วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2568

หลักคิด 48

 ความแตกต่างทางวัฒนธรรมและโภชนาการระหว่างภูมิภาค


เอเชีย

“ข้าว” คือหัวใจของมื้ออาหาร โดยเฉพาะในจีน ญี่ปุ่น ไทย เวียดนาม


ข้าวมักกินคู่กับกับข้าวหลายชนิด (ผัด แกง ย่าง ฯลฯ)


การกินข้าวร่วมกันเป็นสัญลักษณ์ของความอบอุ่นในครอบครัว


ยุโรปและอเมริกา

“เนื้อสัตว์” มักเป็นจุดเด่นของจานหลัก เช่น สเต็ก ไก่ย่าง หมูอบ


คาร์โบไฮเดรต เช่น มันฝรั่ง ขนมปัง พาสตา มักเป็นเครื่องเคียง


อาหารมักจัดเสิร์ฟเป็น “จานเดียว” เช่น สเต็ก + มันบด + สลัด


ชีสและผลิตภัณฑ์นมมีบทบาทมากในอาหารยุโรป


ผลต่อสุขภาพ

การกินคาร์บมากเกินไป อาจทำให้ร่างกายสะสมพลังงานส่วนเกินเป็นไกลโคเจนและไขมัน → น้ำหนักเพิ่ม และไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง


อย่างไรก็ตาม คาร์บไม่ใช่สิ่งเลวร้าย ขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณ → ธัญพืชไม่ขัดสี (ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต) ดีกว่าคาร์บขัดสี (ข้าวขาว ขนมปังขาว)


ระดับ LDL ไม่ได้ขึ้นกับคาร์บเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นกับ ชนิดไขมันที่กิน (ไขมันอิ่มตัว ไขมันทรานส์) รวมถึงเนื้อแดงและพันธุกรรม


ดังนั้น ไม่ว่าจะกินอาหารแบบเอเชียหรือแบบตะวันตก ควรใส่ใจเรื่องปริมาณคาร์บและคุณภาพไขมันร่วมด้วย



************************************


คนทั่วไปที่ไม่ได้เล่นเวท แต่ไปหาเวย์โปรตีนมาทานโดยหวังว่าจะมีกล้ามทั้งๆที่ทานอาหารปกติมีโปรตีนเพียงพอแล้ว อย่าหาทำ


เพราะหากร่างกายไม่ได้ต้องซ่อมแซมกล้ามเนื้อ ปริมาณการใช้อะมิโนโปรตีนจะไม่ได้มาก การทานเวย์เสริมจะทำให้มีอะมิโนโปรตีนเหลือ  เป็นภาระแก่ตับในการเปลี่ยนอะมิโนโปรตีนส่วนเกินให้เป็นยูเรีย เพื่อให้ไตกรองยูเรียและขับออกจากร่างกาย เป็นการทำให้ตับและไตทำงานหนักขึ้น 


และในคนที่ไม่ได้เล่นเวท ลำพังแค่ทานโปรตีนสูงสูงยังไงก็ไม่มีกล้ามเพิ่มขึ้น


แต่ในคนที่เล่นเวท จะต้องการโปรตีนที่สูง เพราะต้องการอะมิโนโปรตีนเพื่อไปซ่อมแซมกล้ามเนื้ออย่างมาก และเมื่อใช้อะมิโนโปรตีนจนหมด ก็ไม่ได้เป็นภาระการทำงานเพิ่มแก่ตับและไต 


คนทั่วไปการทานโปรตีนช่วงที่เหมาะสมคือ 0.8 ถึง 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อวัน


ในคนที่เล่นเวท โปรตีนช่วงที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 1.5 กรัมถึง 2 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อวัน


และในคนที่เพาะกายเพิ่มกล้าม จะต้องการโปรตีนมากกว่า 2 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อวัน


ในทางกลับกัน  ผู้สูงวัยจำนวนมากมักทานโปรตีนไม่ถึง ขาดโปรตีน ทำให้กล้ามเนื้อลดลงเร็ว อันนี้ควรเสริมด้วยการทานนมที่มีเวย์โปรตีน หรือหาเวย์โปรตีนมาทานถ้าสามารถทานได้ 


************************************



โอเมกา6 และโอเมกา3

ไขมันจำเป็นที่ควรเข้าใจ


ไขมันเป็นส่วนประกอบสำคัญของร่างกาย แต่ไขมันแต่ละชนิดมีผลต่อสุขภาพแตกต่างกัน โดยเฉพาะ โอเมกา-6 และ โอเมกา-3 ซึ่งเป็น กรดไขมันจำเป็น (Essential fatty acids) ร่างกายสร้างเองไม่ได้ ต้องได้จากอาหาร



1. โอเมกา-6 คืออะไร

 • เป็น กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน

 • ช่วยสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ ผิวหนัง และเป็นวัตถุดิบในการสร้างสาร eicosanoids


 • Eicosanoids บางชนิดจากโอเมกา-6 สามารถกระตุ้นการอักเสบระดับต่ำเรื้อรัง (chronic inflammation) หากได้รับมากเกินไป


 • การอักเสบแบบนี้เชื่อมโยงกับโรคหัวใจ เบาหวาน และปัญหาสุขภาพเรื้อรังบางชนิด


แหล่งอาหารโอเมกา-6 สูง

 • น้ำมันพืช: ข้าวโพด, ถั่วเหลือง, เมล็ดดอกทานตะวัน, น้ำมันฝ้าย

 • เนื้อสัตว์: หมู > ไก่ (สะโพก > อก) > เนื้อวัว Grain-fed > ปลากะพง > ปลาแซลมอน



2. โอเมกา-3 คืออะไร

 • เป็นกรดไขมันจำเป็นอีกชนิดที่ช่วย ลดการอักเสบ และบำรุงหัวใจ

 • มีชนิดสำคัญ:

 • ALA (Alpha-linolenic acid) → พบในพืช เช่น เมล็ดแฟลกซ์ ชียา วอลนัท

 • EPA และ DHA → พบมากในปลา เช่น แซลมอน แมคเคอเรล ซาร์ดีน


 • EPA/DHA ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ, เส้นเลือดแข็งตัว และการอักเสบ



3. สัดส่วนที่ดีระหว่างโอเมกา-6 และโอเมกา-3

 • สัดส่วน โอเมกา-6 : โอเมกา-3 ที่แนะนำ 2 : 1 ถึง 4 : 1


 • อาหารทั่วไปในไทยและตะวันตกอาจสูงถึง 10 : 1 ถึง 15 :1 → กระตุ้นการอักเสบ


 • วิธีปรับสมดุล: ลดโอเมกา-6 จากน้ำมันพืชและเนื้อสัตว์บางชนิด, เพิ่มโอเมกา-3 จากปลาและเมล็ดพืช



4. โอเมกา-6 ในเนื้อสัตว์และปลา (100 กรัม ดิบ จากซุปเปอร์)


สรุปแนวโน้ม:

 • ปลาแซลมอน → โอเมกา3 สูงที่สุด ลดการอักเสบ


 • ปลากระพง → สัดส่วนโอเมกา6 : 3 ใกล้สมดุล


 • ไก่, หมู → โอเมกา6 สูง ต้องสลับอาหารโอเมกา3


 • เนื้อวัว Grain-fed → โอเมกา6 : 3 กลาง ๆ ขึ้นกับวิธีเลี้ยง



5. ข้อเสียของการทานหมูหรือไก่มาก

 • สัดส่วนโอเมกา6 : 3 สูง → กระตุ้นการอักเสบระดับต่ำเรื้อรัง


 • เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ เบาหวาน และเมตาบอลิซึมผิดปกติ


 • งานวิจัยบางชิ้นชี้ว่าไขมันโอเมกา6 สูงในเนื้อแดงและสัตว์ปีกที่เลี้ยงด้วย grain-fed อาจ เพิ่มความเสี่ยงเนื้องอกและมะเร็งบางชนิด เช่น ลำไส้ใหญ่และเต้านม



6. แนวทางปรับสมดุล

 • สลับโปรตีน: ปลาแซลมอน ≥ ปลากระพง ≥ ไก่ (อก) > หมู

 • ลดน้ำมันพืชที่มีโอเมกา6 สูง

 • เพิ่มอาหารโอเมกา3: ปลาแซลมอน, แมคเคอเรล, เมล็ดแฟลกซ์, วอลนัท

 • สัดส่วนอาหารต่อมื้อและสัปดาห์ควรคำนึงถึงสมดุลโอเมกา6 : 3



หากมอง เฉพาะสัดส่วนโอเมก้า-6 ต่อโอเมก้า-3 (Ω6/Ω3) แล้ว เนื้อปลาจะดีกว่าเนื้อวัวมาก แม้เป็นปลาที่ไขมันน้อยอย่างปลานิลก็ตาม


เหตุผล:

 1. ปลาโดยเฉพาะปลาน้ำเย็นหรือปลาขาว มี Ω3 แม้ไม่มาก แต่ Ω6 ต่ำมาก ทำให้ อัตราส่วน Ω6/Ω3 ต่ำ (ประมาณ 0.33–0.5 สำหรับปลานิล, กระพง, ทับทิม)


 2. เนื้อวัว มีไขมันอิ่มตัวและไขมันไม่อิ่มตัว (รวมถึง Ω6) สูงกว่า Ω3 มาก ทำให้ Ω6/Ω3 สูงหลายเท่า บางส่วนสูงถึง 20:1 ขึ้นอยู่กับเนื้อส่วนและวิธีเลี้ยง


 3. การทานอาหารที่ Ω6/Ω3 สูงเกินไปเชื่อมโยงกับ การอักเสบเรื้อรัง และโรคหัวใจ ในขณะที่เนื้อปลาช่วยปรับสมดุล


 • ไม่ว่าจะเป็นแซลมอนหรือปลานิล/กระพง/ทับทิม เนื้อปลาจะมี สัดส่วน Ω6/Ω3 ดีกว่าเนื้อวัวมาก


 • ปลาที่ไขมันสูงอย่างแซลมอนยังมี Ω3 สูงสุด ทำให้ประโยชน์ด้านหัวใจและสมองชัดเจนที่สุด


 • ปลาขาวไขมันต่ำก็ยังดีกว่าเนื้อวัวในแง่ Ω6/Ω3 แม้ปริมาณ Ω3 จะไม่สูงมาก


สรุป:


การจัดสัดส่วนโอเมกา6 : 3 อย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพหัวใจ ลดการอักเสบ และลดความเสี่ยงโรคเรื้อรังและมะเร็ง 


การสลับทานปลาแซลมอน ปลากระพง และเนื้อสัตว์อย่างระมัดระวังคือแนวทางที่ปลอดภัยและได้ประโยชน์สูงสุด


พูดง่าย ๆ คือ ไม่ว่าเนื้อวัว ไก่ หรือหมู สัดส่วน Ω6/Ω3 แย่กว่าปลาแทบทั้งสิ้น



************************************



เราเรียก HDL (High-Density Lipoprotein) ว่า ไขมันดี เพราะมันมีบทบาทสำคัญในการ ปกป้องหลอดเลือดและหัวใจ ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า Reverse Cholesterol Transport


หลักการสำคัญ

HDL ทำหน้าที่เก็บคอเลสเตอรอลส่วนเกินจากเลือดและผนังหลอดเลือดแล้วนำกลับไปที่ตับเพื่อสลายหรือขับออกทางน้ำดี


ผลลัพธ์คือ ลดการสะสมของคราบไขมัน (plaque) ในผนังหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคหัวใจและหลอดเลือดตีบตัน


เหตุผลที่เรียกว่า “ไขมันดี”

 1. ป้องกันหลอดเลือดตีบตัน

การขนคอเลสเตอรอลกลับไปกำจัด ช่วยลดโอกาสเกิด atherosclerosis


 2. ต้านการอักเสบ

HDL มีโปรตีนและสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการอักเสบในหลอดเลือด


 3. ต้านอนุมูลอิสระ

ช่วยปกป้อง LDL (ไขมันเลว) ไม่ให้ถูกออกซิไดซ์ ซึ่งจะทำให้ LDL เกาะผนังหลอดเลือดได้ง่ายขึ้น


 4. ช่วยซ่อมแซมเยื่อบุหลอดเลือด

ทำให้หลอดเลือดยืดหยุ่นและแข็งแรง


ค่าที่ถือว่าดี (ตามเกณฑ์สากล)

 ผู้ชาย HDL ≥ 40 มก./ดล.

 ผู้หญิง HDL ≥ 50 มก./ดล.

 HDL ยิ่งสูง ความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดยิ่งต่ำ


ตับคือจุดศูนย์กลางจัดการคอเลสเตอรอล ที่ HDL ขนกลับมา

แต่ถ้าตับมีไขมันส่วนเกินหรือทำงานผิดปกติ (เช่น ไขมันพอกตับ – Fatty liver) ความสามารถในการจัดการคอเลสเตอรอลก็จะลดลง


 1. การทำงานปกติ

HDL เก็บคอเลสเตอรอลจากหลอดเลือด → ส่งกลับไปตับ


ตับจะนำคอเลสเตอรอลนั้นไป ใช้สร้างน้ำดี หรือ ขับออกทางน้ำดี แล้วกำจัดออกพร้อมอุจจาระ


บางส่วนอาจถูกนำไปใช้สร้างฮอร์โมนหรือเยื่อหุ้มเซลล์


 2. เมื่อไขมันในตับสูง

เซลล์ตับถูกไขมันสะสม → เกิดการอักเสบ (Steatohepatitis) → ความสามารถในการรับและกำจัดคอเลสเตอรอลลดลง


HDL ที่ขนคอเลสเตอรอลกลับมาอาจไม่ถูกกำจัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ → คอเลสเตอรอลคงค้างในเลือด


เสี่ยง คอเลสเตอรอลรวมสูง แม้ HDL จะทำงานขนกลับมาแล้ว


 3. ผลระยะยาว

ถ้าตับทำงานไม่เต็มที่ → ระบบ Reverse Cholesterol Transport มีจุดตัน


เสี่ยงทั้งโรคหัวใจและปัญหาตับพร้อมกัน


สรุปสั้น ๆ


HDL เหมือนรถขนขยะ ส่วนตับเหมือนศูนย์กำจัดขยะ

ถ้าศูนย์กำจัดขยะ (ตับ) เต็มหรือพัง การขนกลับมามากแค่ไหนก็ไม่ช่วยให้ถนน (หลอดเลือด) สะอาดได้ 100%



************************************


อาโวคาโด


ไขมันดีหลัก ๆ ในอาโวคาโดที่ส่งผลดีต่อร่างกายมากที่สุดคือ กรดโอเลอิก (Oleic acid) ซึ่งเป็น ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated fatty acid – MUFA)


เหตุผลที่กรดโอเลอิกดีต่อร่างกาย

 1. ช่วยลดคอเลสเตอรอล LDL (ไขมันเลว)

ลดการสะสมของไขมันในผนังหลอดเลือด ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด


 2. เพิ่มคอเลสเตอรอล HDL (ไขมันดี)

ช่วยขนคอเลสเตอรอลส่วนเกินกลับไปที่ตับเพื่อกำจัดออก


 3. ลดการอักเสบในร่างกาย

มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ (anti-inflammatory) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานชนิดที่ 2 และโรคหัวใจ


 4. ช่วยดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน

เช่น วิตามิน A, D, E และ K ให้ร่างกายนำไปใช้ได้เต็มที่


 5. ช่วยรักษาสมดุลน้ำตาลในเลือด

เพราะไม่ทำให้ระดับน้ำตาลพุ่งเร็วเหมือนคาร์โบไฮเดรต


************************************


ฉันจะจัดเรียงสารที่มีผลเสียต่อสุขภาพตามลำดับจากมากไปน้อย ในเนื้อสัตว์แต่ละชนิด:


## **1. เนื้อวัวสับ**


- ไขมันอิ่มตัว (สูงสุด)

- คอเลสเตอรอล

- เฮมไอรอน

- โอเมก้า-6

- โซเดียม


## **2. เนื้อวัวสเตก**


- ไขมันอิ่มตัว

- คอเลสเตอรอล

- เฮมไอรอน

- โอเมก้า-6


## **3. เนื้อหมูสันนอก**


- ไขมันอิ่มตัว

- โซเดียม

- คอเลสเตอรอล

- โอเมก้า-6


## **4. เนื้อหมูสันใน**


- คอเลสเตอรอล

- ไขมันอิ่มตัว

- โซเดียม


## **5. เนื้อสะโพกไก่**


- คอเลสเตอรอล

- โซเดียม

- โอเมก้า-6

- ไขมันอิ่มตัว (น้อย)


## **6. เนื้ออกไก่**


- โซเดียม

- คอเลสเตอรอล (น้อยกว่า)

- โอเมก้า-6 (น้อยกว่า)


## **7. ปลาช่อน**


- โซเดียม

- คอเลสเตอรอล (น้อย)


## **8. ปลาดุก**


- โซเดียม

- คอเลสเตอรอล (น้อย)


## **9. ปลาประพง**


- โซเดียม (น้อย)

- ปรอท (ขึ้นอยู่กับแหล่งน้ำ)


## **10. ปลาแซลมอน** (ดีที่สุด)


- ปรอท (น้อยที่สุด)

- โซเดียม (น้อยที่สุด)


**หมายเหตุ:** ปลามักมีโอเมก้า-3 ที่มีประโยชน์ และไขมันอิ่มตัวน้อยกว่าเนื้อแดง ในขณะที่เนื้อแดงมีเฮมไอรอนสูงซึ่งเป็นความกังวลเรื่องสุขภาพ​​​​​​​​​​​​​​​​




************************************


“เนื้อแดงกับความเสี่ยงมะเร็ง” มักถูกพูดถึงบ่อย และมีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง


1. หลักฐานทางวิทยาศาสตร์

WHO / IARC (2015) จัดให้

- เนื้อแปรรูป (processed meat เช่น ไส้กรอก เบคอน แฮม) = กลุ่ม 1 ก่อมะเร็งในมนุษย์ (มีหลักฐานชัดเจนว่าทำให้เสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่เพิ่มขึ้น)


- เนื้อแดง (red meat เช่น วัว หมู แกะ) = กลุ่ม 2A อาจก่อมะเร็งในมนุษย์ (หลักฐานมีแต่ยังไม่เด็ดขาดเท่าของเนื้อแปรรูป)


2. กลไกที่ทำให้เนื้อแดงเพิ่มความเสี่ยง

 2.1 สารจากการย่าง/ทอดไฟแรง

การปรุงด้วยความร้อนสูง (เช่น ปิ้ง ย่าง ทอด) จะเกิดสาร HCA (heterocyclic amines) และ PAHs (polycyclic aromatic hydrocarbons) ซึ่งมีฤทธิ์ก่อมะเร็ง


 2.2 ไนเตรต/ไนไตรต์ (โดยเฉพาะในเนื้อแปรรูป)  เปลี่ยนเป็น N-nitroso compounds (NOCs) ในร่างกาย มีฤทธิ์ก่อมะเร็ง


 2.3 ธาตุเหล็กแบบ Heme iron (พบในเนื้อแดงมากกว่าเนื้อขาว) กระตุ้นการเกิดอนุมูลอิสระและการสร้างสาร NOCs ในลำไส้



3. ความเกี่ยวพันกับ โอเมก้า-6 และโอเมก้า-3

- สมดุลของโอเมก้า-6 ต่อ โอเมก้า-3

ร่างกายต้องการทั้งสองชนิด แต่ถ้า โอเมก้า-6 มากเกินไปเมื่อเทียบกับโอเมก้า-3 จะกระตุ้นให้ร่างกายอยู่ในภาวะ อักเสบเรื้อรัง


- การอักเสบเรื้อรังเป็นปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งหลายชนิด


เนื้อสัตว์เลี้ยงในฟาร์ม (เช่น วัว หมู) มักมี โอเมก้า-6 สูงกว่าโอเมก้า-3 เพราะอาหารเลี้ยงสัตว์ (เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง) มีโอเมก้า-6 สูง ทำให้ค่า อัตราส่วนโอเมก้า-6 : โอเมก้า-3 ของเนื้อแดงจากฟาร์ม อาจอยู่ที่ 10:1 ถึง 15:1


ขณะที่สมดุลที่ดีต่อสุขภาพควรอยู่ประมาณ 2:1 หรือ 4:1


ปลาและเนื้อสัตว์เลี้ยงแบบหญ้า (grass-fed) มี โอเมก้า-3 มากกว่า ทำให้สมดุลดีกว่า และอาจลดการอักเสบได้



4. สรุปความเชื่อมโยง

การที่มีคำพูดว่า “เนื้อแดงเพิ่มโอกาสมะเร็ง” มาจาก ทั้งสารก่อมะเร็งที่เกิดจากการปรุง + heme iron + ภาวะอักเสบจากไขมันไม่สมดุล (โอเมก้า-6 มากเกิน)


ถ้ารับประทานมาก และบ่อย โดยเฉพาะแบบย่าง/ทอดไฟแรง + เนื้อแปรรูป = ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น


************************************


โอเมก้าหก = จำเป็นต่อร่างกาย แต่ถ้ามากเกินไปจะเพิ่มโอกาสการอักเสบในร่างกาย ก่อให้เกิดโรคต่างๆรวมถึงมะเร็ง 


โอเมก้าสาม  = สารลดการอักเสบในร่างกาย


ปลาแซลมอน 

ปลากระพง

ปลาดุก

ปลาช่อน

ดีต่อสุขภาพมากที่สุดถึงมากตามลำดับ


ปลานิล ปลาทับทิม ดีกว่า ไก่ หมู เนื้อ แต่ ปลานิลและปลาทับทิมก็ยังมีโอเมก้าหกสูง


เนื้อวัว เนื้อหมูและเนื้อไก่ มีโอเมก้าหกสูง และ โอเมก้าสามน้อยมากเมื่อเทียบกับเนื้อปลา 


เนื้อปลาโดยรวมแล้วจะมีไขมันและคอเลสเตอรอลที่ต่ำกว่าเนื้อไก่เนื้อหมูและเนื้อวัว  


ปลาค่อนข้างปลอดภัยกว่า



************************************




************************************



************************************



************************************




************************************



************************************




************************************



************************************



************************************




************************************



************************************




************************************



************************************