วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

หลักคิด 54

 สำหรับคนที่เชื่อว่าการเวียนว่ายตายเกิดมีจริงบาปกรรมมีจริงเท่านั้น 

เรื่องบาปกรรมของการขโมยของคนอื่น

การขโมยไม่ใช่แค่การยื่นมือไปหยิบของที่ไม่ใช่ของเรา แต่มันคือการหยิบเอาผลแห่งความเหนื่อยยากของใครบางคนไป โดยไม่สนว่าเขาต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อ แรงกาย หรือเวลาชีวิตเท่าใด

คนที่เคยผ่านความลำบาก ย่อมรู้ดีว่าทรัพย์สินแต่ละชิ้นนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจาก “โชค” แต่เกิดจาก “ความพยายาม” การขโมยจึงไม่เพียงทำลายทรัพย์ แต่มันทำลาย “หัวใจของผู้สร้าง” ไปพร้อมกัน

บาปจากการขโมยจึงไม่ใช่แค่สิ่งที่กรรมจะตามทันในโลกนี้เท่านั้น แต่ยังฝังลึกลงในจิตใจผู้กระทำ ทำให้ไม่รู้จักคำว่าพอ ทำให้จิตขุ่นมัว และสุดท้ายดึงดูดความสูญเสียกลับมาหาตัวเอง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ทรัพย์สินที่คนอื่นสร้าง แล้วโดนขโมย

บาปกรรมที่ต้องชดใช้พร้อมดอกเบี้ย แม้ข้ามภพข้ามชาติ

ทรัพย์ที่คนอื่นสร้างขึ้นมานั้น มักมีพลังของ “บุญแห่งความตั้งใจ” อยู่ในนั้น ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์ทางโลกอย่างเงินทอง หรือทรัพย์ทางใจ เช่น ผลงาน ความคิด ความดีงาม 

เมื่อใครสักคนลักเอาไป ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรืออุบาย กรรมจะไม่เงียบ

บาปจากการขโมยของเช่นนี้มักไม่หยุดอยู่แค่ “เสียคืน” แต่จะบวก “ดอกเบี้ยแห่งความทุกข์” เข้ามาด้วย

บางคนต้องสูญเสียสิ่งที่รักอย่างไม่มีเหตุผล บางคนต้องทำงานหนักทั้งชีวิตแต่ไม่เคยเหลือผล 

บางคนมีทรัพย์แต่ไม่มีสุข ทุกอย่างดูเหมือนบังเอิญ แต่แท้จริงคือ “การคืนหนี้กรรม” ที่ดอกเบี้ยสะสมข้ามภพข้ามชาติ

กรรมไม่ลืม ไม่เร่ง ไม่ช้า แต่ “แม่นยำเสมอ”

“ของที่ไม่ใช่ของเรา ต่อให้ได้มาก็ไม่เคยทำให้ชีวิตดีขึ้น”

เพราะทรัพย์สินอาจทำให้เรารวยในวันนี้ แต่กรรมที่ติดอยู่กับมัน จะทำให้เรายากจนในวันหน้า ไม่ว่าจะวันพรุ่งนี้ หรือชาติหน้า กรรมย่อมทวงคืนด้วยความเที่ยงตรงเสมอ


***********


ใครที่มีลูกคนเดียวหรือไม่มีลูก ก็สบายตัวไป  แต่คนที่มีลูกหลายคน มีโอกาสพบเจอปัญหานี้ทุกคน 🥲


พอดีอ่านเจอมา

เรื่องละเอียดอ่อนในครอบครัว ที่พ่อแม่อาจไม่เคยนึกถึง


ความรักที่อาจกลายเป็นบาป โดยไม่ตั้งใจ


หลายครอบครัวในสมัยก่อน บางทีก็ยังมีอยู่ในปัจจุบัน มักจะมีสถานการณ์ที่พ่อแม่เห็นลูกคนหนึ่งมีฐานะดีกว่า มีรายได้มากกว่า ก็เลยคิดว่า… “เอาเงินจากลูกคนนี้ไปช่วยน้องที่กำลังลำบากหน่อยก็คงไม่เป็นไร พี่ก็มีเหลือเฟือ”


หรือบางทีก็อาจจะเป็นการเอาทรัพย์สินที่ลูกคนหนึ่งซื้อมาให้ หรือเก็บออมไว้ แล้วพ่อแม่แอบเอาไปให้ลูกอีกคนโดยที่ไม่ได้ขออนุญาต


พ่อแม่คิดว่า… นี่คือความรัก นี่คือการดูแลลูกให้เท่าเทียมกัน


แต่ลองมองอีกมุมหนึ่งนะคะ…


มุมมองที่ละเอียดกว่า ที่อาจจะยังไม่เคยคิดถึง


เวลาเราเอาสิ่งที่ลูกคนหนึ่งหามาได้ด้วยความเหนื่อยยาก ด้วยเวลา ด้วยแรงกาย แรงใจของเขา แล้วนำไปให้ลูกอีกคนโดยไม่ได้ถาม…


จริงๆ แล้วมันอาจจะไม่ใช่การแบ่งปันอีกต่อไปแล้วค่ะ


มันเหมือนกับว่าเราเป็นตัวกลาง ช่วยให้ลูกคนหนึ่งได้รับสิ่งที่ไม่ใช่ส่วนของเขา จากน้ำพักน้ำแรงของพี่หรือน้องที่ทำงานหนัก


และนี่คือสิ่งที่พ่อแม่หลายคนอาจจะไม่เคยรู้


แต่ละคนมีกรรมของตัวเอง มีเส้นทางชีวิตของตัวเอง


บางคนมาเกิดในชาตินี้พร้อมกับบุญเก่าที่จะทำให้เขาประสบความสำเร็จ บางคนมีบทเรียนที่ต้องเรียนรู้ผ่านความลำบาก และนั่นคือสิ่งที่จะทำให้เขาเติบโต


เวลาเราพยายาม “ถ่ายโอน” ทรัพย์สินจากคนหนึ่งไปอีกคนโดยไม่เหมาะสม เราอาจจะรบกวนเส้นทางกรรมของทั้งสองคนโดยไม่รู้ตัว


ความรักที่แท้จริง กับ การสร้างบาปโดยไม่รู้ตัว


ความจริงก็คือ… พ่อแม่ทำแบบนี้ด้วยความรัก ด้วยความเป็นห่วง อยากให้ลูกทุกคนมีความสุข มีชีวิตที่ดี ไม่อยากเห็นใครลำบาก


และความรู้สึกนี้… มันสวยงามมากค่ะ


แต่วิธีการที่เราเลือกใช้นั้น อาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด


เพราะในมุมมองของกฎแห่งกรรม สิ่งที่เราทำนั้น มันกลายเป็นว่า


- ลูกคนหนึ่งถูก “ขโมย” ผลงานของเขาไป แม้ว่าคนขโมยจะเป็นพ่อแม่ของเขาเองก็ตาม

- ลูกอีกคนได้รับสิ่งที่ไม่ใช่ส่วนของเขา ซึ่งอาจสร้างหนี้กรรมที่ต้องชดใช้ในอนาคต

- และพ่อแม่เอง… ก็อาจจะติดบาปจากการเป็นตัวกลางในเรื่องนี้โดยไม่รู้ตัว


ผลที่ตามมา ไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้น


สิ่งที่หนักใจที่สุดคือ… กฎแห่งกรรมนั้นไม่ได้ดูว่าเราทำด้วยเจตนาดีหรือเปล่า มันดูที่ “การกระทำ”


เวลาเราเอาของจากคนหนึ่งไปให้อีกคนโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ว่าเราจะมีเหตุผลอะไร หรือเราจะรักเขาแค่ไหน… กฎกรรมก็ยังเดินตามกลไกของมันเอง


และการชดใช้นั้น อาจไม่เกิดทันทีในชาตินี้ แต่มันจะเกิดขึ้นเสมอ—อาจเป็นชาติหน้า หรืออนาคตอันไกล พร้อมกับ “ดอกเบี้ย” ที่สะสมมาตามกาลเวลา


ทางออกที่อ่อนโยนกว่า


แล้วพ่อแม่ควรทำยังไงดี เมื่ออยากช่วยลูกที่กำลังลำบาก?


คำตอบง่ายๆ แต่สำคัญมากคือ


ใช้ทรัพย์สินของตัวเอง ไม่ใช่ของลูกคนอื่น


- ถ้าอยากให้เงินลูก ให้จากเงินที่พ่อแม่หามา จากแรงงานของพ่อแม่เอง

- ถ้าอยากช่วยเหลือลูกคนใด ขอความยินยอมจากลูกคนอื่นก่อน ถ้าเขายินดีให้ นั่นคือบุญของเขาที่จะได้

- อย่าบังคับหรือแอบเอาโดยไม่บอก แม้ว่าจะคิดว่า “เขาคงไม่ว่าอะไรหรอก”


ความรักที่แท้จริงต่อลูก ไม่ใช่การทำให้ทุกคนได้รับเท่าเทียมกันโดยการเอาจากคนหนึ่งไปให้อีกคน


แต่เป็นการสอนให้ลูกแต่ละคนเดินบนเส้นทางของตัวเอง ด้วยความซื่อสัตย์ ด้วยความเคารพต่อสิ่งที่คนอื่นได้มา


ข้อความสุดท้ายจากใจ


พ่อแม่ทุกคนรักลูก และอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูก… สิ่งนี้ไม่มีใครโต้แย้งได้เลยค่ะ


แต่บางทีความรักที่มากเกินไป อาจทำให้เรามองข้าม “ขอบเขต” ที่ไม่ควรล้ำเส้น


การให้ลูกแต่ละคนเดินตามเส้นทางกรรมของตัวเอง ไม่แทรกแซงสิ่งที่ไม่ควรแทรกแซง และเคารพในผลงานที่แต่ละคนสร้างมา… นี่อาจจะเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่กว่า และปลอดภัยกว่าสำหรับทุกคนในครอบครัวค่ะ 💙


***************

ตลาดจะมีทั้งช่วงดีและร้าย ความสามารถในการ “ไม่ตื่นตระหนก” คือข้อได้เปรียบของนักลงทุน

************

1. ทุกสิ่งสามารถเกิดขึ้นได้

 2. คุณไม่จำเป็นต้องรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปถึงจะทำกำไรได้

 3. ผลลัพธ์ของแต่ละชุดตัวแปรมีการกระจายแบบสุ่มระหว่างกำไรและขาดทุน

 4. “Edge” หรือความได้เปรียบ คือเพียงโอกาสที่บางสิ่งจะเกิดขึ้นมากกว่าอีกสิ่งหนึ่ง

 5. ทุกช่วงเวลาของตลาดนั้นไม่ซ้ำกัน


ยอมรับความไม่แน่นอนของตลาด เพราะตลาดไม่ได้มีแบบแผนที่ตายตัว และผลลัพธ์ของแต่ละเทรดล้วนมีโอกาสสุ่ม แม้จะมีระบบที่ดีเพียงใดก็ตาม


***********

ในความเป็นจริง “ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าตลาดจะทำอะไรต่อไป”

***********

กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ (Eat healthy)

สิ่งที่คุณกิน คือพลังที่คุณมี ดูแลร่างกายให้ดี เพราะมันคือบ้านที่คุณอยู่ไปตลอดชีวิต

***********

การมีเป้าหมายคือการบอกทิศทางชีวิต อย่าปล่อยให้วันเวลาผ่านไปโดยไม่มีจุดหมาย

***********

มนุษย์สามารถพลาดได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง 

ดังนั้นจึงควรเฝ้าสังเกตตัวเองอยู่ตลอดเวลา เช่น เทรดเพราะแผน หรือเพราะกลัวพลาดโอกาส (FOMO)? 

พยายามรู้เท่าทันพฤติกรรมของตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้ความผิดพลาดเดิมเกิดซ้ำ

***********

ถ้าคุณเทรด อย่ายึดติดกับราคาต้นทุนมากนัก โดยเฉพาะหากมีการป้องกันความเสี่ยง เพราะหลายครั้งต้นทุนแฝงไปอยู่ในค่า premium หรือ ค่า whipsaw ที่จ่ายออกไป แม้ต้นทุนหุ้นจะต่ำคงเดิมแต่ความจริงแล้วมันเพิ่มขึ้นเป็นค่าใช้จ่ายอยู่นอกต้นทุนหุ้น

ต้นทุนหุ้นเดิมที่แฝงด้วย คชจ นอกตัวหุ้น ดูเอาสนุกพอได้ แต่อย่าไปยึดติดมันมาก

***********


รู้จักล็อกกำไรบางส่วนเมื่อถึงเป้าหมาย ไม่ปล่อยให้กำไรหายเพราะความโลภ 

เคารพเงินที่ตลาดให้ และรู้ว่าการปกป้องผลตอบแทนเป็นสิ่งสำคัญพอ ๆ กับการหากำไรเพิ่ม


***********

เมื่อสัญญาณจากระบบเกิดขึ้น ทำตามทันที ไม่รอให้ “รู้สึกมั่นใจ” หรือ “คิดเพิ่มอีกนิด” เพราะรู้ดีว่าความลังเลคือศัตรูของความสม่ำเสมอ 

การเทรดคือการปฏิบัติตามกฎที่ได้ทดสอบแล้ว ไม่ใช่การเล่นตามอารมณ์

***********


คุณรู้ขอบเขตความได้เปรียบในการเทรดหุ้นของตัวคุณเองหรือไม่ ถ้ามีมันคืออะไร 

คุณต้องระบุได้อย่างแน่ชัดว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่คุณชำนาญจนคุณได้เปรียบคนอื่น ถ้าคุณไม่สามารถระบุได้ แสดงว่าคุณไม่มี


***********

การรู้ว่าเมื่อไหร่ควร “หยุด” สำคัญพอ ๆ กับการรู้ว่าเมื่อไหร่ควร “เริ่ม”

***********


จะเล่าให้ฟังถึงการเทรดนึง

ไม่พาดพิงถึงตลาด หรือหุ้น  เรื่องเล่าสมมตินี้เป็นการเทรด ณ ตลาดอันไกลโพ้น


เห็น DR ที่รู้สึกว่าสภาพคล่องต่ำและกราฟเป็นลักษณะที่รอเลือกทาง


แต่ราคาหุ้นแม่ไหลลงนำไปแล้ว !!!


กราฟ DR ควรไหลลงตาม แต่เนื่องจากกราฟอยู่ในลักษณะก้ำกึ่ง ประกอบกับมีควาทผันผวนจากค่าเงินและมีสภาพคล่องต่ำ จึงมีช่องให้ Market maker ดันราคาให้กราฟลอย  “ดูเหมือนเลือกทางขึ้น”


แต่การจะทำให้ราคาลอย หากมีคนขายใส่ mm จะขาดทุนเพราะหุ้นแม่ไหลลงรินๆแล้ว


mm ทำไงรู้ไหม เพื่อเรียกคนที่ ปสก น้อยมาซื้อ 


ก็ใช้การดันราคาให้กราฟดูเหมือนลอยขึ้น ดูเหมือนเลือกทางขึ้น แต่กลัวคนขายใส่ จึงวาง bid น้อยๆดันราคา แล้วซ่อน bid อีกนิดหน่อยไว้ เพื่อพยุงราคาให้กราฟเหมือนเบรคทางขึ้น


คนที่ไม่รู้ ปสก น้อยเห็นกราฟก็อาจเข้าซื้อ เพราะเข้าใจผิด นั่นแปลว่า mm ขายได้ราคา ได้กินส่วนต่าง 


บิดน้อยๆ วาง 2 ช่อง ถ้าใครจะซื้อเคาะซื้อฝั่ง offer จะซื้อแพงกว่าหุ้นแม่ประมาณสัก 2% แต่ถ้าใครจะขายจะเจอ bid น้อย และพอเคาะซ้ายปุ๊ป bid จะหายปั๊ป ถ้าจะขายมากๆต้องเทลง 2-3 ช่อง เท่ากับขายได้ราคาต่ำกว่าหุ้นแม่


ทำไมคิดว่าเป็น mm เป็นคนทำ เพราะสภาพคล่องต่ำ หาก mm เติมสภาพคล่องเต็มจริงจะไม่มีช่องว่างให้มี bid น้อยๆมาวางได้ 


และคนที่คุมสภาพคล่องได้สำหรับ DR คือ mm เท่านั้น เสมือนเป็นประตูกั้นน้ำ น้ำมากจนราคาเกินจริง mm ดึงออกได้เพราะได้กำไร น้ำน้อย mm เปิดประตูกันน้ำ เพื่อเติมน้ำได้


แต่บางที mm เลือก เปิดประตู้น้ำน้อยๆ แล้วจับปลากินเอง 


ทั้งหมดเป็นแค่เรื่องสมมติ จากตลาดอันไกลโพ้น เล่าเป็นความรู้ ว่าเค้ามีวิธีการแบบนี้กันด้วยนะ ☺️☺️☺️


***********

ถ้ายังรู้สึกไม่สบายใจกับความเสี่ยง อย่าฝืนเทรด และควรรู้ว่าการเทรดคือเกมของความน่าจะเป็น (probability) ไม่ใช่การคาดเดาอนาคต   ควรยอมรับได้อย่างเต็มที่ว่าผลลัพธ์นั้นบางครั้งอาจขาดทุน  เพราะแม้จะควบคุม “กระบวนการ” ได้ แต่ไม่อาจควบคุม “ผลลัพธ์” ได้

********


สิ่งสำคัญไม่ใช่ว่าคุณถูกหรือผิด แต่สิ่งสำคัญคือคุณทำเงินได้มากแค่ไหนเมื่อคุณถูก และคุณเสียเงินไปมากแค่ไหนเมื่อคุณผิด - จอร์จ โซรอส