วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

หลักคิด 55

 


การแบ่งเงินออมเพื่อลงทุนนั้นเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า “ต้องทำ” 

แต่บางครั้ง คนเราอยากได้สิ่งของฟุ่มเฟือยบ้าง อยากท่องเที่ยวบ้าง 

มีกฎนึง ที่อยากแนะนำให้ทำ

ทุกครั้งที่ซื้อของหรูหรือของไม่จำเป็น หรือท่องเที่ยว “ให้ลงทุนในจำนวนเท่ากันเสมอ”

เช่น เที่ยวยุโรป 300,000 จะต้องกันเงินอีก 300,000 ไปลงทุนก่อนเที่ยวเสมอ


**********


สองสิ่งที่ นลท มักจะทำพลาด

1. ซื้อเร็วเกินไป และขายช้าเกินไป

2. ซื้อช้าเกินไป และขายเร็วเกินไป


**********


เราไม่ได้มองสิ่งต่างๆอย่างที่มันเป็น แต่เรามองเห็นสิ่งต่างๆอย่างที่เราอยากให้เป็น

กราฟหุ้นก็เช่นกัน ดังนั้นต้องระวังอคติของเราให้ดี และมันมักจะมาในแบบที่เราไม่รู้ตัว


**********


เคยถามตัวเองบ้างไหม สมมติเกิดเหตุการณ์ black swan (long tail) หลังตลาดหุ้นปิด แล้วเปิดมาตลาดหุ้นดิ่งกระหน่ำ เช่น ดัชนีลดลง 25% พอร์ตจะเป็นอย่างไร มีแผนรับมือหรือไม่อย่างไร 😊

มันเป็นเรื่องสำคัญที่มีผลกระทบหนักมากที่คนส่วนใหญ่มองข้าม ไม่เคยวางแผนรับมือ จริงๅแล้วไม่เคยคิดถึงด้วยซ้ำไป


**********


การแบ่งเงินออมเพื่อลงทุนนั้นเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า “ต้องทำ” 

แต่บางครั้ง คนเราอยากได้สิ่งของฟุ่มเฟือยบ้าง อยากท่องเที่ยวบ้าง 

มีกฎนึง ที่อยากแนะนำให้ทำ

ทุกครั้งที่ซื้อของหรูหรือของไม่จำเป็น หรือท่องเที่ยว “ให้ลงทุนในจำนวนเท่ากันเสมอ”

เช่น เที่ยวยุโรป 300,000 จะต้องกันเงินอีก 300,000 ไปลงทุนก่อนเที่ยวเสมอ


**********



**********


จุดเริ่มต้นของแนวโน้มใหม่ มักจะแพงในความรู้สึกของคนส่วนมาก ไม่ว่าจะแพงเพราะบวกแรงมากในวันเริ่มต้นแนวโน้มใหม่ หรือแพงเพราะราคาที่มันเทียบกับ valuation ก็ตาม 


แน่นอนว่า ไม่ใช่ทุกความแพงจะเป็นจุดเริ่มต้นของแนวโน้มใหม่ 

และนั่นคือหน้าที่ของนักลงทุน ที่ต้องแยกแยะให้ออก

11/11/2025


**********


ทำตามระบบที่น่าเบื่อแต่มีกำไรไปเรื่อยๆ อย่าพยายามดัดแปลงปรับแต่ง เพราะจะทำให้ระบบที่เสถียรอยู่แล้วมันรวนจนเกิดความเสียหายได้

ส่วนมากขาดทุนเพราะปรับแต่งจนเกินเลย จากความคิดสร้างสรรค์ที่ทำให้อยู่นิ่งไม่เป็น


**********


พ่อเราสอนตั้งแต่เรายังวัยรุ่น 

เรายังจำได้เสมอ


ถ้าไม่อยากเดือดร้อน

- ห้ามยุ่งกับการพนัน

- ห้ามยุ่งกับยาเสพติด

- และห้ามค้ำประกัน


**********


ถ้าจะเก็งกำไรบนแนวโน้มราคาขาขึ้น กับของที่ไม่มีค่าแต่มีราคา แล้วต้นทุนคือราคาตลาด  ต้องให้แน่ใจว่า สามารถขายได้หมด (สภาพคล่องพอ) ขายได้ทัน ไม่ค้างสต๊อกติดมือ ไม่งั้นละก็


วิกฤติฟองสบู่ดอกทิวลิปเป็นตัวอย่างที่ดี 



**********


วิธีการลดไตรกลีเซอไรด์จาก 418 เหลือ 71 ภายใน 2 เดือน โดยไม่ทานยา


เผื่อจะมีประโยชน์สำหรับคนที่อยากลดไตรกลีเซอไรด์ 


มีช่วงนึงที่เราทานข้าวเยอะ ตักข้าวจานละประมาณ 250-300 กรัม (ข้าวพูนจาน) ทานมื้อละสองจาน แถมชอบตุ๋นเนื้อทานเอง หม้อใหญ่ๆ ตักทานได้เรื่อยๆ ฟินสุดๆ 


มีโอกาสทานนอกบ้านจะตระเวนทาข้าวมันไก่เจ้าดัง และตรงกับหน้าทุเรียน ก็จะซื้อทุเรียนเน้นลูกใหญ่ 4-5 โล ทานกับแฟนสองคน 


ปกติเราเป็นคนไม่ทานของหวาน ไม่ทานผลไม้ มีเฉพาะปีนั้นที่ทานทุเรียนแล้วอร่อยเพลิน


หลังจากนั้นเจาะเลือด เจอค่า ไตรกลีเซอไรด์สูงถึง 418  (ค่าปกติห้ามเกิน 150) 


เราไม่มีเบาหวาน น้ำตาลไม่เกิน น้ำตาลสะสม 5.3 เท่านั้น (ปกติห้ามเกิน 6.5)


หมอถามเลยทานยาไหม ลูกเห็นลูกบ่นไม่หยุด โวยวายใหญ่ว่าถ้าเลย 500 ตับอ่อนอักเสบ เรื่องจะยุ่งมากกกก


ผมถามว่าไตรกลีเซอไรด์ขึ้นสูงจากสาเหตุไหนได้บ้าง ได้ความว่า


- คาร์บมาก ทั้งน้ำตาลหรือแป้งก็ตาม

- แอลกอฮอล์ 

- ไขมันในช่องท้องสูง


ผมบอก ขอเวลาสองเดือนจะมาตรวจเลือดอีกครั้ง จะเอาให้ต่ำกว่า 150 ให้ได้


กลับมาถึงบ้านวางแผนเปลี่ยนพฤติกรรม โชคดีคือ เราไม่ดื่มแอลกอฮอล์มานานพอสมควรแล้ว เลยปรับเอาอาหารที่มีไขมันสูงออกทั้งหมด ออกกำลังกายเวทเทรนนิ่ง วันละ 90 นาทีเป็นอย่างน้อย หรือเดินให้ได้ 10,000 ก้าวต่อวัน


นับแคลลอรี่อิน และ แคลลอรี่เอ้าท์ ให้ติดลบวันละ -500 kcal โดยประมาณ


ปรับอาหารคือ 

- งดของทอด เบเกอรี่ ชีสไส้กรอก แฮม เด็ดขาด 

- งดเนื้อวัวเด็ดขาด งดเนื้อหมู 

- งดผลไม้อันนี้สำคัญมากเพราะน้ำตาลเยอะ 

- งดเนื้อไก่ (ทานอกไก่ได้ไม่เกิน 10% แต่พยายามไม่ทาน) 


ทุกมื้อ ทานแต่เนื้อปลาเท่านั้น


ปรุงอาหารเองแทบทุกมื้อ วิธีในการปรุง ต้ม ย่าง grill และ เตาอบลมร้อน เท่านั้น


น้ำมันในการปรับอาหาร ใช้ น้ำมันคาโนล่า และใส่ขวดสเปรย์ ไม่มีการรินลงกระทะ


นอกจากอาหารมื้อหลักแล้ว ไม่ทานอย่างอื่นเลยยกเว้นกาแฟดำ โยเกิร์ตและนมไขมันต่ำ แต่คุมปริมาณที่ทาน


ผลคือ สองเดือน body fat ลดลงมาก และ นน ตัวลดไปประมาณ 5-6 kg


ไปเจาะเลือด ผลคือ ไตรกลีเซอไรด์ลดเหลือ 71 เน้นย้ำว่าไม่ได้ทานยา !!!  


ใช้เวลาสองเดือนในการ “เข้มงวดกับการออกกำลังกาย และอาหารการกิน”


หมอบอกไม่เคยเจอคนที่ลดไตรกลีเซอไรด์ได้มากขนาดนี้โดยไม่ทานยา  ลูกชมเปาะ “ทำได้ดี ทำได้ดีมาก”


ช่วงแรกๆ มีอาการวิงเวียนเวลาลุกเร็วๆ และรู้สึกหิวตลอดเวลาแม้กระทั่งเพิ่งทานอาหารเสร็จ ทำให้เรารู้ว่าสมองกำลังหลอกเรา สมองชอบกลูโคส หลอกให้เราหิวเพื่อให้เราเติมกลูโคส แต่เรารู้ทันเลยทานเป็นเวลาตามมื้ออาหารเท่านั้น ไม่ทานนอกมื้อเด็ดขาด อาการเป็นอยู่ประมาณ 4-5 วันเท่านั้น หลังจากนั้นร่างกายปรับตัวได้


เพิ่มเติม หลังจากปรับอาหารแล้วทุกมื้อทานข้าวสวย สามช้อนโต๊ะ ผัก 200 กรัม ปลา 200 กรัม 

โดยประมาณต่อมื้อคือทานประมาณมื้อละครึ่งโล อิ่มทุกมื้อ

ปล ก่อนปรับอาหาร ความดันอยู่ที่ 90/128 หลังลด TG ลง นน.ตัวลดลง ความดันเหลือ 70/98 ถึง 85/105


********** **********

วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

หลักคิด 54

 สำหรับคนที่เชื่อว่าการเวียนว่ายตายเกิดมีจริงบาปกรรมมีจริงเท่านั้น 

เรื่องบาปกรรมของการขโมยของคนอื่น

การขโมยไม่ใช่แค่การยื่นมือไปหยิบของที่ไม่ใช่ของเรา แต่มันคือการหยิบเอาผลแห่งความเหนื่อยยากของใครบางคนไป โดยไม่สนว่าเขาต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อ แรงกาย หรือเวลาชีวิตเท่าใด

คนที่เคยผ่านความลำบาก ย่อมรู้ดีว่าทรัพย์สินแต่ละชิ้นนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจาก “โชค” แต่เกิดจาก “ความพยายาม” การขโมยจึงไม่เพียงทำลายทรัพย์ แต่มันทำลาย “หัวใจของผู้สร้าง” ไปพร้อมกัน

บาปจากการขโมยจึงไม่ใช่แค่สิ่งที่กรรมจะตามทันในโลกนี้เท่านั้น แต่ยังฝังลึกลงในจิตใจผู้กระทำ ทำให้ไม่รู้จักคำว่าพอ ทำให้จิตขุ่นมัว และสุดท้ายดึงดูดความสูญเสียกลับมาหาตัวเอง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ทรัพย์สินที่คนอื่นสร้าง แล้วโดนขโมย

บาปกรรมที่ต้องชดใช้พร้อมดอกเบี้ย แม้ข้ามภพข้ามชาติ

ทรัพย์ที่คนอื่นสร้างขึ้นมานั้น มักมีพลังของ “บุญแห่งความตั้งใจ” อยู่ในนั้น ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์ทางโลกอย่างเงินทอง หรือทรัพย์ทางใจ เช่น ผลงาน ความคิด ความดีงาม 

เมื่อใครสักคนลักเอาไป ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรืออุบาย กรรมจะไม่เงียบ

บาปจากการขโมยของเช่นนี้มักไม่หยุดอยู่แค่ “เสียคืน” แต่จะบวก “ดอกเบี้ยแห่งความทุกข์” เข้ามาด้วย

บางคนต้องสูญเสียสิ่งที่รักอย่างไม่มีเหตุผล บางคนต้องทำงานหนักทั้งชีวิตแต่ไม่เคยเหลือผล 

บางคนมีทรัพย์แต่ไม่มีสุข ทุกอย่างดูเหมือนบังเอิญ แต่แท้จริงคือ “การคืนหนี้กรรม” ที่ดอกเบี้ยสะสมข้ามภพข้ามชาติ

กรรมไม่ลืม ไม่เร่ง ไม่ช้า แต่ “แม่นยำเสมอ”

“ของที่ไม่ใช่ของเรา ต่อให้ได้มาก็ไม่เคยทำให้ชีวิตดีขึ้น”

เพราะทรัพย์สินอาจทำให้เรารวยในวันนี้ แต่กรรมที่ติดอยู่กับมัน จะทำให้เรายากจนในวันหน้า ไม่ว่าจะวันพรุ่งนี้ หรือชาติหน้า กรรมย่อมทวงคืนด้วยความเที่ยงตรงเสมอ


***********


ใครที่มีลูกคนเดียวหรือไม่มีลูก ก็สบายตัวไป  แต่คนที่มีลูกหลายคน มีโอกาสพบเจอปัญหานี้ทุกคน 🥲


พอดีอ่านเจอมา

เรื่องละเอียดอ่อนในครอบครัว ที่พ่อแม่อาจไม่เคยนึกถึง


ความรักที่อาจกลายเป็นบาป โดยไม่ตั้งใจ


หลายครอบครัวในสมัยก่อน บางทีก็ยังมีอยู่ในปัจจุบัน มักจะมีสถานการณ์ที่พ่อแม่เห็นลูกคนหนึ่งมีฐานะดีกว่า มีรายได้มากกว่า ก็เลยคิดว่า… “เอาเงินจากลูกคนนี้ไปช่วยน้องที่กำลังลำบากหน่อยก็คงไม่เป็นไร พี่ก็มีเหลือเฟือ”


หรือบางทีก็อาจจะเป็นการเอาทรัพย์สินที่ลูกคนหนึ่งซื้อมาให้ หรือเก็บออมไว้ แล้วพ่อแม่แอบเอาไปให้ลูกอีกคนโดยที่ไม่ได้ขออนุญาต


พ่อแม่คิดว่า… นี่คือความรัก นี่คือการดูแลลูกให้เท่าเทียมกัน


แต่ลองมองอีกมุมหนึ่งนะคะ…


มุมมองที่ละเอียดกว่า ที่อาจจะยังไม่เคยคิดถึง


เวลาเราเอาสิ่งที่ลูกคนหนึ่งหามาได้ด้วยความเหนื่อยยาก ด้วยเวลา ด้วยแรงกาย แรงใจของเขา แล้วนำไปให้ลูกอีกคนโดยไม่ได้ถาม…


จริงๆ แล้วมันอาจจะไม่ใช่การแบ่งปันอีกต่อไปแล้วค่ะ


มันเหมือนกับว่าเราเป็นตัวกลาง ช่วยให้ลูกคนหนึ่งได้รับสิ่งที่ไม่ใช่ส่วนของเขา จากน้ำพักน้ำแรงของพี่หรือน้องที่ทำงานหนัก


และนี่คือสิ่งที่พ่อแม่หลายคนอาจจะไม่เคยรู้


แต่ละคนมีกรรมของตัวเอง มีเส้นทางชีวิตของตัวเอง


บางคนมาเกิดในชาตินี้พร้อมกับบุญเก่าที่จะทำให้เขาประสบความสำเร็จ บางคนมีบทเรียนที่ต้องเรียนรู้ผ่านความลำบาก และนั่นคือสิ่งที่จะทำให้เขาเติบโต


เวลาเราพยายาม “ถ่ายโอน” ทรัพย์สินจากคนหนึ่งไปอีกคนโดยไม่เหมาะสม เราอาจจะรบกวนเส้นทางกรรมของทั้งสองคนโดยไม่รู้ตัว


ความรักที่แท้จริง กับ การสร้างบาปโดยไม่รู้ตัว


ความจริงก็คือ… พ่อแม่ทำแบบนี้ด้วยความรัก ด้วยความเป็นห่วง อยากให้ลูกทุกคนมีความสุข มีชีวิตที่ดี ไม่อยากเห็นใครลำบาก


และความรู้สึกนี้… มันสวยงามมากค่ะ


แต่วิธีการที่เราเลือกใช้นั้น อาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด


เพราะในมุมมองของกฎแห่งกรรม สิ่งที่เราทำนั้น มันกลายเป็นว่า


- ลูกคนหนึ่งถูก “ขโมย” ผลงานของเขาไป แม้ว่าคนขโมยจะเป็นพ่อแม่ของเขาเองก็ตาม

- ลูกอีกคนได้รับสิ่งที่ไม่ใช่ส่วนของเขา ซึ่งอาจสร้างหนี้กรรมที่ต้องชดใช้ในอนาคต

- และพ่อแม่เอง… ก็อาจจะติดบาปจากการเป็นตัวกลางในเรื่องนี้โดยไม่รู้ตัว


ผลที่ตามมา ไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้น


สิ่งที่หนักใจที่สุดคือ… กฎแห่งกรรมนั้นไม่ได้ดูว่าเราทำด้วยเจตนาดีหรือเปล่า มันดูที่ “การกระทำ”


เวลาเราเอาของจากคนหนึ่งไปให้อีกคนโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ว่าเราจะมีเหตุผลอะไร หรือเราจะรักเขาแค่ไหน… กฎกรรมก็ยังเดินตามกลไกของมันเอง


และการชดใช้นั้น อาจไม่เกิดทันทีในชาตินี้ แต่มันจะเกิดขึ้นเสมอ—อาจเป็นชาติหน้า หรืออนาคตอันไกล พร้อมกับ “ดอกเบี้ย” ที่สะสมมาตามกาลเวลา


ทางออกที่อ่อนโยนกว่า


แล้วพ่อแม่ควรทำยังไงดี เมื่ออยากช่วยลูกที่กำลังลำบาก?


คำตอบง่ายๆ แต่สำคัญมากคือ


ใช้ทรัพย์สินของตัวเอง ไม่ใช่ของลูกคนอื่น


- ถ้าอยากให้เงินลูก ให้จากเงินที่พ่อแม่หามา จากแรงงานของพ่อแม่เอง

- ถ้าอยากช่วยเหลือลูกคนใด ขอความยินยอมจากลูกคนอื่นก่อน ถ้าเขายินดีให้ นั่นคือบุญของเขาที่จะได้

- อย่าบังคับหรือแอบเอาโดยไม่บอก แม้ว่าจะคิดว่า “เขาคงไม่ว่าอะไรหรอก”


ความรักที่แท้จริงต่อลูก ไม่ใช่การทำให้ทุกคนได้รับเท่าเทียมกันโดยการเอาจากคนหนึ่งไปให้อีกคน


แต่เป็นการสอนให้ลูกแต่ละคนเดินบนเส้นทางของตัวเอง ด้วยความซื่อสัตย์ ด้วยความเคารพต่อสิ่งที่คนอื่นได้มา


ข้อความสุดท้ายจากใจ


พ่อแม่ทุกคนรักลูก และอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูก… สิ่งนี้ไม่มีใครโต้แย้งได้เลยค่ะ


แต่บางทีความรักที่มากเกินไป อาจทำให้เรามองข้าม “ขอบเขต” ที่ไม่ควรล้ำเส้น


การให้ลูกแต่ละคนเดินตามเส้นทางกรรมของตัวเอง ไม่แทรกแซงสิ่งที่ไม่ควรแทรกแซง และเคารพในผลงานที่แต่ละคนสร้างมา… นี่อาจจะเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่กว่า และปลอดภัยกว่าสำหรับทุกคนในครอบครัวค่ะ 💙


***************

ตลาดจะมีทั้งช่วงดีและร้าย ความสามารถในการ “ไม่ตื่นตระหนก” คือข้อได้เปรียบของนักลงทุน

************

1. ทุกสิ่งสามารถเกิดขึ้นได้

 2. คุณไม่จำเป็นต้องรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปถึงจะทำกำไรได้

 3. ผลลัพธ์ของแต่ละชุดตัวแปรมีการกระจายแบบสุ่มระหว่างกำไรและขาดทุน

 4. “Edge” หรือความได้เปรียบ คือเพียงโอกาสที่บางสิ่งจะเกิดขึ้นมากกว่าอีกสิ่งหนึ่ง

 5. ทุกช่วงเวลาของตลาดนั้นไม่ซ้ำกัน


ยอมรับความไม่แน่นอนของตลาด เพราะตลาดไม่ได้มีแบบแผนที่ตายตัว และผลลัพธ์ของแต่ละเทรดล้วนมีโอกาสสุ่ม แม้จะมีระบบที่ดีเพียงใดก็ตาม


***********

ในความเป็นจริง “ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าตลาดจะทำอะไรต่อไป”

***********

กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ (Eat healthy)

สิ่งที่คุณกิน คือพลังที่คุณมี ดูแลร่างกายให้ดี เพราะมันคือบ้านที่คุณอยู่ไปตลอดชีวิต

***********

การมีเป้าหมายคือการบอกทิศทางชีวิต อย่าปล่อยให้วันเวลาผ่านไปโดยไม่มีจุดหมาย

***********

มนุษย์สามารถพลาดได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง 

ดังนั้นจึงควรเฝ้าสังเกตตัวเองอยู่ตลอดเวลา เช่น เทรดเพราะแผน หรือเพราะกลัวพลาดโอกาส (FOMO)? 

พยายามรู้เท่าทันพฤติกรรมของตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้ความผิดพลาดเดิมเกิดซ้ำ

***********

ถ้าคุณเทรด อย่ายึดติดกับราคาต้นทุนมากนัก โดยเฉพาะหากมีการป้องกันความเสี่ยง เพราะหลายครั้งต้นทุนแฝงไปอยู่ในค่า premium หรือ ค่า whipsaw ที่จ่ายออกไป แม้ต้นทุนหุ้นจะต่ำคงเดิมแต่ความจริงแล้วมันเพิ่มขึ้นเป็นค่าใช้จ่ายอยู่นอกต้นทุนหุ้น

ต้นทุนหุ้นเดิมที่แฝงด้วย คชจ นอกตัวหุ้น ดูเอาสนุกพอได้ แต่อย่าไปยึดติดมันมาก

***********


รู้จักล็อกกำไรบางส่วนเมื่อถึงเป้าหมาย ไม่ปล่อยให้กำไรหายเพราะความโลภ 

เคารพเงินที่ตลาดให้ และรู้ว่าการปกป้องผลตอบแทนเป็นสิ่งสำคัญพอ ๆ กับการหากำไรเพิ่ม


***********

เมื่อสัญญาณจากระบบเกิดขึ้น ทำตามทันที ไม่รอให้ “รู้สึกมั่นใจ” หรือ “คิดเพิ่มอีกนิด” เพราะรู้ดีว่าความลังเลคือศัตรูของความสม่ำเสมอ 

การเทรดคือการปฏิบัติตามกฎที่ได้ทดสอบแล้ว ไม่ใช่การเล่นตามอารมณ์

***********


คุณรู้ขอบเขตความได้เปรียบในการเทรดหุ้นของตัวคุณเองหรือไม่ ถ้ามีมันคืออะไร 

คุณต้องระบุได้อย่างแน่ชัดว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่คุณชำนาญจนคุณได้เปรียบคนอื่น ถ้าคุณไม่สามารถระบุได้ แสดงว่าคุณไม่มี


***********

การรู้ว่าเมื่อไหร่ควร “หยุด” สำคัญพอ ๆ กับการรู้ว่าเมื่อไหร่ควร “เริ่ม”

***********


จะเล่าให้ฟังถึงการเทรดนึง

ไม่พาดพิงถึงตลาด หรือหุ้น  เรื่องเล่าสมมตินี้เป็นการเทรด ณ ตลาดอันไกลโพ้น


เห็น DR ที่รู้สึกว่าสภาพคล่องต่ำและกราฟเป็นลักษณะที่รอเลือกทาง


แต่ราคาหุ้นแม่ไหลลงนำไปแล้ว !!!


กราฟ DR ควรไหลลงตาม แต่เนื่องจากกราฟอยู่ในลักษณะก้ำกึ่ง ประกอบกับมีควาทผันผวนจากค่าเงินและมีสภาพคล่องต่ำ จึงมีช่องให้ Market maker ดันราคาให้กราฟลอย  “ดูเหมือนเลือกทางขึ้น”


แต่การจะทำให้ราคาลอย หากมีคนขายใส่ mm จะขาดทุนเพราะหุ้นแม่ไหลลงรินๆแล้ว


mm ทำไงรู้ไหม เพื่อเรียกคนที่ ปสก น้อยมาซื้อ 


ก็ใช้การดันราคาให้กราฟดูเหมือนลอยขึ้น ดูเหมือนเลือกทางขึ้น แต่กลัวคนขายใส่ จึงวาง bid น้อยๆดันราคา แล้วซ่อน bid อีกนิดหน่อยไว้ เพื่อพยุงราคาให้กราฟเหมือนเบรคทางขึ้น


คนที่ไม่รู้ ปสก น้อยเห็นกราฟก็อาจเข้าซื้อ เพราะเข้าใจผิด นั่นแปลว่า mm ขายได้ราคา ได้กินส่วนต่าง 


บิดน้อยๆ วาง 2 ช่อง ถ้าใครจะซื้อเคาะซื้อฝั่ง offer จะซื้อแพงกว่าหุ้นแม่ประมาณสัก 2% แต่ถ้าใครจะขายจะเจอ bid น้อย และพอเคาะซ้ายปุ๊ป bid จะหายปั๊ป ถ้าจะขายมากๆต้องเทลง 2-3 ช่อง เท่ากับขายได้ราคาต่ำกว่าหุ้นแม่


ทำไมคิดว่าเป็น mm เป็นคนทำ เพราะสภาพคล่องต่ำ หาก mm เติมสภาพคล่องเต็มจริงจะไม่มีช่องว่างให้มี bid น้อยๆมาวางได้ 


และคนที่คุมสภาพคล่องได้สำหรับ DR คือ mm เท่านั้น เสมือนเป็นประตูกั้นน้ำ น้ำมากจนราคาเกินจริง mm ดึงออกได้เพราะได้กำไร น้ำน้อย mm เปิดประตูกันน้ำ เพื่อเติมน้ำได้


แต่บางที mm เลือก เปิดประตู้น้ำน้อยๆ แล้วจับปลากินเอง 


ทั้งหมดเป็นแค่เรื่องสมมติ จากตลาดอันไกลโพ้น เล่าเป็นความรู้ ว่าเค้ามีวิธีการแบบนี้กันด้วยนะ ☺️☺️☺️


***********

ถ้ายังรู้สึกไม่สบายใจกับความเสี่ยง อย่าฝืนเทรด และควรรู้ว่าการเทรดคือเกมของความน่าจะเป็น (probability) ไม่ใช่การคาดเดาอนาคต   ควรยอมรับได้อย่างเต็มที่ว่าผลลัพธ์นั้นบางครั้งอาจขาดทุน  เพราะแม้จะควบคุม “กระบวนการ” ได้ แต่ไม่อาจควบคุม “ผลลัพธ์” ได้

********


สิ่งสำคัญไม่ใช่ว่าคุณถูกหรือผิด แต่สิ่งสำคัญคือคุณทำเงินได้มากแค่ไหนเมื่อคุณถูก และคุณเสียเงินไปมากแค่ไหนเมื่อคุณผิด - จอร์จ โซรอส


วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2568

หลักคิด 53

 เงินต้นคือชีวิตของนักลงทุน อย่าให้มันหาย ไม่มีเงินต้นก็เป็นนักลงทุนไม่ได้


กฎข้อแรก อย่าเสียเงินต้น กฎข้อสอง อย่าลืมกฎข้อแรก”

ฟังดูเหมือนง่าย แต่นี่คือหัวใจสำคัญที่สุดของการลงทุน


ลองคิดดูนะ ถ้ามีเงิน 100,000 บาท แล้วขาดทุนไป 50% จะเหลือเพียง 50,000 บาท แต่ถ้าอยากได้เงินคืนเป็น 100,000 บาท ต้องทำกำไร 100% จาก 50,000 บาท  ซึ่งยากกว่ามาก!


สิ่งที่ควรทำ

 เลือกลงทุนในสิ่งที่มีความเสี่ยงต่ำ มั่นคง

 อย่าเสี่ยงเงินทั้งหมดในที่เดียว

 ถามตัวเองก่อนลงทุนทุกครั้งว่า “ถ้าขาดทุน จะรับได้ไหม?”


**********


“Don’t marry your trades. Marry your discipline.”


อย่ายึดติดกับสินทรัพย์ที่เทรด แต่ให้ยึดติดกับการมีวินัย 


*********


ขึ้นก็ถือต่อ ลงถึงจุดนึงก็ขาย 

ทำตามหลักการอย่างมีวินัย 

ก็เท่านั้นเอง 


ไม่ใช่นอสตร้าดามุส

ไม่ใช่แม่หมอ 

ไม่สามารถรู้อนาคตได้ 

จึงทำได้แค่เกาะเทรนด์ 

😊😊😊


*********


ความมั่งคั่งเกิดจากวินัย ไม่ใช่โชค

เรื่องนี่ไม่ได้ซับซ้อน แต่ต้องใช้วินัย ความอดทน และความมุ่งมั่น ในการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง


ความมั่งคั่งที่แท้จริงไม่ได้สร้างข้ามคืน แต่สร้างทีละนิดทุกวัน ด้วยการตัดสินใจที่ดี ด้วยความรู้ที่สะสม และด้วยเวลาที่ให้มันเติบโตไปเรื่อยๆ


เริ่มต้นวันนี้ เพราะวันที่ดีที่สุดในการปลูกต้นไม้คือ 20 ปีที่แล้ว แต่วันที่ดีที่สุดอันดับสองคือวันนี้


***********



ปู่บัฟเฟตต์อ่านหนังสือวันละ 500 หน้า ปู่บอกว่า “ความรู้สะสมได้เหมือนดอกเบี้ยทบต้น”


ยิ่งคุณรู้มาก คุณก็ตัดสินใจได้ดีขึ้น ยิ่งตัดสินใจดี ผลลัพธ์ก็ดีตาม และที่สำคัญ ไม่มีใครแย่งความรู้จากคุณไปได้


- อ่านหนังสือเกี่ยวกับการเงิน การลงทุน เศรษฐศาสตร์


- ติดตามข่าวสารและเทรนด์ใหม่ๆ


- เรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเองและคนอื่น


******



ถ้าไม่หาทางให้เงินทำงานแทนคุณ คุณจะต้องทำงานไปตลอดชีวิต


รายได้แบบพาสซีฟ หมายถึง เงินที่ไหลเข้าเป็นประจำต่อเนื่อง เช่น

- ผลกำไรจากกิจการส่วนตัวที่อยู่ตัวแล้ว

- เงินปันผลจากหุ้น

- ค่าเช่าจากอสังหาริมทรัพย์

- ดอกเบี้ยจากเงินออม


เริ่มสร้างกระแสเงินสดที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง


ลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ


เพิ่มช่องทางรายได้มากกว่า 1 ช่องทาง



*********




สำหรับการลงทุน  ซื้อเมื่อคนอื่นกลัว ขายเมื่อคนอื่นโลภ

ตอนที่ตลาดหุ้นตก ทุกคนตื่นตระหนก ขายหุ้นทิ้งหมด แต่ปู่บัฟเฟตต์กลับซื้อเพิ่ม


ทำไม? เพราะในช่วงวิกฤต หุ้นดีๆ ถูกขายในราคาถูกลง เหมือนไปซื้อของแบรนด์เนมลดราคา 50% นั่นเอง (เรื่องนี้สาวๆจะเข้าใจดี😆)


อย่าตื่นตระหนกเมื่อตลาดตก

ใช้โอกาสนี้เก็บหุ้นดีๆ ในราคาที่ถูกลง

มองระยะยาว ไม่ใช่ระยะสั้น



*********



“ดอกเบี้ยทบต้น” หรือพลังแห่งการเติบโตแบบทวีคูณ


สมมติคุณลงทุน 10,000 บาท ได้ผลตอบแทน 10% ต่อปี

ปีที่หนึ่ง 11,000 บาท

ปีที่สิบ  25,937 บาท

ปีที่สามสิบ 174,494 บาท

จากเงินต้นแค่ หมื่นเดียว 


เห็นไหมว่าเวลาคือเพื่อนที่ดีที่สุดของนักลงทุน


เริ่มลงทุนตั้งแต่วันนี้ ไม่ต้องรอให้มีเงินเยอะ


อย่าถอนเงินกลางทาง ปล่อยให้มันทำงานต่อเนื่อง


มีวินัยและความอดทน



*********



ลงทุนในสิ่งที่เข้าใจจริงๆ เท่านั้น


ปู่บัฟเฟตต์เคยปฏิเสธการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง ไม่ใช่เพราะมองว่าไม่ดี แต่เพราะเขาไม่เข้าใจธุรกิจพวกนั้นจริงๆ


การลงทุนไม่ใช่การเดาหรือทายผล ถ้าคุณไม่สามารถอธิบายได้ว่าบริษัทนี้ทำเงินได้ยังไง ขายอะไร หรือมีจุดแข็งอะไร แสดงว่าคุณกำลังเสี่ยงโดยไม่จำเป็น


เริ่มจากธุรกิจที่คุณคุ้นเคย เช่น ร้านอาหาร ค้าปลีก สินค้าอุปโภคบริโภค


ศึกษาให้เข้าใจก่อนลงทุนทุกครั้ง


อย่าไหลตามกระแสหรือคำแนะนำของคนอื่นโดยไม่คิด



********



เงินต้นคือชีวิตของนักลงทุน อย่าให้มันหาย ไม่มีเงินต้นก็เป็นนักลงทุนไม่ได้


กฎข้อแรก อย่าเสียเงินต้น กฎข้อสอง อย่าลืมกฎข้อแรก”

ฟังดูเหมือนง่าย แต่นี่คือหัวใจสำคัญที่สุดของการลงทุน


ลองคิดดูนะ ถ้ามีเงิน 100,000 บาท แล้วขาดทุนไป 50% จะเหลือเพียง 50,000 บาท แต่ถ้าอยากได้เงินคืนเป็น 100,000 บาท ต้องทำกำไร 100% จาก 50,000 บาท  ซึ่งยากกว่ามาก!


สิ่งที่ควรทำ

 เลือกลงทุนในสิ่งที่มีความเสี่ยงต่ำ มั่นคง

 อย่าเสี่ยงเงินทั้งหมดในที่เดียว

 ถามตัวเองก่อนลงทุนทุกครั้งว่า “ถ้าขาดทุน จะรับได้ไหม?”



*********



อย่าพยายามซื้อที่ “จุดต่ำสุด” หรือขายที่ “จุดสูงสุด”


ไม่มีใครจับจังหวะตลาดได้เพอร์เฟค คนที่อ้างว่าทำได้ มักไม่พูดความจริง 


ควรพอใจเมื่อได้ผลตอบแทนที่ดีในระดับเหมาะสม มากกว่าการไล่ล่าความสมบูรณ์แบบ



********



เงินจำนวนมากมาจากการนั่งรอผ่านการเคลื่อนไหวระยะยาว ไม่ใช่การเทรดตลอดเวลา เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ถูกเขย่าออกเร็วเกินไป



*******



ความสำเร็จไม่ได้มาจากพรสวรรค์ แต่มาจากความพยายามที่คนอื่นมองไม่เห็น



********





การใช้เส้นค่าเฉลี่ย 10 วันในการจับจังหวะขาย

บทความโดย Juan Carlos Arancibia จาก Investor’s Business Daily

หนึ่งในปัญหาของสัญญาณขายคือ มันมักจะปรากฏตัวเมื่อสายเกินไปแล้ว โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่

ยกตัวอย่างหุ้น Toll Brothers (TOL) เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ที่ร่วงลงถึง 8.5% และทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน แม้ว่ารายงานผลประกอบการจะออกมาดี นักลงทุนที่ซื้อตอนหุ้นเบรกเอาท์เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า ก็ต้องติดลบทันที 11% จากจุดซื้อที่ 128.75 (รูปแบบ cup-with-handle)

Toll Brothers ให้สัญญาณขายถึงสองครั้งในคราวเดียว

- ร่วงลงมากกว่า 7% จากจุดซื้อ
- ทะลุแนวรับสำคัญคือเส้น 50 วัน

ตั้งแต่นั้นมาหุ้นก็ยังคงอ่อนแรงต่อเนื่อง

วิธีที่เร็วกว่าในการตัดขาดทุน

นี่คือจุดที่เส้นค่าเฉลี่ย 10 วันเข้ามามีบทบาท

เส้นนี้เป็นตัวชี้วัดระยะสั้นที่ช่วยให้เห็นสัญญาณเตือนภัยได้เร็วขึ้น เมื่อหุ้นเบรกเอาท์จากฐานที่ดี หุ้นควรอยู่เหนือเส้น 10 วันตลอดเวลา

แม้ว่า IBD Charts จะไม่มีเส้น 10 วัน แต่ IBD MarketSurge มีฟังก์ชันให้เราสร้างเส้นค่าเฉลี่ยแบบกำหนดเองได้

กรณีศึกษา Avantor (AVTR)

ในปี 2021 หุ้น Avantor (AVTR) เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน

❶ การเบรกเอาท์ (16 มิถุนายน 2021)

- หุ้นเบรกเอาท์จากฐาน cup-without-handle ที่ราคา 33.99
- หลังจากนั้นหุ้นอยู่เหนือเส้น 10 วันมาหลายเดือน

การขึ้นต่อเนื่อง

- หุ้นปีนขึ้นไปได้ถึง 30% จากจุดซื้อ
- ไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ
- อยู่เหนือเส้น 50 วันหลายสัปดาห์

❷ สัญญาณขาย (27 กันยายน)

- หุ้นร่วงลงและปิดต่ำกว่าเส้น 10 วันอย่างชัดเจน
- นี่คือจังหวะที่ดีในการขายทำกำไร

❸ ยืนยันความอ่อนแอ

- หุ้นร่วงทะลุเส้น 50 วันในปริมาณซื้อขายสูง
- ปิดที่ 37.15 ลึกกว่าเมื่อทะลุเส้น 10 วันถึง 11%
- **เป็นสัญญาณขายที่ปฏิเสธไม่ได้**

ข้อควรระวัง

สัญญาณขายแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก และมันไม่ได้ช่วยอะไรในกรณีของ Toll Brothers ที่หุ้นทะลุทั้งเส้น 10, 50 และ 200 วันพร้อมกันในคราวเดียว

แต่ในกรณีที่การเบรกเอาท์ไม่ประสบความสำเร็จ เส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน สามารถช่วยให้เราออกจากหุ้นได้เร็วขึ้นก่อนที่ความเสียหายจะมากขึ้น

-----

หลักการง่ายๆ หลังเบรกเอาท์ หุ้นที่แข็งแรงควรอยู่เหนือเส้น 10 วัน หากร่วงทะลุลงมาอย่างชัดเจน ให้พิจารณาขายหรือลดสัดส่วนการถือครอง

•••••••••••••••••••••••


ทุกครั้งที่เราตอบ “ตกลง” กับบางสิ่ง เรากำลังบอก “ไม่” กับสิ่งอื่นโดยอัตโนมัติ

ตัวอย่าง
ถ้าคุณใช้เวลา 2 ชั่วโมงดูซีรีส์คืนนี้ นั่นหมายความว่าคุณเสียโอกาสที่จะใช้เวลานั้นไปออกกำลังกาย หรืออ่านหนังสือเพิ่มความรู้

******************


คนที่เป็นเทรดเดอร์จะรู้ดี ว่าเวลากำลังเทรดต้องใช้สมาธิขนาดไหน ในการตัดสินใจ ในการโฟกัส ถ้ายังไม่ถึงเวลาเทรดจะสบายๆ ชิวๆ แต่พอถึงช่วงเวลาที่จะต้องเทรด ต้องใช้พลังในการโฟกัสสูง แทบจะลืมรอบข้างไปหมด 


การที่ใครจะมาบอกว่า ขายเมื่อไรบอกด้วย ซื้อเมื่อไรบอกด้วย คือ งี่เง่าสิ้นดี แต่อย่างว่าคนไม่เคยเทรดจริงจังเค้าไม่รู้หรอกว่ามันโฟกัสขนาดไหน


*************


มือใหม่ส่วนมากใจร้อน ขี้เกียจเรียนรู้เพราะมันเสียเวลา อยากรีบเข้าตลาดเพื่อคว้าเงินไวๆ หารู้ไม่ ว่าส่วนมากมาไวๆเพื่อเสียไวๆมากกว่า


**********


รู้ว่าเรารู้อะไร และยอมรับอย่างไม่อายว่าเรา “ยังไม่รู้” อะไร


ตัวอย่าง

คุณอาจเก่งเรื่องหุ้นเทคโนโลยี แต่ไม่เข้าใจหุ้นสุขภาพ ก็อย่ารีบลงทุนในสิ่งที่ไม่รู้จักดีพอ

*****************


เวลาส่วนใหญ่ของตลาดหุ้นไม่ได้ถูกควบคุมด้วยเหตุผล แต่ถูกควบคุมด้วยพฤติกรรม


ทุกครั้งที่ราคาพุ่ง ทุกครั้งที่ทะลุแนวต้าน

มันไม่ได้สะท้อนถึงมูลค่าตัวบริษัท

แต่มันสะท้อนความต้องการซื้อ


มีบ้างที่ตลาดถูกควบคุมด้วยเหตุผล แต่มักจะเป็นระยะเวลาสั้นๆ 


*************


คนส่วนใหญ่คิดแค่ผลระยะสั้น แต่คนที่ชนะจะถามว่า “แล้วหลังจากนั้นล่ะ?”

ตัวอย่าง

เริ่มออกกำลังกาย ตอนแรกเหนื่อย (ผลลบระยะสั้น) แต่ระยะยาวสุขภาพดี (ผลบวกระยะยาว)

*************


สิ่งที่ขับเคลื่อนราคาจริงๆ

ไม่ใช่มูลค่าที่ทำให้หุ้นขึ้น

แต่คือ “คน”


บริษัทอาจจะราคาถูก

ถูกประเมินค่าต่ำกว่าความเป็นจริง หรือดูเยี่ยมมากในกระดาษ


แต่ถ้าไม่มีใครเข้ามาซื้อจริงๆ

ราคามันก็ไม่ขยับ


******************


ข้อมูลดีแค่ไหนก็มีอคติ 


นักลงทุนต้องมีกรอบความคิด และระบบของตัวเอง

***************


ข่าวส่วนใหญ่เกิดหลังราคาไปแล้ว มืออาชีพมักจะ “ซื้อก่อนข่าวดี” และ “ขายก่อนข่าวร้าย”


***************


อย่าตัดสินใจตอนมีความผันผวนสูง เพราะอารมณ์จะนำเหตุผล คิดวางแผนไว้ก่อนตอนตลาดสงบ


***********


การกระจายช่วยลดความเสี่ยง แต่ถ้ากระจายมากเกินไปจะกลายเป็นไม่มีจุดแข็ง ควรโฟกัสในสินทรัพย์ที่เข้าใจจริง


*************


แบ่งความเสี่ยงต่อไม้เทรด (เช่น ไม่เกิน 2% ของพอร์ตต่อครั้ง) เพื่อให้พอร์ตอยู่รอดได้แม้แพ้หลายครั้งติดกัน


*************


วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด คือ “คิดแบบย้อนกลับ”

ลองคิดว่า “ถ้าอยากล้มเหลว ต้องทำยังไง?” แล้วทำตรงข้ามกับสิ่งนั้น


The best way to solve a problem? Think backwards.


**********


การมีแผนไม่พอ ต้อง “มีวินัยทำตามแผน” ด้วย ความต่างของมือใหม่กับมืออาชีพอยู่ตรงนี้

**************


ทุกการเข้าออกต้องมีเหตุผล มีแผนรองรับ ไม่ใช่เพราะ “รู้สึกว่า” มันจะขึ้นหรือลง


********

Stop loss คือเครื่องมือสำคัญที่สุดของเทรดเดอร์ที่อยู่รอด ไม่ว่าจะเทรดเก่งแค่ไหน ถ้าไม่มี stop สุดท้ายพอร์ตจะพัง

*********

คิดอย่างนักยุทธศาสตร์ มองโลกทั้งใบเป็นระบบ เชื่อมโยงเศรษฐกิจ การเมือง และพฤติกรรมมนุษย์เข้าด้วยกัน

เพราะการลงทุนที่แท้จริง ไม่ใช่แค่รู้ว่าหุ้นตัวไหนจะขึ้น แต่คือการเข้าใจว่า “โลกทั้งใบกำลังเคลื่อนไปทางไหน”

***************


ถอยออกจากหน้าจอชั่วคราว อย่าฝืนเทรดต่อในอารมณ์พังๆ

ในช่วงที่ขาดทุนหนัก สมองมักเข้าสู่โหมด “ต้องเอาคืน” ซึ่งจะยิ่งทำให้แย่ลง หยุดก่อนเพื่อให้จิตใจกลับมาเป็นกลาง

*********


การฟื้นตัวจาก drawdown ไม่ใช่การ “เอาเงินคืน” แต่คือการ “ฟื้นจิตวินัย”


********


เทรดมากไม่ได้หมายความว่าจะได้กำไรมากเสมอไป หลายคนติดกับดักที่คิดว่า “เทรดบ่อยๆ = โอกาสรวยเร็วขึ้น” แต่จริงๆ แล้ว  ยิ่งเทรดบ่อย ยิ่งเสียค่าคอมมิชชั่นเยอะ และยิ่งเปิดโอกาสให้ทำผิดพลาดได้บ่อยขึ้น


เทรดเดอร์ที่ดีรู้จักรอจังหวะ รอให้โอกาสที่ดีจริงๆ มาถึงค่อยลงมือ ไม่ใช่เทรดเพราะ “มันเบื่อ” หรือ “อยากทำอะไรสักอย่าง” คุณภาพของการเทรดสำคัญกว่าปริมาณเสมอ


**********


เทรดเดอร์และนักลงทุนแต่ละคนจะมีแนวทางการเทรด การลงทุน การตัดสินใจ การบริหารความเสี่ยง การบริหารเงินหน้าตัก และการบริหารเงินทุนเป็นของตนเองเสมอ 


ไม่มีสูตรสำเร็จที่จะเลียนแบบกันได้ เพราะแต่ละคนจะมีประสบการณ์และ mindset ที่แตกต่างกันไป นั่นส่งผลต่อวิธีคิด วิธีการตัดสินใจ และระดับการยอมรับความเสี่ยงที่แตกต่างกันไป


**********


การกระทำเล็กๆ แต่ทำต่อเนื่อง จะสร้างผลลัพธ์มหาศาล


ตัวอย่าง

อ่านวันละ 20 หน้า → หนึ่งปีได้กว่า 7,000 หน้า


ฝึกทักษะวันละ 20 นาที → 1 ปีเก่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ


พัฒนา 1% ต่อวัน → หนึ่งปีเก่งขึ้นถึง 37 เท่า (เพราะพลังทบต้น)


Compounding ไม่ได้มีแค่ในเงิน แต่ใช้ได้ในทุกด้านของชีวิต ความรู้ ทักษะ ความสัมพันธ์ สุขภาพ


สิ่งสำคัญคือ “ความสม่ำเสมอ” ไม่ใช่ “ความสุดโต่ง”


ทำเล็กน้อยทุกวัน ดีกว่าทำเยอะแค่บางครั้ง


************


ถ้าวนเวียนอยู่ในตลาดหุ้นความรู้ที่ควรมี คือ

 

การวิเคราะห์ทางเทคนิค vs การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน


Technical Analysis มองที่กราฟราคา รูปแบบ และอินดิเคเตอร์ เหมาะกับเทรดระยะสั้น เชื่อว่าราคาสะท้อนข้อมูลทั้งหมดแล้ว


Fundamental Analysis มองที่งบการเงิน รายได้ กำไร อุตสาหกรรม และเศรษฐกิจมหภาค เหมาะกับการลงทุนระยะยาว 


เทรดเดอร์มืออาชีพมักใช้ทั้งสองวิธีร่วมกัน


*********


คนที่ประสบความสำเร็จมักถูกมองว่าชีวิตราบรื่น แต่ความจริงแล้ว ทุกคนล้วนมีอุปสรรคและความท้าทายของตัวเอง เพียงแต่บางคนอาจไม่ได้เล่าหรือแสดงออกมา ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่เคยเจออุปสรรค


หากเรามองว่าคนอื่นประสบความสำเร็จเพราะชีวิตเขาง่ายกว่า โอกาสที่เราจะก้าวหน้าก็อาจจะยาก เพราะเรามัวแต่มองหาข้อแก้ตัวและโยนความรับผิดชอบ แทนที่จะลงมือทำในสิ่งที่ควรทำ เมื่อมีเรื่องสำคัญก็มักอ้างว่าไม่มีเวลา งานเยอะ ธุระมาก คนที่ประสบความสำเร็จก็เคยเผชิญกับสิ่งเหล่านี้เช่นกัน แต่สิ่งที่ต่างคือ พวกเขามีความมุ่งมั่น รับผิดชอบตัวเอง และไม่ใช้อุปสรรคเป็นข้ออ้างในการยอมแพ้


คนที่มีข้ออ้างเยอะ มักจะพบกับความล้มเหลวได้ง่ายกว่า


การบ่นหาความยากลำบากต่างๆ ไม่ได้ทำให้ใครเห็นใจ บางทีอาจทำให้คนอื่นมองว่าเราไม่มีความพยายามพอ


ความจริงที่ต้องเผชิญก็คือ โลกนี้ไม่มีใครคอยห่วงใยความล้มเหลวของเรา เราต้องรับผิดชอบตัวเองและอนาคตของตัวเอง ไม่สามารถมอบความรับผิดชอบนั้นให้คนอื่นได้ ที่สุดแล้ว คนที่อยากให้คุณประสบความสำเร็จมากที่สุดก็คือตัวคุณเอง


ชีวิตมีความท้าทายมากมาย และคนที่ประสบความสำเร็จก็คือคนที่ผ่านความท้าทายเหล่านั้นมาได้


***********


ราคาจะเคลื่อนไหว ก็ต่อเมื่อผู้คนตัดสินใจลงมือ


*********


ทุกครั้งที่เราตอบ “ตกลง” กับบางสิ่ง เรากำลังบอก “ไม่” กับสิ่งอื่นโดยอัตโนมัติ


ตัวอย่าง

ถ้าคุณใช้เวลา 2 ชั่วโมงดูซีรีส์คืนนี้ นั่นหมายความว่าคุณเสียโอกาสที่จะใช้เวลานั้นไปออกกำลังกาย หรืออ่านหนังสือเพิ่มความรู้


********


คนที่เป็นเทรดเดอร์จะรู้ดี ว่าเวลากำลังเทรดต้องใช้สมาธิขนาดไหน ในการตัดสินใจ ในการโฟกัส ถ้ายังไม่ถึงเวลาเทรดจะสบายๆ ชิวๆ แต่พอถึงช่วงเวลาที่จะต้องเทรด ต้องใช้พลังในการโฟกัสสูง แทบจะลืมรอบข้างไปหมด 


การที่ใครจะมาบอกว่า ขายเมื่อไรบอกด้วย ซื้อเมื่อไรบอกด้วย คือ งี่เง่าสิ้นดี แต่อย่างว่าคนไม่เคยเทรดจริงจังเค้าไม่รู้หรอกว่ามันโฟกัสขนาดไหน


**********


มือใหม่ส่วนมากใจร้อน ขี้เกียจเรียนรู้เพราะมันเสียเวลา อยากรีบเข้าตลาดเพื่อคว้าเงินไวๆ หารู้ไม่ ว่าส่วนมากมาไวๆเพื่อเสียไวๆมากกว่า


*********


รู้ว่าเรารู้อะไร และยอมรับอย่างไม่อายว่าเรา “ยังไม่รู้” อะไร


ตัวอย่าง

คุณอาจเก่งเรื่องหุ้นเทคโนโลยี แต่ไม่เข้าใจหุ้นสุขภาพ ก็อย่ารีบลงทุนในสิ่งที่ไม่รู้จักดีพอ


**********


เวลาส่วนใหญ่ของตลาดหุ้นไม่ได้ถูกควบคุมด้วยเหตุผล แต่ถูกควบคุมด้วยพฤติกรรม


ทุกครั้งที่ราคาพุ่ง ทุกครั้งที่ทะลุแนวต้าน

มันไม่ได้สะท้อนถึงมูลค่าตัวบริษัท

แต่มันสะท้อนความต้องการซื้อ


มีบ้างที่ตลาดถูกควบคุมด้วยเหตุผล แต่มักจะเป็นระยะเวลาสั้นๆ 


**********


คนส่วนใหญ่คิดแค่ผลระยะสั้น แต่คนที่ชนะจะถามว่า “แล้วหลังจากนั้นล่ะ?”


ตัวอย่าง

เริ่มออกกำลังกาย ตอนแรกเหนื่อย (ผลลบระยะสั้น) แต่ระยะยาวสุขภาพดี (ผลบวกระยะยาว)


********


สิ่งที่ขับเคลื่อนราคาจริงๆ

ไม่ใช่มูลค่าที่ทำให้หุ้นขึ้น

แต่คือ “คน”


บริษัทอาจจะราคาถูก

ถูกประเมินค่าต่ำกว่าความเป็นจริง หรือดูเยี่ยมมากในกระดาษ


แต่ถ้าไม่มีใครเข้ามาซื้อจริงๆ

ราคามันก็ไม่ขยับ


*********


ข้อมูลดีแค่ไหนก็มีอคติ 


นักลงทุนต้องมีกรอบความคิด และระบบของตัวเอง


******^^


อย่าตัดสินใจตอนมีความผันผวนสูง เพราะอารมณ์จะนำเหตุผล คิดวางแผนไว้ก่อนตอนตลาดสงบ


*******^^


การกระจายช่วยลดความเสี่ยง แต่ถ้ากระจายมากเกินไปจะกลายเป็นไม่มีจุดแข็ง ควรโฟกัสในสินทรัพย์ที่เข้าใจจริง


*******


แบ่งความเสี่ยงต่อไม้เทรด (เช่น ไม่เกิน 2% ของพอร์ตต่อครั้ง) เพื่อให้พอร์ตอยู่รอดได้แม้แพ้หลายครั้งติดกัน


*******


วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด คือ “คิดแบบย้อนกลับ”

ลองคิดว่า “ถ้าอยากล้มเหลว ต้องทำยังไง?” แล้วทำตรงข้ามกับสิ่งนั้น


The best way to solve a problem? Think backwards.


********


การมีแผนไม่พอ ต้อง “มีวินัยทำตามแผน” ด้วย ความต่างของมือใหม่กับมืออาชีพอยู่ตรงนี้


*******


ทุกการเข้าออกต้องมีเหตุผล มีแผนรองรับ ไม่ใช่เพราะ “รู้สึกว่า” มันจะขึ้นหรือลง


********

Stop loss คือเครื่องมือสำคัญที่สุดของเทรดเดอร์ที่อยู่รอด ไม่ว่าจะเทรดเก่งแค่ไหน ถ้าไม่มี stop สุดท้ายพอร์ตจะพัง