทุนไม่ผิดพลาด และมีการคำนวนที่เผื่อไว้พอสวมควร
2. เห็นภาพ บ.ในอนาคตชัดเจนว่ามูลค่ายามตลาดปกติควรอยู่ที่เท่าไร (ไม่ใช่บนตลาดกระทิง)
ซื้อแล้วราคายังลงต่อ ก็เหมือนซื้อบอนด์แล้วระหว่างทาง NAV ลดลง
"เราก็เพียงรอเวลาที่ครบกำหนด ไม่ต่างจากรอบอนด์ครบกำหนด" ซึ่งแน่นอนการลงทุนในหุ้นผลตอบแทนที่เราวางไว้ย่อมมากกว่า
นอกเรื่องสักหน่อย
ประเด็นของ นลท ส่วนใหญ่ที่ขาดทุนคือ
1.มองกิจการไม่ขาด หรือเกิดการลังเลเมื่อเห็นราคาลงมากแล้วขายขาดทุน กลับมาถือเงินสดหรือบอนด์ อันนั้นคือการขาดทุนถาวร เพราะบอนด์เมื่อครบกำหนดเวลาแล้วแทบจะชดเชยการขาดทุนจากหุ้นไม่ได้เลย
2.คำนวนไม่ออกว่าราคาไหนคือ ราคาที่ถูกหรือแพงในการซื้อ รวมถึงคำนวนมูลค่ากิจการแท้จริงไม่ได้
3.ใช้วิธีการลงทุนผิดกับสภาพตลาด เช่น เล่นเก็งกำไรบนตลาดหมี
ประเด็นของ นลท ส่วนใหญ่ที่ขาดทุนคือ
1.มองกิจการไม่ขาด หรือเกิดการลังเลเมื่อเห็นราคาลงมากแล้วขายขาดทุน กลับมาถือเงินสดหรือบอนด์ อันนั้นคือการขาดทุนถาวร เพราะบอนด์เมื่อครบกำหนดเวลาแล้วแทบจะชดเชยการขาดทุนจากหุ้นไม่ได้เลย
2.คำนวนไม่ออกว่าราคาไหนคือ ราคาที่ถูกหรือแพงในการซื้อ รวมถึงคำนวนมูลค่ากิจการแท้จริงไม่ได้
3.ใช้วิธีการลงทุนผิดกับสภาพตลาด เช่น เล่นเก็งกำไรบนตลาดหมี
บาง บ.กิจการดีมาก แต่ราคา เสมือนซื้อ เบนซ์ในราคา โรส์ รอยล์
แล้วบอกว่าลงทุนเพราะ พื้นฐานกิจการ
แล้วบอกว่าลงทุนเพราะ พื้นฐานกิจการ
หากคุณซื้อเพราะต้องการ "กำไรจากการดำเนินงานของ บ." ก็ควรนำผลตอบแทนนั้นมาเทียบกับ ดบ เช่น
หากต้องการถือหุ้นสัก 5ปี และอัตรา ดบ 5ปี อยู่ที่ 3.5%ต่อปี
Net income/Mkt cap ควรจะเป็น (3.5%+ค่าความเสี่ยงในการลงทุน)
แต่อย่างไรก็ตามค่านี้ไม่ควรต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเงินเฟ้อ
สำหรับบาง บ.ที่รายได้ค่อนข้างสม่ำเสมอ กระแสเงินสดดี ปันผล 100% โอกาสเจ๊งในอีก 5ปีแทบเป็นศูนย์ หนี้ต่ำ ไม่มีโอกาสเพิ่มทุนอย่างแน่นอน
ดังนั้นหากเจอ บ.แบบนี้อาจตีค่าความเสี่ยงใกล้เคียงเป็นศูนย์ ดังนั้นผลตอบแทนต่ำสุด อาจใช้ ผลตอบแทนขั้นต่ำสุดที่เราพอใจ แต่มากกว่าเงินเฟ้อเป็นเกณฑ์ก็ได้ เช่น
Net income/Mkt cap > 6%
นั่นคือจุดที่เราเริ่มทยอยซื้อเมื่อราคาลดลงเรื่อยๆ ยิลด์ก็จะมากขึ้นตาม
อันนี้เป็นตัวอย่าง บนเงื่อนไขของหุ้นที่ มีค่าความเสี่ยงการลงทุนเป็นศูนย์นะครับ ไม่ใช่ใช้ได้กับทุกตัว
หากต้องการถือหุ้นสัก 5ปี และอัตรา ดบ 5ปี อยู่ที่ 3.5%ต่อปี
Net income/Mkt cap ควรจะเป็น (3.5%+ค่าความเสี่ยงในการลงทุน)
แต่อย่างไรก็ตามค่านี้ไม่ควรต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเงินเฟ้อ
สำหรับบาง บ.ที่รายได้ค่อนข้างสม่ำเสมอ กระแสเงินสดดี ปันผล 100% โอกาสเจ๊งในอีก 5ปีแทบเป็นศูนย์ หนี้ต่ำ ไม่มีโอกาสเพิ่มทุนอย่างแน่นอน
ดังนั้นหากเจอ บ.แบบนี้อาจตีค่าความเสี่ยงใกล้เคียงเป็นศูนย์ ดังนั้นผลตอบแทนต่ำสุด อาจใช้ ผลตอบแทนขั้นต่ำสุดที่เราพอใจ แต่มากกว่าเงินเฟ้อเป็นเกณฑ์ก็ได้ เช่น
Net income/Mkt cap > 6%
นั่นคือจุดที่เราเริ่มทยอยซื้อเมื่อราคาลดลงเรื่อยๆ ยิลด์ก็จะมากขึ้นตาม
อันนี้เป็นตัวอย่าง บนเงื่อนไขของหุ้นที่ มีค่าความเสี่ยงการลงทุนเป็นศูนย์นะครับ ไม่ใช่ใช้ได้กับทุกตัว
แน่นอน นลท ทุกคนต้องการผลตอบแทนสูงสุด แต่จะมีกี่คนที่คิดถึงผลตอบแทนต่ำสุดที่ตัวเองยอมรับได้
ผมเชื่อเสมอ ไม่มีใครสามารถ Maximize profit ได้ ยกเว้นฟลุ๊กหรือใช้วิธีการหลอกคนหมู่มากให้แห่ตาม
ผมเชื่อเสมอ ไม่มีใครสามารถ Maximize profit ได้ ยกเว้นฟลุ๊กหรือใช้วิธีการหลอกคนหมู่มากให้แห่ตาม
หากคิดถึงเรื่องผลตอบแทนขั้นต่ำที่เรายอมรับได้จาก inner ของ บ.ก่อนซื้อหุ้น เชื่อว่าโอกาสซื้อหุ้นแพงเกินไปจะไม่เกิดขึ้น
(ยกเว้นไม่ได้ต้องการกำไรจาก inner ของ บ. แต่ไปต้องการกำไรจากส่วนต่างความคาดหวังของตลาด ซึ่งจะไม่ได้ใช้วิธีคิดแบบนี้ และไม่ได้เล่นบนตลาดแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน วิธีคิดแบบต้องการเอากำไรจากส่วนต่างความคาดหวังของตลาดต้องเล่นบนตลากกระทิงเท่านั้น สภาพตลาดไม่เหมาะสมก็ออกจากตลาด)
(ยกเว้นไม่ได้ต้องการกำไรจาก inner ของ บ. แต่ไปต้องการกำไรจากส่วนต่างความคาดหวังของตลาด ซึ่งจะไม่ได้ใช้วิธีคิดแบบนี้ และไม่ได้เล่นบนตลาดแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน วิธีคิดแบบต้องการเอากำไรจากส่วนต่างความคาดหวังของตลาดต้องเล่นบนตลากกระทิงเท่านั้น สภาพตลาดไม่เหมาะสมก็ออกจากตลาด)
Thai Gov Bond 3M , 10yrs
เงินไหลเข้าระยะสั้นเยอะ ดบ ลดลง
TTM 10 Yrs ดบ ขึ้นพอสมควร