วันพุธที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2566

หลักคิด 38

 สินค้าที่ราคาต่อชิ้นสูง และมาร์จิ้นต่ำเพราะจับกลุ่มลูกค้าระดับกลางล่าง ถึง ล่าง เพราะต้องการหนีคู่แข่ง จะพอไปได้เมื่อ ศก ยังดีอยู่  


พอถึงจุดที่ ศก แย่ กลุ่มลูกค้ากลางล่าง ถึง ล่าง จะเป็นกลุ่มแรกที่มีปัญหาการเงินก่อน และกำลังซื้อจะหดหายอย่างรวดเร็ว 


นั่นคือยอดขายของสินค้าที่ว่าจะตกต่ำมากแบบน่าใจหาย แบบคิดไม่ถึง และกว่าจะรู้ตัวก็กลับตัวไปจับกลุ่มกลางบน ไม่ทันแล้ว  พื้นที่โดนคู่แข่งยึดไว้หมดแล้ว


การเปลี่ยนกลุ่มลูกค้าไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เวลาสร้างแบรนด์ สร้างคุณภาพที่โดนใจลูกค้ากลุ่มใหม่ ใช้เวลามากทีเดียว


@@@@@@@@


TFEX คืออะไร


ตอบ คือ 

ตลาดซื้อขาย "สัญญาล่วงหน้า"  

ตลาด tfex มี ฟิวเจอร์ กับ ออปชั่น


(ฟิวเจอร์) สัญญาล่วงหน้า เปรียบเสมือน  ใบจอง


ให้นึกถึงใบจองรถ

สมมติ รถราคา 1 ล้าน

เราจองไว้ 5,000 บาท

นัดรับรถ อีกสามเดือนข้างหน้า


พอเวลาผ่านไป 1 เดือน ราคารถ กลายเป็น 1.2 ล้าน เท่ากับกำไร 2 แสน จากเงินจอง 5,000 บ.


ถ้าราคา ผ่านไป 2 เดือน ราคารถเป็น 2 ล้าน เท่ากับกำไร 1 ล้าน จากเงินลงทุน 5,000


แต่ ถ้าราคารถ ลดเหลือ 995,000 เงินจองจะหายไป ใบจองจะไม่มีค่า (ใครจะซื้อใบจอง 5,000 เพื่อที่จะซื้อรถราคา 1 ล้าน)

ดังนั้น ใบจองจะกลายเป็น 0


คนส่วนมากไม่ซื้อใบจอง 5,000 บ.


🎾🎾🎾🎾


คนส่วนมากคิดว่า ถ้ามีเงิน 1 ล้านเพื่อซื้อรถ เอาไปซื้อใบจอง 1 ล้านแทนดีกว่า เท่ากับจองรถได้ 200 คัน


หากราคารถขึ้นแค่ 10,000 บาท ราคารถเป็น 1,010,000 บาท 


เท่ากับ กำไร 2 ล้าน จากเงิน ลงทุน หนึ่งล้าน (10,000×200)


และการที่ราคารถ จะขึ้น 10,000 จาก ราคารถ 1 ล้าน เท่ากับขึ้นแค่ 1% ก็ได้แล้วนะ


ประเด็นคือ ถ้าราคารถ ลดลงแค่ 0.5% ( ราคารถจาก 1ลบ ลดไป 5,000 บาท เหลือ 995,000)


เงิน 1 ล้าน ที่ซื้อใบจอง 200 ใบ จะหายไปหมด !!!


แต่ ก่อนที่ใบจองจะไม่มีราคานั้น เช่น รถราคาลดลงมา 4,000  จะเสมือน ใบจองเหลือมูลค่า 1,000 โบรค จะเรียกเติม เงินจอง หรือเรียกว่า เติมมาร์จิ้น


เพราะจะมี สัญญาการวางหลักประกัน ว่าขั้นต่ำ ต้องวางเท่าไร (5,000 ที่ซื้อใบจอง คือหลักประกัน)


ต่อมาพอราคา รถ ลดเหลือ 996,000 เท่ากับใบจองเหลือมูลค่า 1000 โบรกจะเรียกให้เติมมาร์จิ้น  (วางเงินจองเพิ่ม) ไม่งั้นจะปิดสัญญาจอง เพราะหากราคารถ ลงต่ำกว่า 995,000 เดวลูกค้าจะไม่มีเงินมาจ่าย


คือ สัญญาฟิวเจอร์ส นี้ ไม่ได้ทำกับโบรค แต่ทำกับ นลท คนอื่นในตลาด คือใครอยากทำสัญญาก็ ส่ง ออเดอร์ เข้า pool


โบรค มีหน้าที่ดุแลให้ลูกค้าของตัวเองซื้อขาย และทำตามสัญญา 


ดังนั้น เมื่อมาร์จิ้นลดลงต่ำถึงจุด ที่ลูกค้าใกล้ติดลบ ลูกค้าจะโดน margin call (เรียกให้เติมหลักประกัน) ไม่งั้นจะโดน force sell (บังคับการปิดสัญญา) 


การบังคับปิดสัญญา ทำตรงกันข้ามกับตอนเปิดสัญญา เช่น ซื้อใบจองซื้อ เอาไว้ ( Long) เวลาโบรกบังคับปิดสัญญา ก็จะทำการ ขายใบจองซื้อ( Short) ในราคาตลาดทุกราคา ณ วันที่เรียกให้เติมหลักประกันแต่ไม่เติม


การโดนบังคับขายทุกราคานั้น มักจะทำให้ ราคาไหลลง ต่อเนื่อง


🎾🎾🎾🎾🎾


มันยังมี option ในตลาด tfex


ใบจอง (futures) = สัญญาล่วงหน้าว่าจะซื้อรถ (ใบจอง)


Option = สัญาล่วงหน้า ว่าจะซื้อขาย สัญญาล่วงหน้าอีกที (สัญญาล่วงหน้าว่าจะซื้อจะขาย ใบจอง)


Option 

- สัญญาล่วงหน้าว่าจะซื้อ ใบจองซื้อ เรียก Long Call


- สัญญาล่วงหน้าว่าจะ ขาย ใบจองซื้อ เรียก Short Call


-  สัญญาล่วงหน้าว่าจะ ซื้อ ใบสัญญาจะขาย Long Put


- สัญญาล่วงหน้าว่าจะ ขาย ใบสัญญาจะขาย Short Put


@@@@@@


จากที่หาข้อมูลเกี่ยวกับการบันทึกบัญชีในกรณีที่ขาดทุนจากการลงทุนในบริษัทย่อย ได้ข้อมูลดังนี้


การขาดทุนจากการลงทุนในบริษัทย่อยจะปรากฏในงบกำไรขาดทุน (Profit and Loss Statement) 


โดยปกติแล้ว, การขาดทุนจากการลงทุนนี้จะถูกจัดประเภทเป็น "ค่าใช้จ่าย" หรือ "ขาดทุนจากการลงทุน" ซึ่งจะแสดงผลต่อกำไรหรือขาดทุนสุทธิของบริษัทในช่วงเวลานั้น ๆ 


ไม่สามารถบันทึกการขาดทุนจากการลงทุนในบริษัทย่อยในงบดุลโดยตรงโดยไม่ผ่านงบกำไรขาดทุนได้ ในการทำบัญชี


การขาดทุนหรือกำไรจากการลงทุนต้องผ่านการบันทึกในงบกำไรขาดทุนก่อน เพื่อสะท้อนผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทในช่วงเวลานั้นๆ


เมื่อการขาดทุนจากการลงทุนได้รับการบันทึกในงบกำไรขาดทุนแล้ว, ผลลัพธ์นี้จะส่งผลต่อ "กำไรสุทธิ" หรือ "ขาดทุนสุทธิ" 


ซึ่งจะถูกนำไปปรับปรุงทุนของเจ้าของหรือ "equity" ในงบดุล ดังนั้น, แม้ว่าการขาดทุนจากการลงทุนจะไม่ถูกบันทึกโดยตรงในงบดุล, แต่ผลกระทบของมันก็จะสะท้อนอยู่ในงบดุลผ่านทางการเปลี่ยนแปลงในทุนของเจ้าของ.


ในกรณีของการถอนการลงทุนที่เกิดการขาดทุนทางบัญชี, ก็ไม่สามารถบันทึกการขาดทุนนี้โดยตรงในงบดุลโดยไม่ผ่านงบกำไรขาดทุนได้เช่นกัน. การขาดทุนจากการถอนการลงทุนจะต้องถูกบันทึกในงบกำไรขาดทุนเสียก่อน.


หลักการของการบันทึกบัญชีคือการขาดทุนหรือกำไรจากการลงทุน (ไม่ว่าจะเป็นผลจากการขายหรือการถอนการลงทุน) ต้องถูกบันทึกในงบกำไรขาดทุนเพื่อสะท้อนถึงผลกระทบทางการเงินของกิจกรรมดังกล่าวต่อผลการดำเนินงานของบริษัทในรอบบัญชีนั้นๆ 


จากนั้นผลกระทบของการขาดทุนจากการถอนการลงทุนนี้จะถูกสะท้อนในทุนของเจ้าของหรือ equity ในงบดุล. 


การบันทึกทางบัญชีนี้ช่วยให้แน่ใจว่างบการเงินทั้งหมดของบริษัทมีความสมบูรณ์และสะท้อนถึงสถานะทางการเงินที่แท้จริง.



หากการบันทึกบัญชีเป็นไปตามที่หาข้อมูลมาได้  งบ TU ปี 2566 จะ ?????


ที่แน่ๆคือ จากงบเก้าเดือน 2566 TU มีส่วนผู้ถือหุ้น 75,466 ล้านบาท การขาดทุน 18,500 ล้านบาท คิดเป็นเกือบ 25% ของส่วนผู้ถือหุ้น


@@@@@@@



การขาดทุน 18,500,000,000 คิดเป็นประมาณ 25% ของส่วนผู้ถือหุ้น 


การตัดธุรกิจที่ไปลงทุนเอาไว้แล้วมีผลขาดทุนออก ก็จะทำให้ผลขาดทุนนั้นหายไปในระยะยาว


กรณีของ TU เปรียบเทียบภาพง่ายๆแบบนี้


สมมติทุนฝากเงินธนาคารไว้หนึ่งล้านบาท  ได้ดอกเบี้ย 1% ก็คือ ได้ดอกเบี้ย 10,000 บาท


ต่อมาอยู่ดีๆ เงินในบัญชีคุณลดลงเหลือแค่ 750,000 บาท แล้วคุณ ได้ดอกเบี้ยเพิ่มมาเป็น 11,000 บาท


คำถามคือคุณควรจะดีใจหรือเสียใจที่ได้ดอกเบี้ยเพิ่มกันแน่  


บางคนบอกว่าควรจะดีใจเพราะเงินจาก 1,000,000 เหลือ 750,000 บาทก็จริง แต่ได้ผลตอบแทนเพิ่มอีกปีละ 1000 บาทในระยะยาว  จากผลตอบแทน 10,000 บาท กลายเป็น 11,000 😆😆😆


และนี่คือการรับรู้ของนักลงทุนบางกลุ่ม 


@@@@@@


มันมีบางบริษัทที่เล่นหุ้นโดย manipulate งบการเงิน


แกล้งตั้งด้อยค่าหรือตั้งสำรองมากๆ  แล้วให้นอมินีกว้านซื้อหุ้น แล้วภายหลังจะออกมาบวกกลับการตั้งสำรอง 


โดยบอกว่า ไม่ขาดทุนหนักเท่าที่ตั้งด้อยค่าหรือตั้งสำรองไว้ 


ทริกกี้แบบนี้ ในอดีตเคยเจอเหมือนกัน


สำหรับบ.ที่ทำแบบนี้ คือบอกเลยว่าไว้ใจไม่ได้อีกต่อไป

@@@@@@


ต้นทุนเงินทุน คือ ค่าเสียโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนจากการนำเงินนั้นไปลงทุนอย่างอื่น+ความเสี่ยงของสินทรัพย์ที่ไปลงทุน

@@@@@


การจัดพอร์ตหุ้นปันผล เพื่อลงทุนระยะยาว เพื่อกระแสเงินสดที่จะไหลเข้ามาอย่างยั่งยืน


พยายามเลือกหุ้นที่มีการเติบโตพอประมาณ  


ไม่เน้นไปที่หุ้นที่มีการเติบโตสูงจนเกินไป 


เพราะหุ้นที่มีการเติบโตสูงมากเกินไปนั้น มักจะไม่สามารถเติบโตในระดับนั้นได้ เกินสามถึงห้าปี 


และราคามักจะ เกินมูลค่าอยู่มาก ทำให้จังหวะที่ซื้อหุ้นเหล่านั้นมักจะได้หุ้นที่เกินมูลค่า & ปันผลต่ำ 


พอการเติบโตลดลงสู่ภาวะปกติก็จะกลายเป็นการติดดอยแบบถาวร


ส่วนหุ้นซุปเปอร์สต๊อกที่จะเติบโตสูงสูงและเป็นดาวค้างฟ้า  เปรียบเสมือน การหวังว่าจะถูกหวยรางวัลที่หนึ่งพร้อมกันหลายหลายใบ 


แต่หุ้นที่มีการเติบโตเฉลี่ยปานกลาง ปันผลดีพอใช้ได้  ราคาไม่เกินมูลค่า หาได้ไม่ยากนักในตลาดหุ้นไทย เหมาะแก่การสร้างพอร์ตปันผลเพื่อความยั่งยืนของกระแสเงินสดในระยะยาว 


แต่ราคาหุ้นมักจะไม่เร้าใจเหมือนหุ้นที่เติบโตสูงๆและมีคนเชียร์มากๆ


@@@@@


คุณสมบัติของคนที่จะโดนขาใหญ่กินเงิน 


- ซื้อหุ้นตามแรงเชียร์

- ซื้อหุ้นที่ราคาเกินมูลค่า

- รู้ว่า ราคาหุ้นเกินมูลค่า แต่ในใจคิดว่า “เอาว่ะ มั่นใจในสิ่งที่ขาใหญ่บอก”

- กลัวไม่รวยเหมือนขาใหญ่ แต่ลืมดูต้นทุนตัวเองเทียบกับคนเชียร์

- ปันผล ช่างหัวมัน เอากำไรจากราคาหุ้นเร็วๆดีกว่า ปันผลมันกระจอก

- ไม่เคยรู้มูลค่าของหุ้นที่ตัวเองซื้อ

- ประเมินมูลค่าไม่เป็น

- ความรู้น้อยแต่ ใจเต็มร้อยในการเก็งกำไร 

- เน้นเข้าไวออกไว

- ฟังข่าวดีนิดเดียว มองโลกในแง่บวกใหญ่โต ลืมคำนวณว่าข่าวดีที่ว่ามีผลต่อบริษัทขนาดไหนกันแน่


หากทำได้ครบ ได้เป็น เม่าตัวจริง แน่นอน 👍👍👍

@@@@@


ถ้าคุณลงทุนในอสังหามานานพอสมควร คุณจะได้ยินคำว่าบ้านล้นตลาด คอนโดล้นตลาด เป็นรอบๆ แต่ตอนที่มันไม่ล้นตลาด ข่าวมันจะไม่มาบอกคุณหรอกว่ามันไม่ล้นตลาดแล้วนะ 


อีกอย่างหนึ่ง  คือบริษัทใหญ่ที่มียอดขายเติบโต โดยมากแล้วการเติบโตเกิดจากการกินมาร์เก็ตแชร์ จากผู้พัฒนาอสังหาอิสระรายเล็ก 


เพราะผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่มีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำกว่า  


แบงค์มักจะปล่อยกู้ให้กับลูกค้าที่ซื้อจากผู้พัฒนาสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ง่ายกว่าลูกค้าที่ซื้อจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์อิสระ 


รวมถึงปล่อยกู้ให้เต็มวงเงินได้มากกว่า ให้เรทดอกเบี้ยที่ดีกว่า พวกนี้คือเรื่องจริงที่คุณอาจจะไม่เคยรู้


เวลาดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น  ผู้พัฒนาอสังหารายเล็กมักจะขาดสภาพคล่องก่อน มักจะต้องหยุดงานหยุดการพัฒนา นั่นแหละคือโอกาสในการกินมาร์เก็ตแชร์ของผู้พัฒนาอสังหารายใหญ่ 


การที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่มีการกระจายโครงการออกไปจำนวนมากหลายทำเล หลายระดับราคา ทำให้จับลูกค้าได้หลายกลุ่ม เหล่านี้ก็เป็นการกระจายรายได้ที่ดี ทำให้รายได้มีความสม่ำเสมอมากขึ้น กว่าผู้พัฒนารายเล็กที่มีโครงการน้อย 


 อนึ่ง ลองคิดดู หากคุณเป็นนายแบงค์ แล้วคุณ ต้องยึดบ้านลูกค้าที่ผ่อนไม่ไหวจากหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีสะอาดสะอ้าน มีโอกาสขายต่อได้ง่ายกว่า


เทียบกับยึดบ้าน ที่เกิดจากผู้พัฒนาอิสระ หมู่บ้านอิแหล่ะเขะขะ ไม่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีหมู่บ้านก็ดูไม่สะอาด สภาพหมู่บ้านแบบนี้เวลายึดมาจะขายต่อก็ขายยาก


เห็นได้ชัดว่าบ้านในหมู่บ้านแบบไหนที่นายแบงค์อยากได้มากกว่ากัน หากจะต้องยึดมาเพื่อขายต่อ และหมู่บ้านแบบไหนที่มีความเสี่ยงสูง 


และบ้านในหมู่บ้านแบบไหนที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า ทำให้อาจจะให้ส่วนลดในแง่ของดอกเบี้ยได้มากกว่า

@@@@@@


นักลงทุนที่สร้างพอร์ตหุ้นปันผล โดยสมมุติว่าได้ปันผลปีละ 5% มันไม่ได้แปลว่าคุณมีกำไรแค่ 5% 


เพราะบริษัทจ่ายเงินปันผลจากกำไรซึ่งโดยมากมีอัตราการจ่ายปันผลประมาณ 35 ถึง 40%  


นั่นหมายความว่ามีกำไรสะสมอยู่ในบริษัทประมาณ 60 ถึง 65% 


พูดง่ายๆ ก็คือนอกจากคุณได้กำไรจากเงินปันผลปีละ 5%  คุณยังมีกำไรสะสมอยู่ในบริษัทอีกไม่น้อยกว่า ประมาณ 7% ซึ่งมันจะสะท้อนออกมาในราคาหุ้น 


ตัวอย่างเช่น   สมมุติคุณได้ปันผลปีละหนึ่งล้านบาท มันหมายความว่ามีกำไรสะสมอยู่ในบริษัทปีละ 1.4 ล้านบาท ที่จะสะท้อนออกมาในราคาหุ้นได้ในภายหลัง


@@@@@


การมองหาหุ้นนางฟ้าตกสวรรค์ เป็นหุ้นที่มั่นใจว่าอาจจะเจอเหตุการณ์ไม่ดีชั่วคราวแต่ยังไงก็ไม่เจ๊งแน่แน่ และ บริษัทจะต้องสามารถจัดการกับเหตุการณ์ร้ายชั่วคราวที่ผ่านเข้ามาได้อย่างราบรื่นเมื่อเวลาผ่านไป 


META เคยเป็นเช่นนั้น  2021 ราคาหุ้นเคยขึ้นไปสูงสุดถึง 382.76 เหรียญ


ปี 2022  ราคาหุ้นเคยร่วงลงไปต่ำสุดที่ 88.090 เหรียญ 


ปัจจุบัน ราคาหุ้น META $381


แล้ว KKP หล่ะ ???



@@@@@@


การทยอยซื้ิหุ้นตัวใหม่ ที่มีอัพไซด์มาก ไม่ได้หมายความว่า ต้องซื้อด้วยเงินสดเท่านั้น 


ถ้าคุณถือหุ้นเต็มมือ แต่มีหุ้นหลายตัว หุ้นแต่ละตัวย่อมมีอัพไซด์ไม่เท่ากัน  


หากอยู่ดีๆมีตัวใดตัวหนึ่งมีอัพไซด์เพิ่มขึ้นอย่างมากจากการลดลงของราคา คุณก็อาจจะสับเปลี่ยนจากหุ้นตัวที่มีอัพไซด์น้อยที่สุดในพอร์ต ไปซื้อหุ้นตัวที่มีอัพไซด์สูงเข้ามาแทน 


แต่การสับเปลี่ยนนั้น  ไม่ควรรีบสับเปลี่ยนเป็นก้อนใหญ่ทีเดียวทั้งก้อน เพราะหุ้นที่ราคาไหลลง โดยมากมักยังลงต่อได้อีก (แมลงสาบมักไม่ได้มาตัวเดียว) 


การทยอยสับเปลี่ยนดูจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า 


@@@@@


การที่บริษัทจ่ายปันผลในอัตราประมาณ 35 ถึง 40% ของกำไรที่หาได้ แต่ในฝั่งนักลงทุนที่เป็นผู้รับคิดเป็นดิวิเดนยิว ที่ประมาณ 6% 


แปลว่ากำไรสุทธิที่เหลืออีกประมาณ 60 ถึง 65% สะสมอยู่ในบริษัทเพื่อการเติบโตของบริษัท ได้มากกว่า บริษัทที่เหลือเงินสะสมไว้ในบริษัทน้อย


ฝั่งบริษัทที่จ่ายเงินปันผลสูงถึง 70 หรือ 80% ของเงินกำไรที่หาได้  เท่ากับเหลือเงินสะสมในบริษัทแค่ 20 ถึง 30% ของกำไรสุทธิเท่านั้น 


ในขณะเดียวกันฝั่งนักลงทุนที่เป็นผู้รับเงินปันผลได้ หากได้ dividend yield 6% เท่ากัน ทั้งๆที่บริษัทมี dividend payout ratio ที่สูง แสดงว่าราคาหุ้นมันสูงกว่า


แล้วยังเหลือ กำไรสะสมในบริษัทเพื่อการเติบโตน้อยอีกต่างหาก แสดงว่าบริษัทมีโอกาสเติบโตได้น้อยกว่า 


สรุปคือ มองในฝั่งนักลงทุนที่เป็นผู้รับเงินปันผล  ให้ดูอัตราผลตอบแทนปันผลที่ตัวเองได้รับ และเงินกำไรสะสมในบริษัท เพื่อการเติบโต  


ถ้าทั้งสองตัวเลขนี้สูง แสดงว่าดีต่อนักลงทุน ครับ


@@@@


ตลอดชีวิตการลงทุน ต้องผ่านทั้งตลาดหมีและตลาดกระทิง มีความผันผวนขึ้นลงตลอดทาง   


ลงทุนต่อเนื่องกันไปเพื่อชัยชนะของพอร์ต  บนระยะเวลาที่ยาวนาน  แต่สุดท้ายแล้วเราทุกคนล้วนตายกันหมด โดยที่ไม่รู้ว่าปลายทางนั้นจะชนะเท่าไหร่หรืออาจจะแพ้ก็ได้


แต่สิ่งหนึ่งที่จะทำให้มีความสุขระหว่างการเดินทางได้ และได้มาก คือเงินปันผลที่มากเพียงพอ (ย้ำ ที่มากเพียงพอ) ถ้าทำได้นั่นคือชัยชนะระหว่างการเดินทาง 


เงินปันผลที่มากเพียงพอ  สามารถทำให้คุณเป็นนายของตัวเองได้ สามารถทำให้คุณมีอิสระทางการเงิน สามารถแก้ปัญหาหลายหลายอย่าง ระหว่างการลงทุนที่ยาวนานตลอดชีวิตของคุณได้


จะว่าไปแล้วก็คล้ายกับบริษัทที่มีเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ในการทำธุรกิจ ที่ต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนาน 


แต่ระหว่างทางบริษัทอยู่ได้ด้วย “กระแสเงินสด”  กระแสเงินสดของบริษัทเปรียบเสมือนเส้นเลือด ไม่ว่าตัวเลขจะโชว์ว่ามีกำไรเท่าไหร่ หากขาดซึ่งกระแสเงินสดก็ต้องล้มหายตายจากกันไป


@@@@


สำหรับคนที่ไม่มองหุ้นเป็นการเทรด แต่มองหุ้นเป็นการซื้อหุ้นส่วนเพื่อการลงทุน ลองมองในมุมที่ว่า 


มันจะดีแค่ไหน หากเราสะสมหุ้นของบริษัทดีๆ มีความมั่นคงสูง มีศักยภาพในการทำกำไร มีการเติบโตพอสมควร ในราคาคุ้มค่า  แทบทุกบริษัทเท่าที่จะหาเจอและติดตามไหว สะสมหุ้นเข้าพอร์ตหุ้นของเรา 

@@@@@@


ถึงคุณจะหาหุ้นอย่าง $META $MSFT $AMZN $GOOGL $AAPL  เจอ  แต่ก็มีน้อยคนมากๆที่จะสามารถทำกำไรได้เป็น 1000% หรือเป็น 10,000% ตามหุ้นเหล่านี้มีราคาขึ้นมาจริง 


เพราะความเป็นจริงหุ้นขึ้นมาแค่ 30% 50% พวกคุณก็รีบขายหุ้นทิ้งกันแล้ว  โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีมายด์เซ็ทเป็นเทรดเดอร์ ร้อยละ 90 เห็นราคาหุ้นขึ้นมากมากๆแล้วพอจะมี correction แม้จะชั่วคราวก็จะรีบขายหุ้นหนีกันแล้ว 


คุณต้องยอมรับความจริงว่าที่คุณไม่เคยได้กำไร หลาย 100% หรือเป็น 1000% อุปสรรคที่แท้จริงคือ ตัวคุณเอง !!!


ถ้าแค่เรื่องพื้นฐานเบื้องต้นคือการยอมรับถึงต้นเหตุของปัญหาและอุปสรรค  ยังทำไม่ได้ แน่นอนว่าย่อมจะแก้ปัญหาไม่ได้



วันพุธที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

หลักคิด 37

 จริงๆแล้วในการลงทุนนั้นนักลงทุนต้องการหุ้นหลักสำหรับพอร์ตเพียงตัวเดียวเท่านั้น ที่เลือกถูกตัว ที่คุณภาพดี มันสามารถทำให้พอร์ตเติบโตพุ่งทะยานได้นานหลายปี ไม่ได้ต้องการหุ้นจำนวนมากมายเลย


แต่ที่จำเป็นต้องมีการซื้อหุ้น เข้าพอร์ตเพิ่ม 5-10 ตัว เกิดจากความไม่มั่นใจในการคัดเลือกหุ้น หรือแม้แต่มั่นใจแล้วแต่ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันในอนาคตหรือไม่ ทำให้ต้องมีการกระจายความเสี่ยงในการซื้อหุ้นออกไปบ้าง


แต่อย่าลืมหัวใจหลักคือต้องการหุ้นที่โดดเด่นสุดสุดเพียงตัวเดียวและถืออย่างมีนัยยะ  มีน้ำหนักต่อพอร์ตให้มากที่สุด


*****

เคยลงทุนในบริษัทประกัน ทำให้รู้คีย์พอยท์สำคัญในการทำธุรกิจ ทำให้เรารู้ว่า บ.ประกันสร้างรายได้จากเบี้ยประกันที่รับมาอย่างไร แน่นอนทำให้รู้ช่วงผลตอบแทนที่ บ.หาได้ ซึ่งต้องมาหักด้วยคชจ ต่างๆ และค่าใช้จ่ายที่สำคัญก็คือเงินเคลมประกันของผู้เอาประกันภัย 


มันหมายความว่าผลตอบแทนตามสัญญาที่จะให้กับผู้เอาประกันภัยนั้นจะต้องไม่มากไปกว่าผลตอบแทนที่บริษัทหาได้จากเบี้ยประกัน  ไม่งั้นแผนประกันนั้นจะเป็นแผนที่ขาดทุน 


ซึ่งนั่นก็บอกเป็นนัยยะว่าผู้ซื้อประกันโดยรวมแล้วจะได้ผลตอบแทนค่าเฉลี่ยไม่เกินเท่าไหร่  


ซึ่งผลตอบแทนที่บริษัทประกันหาได้จากเบี้ยประกันมักจะไม่ได้สูงมาก เพราะ ต้องนำไปลงทุนในพันธบัตรต่างๆตามกฎเกณฑ์ และส่วนที่เหลือก็ต้องนำไปลงทุนในสิ่งที่มีความมั่นคงค่อนข้างสูงซึ่งแน่นอนว่าผลตอบแทนก็จะต่ำลง 


สรุปง่ายๆคือ ผลตอบแทน “จากเบี้ยประกัน” ก่อนหัก คชจ ต่างๆที่ บริษัทหาได้มักอยู่ในช่วง 5-6% ไม่เกินนี้ และค่าใช้จ่ายการเคลมเฉลี่ยของภาพรวมมักอยู่ในช่วง 35-45% 


ดังนั้นผลตอบแทนตลอดอายุสัญญาของภาพรวมเฉลี่ย ของคนซื้อประกัน จะอยู่ประมาณ 2.2% ต่อปี บวกลบกว่านี้ไม่มาก 


แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ควรซื้อประกันเลย เพราะการซื้อประกันเปรียบเสมือนมีเงินก้อนมาสำรองยามเจ็บป่วย แต่ด้วยเหตุผลที่ผลตอบแทนที่ต่ำมากจึงไม่ควรซื้อมากเกินไป


และในคนที่คิดว่า เงินสำรองมากเพียงพอในยามเจ็บป่วย ก็อาจประกันตัวเอง โดยไม่ซื้อประกันได้ 


คำว่าเงินสำรองเพียงพอนั้นหมายถึงต้องเป็นเงินก้อนที่มากพอสมควร  ซึ่งหากเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาดก็จะไม่เก็บเงินเงินก้อนใหญ่ขนาดนั้นเอาไว้โดยไม่ลงทุน และเมื่อนำไปลงทุนก็ทำให้มีเงินก้อนสำรองไม่เพียงพอ จึงทำให้การซื้อประกันเป็นสิ่งจำเป็นอยู่ดี 


แค่ซื้อให้เหมาะสมและอย่ามากเกินไปเท่านั้นเอง


ตัวเลขที่คำนวนเป็นตัวเลขจากประสบการณ์ส่วนตัวที่พบเจอมาเท่านั้น ในแต่ละบริษัทอาจมีความแตกต่างคลาดเคลื่อนจากนี้ได้


@@@@@


บริษัทที่แต่งงบการเงินและไซฟ่อนเงินของบริษัทออกไป มักจะแสดงในงบกำไรขาดทุนว่ามีกำไรดูดีอยู่ (เพราะมันเป็นการแต่งงบบัญชีให้ดูดี) 


แต่เวลาเก็บเงินจริงจะมีปัญหาเก็บไม่ได้หรือเงินหายไปจากบริษัทจากการใช้จ่ายบางอย่าง 


ดังนั้นจุดสังเกต  ดูว่ามีลูกหนี้โป่งพองหรือไม่ ลูกหนี้เพิ่มขึ้นสะสมอย่างมีนัยยะ และค้างชำระมากขึ้นนานขึ้น


วงจรเงินสดยาวนานขึ้นผิดปกติ


มีค่าใช้จ่ายที่เป็นก้อนผิดปกติ  และสุดท้ายบันทึกขาดทุนจากค่าใช้จ่ายก้อนนั้น 


เช่น ไปวางมัดจำซื้อสินค้า โดยวางมัดจำเป็นจำนวนมาก  แล้วยกเลิกโดนยึดมัดจำ (จริงๆแล้วอาจจะเป็นการไซฟ่อนเงินออกจากบริษัทก็ได้) 


ส่วนการดูกระแสเงินสดจากการดำเนินงานนั้นหากจะดูว่าแค่เป็นบวกหรือติดลบแล้วตัดสินเลยทันทีนั้นอาจจะผิดพลาดได้  


เพราะบริษัทที่มีการลงทุนใหม่เพิ่มเติมเป็นจำนวนมากเพื่อความก้าวหน้าในอนาคตของบริษัทอย่างจริงจัง ก็อาจจะมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ติดลบได้เป็นเรื่องปกติ


@@@@@


หลายคนอาจไม่ทราบ


งบกำไรขาดทุน จะแสดงเป็น “ช่วงเวลา” เช่น งบไตรมาส จะแสดง รายได้รวมของรอบบัญชี 3 เดือนหรือ งบ 9 เดือนจะแสดง รายได้รวมตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา


แต่ งบดุล จะแสดงฐานะการเงิน ณ เวลาตามงบเท่านั้น  เช่น งบดุล ณ สิ้นสุดไตรมาส 2 จะแสดงทรัพย์สิน ณ 30 มิถุนายน (ยกเว้นจะกำหนดให้การสิ้นสุดไตรมาสสองเป็นเวลาอื่น)

คือ เป็นการแสดงฐานะ ณ “จุดของเวลา” ไม่ใช่ช่วงเวลา 


ในขณะที่งบกระแสเงินสด จะแสดงการเปลี่ยนแปลงของกระแสเงินสดเข้าออกกิจการตั้งแต่ จุดเริ่มต้นของงบปีถึงสิ้นสุดไตรมาสที่งบออก เช่น ถ้าเป็น “งบของไตรมาสาม”  ค่าเสื่อมจะเป็นตัวเลขรวมยอดค่าเสื่อม ตั้งแต่ 1 มค ถึง 30 กย (คือ ไม่ได้แสดงเป็นรายไตรมาสเหมือนงบกำไรขาดทุน)


@@@@@@@@@


Player ในตลาดหุ้น ส่วนมากรู้ข้อมูลแทบทุกอย่าง ไม่ว่า บริษัทมียอดขายเท่าไร กำไรเท่าไร พีอีเท่าไร ปันผลเท่าไร ใครคือผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัททำธุรกิจอะไร ราคาหุ้นปัจจุบันเป็นเท่าไร 


แต่สิ่งเดียวที่เขาไม่รู้คือ ตัวเองต้องการผลตอบแทนขั้นต่ำจากการดำเนินธุรกิจของบริษัทเท่าไร


@@@@@@@@@


บริษัทขายสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างแม็คโคร โอกาสในการเติบโตต่อปีในภาวะปกติในสายตาเรามองว่า โดยเฉลี่ยไม่น่าจะเกินปีละ 8% ได้


ต่อให้เป็นบริษัทที่มั่นคงขนาดไหนก็ตาม ถ้าการเติบโตในระดับนี้ค่าพีอีในสายตาเราเต็มที่ก็ไม่ควรเกิน 18 เท่า  


(ถ้าการเติบโตขนาดนี้ แล้วจะเล่นพีอีสูงกว่านี้ หาหุ้นตัวอื่นลงทุนจะดีกว่าไหม)


ราคาหุ้นเมื่อวานนี้ 25.50 บาทถ้าที่ พีอี 18 เท่า หมายถึงต้องการกำไรต่อหุ้นที่ประมาณ 1.41 บาท (เก้าเดือนแรกของปีนี้กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 0.51 บาท) 


เราเลยไม่ได้สนใจหุ้นตัวนี้


ส่วนบทวิเคราะห์ที่เชียร์ให้คุณไปเล่นที่พีอี 30 เท่า 35 เท่าหรือแม้แต่ 40 เท่า เขามีสิทธิ์เชียร์ 


และคุณก็มีสิทธิ์ลงทุนเพราะนั่นมันเงินของคุณ แต่จำไว้อย่างเวลาขาดทุน คนเชียร์ไม่ได้มาขาดทุนกับคุณด้วย

@@@@@@@@


- ความต้องการที่จะซื้อหลักทรัพย์ต่างๆหดหาย 

- ราคาทรัพย์สินส่วนใหญ่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง

- มีการผิดนัดชำระหนี้มากขึ้น

-สถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการปล่อยกู้

- คนส่วนใหญ่ในตลาดมองในแง่ร้าย

-เศรษฐกิจชะลอตัวตัวเลขเศรษฐกิจรายงานแย่ลง

- ตลาดหุ้นดำดิ่ง

- นักลงทุนรู้สึกหดหู่

- มีแต่ความกลัวเข้าครอบงำตลาดหุ้น

- Seller มีจำนวนมากกว่า Buyer

- ราคาหุ้นทำจุดต่ำสุดใหม่อยู่เรื่อยเรื่อย

- คนที่ขายไปก่อนหน้า รู้สึกว่าตัวเองคิดถูก


นี่คือช่วงเวลาแห่งโอกาส

**********


หุ้นดีๆตัวเดียวกัน บางคนซื้อ แล้วมีกำไรมากมาย ในขณะที่บางคนซื้อแล้วขาดทุนมหาศาล สิ่งเดียวที่แตกต่าง คือ  “ราคาที่ซื้อ”

ราคาซื้อเป็นตัวกำหนด การทำกำไร หรือ การขาดทุนของคุณ

ถ้าคุณซื้อหุ้นตามเสียงเชียร์ โดยที่ไม่รู้มูลค่า คุณก็เตรียมตัวขาดทุนได้เลย

*******

ตลาดหมีที่ยืดเยื้อ มันจะยืดเยื้อจนกว่า ผู้มีส่วนร่วมส่วนใหญ่จะเบื่อหน่าย ยอมแพ้และถอยออกจากตลาด


ยิ่งผู้มีส่วนร่วมมีความอดทนสูงมากขึ้นเท่าไหร่ ตลาดหมีก็จะยิ่งยืดเยื้อยาวนานและรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น

*******

สิ่งที่มือใหม่คาดหวังก็คือ ถ้ารู้หลักการลงทุนแล้วจะสามารถทำกำไรได้ทันที


สิ่งที่มือใหม่ไม่รู้ก็คือ ถ้าทำตามหลักการลงทุนที่ถูกต้องแล้วก็ยังสามารถขาดทุนได้เป็นปีๆ


@@@@@@@@@


ข้อดีของการลงทุนระยะยาว (ที่ไม่ใช่การเล่นรอบ ไม่ใช่การเก็งกำไรรายไตรมาส)


- ไม่ต้องแข่งขันกับ Trader ทั้งหลาย ไม่ว่าจะ Day trade , Scalping trade , Momentum trade หรือแม้แต่ Inside trader


- ไม่ต้องแข่งขันกับ Program trading , Algorithms trade , Bot ต่างๆ


แต่การลงทุนระยะยาวคุณต้องมีสายตาแหลมคมพอที่จะมองทะลุ โมเดลการทำธุรกิจ , นิสัย ผบห , งบการเงิน ปรเเมินมูลค่าของบริษัทเป็น รวมถึงต้องมีจิตใจที่มั่นคงในการลงทุนเพียงพอ


@@@@@@@


เวลาเห็นขาใหญ่โพสอวดว่าเข้าหุ้นตัวไหน อย่าลืมคิดว่าเป็นกี่ % ของพอร์ต 


ขาใหญ่เค้าจะจำกัดความเสี่ยงหุ้นบางตัวไม่ได้ชัวร์มากนักเค้าซื้อเข้าไป 8 หลัก อาจเป็นแค่ 1% ของพอร์ต 


รายย่อยไม่รู้เรื่องซื้อตามอัดเข้าไป 50% ของพอร์ต  


เวลาหมดรอบ  ความพังไม่เท่ากันนะครับ 


รายย่อยเทออกหมดพอร์ตราคาหุ้นก็ไม่พัง  แต่ถ้าขาใหญ่ออกทีเดียว ราคาหุ้นก็พัง 


จะเห็นได้ว่าคนกำหนดราคาหุ้นไม่ใช่รายย่อยแน่นอน  


แต่ความพังรายย่อยรับไปเต็มเต็มแน่นอน และเวลาพังแล้ว อย่าไปโทษขาใหญ่นะครับ เพราะเขาไม่ได้บังคับให้คุณซื้อตาม 


คุณเลือกที่จะตามเอง ต้องรับผิดชอบตัวเอง

@@@@@@


นักลงทุนไม่น้อย ลงเข้าใจผิด คิดว่าหุ้นวัฏจักร เป็นหุ้นที่สามารถลงทุนระยะยาวได้ โดยมักจะเข้าใจผิดในช่วงที่บริษัททำกำไรได้สูงที่สุด ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาหุ้นก็จะสูงที่สุดด้วย แล้วทำการสะสมหุ้นวัธจักรเพื่อที่จะถือยาว 


มันคือการหลงผิดบนช่วงที่ดีของหุ้นวัฏจักรว่าเป็นหุ้นเติบโต


บางครั้งเรารู้เราเห็น ว่ามีคนกำลังสะสม เราเตือนตรงตรงไม่ได้ พูดมากไปก็จะโดนคนเกลียดเอาซะเปล่าเปล่า  เราได้แต่พยามเตือนทางอ้อม 


ว่าให้ระวังอย่าสะสมหุ้นวัฏจักรในช่วงที่ธุรกิจกำลังไปได้ด้วยดีโดยหลงคิดว่าเป็นหุ้นเติบโต 


แต่เหมือนคำเตือนจะไม่เป็นที่เข้าใจ  


แต่ไม่เป็นไรสุดท้ายก็คงจะเอาตัวรอดได้  และก็จะเป็นคนเก่งที่มีประสบการณ์มากขึ้น อาจจะเสียเวลามากอีกหน่อยในการเรียนรู้เท่านั้นเอง



@@@@@@@@

กราฟเป็นเครื่องมือหนึ่งที่มีประโยชน์ในการวิเคราะห์หุ้น แต่ไม่ใช่เครื่องมือเดียวหรือเครื่องมือที่ดีที่สุด 

งบการเงินเป็นข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญที่สุดที่นักลงทุนควรศึกษาก่อนตัดสินใจลงทุน 

เพราะงบการเงินจะบอกเราถึงสถานะทางการเงิน ผลการดำเนินงาน และแนวโน้มการเติบโตของบริษัท 

คนที่เก็งกำไรโดยอ้างว่าไม่เชื่องบการเงิน แต่เชื่อกราฟอย่างเดียว มีโอกาสสูงที่จะประสบความล้มเหลวในการลงทุน

@@@@@@@@@


สมมติ ซื้อหุ้นมาตัวนึง มีอัพไซด์ 15% ราคาหุ้นไหลลงตามภาวะตลาดไป -5% ถ้าพื้นฐานไม่ได้เปลี่ยนมูลค่าที่ประเมินได้เท่าเดิมราคาหุ้นก็จะมีอัพไซด์ จากราคาตลาด 20% 

สมมติ เจอหุ้นอีกตัวมีอัพไซด์ 25% แต่เงินไม่ว่างแล้ว

จะทำอย่างไร 
- ขายตัวเดิมที่มีไซด์ 20% เพื่อมาซื้อตัวใหม่ที่มีอัพไซด์ 25% 

- ไม่ขายตัวเดิมเพราะยังขาดทุนอยู่ -5%  และไม่มีเงินซื้อหุ้นตัวใหม่  จึงนั่งรอเฉยๆ

คนไม่น้อยทำแบบหลัง เพราะไม่ยอมขาดทุน แต่มันคือวิธีการที่ถูกต้องจริงๆหรือ ที่จะให้การขาดทุนมาปิดกั้นโอกาสในการทำกำไรที่มากขึ้น ???

ต้นทุน เป็นกับดักทางจิตใจ ที่คนไม่น้อยยึดติดกับมันมากที่สุด 

ต้นทุน ที่จ่ายไปแล้วมันจบไปตั้งแต่จ่าย ไม่ควรนำมาเป็นอุปสรรคในการแสวงหาโอกาสการทำกำไรที่มากขึ้น

@@@@@@

ความอดทนนั้นหายาก

นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้มีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่ร่ำรวยผ่านตลาดหุ้นได้ 

ถึงแม้จะรู้แบบนึ้ แต่เชื่อเถอะว่านักลงทุนก็ยังคงหุนหันพลันแล่นและใจร้อนเหมือนเดิม






วันพฤหัสบดีที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2566

หลักคิด 36

 ไม่ว่าราคาหุ้นจะเป็นเท่าไร ถ้าจำนวนหุ้นเท่าเดิมสัดส่วนความเป็นเจ้าของก็ยังเหมือนเดิมและเงินปันผลก็ยังได้ตามสัดส่วนเดิม


*******

ถ้าคุณเปิดบริษัทโดยลงทุนไป 5 ล้านบาท โดยที่บริษัทมีกำไร ปีละ 6 แสนบาท แล้วแบ่งจ่าย ปันผลปีละ 300,000 บาท หรือเท่ากับปันผลวันละ 821 บาท และแนวโน้มยังเป็นอย่างนี้หรือมากกว่านี้ต่อเนื่องไปได้อีกเป็น 10 ปี 


พูดง่ายง่ายคือคุณได้เงินปันผล “วันละ 821 บาท”  และสามารถรับต่อเนื่องได้อีก 10 ปีเป็นอย่างน้อย 


อยู่ดีๆมีคนมาขอซื้อ กิจการจากคุณในราคา 3 ลบ คุณจำเป็นต้องขายไหม ???


คุณจำเป็นต้องขายกิจการในราคาที่ขาดทุนสองล้านบาท หรือคุณจะเลือกรับปันผลวันละ 821 บาทต่อเนื่องไปอีกเป็น 10 ปีและอาจรับต่อเนื่องได้นานกว่านั้นโดยโดยที่อาจมีคนมาขอซื้อกิจการคุณในราคาที่มากกว่า 5 ลบในอนาคตอีกด้วย ???


เงินปันผล คือ ส่วนสำคัญอย่างนึง


*****


เมือคุณซื้อที่ราคาแพงเกินไป และมากเกินไป จะส่งผลให้คุณไม่สามารถถือสถานะได้นานอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก


นั่นอาจทำให้การตัดสินใจขายอย่างผิดพลาดตามมา ขายผิดราคา ผิดเวลา และเมื่อราคาหุ้นขึ้นคุณก็จะยึดติดกับราคาที่เคยขาย ทำให้คุณไม่กล้าซื้อ และพลาดรอบขาขึ้นไปอีกรอบ 


เรียกว่าโดนสองเด้ง ทั้งขาลงที่ขายขาดทุนและพลาดขาขึ้นทำให้อดได้กำไรที่ควรจะได้

*****


จะประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้นถ้าลงทุนในสิ่งที่มีความเชี่ยวชาญ รวมถึงมีวินัยไม่ก้าวออกจากความเชี่ยวชาญที่มี

และเพิ่มขอบเขตความเชี่ยวชาญก่อนที่จะขยายการลงทุน


*****


มีคนถามผมว่าผมไม่ชอบหุ้นเติบโตบ้างหรือ 

ชอบสิครับ ทำไมจะไม่ชอบ  ใครใครก็ชอบหุ้นเติบโตทั้งนั้น แต่ผมจะซื้อก็ต่อเมื่อสามารถซื้อหุ้นเติบโตได้ในราคาถูกและความเสี่ยงต่ำเท่านั้น

แต่ถ้าให้จ่ายเงินแพงๆ เพื่อซื้อหุ้นโดยคาดหวังว่าจะได้การเติบโตที่สูงในอนาคต ผมไม่ซื้อครับ 

ผมชอบเนื้อในมือ มากกว่าน้ำบ่อหน้าครับ 

แม้เนื้อจะชิ้นเล็กและน้ำจะมากกว่าก็ตาม ผมก็ยังชอบเนื้อในมือมากกว่า 

@@@@@@@@

การลงทุนใดๆที่มีอยู่ในพอร์ตแล้วไม่เข้ากับหลักเกณฑ์ แม้ว่ามันจะเข้ากับหลักเกณฑ์ในตอนแรกก็ตามแต่ถ้าในภายหลังมันไม่เข้ากับหลักเกณฑ์ นั่นคือการลงทุนที่ผิดพลาด ควรที่จะแก้ไขทันที โดยไม่สนใจ sunk cost

@@@@@@@@@


ในคนที่ใช้กระแสเงินสดอิสระเพื่อคำนวณมูลค่าหุ้นโดยหากระแสเงินสดอิสระแบบตรงตรงตามสูตรโดยที่ไม่ได้เข้าใจถึงโมเดลของบริษัทอาจทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนเป็นอย่างมากได้


นลท จำนวนไม่น้อย ใช้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานคำนวนหากระแสเงินสดอิสระ


พอกระแสเงินสดจากการดำเนินงานติดลบเอามาคำนวณก็จะกลายเป็นติดลบกันไปหมด


เนื่องจากกระแสเงินสดอิสระจะต้องหักออกด้วย งบลงทุนเพื่อการ บำรุงรักษาเครื่องจักรหรือ“สินทรัพย์เดิม” ให้มีสภาพที่สามารถใช้งานเพื่อผลิตกระแสเงินสดได้  (ไม่รวมงบเพื่อการลงทุนใหม่เพิ่มเติม)


แต่ในบางธุรกิจงบลงทุนเพื่อรักษาทรัพย์สินเดิมอาจจะไปปะปนอยู่กับงบลงทุนใหม่แบบแยกไม่ออก 


เมื่อธุรกิจกำลังอยู่ในช่วงขยายตัวซึ่งต้องขยายขยายการลงทุนใหม่  ทำให้กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ติดลบ


เพราะ กระแสเงินสดจากการดำเนินงานจะถูกหักลบ ด้วยค่าใช้จ่ายต่างๆทั้งหมดที่เป็นเงินสด รวมถึงเงินลงทุนเพื่อการขยายงานด้วย (ไม่ใช่เฉพาะงบเพื่อการ maintain ทรัพย์สินเดิมเท่านั้น)


และนี่แหละคือจุดบอดที่นักลงทุนส่วนมากหาไม่เจอ 


ตัวอย่างเช่นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หากอยู่ในช่วงขยายตัวจะเปิดโครงการใหม่เพิ่มขึ้นมากทำให้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานติดลบ และอาจส่งผลให้กระแสเงินสดอิสระติดลบจากการคำนวณที่ผิดพลาดได้ (เพราะนักลงทุนจำนวนมากใช้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นตัวตั้งต้นในการหากระแสเงินสดอิสระ)


ซึ่งตามหลักแล้ว ในบริษัทที่มีผู้บริหารที่เชี่ยวชาญจะรู้ว่าควรขยายโครงการเพิ่มในช่วงไหน เพื่อรองรับอนาคตช่วงถัดไป เนื่องจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต้องใช้เวลาระยะเวลาดังนั้นผู้บริหารจึงต้องมีการคาดการณ์ล่วงหน้า โดยที่ในปัจจุบันเศรษฐกิจอาจยังไม่ได้ดีมากแต่เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวในอนาคต เมื่อเศรษฐกิจเศรษฐกิจปัจจุบันไม่ได้ดีมากกระแสเงินสดปัจจุบันอาจจะไม่ได้มากแต่มีความจำเป็นต้องขยายโครงการเพื่อรองรับอนาคตนี่คือที่มาของกระแสเงินสดจากการดำเนินงานติดลบได้ ซึ่งมันจะส่งผลในช่วงถัดไปเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวโครงการพร้อมเสิร์ฟให้ลูกค้ากระแสเงินสดจะหลั่งไหลเข้ามาอย่างท่วมท้น

@@@@@

เวลาเห็นหุ้น IPO ที่มีรายชื่อเซียนเทรดหุ้นชื่อดัง ควรจะหลีกหนี ไม่ใช่เข้าหา เพราะ เซียนเทรดหุ้นที่ชื่อดังและพอร์ตใหญ่ คือการการันตีแล้ว ว่าเขากินเงินรายย่อยมามากแค่ไหน ดังนั้นควรจะเล่นคนละเวทีกับเค้า หรือ ถ้าบนเวทีเดียวกันต้องมั่นใจว่ามีต้นทุนที่ถูกกว่าเท่านั้น (เทรดไม่ใช่ลงทุน)


เทรดเดอร์หลายคนพอเห็น เซียนเทรดหุ้นชื่อดังมีหุ้นตัวไหนก็กระโดดเข้าตาม โดยไม่สนใจเลยว่าต้นทุนของเขาคือเท่าไหร่และของตนเองคือเท่าไหร่


เซียนเทรดไม่ใช่นักลงทุน

เซียนเทรดพอร์ตใหญ่ได้เพราะ "กินเงินรายย่อย" เป็นหลัก


ส่วนนักลงทุนจะเติบโตตามธุรกิจที่เติบโตเป็นหลัก


รายย่อยที่จะโดนเซียนเทรดกินเงินได้  คือ รายย่อยที่เล่นบนเวทีเดียวกับเขาเท่านั้น (ซื้อหุ้นตัวเดียวกับเขา และต้นทุนในมือแพงกว่าเขา) 


ถ้ารายย่อยเล่นคนละเวทีหรือมีต้นทุนถูกกว่า เซียนเทรดหุ้นจะกินเงินรายย่อยไม่ได้


เทรดเดอร์รายย่อยต้องปรับมุมมองใหม่ ต้องปรับการตีความข่าวให้ถูกต้อง 


จากหุ้นที่มีเซียนเทรดชื่อดังถือแล้วน่าคิดว่าสนใจ  เป็น หุ้นตัวไหนที่มีเซียนเทรดชื่อดังถือ ให้ระวังให้มากเป็นพิเศษ


@@@@@@


หนึ่งในข้อผิดพลาดที่นักลงทุนจำนวนไม่น้อยมักจะทำผิด คือการคิดว่าหุ้นวัฏจักรคือหุ้น growth แล้วซื้อในช่วงที่ดีของธุรกิจเพื่อลงทุนระยะยาว







@@@@@@@


ชอบมีคนถามว่า มีหุ้นดีแนะนำบ้างไหม


เรามักไม่ตอบ เพราะคำว่าหุ้นดีของคนทั่วไป มักหมายถึง ซื้อแล้วราคาวิ่งขึ้น


แต่หุ้นดีของเราคือธุรกิจดีโดยที่ราคาอาจไม่ไปไหนได้เป็นปีๆ ดังนั้นคำตอบของเรา กับที่คนส่วนมากคาดหวังมักไม่ตรงกัน 


ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้ คือ ไม่ตอบดีกว่า ขี้เกียจอธิบายเยอะ

@@@@@@


ถ้าคุณยอมซื้อหุ้นพีอีมากกว่า 40เท่า ไม่ว่ามันจะเติบโตแค่ไหน 


สุดท้ายแล้ว การซื้อของคุณจะทำให้คนที่มีหุ้นอยู่ก่อนรวยจากการซื้อของคุณ แต่คุณไม่รวยจากการซื้อของคุณ


ปล. หลักการนี้ใช้ไม่ได้กับหุ้นวัฎจักร และหุ้นเทิร์นอะราวด์



*******



เนื่องจากมีคนถามถึงมุมมองของการเติบโตของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 


จุดเด่นของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


- ต้นทุนเงินทุนต่ำกว่าบริษัทอสังหาที่อยู่นอก ตลท


- ทำโครงการได้จำนวนมากมากกว่าส่งผลให้มีความประหยัดต่อขนาดมากกว่าทั้งในด้านของการออกแบบ แล้วใช้ต่อจำนวนยูนิตที่มากกว่า ทั้งวัตถุดิบต่างๆ ที่สั่งในปริมาณมากและได้ราคาที่ถูกกว่า ยังรวมไปถึงประหยัดค่าใช้จ่ายในด้านการขาย เมื่อเทียบจำนวนเซลล์ต่อยอดยูนิตรวม


- เซลล์เก่งๆก็อยากที่จะอยู่กับบริษัทใหญ่มากกว่าเนื่องจากมีสวัสดิการและโบนัสที่สูงกว่า ที่ดึงดูดกว่า


- ในแง่ความเชื่อมั่นที่ลูกค้ามีให้ต่อโครงการ บริษัทใหญ่ก็มีความได้เปรียบกว่า


- ลูกค้ากู้กับธนาคารเพื่อซื้อโครงการจากบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ธนาคารก็ปล่อยกู้ได้ง่ายกว่า 


หากดูจากมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยทั้งประเทศของปี 2565 มีจำนวน 1,065,000 ล้านบาท


ในขณะที่รายได้ของ 16 บริษัท พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีรายได้ปี 2565 รวมเพียง 309,700 ล้านบาทเท่านั้น คิดเป็นประมาณ 30% ของมูลค่าการโอนอสังหาทั้งประเทศ 


และหากมองเข้าไปในราย บริษัทก็จะเห็นว่าอันดับหนึ่งคือเอพีมีรายได้เพียง 49,000 ล้านบาทเท่านั้นเมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดรวมที่มีสูงถึง หนึ่งล้านล้านบาท 


ดังนั้นการกินมาร์เก็ตแชร์เพื่อเติบโตนั้น ยังสามารถทำได้ต่อเนื่องอีกยาวนาน โดยอาศัยจุดเด่นดังที่กล่าวมาแล้ว


หมายคนอาจไม่ทราบบริษัทพัฒนาอสังหาแม้จะพัฒนาโครงการ ที่อยู่อาศัยมือหนึ่งแต่ก็มีบริษัทลูกที่ทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนบ้านมือสองด้วย รวมถึงหลายบริษัทก็มีการตั้งบริษัทลูกเพื่อทำนิติบุคคลเพื่อดูแลโครงการของหมู่บ้านหรือคอนโดด้วย


ซึ่งการลงทุนในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์นั้นส่วนตัวก็ชอบที่จะลงทุนในบริษัทใหญ่ ที่อยู่ใน 5-10 อันดับแรกของตลท ซึ่งบริษัทจะมีความได้เปรียบมีจุดเด่นอย่างครบถ้วนในทุกๆด้าน






********

ความรู้ในหนังสือแต่ละเล่มไม่ใช่ว่าอ่านแล้วจะสามารถเข้าใจมันได้อย่างลึกซึ้งภายในครั้งเดียว 

โดยมากจะต้องอ่านซ้ำหรือจำได้เมื่อเจอเหตุการณ์ที่ประจวบเหมาะแล้วนึกถึงบางประโยคในหนังสือบางข้อความในหนังสือ หรือบางครั้งเกิดจากการประสานความรู้จากหนังสือหลายเล่มที่นำมาต่อยอดกัน 

ดังนั้นการอ่านให้มากเข้าไว้ย่อมได้เปรียบในการที่จะนำข้อมูลความรู้ที่หลากหลายมาสอนประสานกัน

แต่ทั้งนี้ต้องเป็นหนังสือที่ดีให้ความรู้อย่างถูกต้องด้วย

*****

อาชีพนักลงทุน เป็นอาชีพที่จะค่อยๆปรับมุมมองของตัวคุณ ให้ระแวดระวังความเสี่ยงมากขึ้น  มองสิ่งรอบตัวอย่างสงสัยมากขึ้น คิดมากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับตัวคุณเองในอดีต


และเมื่อถึงจุดหนึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับคนส่วนมากโดยรวมแล้ว  คุณจะรู้สึกถึงความแตกต่าง ในด้านมุมมองของความเสี่ยง อย่างเห็นได้ชัด


*****


นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่ดูออกว่าผู้บริหารคนไหนที่เข้าตลาดเพื่อจะมาโกง เพื่อจะมา กวาดเอาเงินจากผู้ถือหุ้นรายย่อย 


แต่ก็อดเข้าไปร่วมวงไม่ได้เพราะราคาตลาดที่มันกระชากขึ้นกระชากลงมันดึงดูดใจ 


สุดท้ายก็กลายเป็นเป็นแมงเม่า บินเข้ากองไฟ