วันเสาร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2568

หลักคิด 52

 ทำไมเก๋ากี้ถึงบำรุงสายตาได้ 

เหมาะกับยุค มือถือและคอมพิวเตอร์



เก๋ากี้(แดง) 15 กรัม หนึ่งช้อนโต๊ะพูนเล็กน้อย

สารอาหารหลัก

พลังงานประมาณ 52 kcal

โปรตีนประมาณ 2.1 กรัม

ไขมันรวมประมาณ 0.1 กรัม

คาร์โบไฮเดรตประมาณ 11.5 กรัม

ใยอาหารประมาณ 2 กรัม

น้ำตาลธรรมชาติประมาณ  6–7 กรัม



วิตามินและแร่ธาตุเด่น

 • วิตามิน A (จากเบต้าแคโรทีนและซีแซนทิน): ~3,900 IU ✅

 • วิตามิน C: ~7 มก.

 • ธาตุเหล็ก: ~1.3 มก.

 • แคลเซียม: ~29 มก.

 • โพแทสเซียม: ~170 มก.

 • ฟอสฟอรัส: ~45 มก.



จุดเด่น – วิตามินเอ


วิตามินเอจากเก๋ากี้ถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับอาหารทั่วไป

 • เก๋ากี้ 15 กรัม → ~3,900 IU

 • แครอทสด 100 กรัม → ~16,700 IU

 • ไข่ไก่ 1 ฟอง (50 กรัม) → ~240 IU

 • มะม่วงสุก 100 กรัม → ~1,100 IU


ดังนั้น เก๋ากี้เพียง 15 กรัม ให้วิตามินเอมากกว่า ไข่ 1 ฟองถึง 16 เท่า และยังมากกว่ามะม่วงสุก 100 กรัมถึง 3.5 เท่า



สรุป

แค่ทาน 15 กรัม (ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะพูน) ก็ได้วิตามินเอปริมาณสูงมาก เหมาะกับการบำรุงสายตาและผิว


ปริมาณนี้ยังให้ไฟเบอร์และธาตุเหล็กพอสมควร โดยไม่ให้พลังงานสูงเกินไป


***********


ถ้าจะมีอะไรที่ทำให้สามารถออกจากสถานการณ์ที่ยากลำบาก ได้เกือบทุกสถานการณ์ 


อะไรสิ่งนั้นน่าจะเป็น “เงิน”


เงินซื้อชีวิตไม่ได้แต่ซื้อความไม่ทุกข์ทรมาณจากการเจ็บป่วยได้


เงินซื้อความสบายใจไม่ได้ทั้งหมด  แต่สามารถบรรเทาความเดือดร้อนส่วนมากได้


คุณจะไม่อดอยากถ้าคุณมีเงิน


คุณจะมีที่อยู่อาศัยที่สุขสบายถ้าคุณมีเงินมากพอ 


คุณจะไม่ขาดแคลนยารักษาโรคดีๆแพงๆ ถ้าคุณมีเงิน


คุณสามารถที่จะแต่งตัวดี  เป็นที่พึงพอใจของผู้ที่พบเห็น และให้เกียรติคุณ ถ้าคุณมีเงิน


และเงินจะอยู่กับคนที่เห็นคุณค่าของมันเท่านั้น


การเก็บออมจึงเป็นสิ่งสำคัญ และที่สำคัญกว่า คือ เมื่อเก็บออมแล้วต้องลงทุนเป็น


คนที่บอกว่าเงินไม่สำคัญ คือคนที่ไม่เห็นคุณค่าของเงิน และเงินก็จะอยู่กับเขาได้ไม่นาน มันเป็นเช่นนั้นเสมอ

*************


ฟักทอง เป็นอาหารที่ให้พลังงานต่ำแต่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เหมาะกับการควบคุมน้ำหนักและดูแลสุขภาพ


สารอาหารหลัก (ต่อฟักทองดิบ 100 กรัม)

(อ้างอิง USDA และฐานข้อมูลโภชนาการไทย TFD)

 • พลังงาน: ~26 kcal (พลังงานต่ำมาก)

 • โปรตีน: ~1.0 g

 • คาร์โบไฮเดรต: ~6.5 g

 • น้ำตาล: ~2.8 g

 • ใยอาหาร: ~0.5–0.9 g

 • ไขมัน: ~0.1 g (ต่ำมาก)


วิตามิน

 • วิตามิน A (จากเบต้าแคโรทีน): สูงมาก (~8513 IU หรือ ~426 µg RAE) → ช่วยบำรุงสายตา

 • วิตามิน C: ~9 mg

 • วิตามิน E: ~1.1 mg

 • วิตามิน K: ~1 µg

 • วิตามินบีรวม: B2, B6 และโฟเลตในปริมาณเล็กน้อย


แร่ธาตุ

 • โพแทสเซียม: ~340 mg

 • ฟอสฟอรัส: ~44 mg

 • แคลเซียม: ~21 mg

 • แมกนีเซียม: ~12 mg

 • สังกะสี: ~0.3 mg

 • เหล็ก: ~0.8 mg


จุดเด่น

 • พลังงานต่ำ เหมาะกับการลดน้ำหนัก

 • เบต้าแคโรทีนสูง → สารต้านอนุมูลอิสระและเปลี่ยนเป็นวิตามิน A ได้

 • โพแทสเซียมช่วยควบคุมความดันโลหิต

 • ใยอาหารช่วยระบบย่อยอาหาร


สรุป ฟักทองเป็นอาหารที่ไขมันต่ำ พลังงานต่ำ แต่ให้วิตามิน A สูงมาก เหมาะทั้งกับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก และดูแลสุขภาพสายตา/หัวใจ


**********


นักลงทุนไม่น้อย ลงทุนแบบตอบไม่ได้ ว่าหากเจอเหตุการณ์ black swan จะทำอย่างไร ไม่มีแผนป้องกันอะไรเลย แค่ปล่อยตามยถากรรม รับความเสี่ยงเต็มที่ ถือแบบไม่สนใจอะไรเลย


สาเหตุเพราะ 

- ยังไม่เคยผ่าน black swan ของจริง 

- ขาดความรู้ ความเข้าใจที่มากพอ

- ขี้เกียจ อ้างแค่  “ไม่มีเวลาศึกษา” 

- คิดว่าตลาดหุ้นหมู แค่ “ลอกการบ้าน” ก็รวยได้

- ประสบการณ์น้อย ทำให้มั่นใจเกินเหตุ

- ได้กำไรแล้ว ทำให้ ego พองตัวสูง จนมองข้าม black swan คิดว่าตนเองเอาชนะได้แม้ไม่ต้องใส่ใจ


การลงทุนให้รอดในทุกสถานการณ์สำคัญมาก


***********


ยุคปัจจุบันดูเหมือนจะมีคนที่มี LDL สูง ค่อนข้างมาก การควบคุม LDL ที่ได้ผลที่สุด คือการควบคุมอาหาร การคาร์ดิโอช่วยได้บ้างแต่น้อย


อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาดสำหรับผู้ที่มี ค่า LDL (ไขมันเลว) สูง คืออาหารที่มีไขมันอิ่มตัว (Saturated fat) และคอเลสเตอรอลสูง ซึ่งจะกระตุ้นให้ LDL เพิ่มและลดประสิทธิภาพของ HDL (ไขมันดี)


ด้านล่างคือ 10 อาหารยอดนิยมที่ “ต้องห้าม” หรือควรจำกัดอย่างเข้มงวดที่สุด 


1. หมูสามชั้น / เนื้อวัวติดมัน

 • เหตุผล: มีไขมันอิ่มตัวสูงมาก (~35–40 g ต่อ 100 g)

 • ผล: เพิ่ม LDL โดยตรง และกระตุ้นตับให้สร้างคอเลสเตอรอลเพิ่ม

 • ✅ ทางเลือก: เนื้อปลา ดอลลี่, จาระเม็ด, แซลมอน, ปลาซาบะในปริมาณพอดี



2. ไข่แดง

 • เหตุผล: คอเลสเตอรอลสูงมาก (~200–250 mg/ฟอง)

 • ผล: แม้ไขมันอิ่มตัวไม่สูง แต่คอเลสเตอรอลส่งผลต่อ LDL โดยเฉพาะในคนที่มี LDL สูงอยู่แล้ว

 • ✅ ทางเลือก: ใช้เฉพาะไข่ขาว



3. เนยสด, เนยเทียม (บางชนิด), มาการีนเก่าแบบแข็ง

 • เหตุผล: เนยสดมีไขมันอิ่มตัวสูง ส่วนมาการีนรุ่นเก่ามีไขมันทรานส์

 • ผล: เพิ่ม LDL และลด HDL

 • ✅ ทางเลือก: น้ำมันคาโนล่า หรือมะกอกแบบ light ใช้แต่น้อย



4. หนังไก่ / หนังเป็ด

 • เหตุผล: ไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลสูงมาก (~90 mg/100 g)

 • ✅ ทางเลือก: เนื้ออกไก่ล้วนไม่ติดหนัง



5. ของทอดในน้ำมันเก่า / ฟาสต์ฟู้ด

 • เหตุผล: น้ำมันที่ใช้ซ้ำเกิดไขมันทรานส์

 • ผล: เพิ่ม LDL และลด HDL อย่างมีนัยสำคัญ

 • ✅ ทางเลือก: ปรุงด้วยสเปรย์น้ำมันคาโนล่า, อบหรือนึ่งแทนทอด



6. ชีสแข็ง (เช่น เชดดาร์, พาร์เมซาน)

 • เหตุผล: ไขมันอิ่มตัวสูง (~18–22 g/100 g)

 • ✅ ทางเลือก: คอทเทจชีสไขมันต่ำ หรือโยเกิร์ตไขมัน 0%



7. เบเกอรี่, ขนมอบ, พาย, ครัวซองต์

 • เหตุผล: ใช้เนย, ไข่แดง และบางสูตรมีครีมเทียม → ไขมันอิ่มตัวสูง

 • ✅ ทางเลือก: ขนมปังโฮลวีตไม่ใส่ไขมัน



8. ไส้กรอก, แฮม, เบคอน, หมูกรอบ

 • เหตุผล: มีทั้งไขมันอิ่มตัว, โซเดียมสูง, และไนเตรต/ไนไตรต์

 • ✅ ทางเลือก: โปรตีนลีน เช่น ปลา เต้าหู้ หรือหมูสับไขมัน 10–15%



9. นมเต็มมันเนย / ครีม / วิปปิ้งครีม

 • เหตุผล: ไขมันอิ่มตัวสูง (~4–7 g/100 mL)

 • ✅ ทางเลือก: นมพร่องมันเนย หรือโยเกิร์ต 0%



10. อาหารกะทิ (แกงกะทิ, ขนมหวานกะทิ)

 • เหตุผล: กะทิมีไขมันอิ่มตัวสูง (~18–20 g/100 g)

 • ✅ ทางเลือก: ใช้นมถั่วเหลืองหรือนมไขมันต่ำแทน



สรุปกลุ่มสารอาหารที่ควรจำกัด


ประเภท จำกัดต่อวัน (สำหรับผู้มี LDL สูง)

ไขมันอิ่มตัว (Saturated fat) < 15 g/วัน

คอเลสเตอรอลรวม < 200 mg/วัน



✅ อาหารที่ช่วยลด LDL (ควรเพิ่ม)

 • ปลาไขมันดี (แซลมอน, ซาร์ดีน, ดอลลี่)

 • ถั่วเปลือกแข็ง (อัลมอนด์, วอลนัท – ปริมาณพอเหมาะ)

 • ข้าวกล้อง, ข้าวโอ๊ต, บักวีต

 • ผักสีเขียวเข้ม, อะโวคาโด, ผลไม้ที่มีกากใยสูง (เช่น แอปเปิล, มะละกอ, ส้มโอ)


*********


สิ่งที่มักได้ยินจากมือใหม่

- แค่ประเมินมูลค่าหุ้น ง่ายว่ะ

- แค่ทำ fv pv dcf เองหรอ ง่ายหว่ะ

- แค่ทนถือ สบายมาก ก็ถือแบบลืมๆมันไป ง่ายว่ะ 


ง่ายทุกอย่าง แต่ไม่เห็นมันรวยขึ้นเลย 

🤣🤣🤣


คนที่ประสบความสำเร็จ ทุกอย่างที่ว่ามา ไม่ง่ายเลย ไม่ทำลวกลวก กว่าจะได้ตัวเลขแต่ละบรรทัด ค้นข้อมูลกันเหนื่อยมาก อ่านกันเยอะมาก วิเคราะห์กันหนักมาก คิดกันหนักมาก เพื่อได้ตัวเลขแค่บรรทัดเดียว  ส่วนพวกที่บอกว่าง่าย ก็ง่ายจริงแหละแค่มโนตัวเลขขึ้นมา จบใน 5 นาที คนที่มักง่ายได้ผลงานแบบมักง่าย แถมยังดูถูกคนที่ประสบความสำเร็จอีกด้วยว่า วิธีเหล่านั้นเป็นวิธีที่ ง่ายง่าย !!!

คู่ควรแล้ว ที่จะได้ผลงานแบบง่ายง่าย 🤣

***********


ถ้าตลาดหุ้นปิดช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ แล้วมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น 


เหตุการณ์ที่ทำให้คุณกังวลใจ กังวลกับพอร์ตหุ้น เครียด จนนอนหลับไม่สนิท 


คุณควรรู้ไว้ว่า การจัดพอร์ต หรือหลักการลงทุนของคุณกำลังมีอะไรบางอย่างที่ผิดพลาดอยู่


คุณต้องหามันให้เจอไม่ว่ามันจะเป็นการ over trade , การไม่ได้วางแผนรับมือกับความเสี่ยงที่ไม่คาดคิด หรืออะไรก็แล้วแต่


คุณต้องหาจุดอ่อนของตัวเองให้เจอแล้วก็แก้ไขมันซะ


********^^^^


ดื่มน้ำเป็นยา

ทานปลาเป็นหลัก

ทานผักเกินครึ่ง

ไข่ไก่ฟองหนึ่ง

อย่าพึ่งกาแฟ

อย่าแก่ของเค็ม

อย่าเข้มของหวาน

อย่าทานของทอด

อย่ากอดแต่เหล้า

อย่าเฝ้าสูดควัน 

เมามันออกกำลังกาย

ยืดเส้นยืดสายเป็นนิจ

และสุดท้าย ปล่อยวางให้เป็น

…………………………………


เงินต้นคือชีวิตของนักลงทุน อย่าให้มันหาย ไม่มีเงินต้นก็เป็นนักลงทุนไม่ได้


กฎข้อแรก อย่าเสียเงินต้น กฎข้อสอง อย่าลืมกฎข้อแรก”

ฟังดูเหมือนง่าย แต่นี่คือหัวใจสำคัญที่สุดของการลงทุน


ลองคิดดูนะ ถ้ามีเงิน 100,000 บาท แล้วขาดทุนไป 50% จะเหลือเพียง 50,000 บาท แต่ถ้าอยากได้เงินคืนเป็น 100,000 บาท ต้องทำกำไร 100% จาก 50,000 บาท  ซึ่งยากกว่ามาก!


สิ่งที่ควรทำ

 เลือกลงทุนในสิ่งที่มีความเสี่ยงต่ำ มั่นคง

 อย่าเสี่ยงเงินทั้งหมดในที่เดียว

 ถามตัวเองก่อนลงทุนทุกครั้งว่า “ถ้าขาดทุน จะรับได้ไหม?”


………………………


นักลงทุนที่ไม่ศึกษาข้อมูลด้วยตัวเอง สังเกตง่าย


มักจะถามหาหุ้นตัวใหม่เสมอ เพราะว่าหุ้นตัวเก่าไม่กล้าซื้อเต็มที่ ที่ไม่กล้าซื้อเต็มที่เพราะไม่มั่นใจ ที่ไม่มั่นใจเพราะขาดซึ่งความรู้ ความเข้าใจต่อบริษัท


พอได้หุ้นตัวใหม่ก็จะถามหาแต่หุ้นตัวใหม่ไปเรื่อย เพราะว่าเมื่อได้หุ้นตัวใหม่มาก็ไม่กล้าซื้อเต็มที่เหมือนเดิม


ก็จะวนเวียนอยู่แค่การถามหาหุ้นไปเรื่อยเรื่อย


คนที่ศึกษาบริษัทมาดี ก็กล้าที่จะโฟกัส กล้าที่จะลงทุนอย่างมีน้ำหนัก 


การหาหุ้นตัวใหม่สำหรับลงทุนไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าเจอแล้วควรลงทุนให้มีน้ำหนักที่สมควร


…………………


เป็นนักลงทุน อย่ายึดติดกับต้นทุนของคนอื่น ในบริษัทที่มีการเติบโตมูลค่าของหุ้นย่อมขยับสูงขึ้นตามกาลเวลาที่ผ่านไป 


นักลงทุนหลายคนยึดติดกับต้นทุนที่คนอื่นซื้อได้ แต่ลืมไปเมื่อเวลาผ่านไป แม้ราคาจะขยับขึ้นมา แต่ส่วนต่างระหว่างราคากับมูลค่าอาจมากขึ้นกว่าตอนที่คนอื่นซื้อก็เป็นไปได้ 


เราลงทุนเพื่อหวังผลกำไร ไม่ใช่ลงทุนเพื่อจะเอาชนะคนอื่น มันตลกเกินไปหากต้องคอยกังวลกับต้นทุนของคนอื่น



………………………