วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2568

หลักคิด 47

 ผลกระทบของกรณี MicroStrategy (MSTR) “ถ้าหาก” ล้มละลายหรือล้มทางการเงิน โดยเชื่อมโยงไปที่ BTC, ระบบเศรษฐกิจ, ตลาดหุ้น และตลาดเงิน


1. ผลต่อราคา Bitcoin (BTC)

 แรงกดดันขายโดยตรง

MSTR เป็นบริษัทมหาชนที่ถือครอง BTC มากที่สุดในโลก (กว่า 200,000 BTC ณ ปัจจุบัน) ถ้าล้มและต้องชำระหนี้ อาจจำเป็นต้องขาย BTC จำนวนมาก → เพิ่มแรงกดดันขายอย่างรุนแรง


 ผลทางจิตวิทยาตลาด

นักลงทุนมอง MSTR เป็นหนึ่งใน “สัญลักษณ์การลงทุนสถาบันใน BTC” ถ้าบริษัทนี้ล้ม อาจทำให้เกิด FUD (Fear, Uncertainty, Doubt) → นักลงทุนรายอื่น panic sell


 Short-term shock

ราคา BTC อาจร่วงแรงในระยะสั้น 10–30% (ขึ้นกับปริมาณที่ขายและสภาพตลาด)


แต่ในระยะกลาง–ยาว ผลกระทบอาจลดลงถ้าตลาดดูดซับ BTC ได้หมด และ narrative ของ BTC ยังคงอยู่


2. ผลต่อ ตลาดหุ้น (US และทั่วโลก)

 หุ้นเทคและหุ้นคริปโต

หุ้นที่เกี่ยวข้องกับ blockchain, crypto mining (เช่น RIOT, MARA, COIN) อาจร่วงแรงตาม sentiment


 หุ้น MSTR เอง

ราคาจะ crash แทบเป็นศูนย์หากเป็นการล้มละลายจริง


 ผลกระทบกว้าง

โดยทั่วไป S&P500, Nasdaq จะไม่ crash ทั้งดัชนีจาก MSTR เพียงตัวเดียว เพราะ MSTR เป็นบริษัทขนาดกลาง (mid-cap) ไม่ใช่ systemic giant แบบ Apple หรือ JPMorgan

แต่ถ้า BTC crash รุนแรง อาจดึงกลุ่มหุ้นเสี่ยงสูง (risk-on assets) ลงด้วย


3. ผลต่อ ระบบเศรษฐกิจ

 เศรษฐกิจสหรัฐโดยตรง

ผลโดยตรงมีน้อย เพราะ MSTR ไม่ใช่ผู้สร้างงานหรือผู้ผลิตสินค้าขนาดใหญ่


 ผลทางอ้อม

 ลดความเชื่อมั่นในสินทรัพย์ดิจิทัล → เงินทุนใน crypto ecosystem หดตัว → ผลกระทบต่อธุรกิจที่พึ่งพา crypto


 นักลงทุนสถาบันบางส่วนอาจลด exposure ในสินทรัพย์เสี่ยง → ทำให้เงินไหลกลับไปสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น พันธบัตรรัฐบาล, ดอลลาร์


 ถ้า BTC crash มาก ๆ อาจกระทบการใช้จ่ายของคนที่ถือครองคริปโตเยอะ → demand ในเศรษฐกิจจริงอาจชะลอลงเล็กน้อย


4. ผลต่อ ตลาดเงิน (Financial Markets)

 ค่าเงินดอลลาร์ (USD)

มักแข็งขึ้นชั่วคราวจากการไหลเข้า safe haven ถ้าเกิด panic ใน BTC และหุ้น


 พันธบัตรรัฐบาล (Treasuries)

Yield อาจลดลงชั่วคราวเพราะมีการซื้อพันธบัตรเพื่อหลบความเสี่ยง


 ตลาดตราสารอนุพันธ์ (derivatives)

ความผันผวน (volatility) ในตลาด options/futures ทั้งฝั่ง crypto และหุ้นจะพุ่งสูง


อาจเกิดการชำระบัญชี (liquidation) ในตลาดฟิวเจอร์ส BTC เป็นวงกว้าง


สรุปภาพรวม


ถ้า MSTR ล้ม →

 1. BTC crash ระยะสั้น จากแรงขายและ panic

 2. หุ้นกลุ่มคริปโตร่วงแรง

 3. ตลาดหุ้นกว้าง ๆ อาจแกว่งแรง ในกลุ่ม risk-on

 4. เงินไหลไปสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น USD และพันธบัตร

 5. ผลต่อเศรษฐกิจจริงโดยตรงค่อนข้างจำกัด แต่ผลทางจิตวิทยาในตลาดการเงินชัดเจนมาก


***************************


ความหลงตัวเองอย่างนึงของคนเรา คือมักคิดว่าตัวเองเก่ง (หลงว่าตัวเองเก่งกว่าความสามารถจริงที่มี) ทำให้คิดว่าการลงทุนเป็นเรื่องง่าย การหาเงินจากตลาดหุ้นเป็นเรื่องง่าย ไม่ต้องทุ่มเทมาก ไม่ต้องอ่านมาก ไม่ต้องเรียนรู้อะไรมาก ขอแค่มีข่าววงในก็สามารถเอาชนะคนอื่นได้ แต่ลืมคิดไปว่า ถ้าข่าววงในนั้นดีจริงคนที่ เข้าถึงข่าวนั้นมีจำนวนมากที่เล่นหุ้น และในจำนวนนั้นก็มีจำนวนมากที่ทุ่มเทและมีประสบการณ์สูง 


ดังนั้นอย่าได้แปลกใจ  ว่าคนที่หลงตัวเองมักจะขาดทุน ทำอย่างไรก็กำไรยาก เวลาขาดทุนมักจะมองข้าม พอกำไรนิดหน่อยมักจะดีใจ


**************************


อาโวคาโด


ไขมันดีหลัก ๆ ในอาโวคาโดที่ส่งผลดีต่อร่างกายมากที่สุดคือ กรดโอเลอิก (Oleic acid) ซึ่งเป็น ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated fatty acid – MUFA)


เหตุผลที่กรดโอเลอิกดีต่อร่างกาย

 1. ช่วยลดคอเลสเตอรอล LDL (ไขมันเลว)

ลดการสะสมของไขมันในผนังหลอดเลือด ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด


 2. เพิ่มคอเลสเตอรอล HDL (ไขมันดี)

ช่วยขนคอเลสเตอรอลส่วนเกินกลับไปที่ตับเพื่อกำจัดออก


 3. ลดการอักเสบในร่างกาย

มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ (anti-inflammatory) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานชนิดที่ 2 และโรคหัวใจ


 4. ช่วยดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน

เช่น วิตามิน A, D, E และ K ให้ร่างกายนำไปใช้ได้เต็มที่


 5. ช่วยรักษาสมดุลน้ำตาลในเลือด

เพราะไม่ทำให้ระดับน้ำตาลพุ่งเร็วเหมือนคาร์โบไฮเดรต


*******************


คนที่เทรดตามข่าว ส่วนมากแล้วเสียมากกว่าได้ ง่ายๆเช่น เดวก็มีการตีความจากสำนักข่าวต่างๆว่า โอกาสเฟดลดดอกเบี้ย 90% เดวก็บอกว่ามีโอกาสไม่ลดดอกเบี้ยแล้ว เพราะตัวเลข ศก บลาๆๆๆ ฟองฟอด  น้ำลายทั้งนั้น การเทรดตามน้ำลายคนอื่น ไม่เสียก็แปลก 🤣🤣🤣


เทรดเดอร์ที่ดี  แค่มีวินัยและทำตามระบบของตัวเองเท่านั้น ข่าวต่างๆเป็นแค่ noise  ถ้าการรู้ข่าวแล้วทำให้เทรดชนะได้จริง ป่านนี้นักข่าวต่างๆเป็นมหาเศรษฐีหุ้นกันไปหมดแล้ว 🤣🤣🤣


*******************


สิ่งที่มือใหม่ทำไม่ค่อยได้ คือ
- การอดทนรอ
- การเรียนรู้ที่มากพอ

สิ่งที่มือใหม่ชอบทำ คือ
- การได้ซื้อๆขายๆ
- คิดว่าในตลาดหุ้นหาเงินง่าย

สิ่งที่มือใหม่มองไม่เห็น คือ 
- การจะทำกำไรจากตลาดหุ้น ต้องแข่งกับคนเก่าที่มากประสบการณ์ 
- ต้องแข่งกับคนเก่าที่ผ่านการฝึกฝนด้าน mindset มามากแล้ว
- แค่มองไม่เห็นไม่ได้แปลว่าไม่มีอยู่จริง 


*******************


เราเรียก HDL (High-Density Lipoprotein) ว่า ไขมันดี เพราะมันมีบทบาทสำคัญในการ ปกป้องหลอดเลือดและหัวใจ ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า Reverse Cholesterol Transport

หลักการสำคัญ
HDL ทำหน้าที่เก็บคอเลสเตอรอลส่วนเกินจากเลือดและผนังหลอดเลือดแล้วนำกลับไปที่ตับเพื่อสลายหรือขับออกทางน้ำดี

ผลลัพธ์คือ ลดการสะสมของคราบไขมัน (plaque) ในผนังหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคหัวใจและหลอดเลือดตีบตัน

เหตุผลที่เรียกว่า “ไขมันดี”
 1. ป้องกันหลอดเลือดตีบตัน
การขนคอเลสเตอรอลกลับไปกำจัด ช่วยลดโอกาสเกิด atherosclerosis

 2. ต้านการอักเสบ
HDL มีโปรตีนและสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการอักเสบในหลอดเลือด

 3. ต้านอนุมูลอิสระ
ช่วยปกป้อง LDL (ไขมันเลว) ไม่ให้ถูกออกซิไดซ์ ซึ่งจะทำให้ LDL เกาะผนังหลอดเลือดได้ง่ายขึ้น

 4. ช่วยซ่อมแซมเยื่อบุหลอดเลือด
ทำให้หลอดเลือดยืดหยุ่นและแข็งแรง

ค่าที่ถือว่าดี (ตามเกณฑ์สากล)
 ผู้ชาย HDL ≥ 40 มก./ดล.
 ผู้หญิง HDL ≥ 50 มก./ดล.
 HDL ยิ่งสูง ความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดยิ่งต่ำ

ตับคือจุดศูนย์กลางจัดการคอเลสเตอรอล ที่ HDL ขนกลับมา
แต่ถ้าตับมีไขมันส่วนเกินหรือทำงานผิดปกติ (เช่น ไขมันพอกตับ – Fatty liver) ความสามารถในการจัดการคอเลสเตอรอลก็จะลดลง

 1. การทำงานปกติ
HDL เก็บคอเลสเตอรอลจากหลอดเลือด → ส่งกลับไปตับ

ตับจะนำคอเลสเตอรอลนั้นไป ใช้สร้างน้ำดี หรือ ขับออกทางน้ำดี แล้วกำจัดออกพร้อมอุจจาระ

บางส่วนอาจถูกนำไปใช้สร้างฮอร์โมนหรือเยื่อหุ้มเซลล์

 2. เมื่อไขมันในตับสูง
เซลล์ตับถูกไขมันสะสม → เกิดการอักเสบ (Steatohepatitis) → ความสามารถในการรับและกำจัดคอเลสเตอรอลลดลง

HDL ที่ขนคอเลสเตอรอลกลับมาอาจไม่ถูกกำจัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ → คอเลสเตอรอลคงค้างในเลือด

เสี่ยง คอเลสเตอรอลรวมสูง แม้ HDL จะทำงานขนกลับมาแล้ว

 3. ผลระยะยาว
ถ้าตับทำงานไม่เต็มที่ → ระบบ Reverse Cholesterol Transport มีจุดตัน

เสี่ยงทั้งโรคหัวใจและปัญหาตับพร้อมกัน

สรุปสั้น ๆ

HDL เหมือนรถขนขยะ ส่วนตับเหมือนศูนย์กำจัดขยะ
ถ้าศูนย์กำจัดขยะ (ตับ) เต็มหรือพัง การขนกลับมามากแค่ไหนก็ไม่ช่วยให้ถนน (หลอดเลือด) สะอาดได้ 100%



*******************


เวลาไม่มีหนี้สิน จะรู้สึกปลอดโปร่งเบาสบาย แต่ถ้ามีหนี้สินต่อให้เที่ยวหรูแค่ไหน ก็สุขใจแค่ชั่วคราว แต่ลึกๆยังทุกข์ใจเหมือนมีหนามทิ่มแทงอยู่ตลอดเวลา เชื่อเถอะเป็นกันทุกคน ไม่ว่าจะพยายามยิ้มหน้าชื่นตาบานแค่ไหนก็ตาม 

*******************


ได้พบเจอกรณีของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่ทำให้ได้บทเรียนสำคัญ ท่านผู้ป่วยรายนี้โชคดีที่หลอดเลือดที่แตกเป็นเส้นเล็ก แต่ก็ส่งผลให้เกิดอาการบางส่วน เช่น การพูดไม่ชัดเจน และการเคลื่อนไหวของแขนขาด้านหนึ่งลดลง ในระยะแรกต้องทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน รวมถึงปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เช่น การควบคุมอาหาร การหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ และอาหารทอด

สิ่งที่น่าคิดคือ หากเราให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพตั้งแต่เนิ่นๆ การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย อาจช่วยลดความเสี่ยงของปัญหาสุขภาพที่จะตามมาได้

หลายคนอาจรู้สึกว่าการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะเมื่อร่างกายยังแข็งแรงดี บางทีอาจคิดว่า “ถ้าต้องงดนั่นงดนี่ ชีวิตจะมีความสุขได้อย่างไร”

แต่เมื่อเผชิญกับปัญหาสุขภาพจริงๆ เราจะพบว่าตัวเองสามารถปรับตัวได้อย่างน่าทึ่ง กลับมามีแรงจูงใจในการดูแลตัวเอง งดเหล้า ลดอาหารทอด ลดอาหารมัน เพื่อหวังให้สุขภาพดีขึ้น

บทเรียนที่ได้คือ การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตตั้งแต่เนิ่นๆ อาจช่วยให้เราหลีกเลี่ยงการเผชิญกับความท้าทายด้านสุขภาพที่ไม่จำเป็นได้

*******************


กลยุทธ์ของ MSTY ETF มีความซับซ้อนเนื่องจากใช้วิธีการลงทุนแบบ Synthetic Covered Call Strategy ซึ่งสร้างการเลียนแบบ (Synthetic Exposure) การเคลื่อนไหวของราคาหุ้น MicroStrategy (MSTR) โดยไม่ได้ถือหุ้น MSTR โดยตรง

องค์ประกอบของกลยุทธ์ MSTY ETF
 1. Synthetic Long Exposure
 
MSTY สร้างสถานะ “เสมือน” การถือหุ้น MSTR โดยการซื้อและขาย at-the-money options (ทั้ง Call และ Put) ซึ่งมีระยะเวลาสัญญา 1 ถึง 6 เดือน

กลยุทธ์นี้เลียนแบบการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น MSTR แต่ไม่จำเป็นต้องถือหุ้นจริง

 2. Covered Call Writing
MSTY สร้างรายได้โดยการขาย Call Options (Covered Call) บนสถานะ Synthetic Long

Call Options เหล่านี้มักมี ระยะเวลาสั้น (ไม่เกิน 1 เดือน) และตั้ง Strike Price ไว้สูงกว่าราคาปัจจุบันของหุ้น MSTR ประมาณ 0%-15%

การขาย Call Options ช่วยเพิ่มรายได้จาก Premium แต่จำกัดศักยภาพในการทำกำไรหากราคาหุ้น MSTR เพิ่มสูงเกิน Strike Price

 3. US Treasuries for Collateral:
MSTY ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (US Treasuries) ซึ่งเป็นหลักทรัพย์ปลอดภัย เพื่อใช้เป็นหลักประกันสำหรับการทำธุรกรรม Options

 4. Short Put Positions:
กองทุนอาจเปิดสถานะ Short Put ซึ่งทำให้นักลงทุนมีความเสี่ยงเต็มที่กับการขาดทุนหากราคาหุ้น MSTR ลดลง


ความสัมพันธ์ระหว่าง MSTY ETF กับราคาบิทคอยน์
 
MSTY ETF ไม่ได้ลงทุนโดยตรงใน Bitcoin
อย่างไรก็ตาม หุ้น MSTR มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับราคาบิทคอยน์ เนื่องจาก MicroStrategy ถือ Bitcoin จำนวนมากในงบดุล (มากกว่า 150,000 BTC ณ ปี 2024)

หากราคาบิทคอยน์ขึ้น ราคาหุ้น MSTR มักจะปรับตัวขึ้นด้วย

ด้วยกลยุทธ์ Synthetic Long Exposure ของ MSTY ราคาของกองทุนจะปรับตัวตามทิศทางราคาหุ้น MSTR

ผลตอบแทนถูกจำกัดโดย Covered Call
หากราคาหุ้น MSTR (หรือราคาบิทคอยน์) เพิ่มขึ้นเกิน Strike Price ของ Call Options ที่กองทุนขายไว้ ผลตอบแทนของ MSTY จะถูกจำกัด

นักลงทุนจะไม่ได้รับผลตอบแทนเต็มที่จากการปรับตัวขึ้นของหุ้น MSTR หรือราคาบิทคอยน์


หากราคาบิทคอยน์ขึ้น ราคาของ MSTY จะปรับตัวอย่างไร?
 1. ขึ้นตามราคาหุ้น MSTR
ราคาของ MSTY จะเพิ่มขึ้นตามราคาหุ้น MSTR ซึ่งได้รับอิทธิพลจากราคาบิทคอยน์

 2. จำกัดศักยภาพในการเพิ่มขึ้น
เนื่องจากกองทุนขาย Covered Call ไว้ที่ Strike Price สูงกว่าราคาหุ้น MSTR ประมาณ 0%-15% กำไรที่เกิดจากการปรับขึ้นของ MSTR จะถูกจำกัดตามระดับ Strike Price

 3. ผลตอบแทนจาก Premium
MSTY ยังคงสร้างรายได้จาก Premium ของการขาย Call Options แม้ว่าผลตอบแทนจากราคาหุ้นจะถูกจำกัด


สรุปสำคัญเกี่ยวกับ MSTY ETF

 1. กลยุทธ์ Synthetic Covered Call ทำให้กองทุนสามารถเลียนแบบการลงทุนในหุ้น MSTR โดยไม่ต้องถือหุ้นโดยตรง

 2. MSTY มีความสัมพันธ์กับราคาบิทคอยน์ทางอ้อมผ่านความเคลื่อนไหวของหุ้น MSTR

 3. ผลตอบแทนถูกจำกัด
หากราคาหุ้น MSTR (หรือราคาบิทคอยน์) ขึ้นสูงมาก ผลตอบแทนของ MSTY จะถูกจำกัด

 4. ความเสี่ยงขาลง
การเปิดสถานะ Short Put ทำให้นักลงทุนต้องรับความเสี่ยงขาดทุนเต็มที่หากราคาหุ้น MSTR ลดลง

การลงทุนใน MSTY เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการรายได้ประจำ (จาก Premium) และสามารถรับความเสี่ยงจากราคาหุ้น MSTR หรือราคาบิทคอยน์ที่ลดลงได้

เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงแม้จะมีรายได้ประจำเป็นเงินปันผลก็ตาม 

#MSTY #BTC #MSTR

*******************


เป็นคำถามยอดฮิต ควรมีหุ้นในพอร์ตกี่ตัวดี

ผมคิดว่าประเด็นสำคัญไม่ใช่ว่ามีหุ้นในพอร์ตกี่ตัวดี  แต่ประเด็นสำคัญคือเราสามารถเข้าใจธุรกิจและหาหุ้นที่เราไว้ใจได้อย่างครบถ้วน(ทั้งในแง่ตัวธุรกิจ งบการเงิน ผู้บริหาร ผู้ถือหุ้นใหญ่) เราสามารถหาหุ้นที่เราไว้ใจได้แบบเนี่ยกี่ตัวต่างหาก

อยู่ในช่วง 1 ถึง 10 ตัว   หรืออาจจะมากกว่าเล็กน้อยก็ได้แล้วแต่จะติดตามไหว

แต่ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ ต้องตั้งเป้าว่ากี่ตัว

ประเด็นสำคัญอยู่ที่หาหุ้นดีตรงใจและสามารถติดตามไหวได้กี่ตัวต่างหาก  

พอพูดว่า “ติดตามไหว“ ก็คงจะเข้าใจได้แล้วว่าเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล  แต่ละบุคคลอาจจะติดตามหุ้นได้จำนวนไม่เท่ากัน 

ดูอย่างคุณโจลูกอีสานติดตามหุ้น 200 กว่าตัวไหว   เชื่อว่าหาคนที่ทำได้อย่างคุณโจลูกอีสานยากมาก 


*******************


พอร์ตปันผล หุ้นไทยดีกว่า เพราะหุ้นปันผลมั่งคงดีหาได้ในหุ้นไทย และไม่ต้องวุ่นวายเหมือนหุ้น ตปท ที่เมื่อนำเงินเข้าต้องยื่นภาษีอีกรอบ 

ปันผลหุ้นไทยการจัดการเรื่องภาษีมันง่ายและสะดวกกว่ากันมากๆ ไม่ว่าจะหักภาษี ณ ที่จ่ายแล้วจบ หรือจะเครดิตภาษีก็แค่ลิ้งไปยัง tsd ทุกอย่างสะดวก รวดเร็ว

ในเมื่อหุ้นไทยมีหุ้นปันผลที่ดีที่มั่นคงและสะดวกกว่าก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปลงทุนหุ้นปันผลในต่างประเทศ



*******************


สำหรับพอร์ตหุ้นเติบโต แนะนำเลย ลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกา เพราะมีแต่บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก ที่มีลูกค้าทั่วโลก บริษัทเหล่านี้ลงทุนใน R&D จริงจังและนำผลที่ได้มาเปลี่ยนบิสสิเนสโมเดลได้จริง  ไม่เหมือนบางประเทศที่ R&D ไว้เพิ่มค่าใช้จ่ายเพื่อลดกำไรของผู้ถือหุ้น 

การลงทุนในหุ้นต่างประเทศ  ส่วนตัวเชื่อมั่นกับการลงทุนโดยตรงมากกว่า ส่วนตัว DR เป็นแค่ช่องทางสำรองเผื่อเลือก 

ลงทุนโดยตรงพอมีกำไรก็ยื่นภาษีอย่างถูกต้อง สบายใจที่สุดแล้ว  ราคาที่ซื้อขายในตลาดต่างประเทศ ก็จะได้เป็นราคาที่ไม่บิดเบือนจากดีมานด์ซัพพลายในตัวหุ้น  

พอร์ตปันผลได้พูดถึงไปในโพสก่อนหน้าแล้ว ลิ้งในคอมเมนท์



*******************



1. ร่างกายใช้คาร์โบไฮเดรตเป็นพลังงานหลักในระยะต้น
เมื่อเรากินอาหาร โดยเฉพาะที่มีคาร์โบไฮเดรต (แป้ง น้ำตาล) ร่างกายจะเปลี่ยนเป็น กลูโคส และใช้เป็นพลังงานทันที
กลูโคสส่วนเกินจะถูกเก็บเป็น ไกลโคเจน ในตับและกล้ามเนื้อ

2.เมื่อกลูโคส/ไกลโคเจนหมด ร่างกายจึงค่อยเริ่มใช้ไขมัน
การเข้า โหมดเผาผลาญไขมัน (fat oxidation) จะเกิดขึ้นเด่นชัดขึ้นเมื่อระดับอินซูลินต่ำ เช่น ช่วงอดอาหาร หรือการออกกำลังกายแบบต่อเนื่องนาน ๆ

3.การเผากล้ามเนื้อเกิดขึ้นเมื่อร่างกายขาดพลังงานมาก (catabolic state)
มักพบในภาวะอดอาหารรุนแรง หรือโปรตีนไม่เพียงพอ

ไม่จำเป็นต้องตัดคาร์โบไฮเดรตหมดจึงจะลดไขมันได้
การลดไขมัน = พลังงานเข้า < พลังงานที่ใช้ (Caloric deficit)

ประเด็นคือ ถ้าทานโปรตีนมาก แคลอรี่จะมากตามและหากไม่ลดคาร์บ แคลอรี่รวมที่ทานจะเกิน 

เมื่อแคลอรี่เกิน ก็จะสะสมเป็นไขมันเป็นไกลโคเจนตามอวัยวะต่างๆ (อ้วนขึ้นนั่นแหละ)

เพื่อทานโปรตีนได้มากและแคลอรี่รวมลดลง จึงจำเป็นต้องลดคาร์บ เพื่อชดเชยการทานโปรตีนเพิ่ม


*******************


บิตคอยน์ไม่สามารถป้องกันเงินเฟ้อได้

เงินเฟ้อคือภาวะที่ระดับราคาสินค้าและบริการโดยรวมในระบบเศรษฐกิจปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น อาหาร เสื้อผ้า ยา ค่าเช่าบ้าน หรือค่าขนส่ง ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต

สาเหตุหนึ่งของเงินเฟ้อคือการเพิ่มขึ้นของต้นทุน เช่น ราคาพลังงานที่สูงขึ้น ส่งผลให้ราคาสินค้าปรับขึ้นตาม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือราคาข้าวแกง เมื่อราคาก๊าซหรือค่าน้ำมันเพิ่มขึ้น ต้นทุนของร้านอาหารก็สูงขึ้นตาม และมักส่งผ่านไปยังผู้บริโภค

สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยคือ เมื่อราคาสินค้าถูกปรับขึ้นแล้ว แม้ต้นทุนจะลดลงภายหลัง ราคากลับไม่ลดลงตาม เป็นภาวะที่เรียกว่า “ราคายึดติด” (price stickiness) ซึ่งทำให้เงินเฟ้อเกิดขึ้นอย่างยืดเยื้อ

ในบริบทนี้ บิตคอยน์ไม่สามารถป้องกันหรือยับยั้งเงินเฟ้อได้ เพราะเงินเฟ้อเกิดจากกลไกของราคาสินค้าและบริการในโลกจริง

ไม่ได้แอนตี้บิตคอยน์  เพียงแต่ชี้ให้เห็นว่ามีคนเข้าใจผิดกันเป็นจำนวนมากว่าบิทคอยน์สามารถป้องกันเงินเฟ้อได้



*******************


เคยคุยกับเพื่อนๆเสมอๆว่า ถ้าแก่ตัว ที่อยู่อาศัยต้องอยู่ใกล้ห้าง ใกล้โรงพยาบาลชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น บ้าน หรือคอนโด ที่เดินลงมาเป็นห้าง มีร้านอาหารดีๆหลากหลาย ข้ามถนนเป็นโรงพยาบาล หาหมอได้ไม่ยาก ทำนองนี้ 

พอคิดแบบนี้ ทำให้คิดว่า จริงๆแล้ว ที่ไหนมีห้างที่นั่นก็ควรจะเป็นทำเลที่เหมาะสมในการตั้งโรงพยาบาล พูดง่ายๆคือเราคิดว่า โรงพยาบาลชั้นนำสามารถมีสาขาไปในทุกจังหวัดที่มีห้างสรรพสินค้า 

ปล. สำหรับเราเรื่องที่จะให้แก่ตัวแล้วไปลำบากลำบน ปลูกผักทำสวน อยู่บ้าน ตจว ห่างไกลความเจริญ ไม่อยู่ในหัวเลย แก่แล้วต้องลำบากกว่าเดิมนี่คือ วางแผนชีวิตผิดมาก 😆 (แต่แล้วแต่คนชอบนะ บางคนชอบความลำบากตอนแก่  บางคนคิดว่าแบบนั้นไม่ลำบาก ก็ว่ากันไป ตามสบาย ตามความชอบของแต่ละคน)




*******************


น้ำมันปาล์ม (Palm oil) 

สัดส่วนกรดไขมันโอเลอิก (Oleic acid, ω-9, MUFA) ในน้ำมันปาล์ม

 น้ำมันปาล์ม (โดยเฉพาะ refined palm oil) มีกรดไขมันโอเลอิกประมาณ 37–40% ของกรดไขมันทั้งหมด

 องค์ประกอบหลักของกรดไขมันในน้ำมันปาล์ม

กรดปาล์มมิติก (Palmitic acid, SFA) ~ 44–45%
 
กรดโอเลอิก (Oleic acid, MUFA) ~ 37–40%
 กรดไลโนเลอิก (Linoleic acid, PUFA, ω-6) ~ 10%
 กรดไขมันอื่น ๆ (ส่วนน้อย) ~ 5% หรือน้อยกว่า

สรุป ไขมันโอเลอิกในน้ำมันปาล์ม น้อยกว่าน้ำมันมะกอก (70–75%) และน้ำมันคาโนลา (60%+) แต่ใกล้เคียงน้ำมันถั่วเหลือง (~23%) และน้ำมันรำข้าว (~38%).

ผลต่อสุขภาพ
น้ำมันปาล์มมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ขึ้นกับรูปแบบการบริโภคและปริมาณ

ข้อดี
 1. มีวิตามิน E (tocotrienols, tocopherols) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ

 2. มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (โอเลอิก) ~40% ช่วยเพิ่ม HDL ได้บ้าง

 3. จุดเกิดควัน (smoke point) ค่อนข้างสูง (~230°C) เหมาะกับการทอด

ข้อเสีย
 1. ไขมันอิ่มตัวสูง (palmitic acid ~45%) → ถ้าบริโภคมาก อาจเพิ่ม LDL cholesterol และเสี่ยงโรคหัวใจ

 2. ผลิตภัณฑ์แปรรูป (เช่น ขนมกรอบ ทอดกรอบ) มักใช้น้ำมันปาล์มซ้ำหลายครั้ง → เกิด trans fat และสารออกซิไดซ์ ที่เป็นอันตราย

 3. การใช้ palm kernel oil (น้ำมันเมล็ดปาล์ม) มีไขมันอิ่มตัวสูงถึง ~80% → เสี่ยงมากกว่าน้ำมันปาล์มปกติ

ข้อสรุปเชิงสุขภาพ
ถ้าเทียบกับน้ำมันหมูหรือน้ำมันมะพร้าว → น้ำมันปาล์ม ดีกว่า เพราะมี MUFA และ PUFA อยู่บ้าง

แต่ถ้าเทียบกับน้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนลา น้ำมันรำข้าว → น้ำมันปาล์ม ด้อยกว่า เพราะไขมันอิ่มตัวสูงกว่า และโอเลอิกต่ำกว่า

การบริโภคปริมาณน้อย ในอาหารสมดุล ยัง ไม่ถือว่าอันตราย

แต่ ไม่ควรใช้ทอดซ้ำบ่อย ๆ และไม่ควรเป็นน้ำมันหลักในชีวิตประจำวัน


เปรียบเทียบกรดไขมันในน้ำมันชนิดต่าง ๆ

น้ำมัน

SFA (อิ่มตัว)

MUFA (โอเลอิก)

PUFA (โอเมก้า 6+3)

ปาล์ม

-45%

~39%

~10%

มะกอก

~14%

~73%

~11%

คาโนลา

~7%

~62%

~31%

รำข้าว

~20%

-38%

~37%

หมู (lard)

~39%

~45%

~11%

ถั่วเหลือง

~16%

~23%

-58%

สรุปสั้น ๆ

  • ไขมันดี (MUFA) สูงสุด → มะกอก, คาโนลา
  • PUFA สูง (โอเมก้า 6 มาก) → ถั่วเหลือง, รำข้าว (ดีถ้าสมดุลกับโอเมก้า 3)
  • SFA สูง (ควรจำกัด) → ปาล์ม, หมู


*******************


กล้ามเนื้อมีความสำคัญ โดยเฉพาะในยามอายุมากขึ้น คนที่นอนติดเตียง สาเหตุสำคัญสาเหตุหนึ่งก็คือ หกล้ม 

คนที่มีปัญหาเรื่องข้อ เรื่องปวดเข่า ถ้าหากมีกล้ามเนื้อที่มากพอก็จะจะช่วยรองรับการทำงานของข้อไม่ให้หนักเกินไป

การทรงตัวไม่ดีถึงได้หกล้ม ที่การทรงตัวไม่ดีสาเหตุอย่างหนึ่งก็มาจากกล้ามเนื้อที่น้อยเกินไป

แล้วก็เป็นเรื่องธรรมดามากที่กล้ามเนื้อจะค่อยค่อยลดลงเมื่ออายุมากขึ้น 

กล้ามเนื้อส่งผลต่อคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะในวัยชรา 

ดังนั้นการสร้างกล้ามเนื้อในวัยกลางคนหรือตั้งแต่อายุยังน้อยยิ่งเป็นสิ่งสำคัญ  

ไขมันในร่างกายที่มากเกินไป ส่งผลให้ระบบฮอร์โมนต่างๆรวน แน่นอนว่าส่งผลต่อ สุขภาพในระยะยาว

เห็นคนที่อ้วนไม่ได้แปลว่ามีกล้ามเนื้อเยอะตาม   ไขมันที่มากทำให้ระบบในร่างกายต่างๆทำงานหนักขึ้น ระบบรวน ฮอร์โมนไม่สมดุล ฮอร์โมนเพศก็ไม่สมดุลด้วย ในผู้หญิงที่ มีไขมันมากเกินไป ในบางคนก็ไม่มีประจำเดือน หรือประจำเดือนผิดปกติ ในผู้ชายก็จะทำให้สมรรถภาพทางเพศลดลง

ดังนั้น จุดสำคัญคืออยู่ที่การลดไขมันและเพิ่มกล้ามเนื้อ คำว่าเพิ่มกล้ามเนื้อในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าจะต้องแบบนักเพาะกาย ขอแค่มีกล้ามเนื้อ ในระดับของนักกีฬา ที่กล้ามเนื้อแข็งแรงและคล่องแคล่ว ก็ส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตมากแล้ว 

กล้ามเนื้อคือเตาเผาผลาญพลังงานในร่างกายที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง 

นั่นแปลว่าในคนที่มีกล้ามเนื้อมาก  จะมี อัตราการเผาผลาญพลังงานที่มากขึ้นว่าคนที่มีกล้ามเนื้อน้อย

ไขมันในร่างกายคนเรา 1 กิโลกรัมเท่ากับพลังงาน 7700  kcal

ระบบเผาผลาญพลังงานของร่างกาย  มักจะเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต เป็นอันดับแรกแน่นอนว่าไม่ได้เผาผลาญคาร์โบไฮเดรตล้วนล้วนหรอก มันจะเผาผลาญคู่กับไขมันไปด้วยเพียงแต่มันจะเลือกใช้คาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนมาก

แต่ถ้าหาก “ไม่มีคาร์โบไฮเดรต” ก็จะไปเผาผลาญไขมันต่อ แต่ไม่ใช่เผาผลาญไขมันอย่างเดียว จะมีบางส่วนที่ไปดึงเอากล้ามเนื้อมาเผาผลาญด้วย แม้จะน้อยกว่าการเผาผลาญไขมันก็ตาม (ดังนั้นการสร้างกล้ามเนื้อจึงจำเป็น เพราะไม่งั้นกล้ามเนื้อก็จะโดนเผาผลาญไปเรื่อยเรื่อยด้วยเช่นกัน แม้จะในสัดส่วนที่น้อยกว่าไขมันก็ตาม)

มันก็ขึ้นอยู่กับการใช้พลังงานด้วย  ในการใช้พลังงานแบบกระทันหันจำนวนมาก ก็จะเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตถ้าหากว่ามีให้เผาผลาญได้ นี่คือสาเหตุที่คนเล่นเวตต้องทานคาร์บ ไว้บ้าง

ในขณะที่การใช้พลังงานไม่มาก แต่ใช้งานแบบต่อเนื่อง หากเป็นช่วงที่ไม่มีคาร์โบไฮเดรตให้เผาผลาญก็จะไปเผาผลาญไขมันในร่างกาย  นี่คือสาเหตุที่ความเร็วในการเดินหรือวิ่งที่อยู่ในช่วง burn fat จะอยู่ในช่วงความเร็วต่ำ 

แม้สัดส่วนไขมันที่ถูกเผาไหม้จะมากขึ้นในช่วงความเข้มข้นต่ำ แต่ถ้าออกกำลังกายความเข้มข้นสูง (HIIT) ร่างกายใช้พลังงานรวมมากกว่า และหลังออกกำลังกายยังเผาผลาญเพิ่ม (EPOC effect)” ซึ่งก็ช่วยลดไขมันได้

การเผาผลาญไขมันขึ้นกับ สมดุลพลังงานรวม (calorie deficit) มากกว่าการลดคาร์บเพียงอย่างเดียว แต่การลดคาร์บสามารถช่วยให้ร่างกายเข้าสู่โหมดใช้ไขมันได้ง่ายขึ้น

การทำให้พลังงานติดลบ (kcal in - kcal out) ติดลบ จะช่วยเข้าสู่โหมดเบิร์นไขมันได้มากขึ้น

ดังนั้น  หากต้องการให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานไปเผาผลาญที่ไขมัน แปลว่าเราต้องทานคาร์โบไฮเดรตน้อย (ไม่ใช่ไม่ทาเลยนะ) เพื่อให้ร่างกายเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตให้หมดเวลาเราออกกำลังกายหรือเวลาเราเดิน พอคาร์โบไฮเดรตหมดแล้วเรายังเดินต่อร่างกายก็จะไปเผาผลาญไขมัน และนั่นก็คือทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้ 

ในทางกลับกันเราต้องพยายามเพิ่มกล้ามเนื้อ  ดังนั้นเราต้องทานโปรตีนให้มากเพียงพอที่ร่างกายจะนำไปสร้างกล้ามเนื้อได้ และเราก็ต้องเล่นเวท  การเล่นเวทที่หนักเพียงพอมันจะไปทำลายกล้ามเนื้อ ให้เสียหายเล็กน้อย พอในวันที่เราพัก ก็จะเป็นวันที่ร่างกายนำเอาอะมิโนโปรตีนและสารอาหารต่างๆมาสร้างเป็นกล้ามเนื้อมัดใหม่ ที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม เพราะร่างกายเราฉลาดมันรู้ว่าก้ามเนื้อมัดไหนถูกทำลายเพราะมีไม่พอใช้งานมันก็จะสร้างให้ใหญ่ขึ้น 

แต่การจะเล่นเวตได้ต้องคาร์บด้วย เพราะการเล่นเวตมักจะจะใช้การออกแรงแบบเหมือนจุดระเบิด ยกหนักหนักครึ้มขึ้นไปทีเดียว จะใช้พลังงาน แบบตูมเดียว ซึ่งถ้าหากไม่ได้คาร์โบไฮเดรตมาเสริมจะไม่มีแรงเพียงพอที่จะเล่นเวต นี่คือทำให้ต้องคาร์บ งดคาร์บทั้งหมดไม่ได้

ทั้งหมดนี่คือ ประสบการณ์ส่วนตัวเท่านั้น จากการลองปรับอาหาร จากการลองปรับการออกกำลังกาย

ซึ่งก็น่าจะเหมือนคนส่วนมากโดยเฉลี่ย แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าร่างกายคนเราสามารถแตกต่างกันได้ สำหรับเราทางนี้คือทางหลัก แต่สำหรับคนอื่นจะเป็นทางหลักด้วยหรือเปล่านั้นต้องลองค้นหาตัวเองดู

ปล. กล้ามเนื้อที่ลดลงส่งผลต่ออัตราการเป็นโรคอัลไซเมอร์เพิ่มขึ้นด้วย 



*******************