วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2568

หลักคิด 53

 เงินต้นคือชีวิตของนักลงทุน อย่าให้มันหาย ไม่มีเงินต้นก็เป็นนักลงทุนไม่ได้


กฎข้อแรก อย่าเสียเงินต้น กฎข้อสอง อย่าลืมกฎข้อแรก”

ฟังดูเหมือนง่าย แต่นี่คือหัวใจสำคัญที่สุดของการลงทุน


ลองคิดดูนะ ถ้ามีเงิน 100,000 บาท แล้วขาดทุนไป 50% จะเหลือเพียง 50,000 บาท แต่ถ้าอยากได้เงินคืนเป็น 100,000 บาท ต้องทำกำไร 100% จาก 50,000 บาท  ซึ่งยากกว่ามาก!


สิ่งที่ควรทำ

 เลือกลงทุนในสิ่งที่มีความเสี่ยงต่ำ มั่นคง

 อย่าเสี่ยงเงินทั้งหมดในที่เดียว

 ถามตัวเองก่อนลงทุนทุกครั้งว่า “ถ้าขาดทุน จะรับได้ไหม?”


**********


“Don’t marry your trades. Marry your discipline.”


อย่ายึดติดกับสินทรัพย์ที่เทรด แต่ให้ยึดติดกับการมีวินัย 


*********


ขึ้นก็ถือต่อ ลงถึงจุดนึงก็ขาย 

ทำตามหลักการอย่างมีวินัย 

ก็เท่านั้นเอง 


ไม่ใช่นอสตร้าดามุส

ไม่ใช่แม่หมอ 

ไม่สามารถรู้อนาคตได้ 

จึงทำได้แค่เกาะเทรนด์ 

😊😊😊


*********


ความมั่งคั่งเกิดจากวินัย ไม่ใช่โชค

เรื่องนี่ไม่ได้ซับซ้อน แต่ต้องใช้วินัย ความอดทน และความมุ่งมั่น ในการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง


ความมั่งคั่งที่แท้จริงไม่ได้สร้างข้ามคืน แต่สร้างทีละนิดทุกวัน ด้วยการตัดสินใจที่ดี ด้วยความรู้ที่สะสม และด้วยเวลาที่ให้มันเติบโตไปเรื่อยๆ


เริ่มต้นวันนี้ เพราะวันที่ดีที่สุดในการปลูกต้นไม้คือ 20 ปีที่แล้ว แต่วันที่ดีที่สุดอันดับสองคือวันนี้


***********



ปู่บัฟเฟตต์อ่านหนังสือวันละ 500 หน้า ปู่บอกว่า “ความรู้สะสมได้เหมือนดอกเบี้ยทบต้น”


ยิ่งคุณรู้มาก คุณก็ตัดสินใจได้ดีขึ้น ยิ่งตัดสินใจดี ผลลัพธ์ก็ดีตาม และที่สำคัญ ไม่มีใครแย่งความรู้จากคุณไปได้


- อ่านหนังสือเกี่ยวกับการเงิน การลงทุน เศรษฐศาสตร์


- ติดตามข่าวสารและเทรนด์ใหม่ๆ


- เรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเองและคนอื่น


******



ถ้าไม่หาทางให้เงินทำงานแทนคุณ คุณจะต้องทำงานไปตลอดชีวิต


รายได้แบบพาสซีฟ หมายถึง เงินที่ไหลเข้าเป็นประจำต่อเนื่อง เช่น

- ผลกำไรจากกิจการส่วนตัวที่อยู่ตัวแล้ว

- เงินปันผลจากหุ้น

- ค่าเช่าจากอสังหาริมทรัพย์

- ดอกเบี้ยจากเงินออม


เริ่มสร้างกระแสเงินสดที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง


ลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ


เพิ่มช่องทางรายได้มากกว่า 1 ช่องทาง



*********




สำหรับการลงทุน  ซื้อเมื่อคนอื่นกลัว ขายเมื่อคนอื่นโลภ

ตอนที่ตลาดหุ้นตก ทุกคนตื่นตระหนก ขายหุ้นทิ้งหมด แต่ปู่บัฟเฟตต์กลับซื้อเพิ่ม


ทำไม? เพราะในช่วงวิกฤต หุ้นดีๆ ถูกขายในราคาถูกลง เหมือนไปซื้อของแบรนด์เนมลดราคา 50% นั่นเอง (เรื่องนี้สาวๆจะเข้าใจดี😆)


อย่าตื่นตระหนกเมื่อตลาดตก

ใช้โอกาสนี้เก็บหุ้นดีๆ ในราคาที่ถูกลง

มองระยะยาว ไม่ใช่ระยะสั้น



*********



“ดอกเบี้ยทบต้น” หรือพลังแห่งการเติบโตแบบทวีคูณ


สมมติคุณลงทุน 10,000 บาท ได้ผลตอบแทน 10% ต่อปี

ปีที่หนึ่ง 11,000 บาท

ปีที่สิบ  25,937 บาท

ปีที่สามสิบ 174,494 บาท

จากเงินต้นแค่ หมื่นเดียว 


เห็นไหมว่าเวลาคือเพื่อนที่ดีที่สุดของนักลงทุน


เริ่มลงทุนตั้งแต่วันนี้ ไม่ต้องรอให้มีเงินเยอะ


อย่าถอนเงินกลางทาง ปล่อยให้มันทำงานต่อเนื่อง


มีวินัยและความอดทน



*********



ลงทุนในสิ่งที่เข้าใจจริงๆ เท่านั้น


ปู่บัฟเฟตต์เคยปฏิเสธการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง ไม่ใช่เพราะมองว่าไม่ดี แต่เพราะเขาไม่เข้าใจธุรกิจพวกนั้นจริงๆ


การลงทุนไม่ใช่การเดาหรือทายผล ถ้าคุณไม่สามารถอธิบายได้ว่าบริษัทนี้ทำเงินได้ยังไง ขายอะไร หรือมีจุดแข็งอะไร แสดงว่าคุณกำลังเสี่ยงโดยไม่จำเป็น


เริ่มจากธุรกิจที่คุณคุ้นเคย เช่น ร้านอาหาร ค้าปลีก สินค้าอุปโภคบริโภค


ศึกษาให้เข้าใจก่อนลงทุนทุกครั้ง


อย่าไหลตามกระแสหรือคำแนะนำของคนอื่นโดยไม่คิด



********



เงินต้นคือชีวิตของนักลงทุน อย่าให้มันหาย ไม่มีเงินต้นก็เป็นนักลงทุนไม่ได้


กฎข้อแรก อย่าเสียเงินต้น กฎข้อสอง อย่าลืมกฎข้อแรก”

ฟังดูเหมือนง่าย แต่นี่คือหัวใจสำคัญที่สุดของการลงทุน


ลองคิดดูนะ ถ้ามีเงิน 100,000 บาท แล้วขาดทุนไป 50% จะเหลือเพียง 50,000 บาท แต่ถ้าอยากได้เงินคืนเป็น 100,000 บาท ต้องทำกำไร 100% จาก 50,000 บาท  ซึ่งยากกว่ามาก!


สิ่งที่ควรทำ

 เลือกลงทุนในสิ่งที่มีความเสี่ยงต่ำ มั่นคง

 อย่าเสี่ยงเงินทั้งหมดในที่เดียว

 ถามตัวเองก่อนลงทุนทุกครั้งว่า “ถ้าขาดทุน จะรับได้ไหม?”



*********



อย่าพยายามซื้อที่ “จุดต่ำสุด” หรือขายที่ “จุดสูงสุด”


ไม่มีใครจับจังหวะตลาดได้เพอร์เฟค คนที่อ้างว่าทำได้ มักไม่พูดความจริง 


ควรพอใจเมื่อได้ผลตอบแทนที่ดีในระดับเหมาะสม มากกว่าการไล่ล่าความสมบูรณ์แบบ



********



เงินจำนวนมากมาจากการนั่งรอผ่านการเคลื่อนไหวระยะยาว ไม่ใช่การเทรดตลอดเวลา เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ถูกเขย่าออกเร็วเกินไป



*******



ความสำเร็จไม่ได้มาจากพรสวรรค์ แต่มาจากความพยายามที่คนอื่นมองไม่เห็น



********





การใช้เส้นค่าเฉลี่ย 10 วันในการจับจังหวะขาย

บทความโดย Juan Carlos Arancibia จาก Investor’s Business Daily

หนึ่งในปัญหาของสัญญาณขายคือ มันมักจะปรากฏตัวเมื่อสายเกินไปแล้ว โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่

ยกตัวอย่างหุ้น Toll Brothers (TOL) เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ที่ร่วงลงถึง 8.5% และทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน แม้ว่ารายงานผลประกอบการจะออกมาดี นักลงทุนที่ซื้อตอนหุ้นเบรกเอาท์เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า ก็ต้องติดลบทันที 11% จากจุดซื้อที่ 128.75 (รูปแบบ cup-with-handle)

Toll Brothers ให้สัญญาณขายถึงสองครั้งในคราวเดียว

- ร่วงลงมากกว่า 7% จากจุดซื้อ
- ทะลุแนวรับสำคัญคือเส้น 50 วัน

ตั้งแต่นั้นมาหุ้นก็ยังคงอ่อนแรงต่อเนื่อง

วิธีที่เร็วกว่าในการตัดขาดทุน

นี่คือจุดที่เส้นค่าเฉลี่ย 10 วันเข้ามามีบทบาท

เส้นนี้เป็นตัวชี้วัดระยะสั้นที่ช่วยให้เห็นสัญญาณเตือนภัยได้เร็วขึ้น เมื่อหุ้นเบรกเอาท์จากฐานที่ดี หุ้นควรอยู่เหนือเส้น 10 วันตลอดเวลา

แม้ว่า IBD Charts จะไม่มีเส้น 10 วัน แต่ IBD MarketSurge มีฟังก์ชันให้เราสร้างเส้นค่าเฉลี่ยแบบกำหนดเองได้

กรณีศึกษา Avantor (AVTR)

ในปี 2021 หุ้น Avantor (AVTR) เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน

❶ การเบรกเอาท์ (16 มิถุนายน 2021)

- หุ้นเบรกเอาท์จากฐาน cup-without-handle ที่ราคา 33.99
- หลังจากนั้นหุ้นอยู่เหนือเส้น 10 วันมาหลายเดือน

การขึ้นต่อเนื่อง

- หุ้นปีนขึ้นไปได้ถึง 30% จากจุดซื้อ
- ไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ
- อยู่เหนือเส้น 50 วันหลายสัปดาห์

❷ สัญญาณขาย (27 กันยายน)

- หุ้นร่วงลงและปิดต่ำกว่าเส้น 10 วันอย่างชัดเจน
- นี่คือจังหวะที่ดีในการขายทำกำไร

❸ ยืนยันความอ่อนแอ

- หุ้นร่วงทะลุเส้น 50 วันในปริมาณซื้อขายสูง
- ปิดที่ 37.15 ลึกกว่าเมื่อทะลุเส้น 10 วันถึง 11%
- **เป็นสัญญาณขายที่ปฏิเสธไม่ได้**

ข้อควรระวัง

สัญญาณขายแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก และมันไม่ได้ช่วยอะไรในกรณีของ Toll Brothers ที่หุ้นทะลุทั้งเส้น 10, 50 และ 200 วันพร้อมกันในคราวเดียว

แต่ในกรณีที่การเบรกเอาท์ไม่ประสบความสำเร็จ เส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน สามารถช่วยให้เราออกจากหุ้นได้เร็วขึ้นก่อนที่ความเสียหายจะมากขึ้น

-----

หลักการง่ายๆ หลังเบรกเอาท์ หุ้นที่แข็งแรงควรอยู่เหนือเส้น 10 วัน หากร่วงทะลุลงมาอย่างชัดเจน ให้พิจารณาขายหรือลดสัดส่วนการถือครอง

•••••••••••••••••••••••


ทุกครั้งที่เราตอบ “ตกลง” กับบางสิ่ง เรากำลังบอก “ไม่” กับสิ่งอื่นโดยอัตโนมัติ

ตัวอย่าง
ถ้าคุณใช้เวลา 2 ชั่วโมงดูซีรีส์คืนนี้ นั่นหมายความว่าคุณเสียโอกาสที่จะใช้เวลานั้นไปออกกำลังกาย หรืออ่านหนังสือเพิ่มความรู้

******************


คนที่เป็นเทรดเดอร์จะรู้ดี ว่าเวลากำลังเทรดต้องใช้สมาธิขนาดไหน ในการตัดสินใจ ในการโฟกัส ถ้ายังไม่ถึงเวลาเทรดจะสบายๆ ชิวๆ แต่พอถึงช่วงเวลาที่จะต้องเทรด ต้องใช้พลังในการโฟกัสสูง แทบจะลืมรอบข้างไปหมด 


การที่ใครจะมาบอกว่า ขายเมื่อไรบอกด้วย ซื้อเมื่อไรบอกด้วย คือ งี่เง่าสิ้นดี แต่อย่างว่าคนไม่เคยเทรดจริงจังเค้าไม่รู้หรอกว่ามันโฟกัสขนาดไหน


*************


มือใหม่ส่วนมากใจร้อน ขี้เกียจเรียนรู้เพราะมันเสียเวลา อยากรีบเข้าตลาดเพื่อคว้าเงินไวๆ หารู้ไม่ ว่าส่วนมากมาไวๆเพื่อเสียไวๆมากกว่า


**********


รู้ว่าเรารู้อะไร และยอมรับอย่างไม่อายว่าเรา “ยังไม่รู้” อะไร


ตัวอย่าง

คุณอาจเก่งเรื่องหุ้นเทคโนโลยี แต่ไม่เข้าใจหุ้นสุขภาพ ก็อย่ารีบลงทุนในสิ่งที่ไม่รู้จักดีพอ

*****************


เวลาส่วนใหญ่ของตลาดหุ้นไม่ได้ถูกควบคุมด้วยเหตุผล แต่ถูกควบคุมด้วยพฤติกรรม


ทุกครั้งที่ราคาพุ่ง ทุกครั้งที่ทะลุแนวต้าน

มันไม่ได้สะท้อนถึงมูลค่าตัวบริษัท

แต่มันสะท้อนความต้องการซื้อ


มีบ้างที่ตลาดถูกควบคุมด้วยเหตุผล แต่มักจะเป็นระยะเวลาสั้นๆ 


*************


คนส่วนใหญ่คิดแค่ผลระยะสั้น แต่คนที่ชนะจะถามว่า “แล้วหลังจากนั้นล่ะ?”

ตัวอย่าง

เริ่มออกกำลังกาย ตอนแรกเหนื่อย (ผลลบระยะสั้น) แต่ระยะยาวสุขภาพดี (ผลบวกระยะยาว)

*************


สิ่งที่ขับเคลื่อนราคาจริงๆ

ไม่ใช่มูลค่าที่ทำให้หุ้นขึ้น

แต่คือ “คน”


บริษัทอาจจะราคาถูก

ถูกประเมินค่าต่ำกว่าความเป็นจริง หรือดูเยี่ยมมากในกระดาษ


แต่ถ้าไม่มีใครเข้ามาซื้อจริงๆ

ราคามันก็ไม่ขยับ


******************


ข้อมูลดีแค่ไหนก็มีอคติ 


นักลงทุนต้องมีกรอบความคิด และระบบของตัวเอง

***************


ข่าวส่วนใหญ่เกิดหลังราคาไปแล้ว มืออาชีพมักจะ “ซื้อก่อนข่าวดี” และ “ขายก่อนข่าวร้าย”


***************


อย่าตัดสินใจตอนมีความผันผวนสูง เพราะอารมณ์จะนำเหตุผล คิดวางแผนไว้ก่อนตอนตลาดสงบ


***********


การกระจายช่วยลดความเสี่ยง แต่ถ้ากระจายมากเกินไปจะกลายเป็นไม่มีจุดแข็ง ควรโฟกัสในสินทรัพย์ที่เข้าใจจริง


*************


แบ่งความเสี่ยงต่อไม้เทรด (เช่น ไม่เกิน 2% ของพอร์ตต่อครั้ง) เพื่อให้พอร์ตอยู่รอดได้แม้แพ้หลายครั้งติดกัน


*************


วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด คือ “คิดแบบย้อนกลับ”

ลองคิดว่า “ถ้าอยากล้มเหลว ต้องทำยังไง?” แล้วทำตรงข้ามกับสิ่งนั้น


The best way to solve a problem? Think backwards.


**********


การมีแผนไม่พอ ต้อง “มีวินัยทำตามแผน” ด้วย ความต่างของมือใหม่กับมืออาชีพอยู่ตรงนี้

**************


ทุกการเข้าออกต้องมีเหตุผล มีแผนรองรับ ไม่ใช่เพราะ “รู้สึกว่า” มันจะขึ้นหรือลง


********

Stop loss คือเครื่องมือสำคัญที่สุดของเทรดเดอร์ที่อยู่รอด ไม่ว่าจะเทรดเก่งแค่ไหน ถ้าไม่มี stop สุดท้ายพอร์ตจะพัง

*********

คิดอย่างนักยุทธศาสตร์ มองโลกทั้งใบเป็นระบบ เชื่อมโยงเศรษฐกิจ การเมือง และพฤติกรรมมนุษย์เข้าด้วยกัน

เพราะการลงทุนที่แท้จริง ไม่ใช่แค่รู้ว่าหุ้นตัวไหนจะขึ้น แต่คือการเข้าใจว่า “โลกทั้งใบกำลังเคลื่อนไปทางไหน”

***************


ถอยออกจากหน้าจอชั่วคราว อย่าฝืนเทรดต่อในอารมณ์พังๆ

ในช่วงที่ขาดทุนหนัก สมองมักเข้าสู่โหมด “ต้องเอาคืน” ซึ่งจะยิ่งทำให้แย่ลง หยุดก่อนเพื่อให้จิตใจกลับมาเป็นกลาง

*********


การฟื้นตัวจาก drawdown ไม่ใช่การ “เอาเงินคืน” แต่คือการ “ฟื้นจิตวินัย”


********


เทรดมากไม่ได้หมายความว่าจะได้กำไรมากเสมอไป หลายคนติดกับดักที่คิดว่า “เทรดบ่อยๆ = โอกาสรวยเร็วขึ้น” แต่จริงๆ แล้ว  ยิ่งเทรดบ่อย ยิ่งเสียค่าคอมมิชชั่นเยอะ และยิ่งเปิดโอกาสให้ทำผิดพลาดได้บ่อยขึ้น


เทรดเดอร์ที่ดีรู้จักรอจังหวะ รอให้โอกาสที่ดีจริงๆ มาถึงค่อยลงมือ ไม่ใช่เทรดเพราะ “มันเบื่อ” หรือ “อยากทำอะไรสักอย่าง” คุณภาพของการเทรดสำคัญกว่าปริมาณเสมอ


**********


เทรดเดอร์และนักลงทุนแต่ละคนจะมีแนวทางการเทรด การลงทุน การตัดสินใจ การบริหารความเสี่ยง การบริหารเงินหน้าตัก และการบริหารเงินทุนเป็นของตนเองเสมอ 


ไม่มีสูตรสำเร็จที่จะเลียนแบบกันได้ เพราะแต่ละคนจะมีประสบการณ์และ mindset ที่แตกต่างกันไป นั่นส่งผลต่อวิธีคิด วิธีการตัดสินใจ และระดับการยอมรับความเสี่ยงที่แตกต่างกันไป


**********


การกระทำเล็กๆ แต่ทำต่อเนื่อง จะสร้างผลลัพธ์มหาศาล


ตัวอย่าง

อ่านวันละ 20 หน้า → หนึ่งปีได้กว่า 7,000 หน้า


ฝึกทักษะวันละ 20 นาที → 1 ปีเก่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ


พัฒนา 1% ต่อวัน → หนึ่งปีเก่งขึ้นถึง 37 เท่า (เพราะพลังทบต้น)


Compounding ไม่ได้มีแค่ในเงิน แต่ใช้ได้ในทุกด้านของชีวิต ความรู้ ทักษะ ความสัมพันธ์ สุขภาพ


สิ่งสำคัญคือ “ความสม่ำเสมอ” ไม่ใช่ “ความสุดโต่ง”


ทำเล็กน้อยทุกวัน ดีกว่าทำเยอะแค่บางครั้ง


************


ถ้าวนเวียนอยู่ในตลาดหุ้นความรู้ที่ควรมี คือ

 

การวิเคราะห์ทางเทคนิค vs การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน


Technical Analysis มองที่กราฟราคา รูปแบบ และอินดิเคเตอร์ เหมาะกับเทรดระยะสั้น เชื่อว่าราคาสะท้อนข้อมูลทั้งหมดแล้ว


Fundamental Analysis มองที่งบการเงิน รายได้ กำไร อุตสาหกรรม และเศรษฐกิจมหภาค เหมาะกับการลงทุนระยะยาว 


เทรดเดอร์มืออาชีพมักใช้ทั้งสองวิธีร่วมกัน


*********


คนที่ประสบความสำเร็จมักถูกมองว่าชีวิตราบรื่น แต่ความจริงแล้ว ทุกคนล้วนมีอุปสรรคและความท้าทายของตัวเอง เพียงแต่บางคนอาจไม่ได้เล่าหรือแสดงออกมา ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่เคยเจออุปสรรค


หากเรามองว่าคนอื่นประสบความสำเร็จเพราะชีวิตเขาง่ายกว่า โอกาสที่เราจะก้าวหน้าก็อาจจะยาก เพราะเรามัวแต่มองหาข้อแก้ตัวและโยนความรับผิดชอบ แทนที่จะลงมือทำในสิ่งที่ควรทำ เมื่อมีเรื่องสำคัญก็มักอ้างว่าไม่มีเวลา งานเยอะ ธุระมาก คนที่ประสบความสำเร็จก็เคยเผชิญกับสิ่งเหล่านี้เช่นกัน แต่สิ่งที่ต่างคือ พวกเขามีความมุ่งมั่น รับผิดชอบตัวเอง และไม่ใช้อุปสรรคเป็นข้ออ้างในการยอมแพ้


คนที่มีข้ออ้างเยอะ มักจะพบกับความล้มเหลวได้ง่ายกว่า


การบ่นหาความยากลำบากต่างๆ ไม่ได้ทำให้ใครเห็นใจ บางทีอาจทำให้คนอื่นมองว่าเราไม่มีความพยายามพอ


ความจริงที่ต้องเผชิญก็คือ โลกนี้ไม่มีใครคอยห่วงใยความล้มเหลวของเรา เราต้องรับผิดชอบตัวเองและอนาคตของตัวเอง ไม่สามารถมอบความรับผิดชอบนั้นให้คนอื่นได้ ที่สุดแล้ว คนที่อยากให้คุณประสบความสำเร็จมากที่สุดก็คือตัวคุณเอง


ชีวิตมีความท้าทายมากมาย และคนที่ประสบความสำเร็จก็คือคนที่ผ่านความท้าทายเหล่านั้นมาได้


***********


ราคาจะเคลื่อนไหว ก็ต่อเมื่อผู้คนตัดสินใจลงมือ


*********


ทุกครั้งที่เราตอบ “ตกลง” กับบางสิ่ง เรากำลังบอก “ไม่” กับสิ่งอื่นโดยอัตโนมัติ


ตัวอย่าง

ถ้าคุณใช้เวลา 2 ชั่วโมงดูซีรีส์คืนนี้ นั่นหมายความว่าคุณเสียโอกาสที่จะใช้เวลานั้นไปออกกำลังกาย หรืออ่านหนังสือเพิ่มความรู้


********


คนที่เป็นเทรดเดอร์จะรู้ดี ว่าเวลากำลังเทรดต้องใช้สมาธิขนาดไหน ในการตัดสินใจ ในการโฟกัส ถ้ายังไม่ถึงเวลาเทรดจะสบายๆ ชิวๆ แต่พอถึงช่วงเวลาที่จะต้องเทรด ต้องใช้พลังในการโฟกัสสูง แทบจะลืมรอบข้างไปหมด 


การที่ใครจะมาบอกว่า ขายเมื่อไรบอกด้วย ซื้อเมื่อไรบอกด้วย คือ งี่เง่าสิ้นดี แต่อย่างว่าคนไม่เคยเทรดจริงจังเค้าไม่รู้หรอกว่ามันโฟกัสขนาดไหน


**********


มือใหม่ส่วนมากใจร้อน ขี้เกียจเรียนรู้เพราะมันเสียเวลา อยากรีบเข้าตลาดเพื่อคว้าเงินไวๆ หารู้ไม่ ว่าส่วนมากมาไวๆเพื่อเสียไวๆมากกว่า


*********


รู้ว่าเรารู้อะไร และยอมรับอย่างไม่อายว่าเรา “ยังไม่รู้” อะไร


ตัวอย่าง

คุณอาจเก่งเรื่องหุ้นเทคโนโลยี แต่ไม่เข้าใจหุ้นสุขภาพ ก็อย่ารีบลงทุนในสิ่งที่ไม่รู้จักดีพอ


**********


เวลาส่วนใหญ่ของตลาดหุ้นไม่ได้ถูกควบคุมด้วยเหตุผล แต่ถูกควบคุมด้วยพฤติกรรม


ทุกครั้งที่ราคาพุ่ง ทุกครั้งที่ทะลุแนวต้าน

มันไม่ได้สะท้อนถึงมูลค่าตัวบริษัท

แต่มันสะท้อนความต้องการซื้อ


มีบ้างที่ตลาดถูกควบคุมด้วยเหตุผล แต่มักจะเป็นระยะเวลาสั้นๆ 


**********


คนส่วนใหญ่คิดแค่ผลระยะสั้น แต่คนที่ชนะจะถามว่า “แล้วหลังจากนั้นล่ะ?”


ตัวอย่าง

เริ่มออกกำลังกาย ตอนแรกเหนื่อย (ผลลบระยะสั้น) แต่ระยะยาวสุขภาพดี (ผลบวกระยะยาว)


********


สิ่งที่ขับเคลื่อนราคาจริงๆ

ไม่ใช่มูลค่าที่ทำให้หุ้นขึ้น

แต่คือ “คน”


บริษัทอาจจะราคาถูก

ถูกประเมินค่าต่ำกว่าความเป็นจริง หรือดูเยี่ยมมากในกระดาษ


แต่ถ้าไม่มีใครเข้ามาซื้อจริงๆ

ราคามันก็ไม่ขยับ


*********


ข้อมูลดีแค่ไหนก็มีอคติ 


นักลงทุนต้องมีกรอบความคิด และระบบของตัวเอง


******^^


อย่าตัดสินใจตอนมีความผันผวนสูง เพราะอารมณ์จะนำเหตุผล คิดวางแผนไว้ก่อนตอนตลาดสงบ


*******^^


การกระจายช่วยลดความเสี่ยง แต่ถ้ากระจายมากเกินไปจะกลายเป็นไม่มีจุดแข็ง ควรโฟกัสในสินทรัพย์ที่เข้าใจจริง


*******


แบ่งความเสี่ยงต่อไม้เทรด (เช่น ไม่เกิน 2% ของพอร์ตต่อครั้ง) เพื่อให้พอร์ตอยู่รอดได้แม้แพ้หลายครั้งติดกัน


*******


วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด คือ “คิดแบบย้อนกลับ”

ลองคิดว่า “ถ้าอยากล้มเหลว ต้องทำยังไง?” แล้วทำตรงข้ามกับสิ่งนั้น


The best way to solve a problem? Think backwards.


********


การมีแผนไม่พอ ต้อง “มีวินัยทำตามแผน” ด้วย ความต่างของมือใหม่กับมืออาชีพอยู่ตรงนี้


*******


ทุกการเข้าออกต้องมีเหตุผล มีแผนรองรับ ไม่ใช่เพราะ “รู้สึกว่า” มันจะขึ้นหรือลง


********

Stop loss คือเครื่องมือสำคัญที่สุดของเทรดเดอร์ที่อยู่รอด ไม่ว่าจะเทรดเก่งแค่ไหน ถ้าไม่มี stop สุดท้ายพอร์ตจะพัง