บทที่ 11: เมื่อไหร่ควรขายและเก็บกำไรที่คุ้มค่า
**คำคมจากนักลงทุนชื่อดัง:**
**นาธาน รอธชิลด์** (นายธนาคารระหว่างประเทศที่ประสบความสำเร็จ):
“แน่นอนว่ามี ผมไม่เคยซื้อที่จุดต่ำสุด และผมขายเร็วเสมอ”
**โจ เคนเนดี้** (นักเก็งกำไรในวอลล์สตรีท และพ่อของประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี้):
“มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ยึดมั่นเพื่อรอดอลลาร์สูงสุด” วัตถุประสงค์คือ “ออกไปขณะที่หุ้นกำลังขึ้น ก่อนที่มันจะมีโอกาสแตกหักและลงมา”
**เจอรัลด์ เอ็ม. โลเอบ** (นักการเงินที่ประสบความสำเร็จสูง):
เน้นว่า “เมื่อราคาขึ้นสู่พื้นที่ปกติหรือแพงเกินไป จำนวนหุ้นที่ถือควรลดลงอย่างต่อเนื่องตามที่ราคาเพิ่มขึ้น”
**หลักการสำคัญ:**
สิ่งที่นักลงทุนระดับตำนานเหล่านี้เชื่อคือ: คุณต้องออกไปขณะที่การขึ้นยังดีอยู่ เคล็ดลับคือ “กระโดดออกจากลิฟต์ที่ชั้นหนึ่งระหว่างทางขึ้น และไม่ใช่นั่งมันกลับลงมาอีกครั้ง”
**คุณต้องพัฒนาแผนกำไร-ขาดทุน**
เพื่อจะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในตลาดหุ้น **คุณต้องมีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนและแผนกำไร-ขาดทุน** ผู้เขียนพัฒนากฎการซื้อและขายที่อธิบายในหนังสือเล่มนี้ในช่วงต้นทศวรรษ 1960
**กลยุทธ์การขาย:**
- ขายหุ้นของคุณขณะที่มันกำลังขึ้นและดูแข็งแกร่ง
- อย่ารอจุดสูงสุดสัมบูรณ์
- เป้าหมายคือกำไรที่สม่ำเสมอ ไม่ใช่กำไรสูงสุด
- จำคำพังเก่าที่ว่า “วัวทำเงิน หมีทำเงิน แต่หมูถูกฆ่า”
**ข้อคิดหลัก:**
“หากคุณไม่ขายเร็ว คุณจะสาย วัตถุประสงค์ของคุณคือทำกำไรที่สำคัญ ไม่ใช่ตื่นเต้น มองโลกในแง่ดี โลภ หรือหลงใหลทางอารมณ์เมื่อหุ้นของคุณขึ้นแรงขึ้น”
เนื้อหานี้เป็นภูมิปัญญาการลงทุนแบบคลาสสิก เน้นการเก็บกำไรอย่างมีระเบียบแทนการโลภและถือนานเกินไป
************
ตลาดเคลื่อนไหวก่อน จากนั้นจึงมีการหาเหตุผลมาอธิบายทีหลัง การพยายามหาเหตุผลให้กับทุกการเคลื่อนไหวของตลาดมักจะผิดพลาด
บางครั้งการพลาดโอกาส ดีกว่าการเสี่ยงสวนเทรนด์
************
- เมื่ออยู่ในอารมณ์โกรธ ให้เงียบ
- เมื่อคุณยังไม่มีข้อมูลครบถ้วน ให้เงียบ
- เมื่อคุณยังไม่ได้ตรวจสอบความจริงของเรื่องราวให้เงียบ
- เมื่ออยากล้อเลียนผู้อื่น ให้เงียบ
- เมื่อจะละอายในคำพูดของตัวเองภายหลัง ให้เงียบ
- หากเรื่องนั้นไม่ใช่ธุระของคุณ ให้เงียบ
***********
"คุณจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณได้ จนกว่าคุณจะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่คุณทำทุกวัน เคล็ดลับความสำเร็จ อยู่ที่กิจวัตรประจำวันของคุณ" - จอห์น ซี. แม็กซ์เวลล์
************
คนเราสามารถสร้างกล้ามเนื้อได้ ตลอดชีวิต ไม่มีอายุที่หยุดเด็ดขาด เพียงแต่ความเร็วและปริมาณที่สร้างได้จะลดลงตามอายุ โดยเฉพาะหลัง 40–50 ปีขึ้นไป
คนที่คิดว่าเดวอายุมากอีกหน่อยค่อยสร้างกล้ามเนื้อ
1. ขนาดอายุน้อยยัง “ไม่อยาก” ยกของหนัก (เวทเทรนนิ่ง) เลย แล้วทำไมคิดว่าอายุมากจะอยาก
2. อายุน้อยกล้ามเนื้อขึ้นได้ไวกว่า ทำให้มีกำลังใจในการฝึกมากกว่า แต่พออายุมากกล้ามเนื้อเพิ่มได้ช้า เมื่อรวมกับความไม่อยากเทรน เป็นทุนเดิม ยิ่งไม่มีกำลังใจในการฝึก
เมื่อเป็นเช่นนี้ พออายุมากขึ้นหลายคนกลายเป็นโรคกระดูกพรุน
กล้ามเนื้อที่มากพอจะช่วยพยุงการเคลื่อนไหวลดภาระของเส้นเอ็นและข้อต่อ แต่พอกล้ามเนื้อน้อย เส้นเอ็นต่างๆบาดเจ็บได้ง่ายขึ้น ข้อต่างๆอักเสบได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้ข้อต่างๆสึกหรอง่ายขึ้น สุดท้ายทำให้หลายคน มีปัญหาเรื่องการเคลื่อนไหวในการใช้ชีวิตประจำวันยามอายุมากขึ้น
บางคนข้อเข่าสึกจนต้องผ่าตัด เดินลำบาก บางคนกระดูกพรุน แตกหักง่าย ล้มทีเดียวสะโพกแตก สุดท้ายของอาการเหล่านี้ คือการนอนติดเตียง คุณภาพชีวิตยามอายุมากตกต่ำ ซึ่งเป็นผลมาจากกล้ามเนื้อน้อยและลดลงตามวัย
ดังนั้นการเวทเทรนนิ่งเพื่อสร้าง เพื่อรักษากล้ามเนื้อจึงสำคัญ ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตเมื่ออายุมากขึ้นอย่างชัดเจน
ประกอบกับคนที่ฝึกเวทเทรนนิ่งมักจะชอบให้รูปร่างดูดี จึงมักจะมีผลพลอยได้ด้านสุขภาพ คือ ไม่ค่อยมีภาวะ อ้วนมากซึ่งเป็นที่มาของสารพัดโรค
************
เมื่อไหร่ควรขายและเก็บกำไรอย่างคุ้มค่า
คำคมจากนักลงทุนชื่อดัง
นาธาน รอธชิลด์ (นายธนาคารระหว่างประเทศที่ประสบความสำเร็จ)
“แน่นอนว่ามี ผมไม่เคยซื้อที่จุดต่ำสุด และผมขายเร็วเสมอ”
โจ เคนเนดี้ (นักเก็งกำไรในวอลล์สตรีท และพ่อของประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี้)
“มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ยึดมั่นเพื่อรอกำไรสูงสุด” วัตถุประสงค์คือ “ออกไปขณะที่หุ้นกำลังขึ้น ก่อนที่มันจะมีโอกาสแตกหักและลงมา”
เจอรัลด์ เอ็ม. โลเอบ (นักการเงินที่ประสบความสำเร็จสูง) เน้นว่า “เมื่อราคาขึ้นสู่พื้นที่ปกติหรือแพงเกินไป จำนวนหุ้นที่ถือควรลดลงอย่างต่อเนื่องตามที่ราคาเพิ่มขึ้น”
************
บทความจาก Forbes ปี 1992 เกี่ยวกับปรัชญาการลงทุนของ Warren Buffett โดย Mark Hulbert
“จงเป็นเสือ อย่าเป็นไก่” - ความลับการลงทุนของ Warren Buffett
ปรัชญาเสือ vs ไก่
Buffett เปิดเผยว่า นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จต้องเป็นเหมือน “เสือ” ที่อดทนรอจังหวะ มีสมาธิ และพร้อมที่จะตะครุบเมื่อเห็นโอกาสที่เหมาะสม ไม่ใช่เป็นเหมือน “ไก่” ที่คอยจิกจากที่นั่นที่นี่อยู่ตลอดเวลา
จุดสำคัญ
1. พฤติกรรมนักลงทุน
- นักลงทุนส่วนใหญ่ทำตัวเหมือนไก่ ขยับไปขยับมาและซื้อขายบ่อยๆ
- นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จทำตัวเหมือนเสือ - รอด้วยความอดทนและลงมือเมื่อถึงจังหวะ
- ความสำเร็จในการลงทุนมาจากการตัดสินใจสำคัญๆ ไม่กี่ครั้ง ไม่ใช่จากการเคลื่อนไหวบ่อยๆ
2. ตัวอย่างประวัติศาสตร์
- Benjamin Graham ลงทุนใน Geico ถึง 25% ของพอร์ต และได้ผลตอบแทนมหาศาล
- Martin Zweig มีผลงานยอดเยี่ยม แต่นักลงทุนที่อดทนและมีสมาธิยังเอาชนะได้
3. บริบทตลาด (วิกฤต 1987)
- ตุลาคม 1987 ตลาดตก 23% แต่พอร์ตของ Buffett กำไร 20%
- นี่ไม่ใช่โชค แต่เป็นผลจากการเตรียมตัวและการมีวินัยในการรอจังหวะ
ใจความหลัก
นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงการซื้อขายบ่อยๆ แต่ควรมุ่งเน้นไปที่การหาโอกาสที่ยอดเยี่ยมในระยะยาว ความแตกต่างระหว่างโชคกับฝีมือมักขึ้นอยู่กับการเตรียมตัวและความอดทนที่มีวินัย - การพร้อมรับมือเมื่อจังหวะที่ถูกต้องมาถึง
การนำไปปฏิบัติ
แทนที่จะพยายามจะจับจังหวะตลาดทุกครั้ง นักลงทุนควรเน้นการศึกษาอย่างละเอียดและรอโอกาสที่น่าสนใจ ซึ่งตนเองมีความมั่นใจสูง
************
LDL ในเลือด ถูกผลิตจากตับ โดย ไขมันอิ่มตัว และคลอเรสเตอรอลมีผลต่อระดับ LDL
ดังนั้นปริมาณไขมันอิ่มตัวที่ทานจึงควรทานในปริมาณต่ำหากต้องการควบคุม LDL
และคลอเรสเตอรอลจากอาหาร มีผลในคนบางกลุ่มที่มีพันธุกรรมที่มีความไวต่อคอลเรสเตอรอล
ดังนั้นในคนที่ต้องการควบคุม LDL ควรทาน ไขมันอิ่มตัวไม่เกิน 5-10% ของพลังงานรวม หรือคิดเป็นประมาณ 16 กรัมต่อวัน
และคลอเรสเตอรอลจากอาหาร คนที่มีปัญหาเรื่อง LDL สูง ควรทานไม่เกิน 200 มก ต่อวัน
ไขมันอิ่มตัว < 16 กรัมต่อวัน
คลอเรสเตอรอล < 200 มกต่อวัน
มาดูอาหารกันบ้าง ว่าอะไรเหมาะสม ไม่เหมาะสม หากมองในมุมของการควบคุม LDL
⸻
ไขมันอิ่มตัว (ต่อ 100 กรัม, มาก → น้อย)
1. ไข่ไก่ต้ม (~3 g)
2. เนื้อวัวสุก (~2.5 g)
3. เนื้อหมูสันนอกสุก (~1.5 g)
4. สะโพกไก่ไม่ติดหนังนึ่ง (~1 g)
5. ปลากระพงนึ่ง (~0.8 g)
6. อกไก่ไม่ติดหนังนึ่ง (~0.3–0.4 g)
7. ไข่ขาวต้ม (~0 g)
ปล. ไขมันอิ่มตัวควรทาน < 16 กรัมต่อวัน
⸻
🥚 คอเลสเตอรอล (ต่อ 100 กรัม, มาก → น้อย)
1. ไข่ไก่ต้ม (~370 mg)🛑
2. เนื้อวัวสุก (~90 mg)
3. เนื้อหมูสันนอกสุก (~75 mg)
4. สะโพกไก่ไม่ติดหนังนึ่ง (~80 mg)
5. อกไก่ไม่ติดหนังนึ่ง (~70 mg)
6. ปลากระพงนึ่ง (~45 mg)
7. ไข่ขาวต้ม (~0 mg)
คลอเรสเตอรอลควรทาน < 200 มกต่อวัน
⸻
สรุปสั้น ๆ ไข่ทั้งฟองครองแชมป์ทั้งสองฝั่ง ส่วน ไข่ขาวปลอดภัยสุด (ศูนย์แทบทั้งคู่) ส่วนเนื้อสัตว์อื่น ๆ อยู่ในโซนกลาง ๆ แตกต่างไม่มากนักเมื่อเทียบกับไข่
สมมติคนที่เล่นเวท ต้องการโปรตีน 1.6 กรัมต่อ นน ตัว 1 กก
ในคนที่ นน ตัว สมมติ 70 กก ต้องการโปรตีน 112 กรัมต่อวัน
หากทานอกไก่เพื่อให้ได้โปรตีน 112 กรัมต่อวัน ต้องทานอกไก่ไม่ติดหนังต้มประมาณ 450 กรัม ซึ่งจะมีไขมันอิ่มตัวประมาณ 1.4–1.8 กรัม และคลอเลสเตอรอลประมาณ 315 มก.🛑
โดยที่ยังไม่นับรวมอาหารอื่นๆที่จะต้องทานและมีไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลเพิ่มอีก
ดังนั้นในกลุ่มคนที่ไวต่อคอเลสเตอรอล (คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับไขมัน LDL) จึงไม่สามารถทานอกไก่ในปริมาณ ที่โปรตีนเพียงพอต่อร่างกายได้ เพราะคลอเลสเตอรอลจะเกิน
นี่จึงเป็นที่มาว่า เห็นนักเพาะกายบางคนที่ทานอกไก่มากๆพอตรวจเลือดกับพบว่าในเลือดมีไขมันสูง มี LDL สูง
แต่การทานอกไก่ สามารถทานได้หากทานในปริมาณที่น้อยลง แล้วเสริมโปรตีนจากอาหารแหล่งอื่น เช่น ทานอกไก่ 50 ถึง 80 กรัม แล้วทานไข่ขาวเพิ่ม เพื่อเพิ่มโปรตีนให้ถึงปริมาณที่ต้องการ
คนไม่น้อย ที่ไม่สามารถบังคับตัวเองได้ ก็จะทานทุกอย่างตามปกติ แล้วไปทานยา statin เพื่อช่วยลด LDL มันก็แปลว่าต้องทานยาไปตลอดชีวิต
************
ทำไมคนที่วิ่งมากๆ เช่น วิ่งวันละ 10 km ทุกวัน ผอม แต่กลับ LDL พุ่งสูง ???
“อย่างแรกเลย คนที่ออกกำลังกายมาก คาร์ดิโอมาก วิ่งมาก มักจะมีรูปร่างผอม และมีความเชื่อว่าตัวเองออกกำลังกายมาก เลยมักจะทานอาหารตามใจปากแบบไม่กังวล เช่น ทานหมูปิ้งติดมัน ทานคอหมูย่าง ทานหมูทอด ทานของทอดอย่างสบายใจ และมักจะคิดว่า เดี๋ยวไปวิ่งก็เบิร์นหมดแล้ว วิ่งเยอะแล้วจะกินอะไรก็ได้”
หลายคนที่ออกกำลังกายหนักก็เลยเจอปัญหา “LDL สูง” ทั้งที่รูปร่างผอมและเผาผลาญพลังงานเยอะ
สรุปเป็นประเด็นให้ชัด ๆ
⸻
1. การเบิร์นแคลอรี่ ≠ การเผาผลาญไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอล
• การวิ่งหรือการคุมแคลอรี่ “เผาผลาญพลังงาน” (กลูโคส ไขมันอิสระ ไตรกลีเซอไรด์)
• 🛑 แต่ คอเลสเตอรอลและ LDL ไม่ได้ถูกเผาผลาญออกเหมือนพลังงาน ร่างกายยังคงต้องจัดการผ่านตับและกระบวนการขับถ่ายน้ำดี
• 🛑 ถ้าทานไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลมาก → ตับจะสร้าง LDL มากขึ้นเพื่อลำเลียงไขมันในเลือด แม้พลังงานรวมจะขาดดุล
⸻
2. การออกกำลังกายช่วย HDL มากกว่า LDL
• งานวิจัยพบว่า แอโรบิค เช่น วิ่ง ช่วยเพิ่ม HDL (ไขมันดี) และลดไตรกลีเซอไรด์
• 🛑 แต่ผลต่อ LDL มักไม่ชัดเจน หรือบางครั้งแทบไม่ลดเลย
• 🛑 ถ้านิสัยการกินยังเต็มไปด้วย SFA (saturated fat) และคอเลสเตอรอลสูง → LDL ก็ยังพุ่งได้
⸻
3. พันธุกรรมและ “Hyper-responders”
• บางคนเป็น hyper-responder ต่อคอเลสเตอรอลในอาหาร → ทานอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง LDL จะพุ่งแรงกว่าคนทั่วไป
• แม้จะผอม ออกกำลังกายหนัก หรือแคลอรี่ติดลบก็ตาม
• 🛑 คนกลุ่มนี้พบได้ 20–30% ของประชากร (ไม่น้อยเลยนะประมาณห้าคนจะเจอหนึ่งคน)
⸻
4. ความเครียดจากการวิ่งหนักและการอักเสบ
• การวิ่งระยะไกลทุกวัน 10 km เป็นภาระทางกายภาพ → อาจทำให้ร่างกายเกิด oxidative stress และการอักเสบ 🛑
• หากไม่พักฟื้นและไม่ทานอาหารที่สมดุล (เช่น ผัก ผลไม้ ไฟเบอร์สูง) LDL จะถูกออกซิไดซ์ง่ายขึ้น และเสี่ยงสะสมในหลอดเลือด🛑
⸻
5. บทบาทของไฟเบอร์และพืชผัก
• แม้เบิร์นพลังงานเยอะ แต่หากขาด ใยอาหารละลายน้ำ (soluble fiber) เช่น ข้าวโอ๊ต ถั่ว แอปเปิล → ตับจะรีไซเคิลคอเลสเตอรอลกลับมาใช้มากขึ้น → LDL ไม่ลด 🛑
• ดังนั้นการกิน “แบบไม่ระวัง” โดยไม่ใส่ผัก ผลไม้ ธัญพืช อาจยิ่งทำให้ LDL สูง แม้จะวิ่งทุกวัน🛑
⸻
✅ สรุป
การ “เบิร์นพลังงาน” ไม่ได้เท่ากับ “ลด LDL” เพราะ LDL ถูกกำหนดหลัก ๆ โดย ชนิดไขมันที่กิน + พันธุกรรม + สมดุลของตับและการขับถ่ายน้ำดี ไม่ใช่แค่พลังงานเข้าออก การวิ่งช่วยสุขภาพหัวใจและเพิ่ม HDL แต่ไม่ชดเชยผลเสียของการทานไขมันอิ่มตัวสูงได้
ได้พูดถึงการออกกำลังกายอย่างมากเช่นวิ่งวันละ 10 กิโล แต่ LDL กลับพุ่งสูงขึ้น ด้วยสาเหตุมาจากการทานไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอล (อ่านซ้ำได้ลิ้งในคอมเม้นท์)
จากนี้ก็คงจะมีความสงสัยว่าอาหารประเภทไหนมีคอเลสเตอรอลสูง อาหารประเภทไหนมีไขมันอิ่มตัวสูง เพื่อที่จะได้ ทานลดลง หรือเลี่ยงได้ก็ได้เลี่ยง 
จัดให้ครับ ผมทำ 2 ตาราง แยกกัน
1. Top 10 แหล่งไขมันอิ่มตัว (SFA) ที่คนไทย/คนทั่วไปกินบ่อย
2. Top 10 แหล่งคอเลสเตอรอล ที่กินบ่อย
โดยอ้างอิงจากค่าเฉลี่ย ต่อ 100 กรัม หรือ 1 หน่วยบริโภคทั่วไป (USDA + TFD)
⸻
คนที่มี LDL สูง โดยเฉลี่ยไม่ควรทานไขมันอิ่มตัวเกิน 5-10% ของพลังงานรวมที่ทาน คำนวนแบบเฉลี่ย ไขมันอิ่มตัว < 16 กรัมต่อวัน
และคลอเลสเตอรอล
prefer < 200 โดย max < 300
—————
Top 10 อาหาร/ส่วนประกอบที่มีไขมันอิ่มตัวสูง (SFA)
น้ำมันมะพร้าว ไขมันอิ่มตัว 82 g จากปริมาณ 100 g คือสูงสุด เกือบทั้งหมดเป็น SFA
น้ำมันปาล์ม ~50 g/100 g ใช้ทอดอาหารบ่อยในไทย
เนย ~50 g/100 g มีทั้ง SFA และมีคลอเลสเตอรอลสูง
กะทิข้น (กระป๋อง) ~21 g/100 g พบมากในแกงไทย
เนื้อหมูสามชั้นสุก ~15 g/100 g กินบ่อยในขาหมู/หมูกระทะ
เบคอนทอด ~14 g/100 g อาหารเช้า/ท็อปปิ้ง
ชีสเชดดาร์ ~19 g/100 g ใส่แซนด์วิช/พิซซ่า
ไอศกรีม (นมเต็มมันเนย) ~10 g/100 g
ขนมยอดนิยม
เค้ก/คุกกี้เนย ~8–12 g/100 g ใช้เนย/มาการีนเยอะ
ไส้กรอกหมู/ไก่ ~8–10 g/100 g มีทั้งไขมันอิ่มตัวและโซเดียมสูง
⸻
Top 10 อาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง
ไข่แดง (1 ฟอง ~18 g) มีคลอเลสเตอรอลประมาณ 185–200 mg
ตับหมู/วัว มีคอเลสเตอรอลประมาณ 350–400 mg ต่อ 100 g กินบ่อยในต้มเลือดหมู
กุ้ง (สด) ~180–200 mg/100 g พบในอาหารไทยบ่อย
ปลาหมึก ~230 mg/100 g ย่าง/ผัดบ่อย
หอยนางรม ~150 mg/100 g หอยทอด/ยำหอย
เนย ~220 mg/100 g (30 mg/ช้อนโต๊ะ) ใช้ในเบเกอรี
เนื้อสัตว์ติดมัน (หมู, วัว) ~70–100 mg/100 g กินประจำในอาหารไทย
ไส้กรอก/เบคอน ~70–80 mg/100 g อาหารเช้า/แซนด์วิช
ปู ~120 mg/100 g นึ่ง/ผัด
ชีส ~90–100 mg/100 g พิซซ่า/เบเกอรี
⸻
✅ ภาพรวม
• แหล่งไขมันอิ่มตัว หลักๆในไทย → น้ำมันปาล์ม, กะทิ, เนื้อหมูติดมัน, ขนม/เบเกอรี
• แหล่งคอเลสเตอรอลหลักๆ → ไข่แดง, เครื่องใน, อาหารทะเล (กุ้ง, ปลาหมึก), เนื้อสัตว์แปรรูป
ไม่ได้บอกว่าต้องงดทั้งหมด แต่ บางอย่างเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยงบางอย่างเลี่ยงไม่ได้ก็ทานลดลง และทานอย่างอื่นทดแทน 
************
พอร์ตหุ้นต่างประเทศของเรา จัดสรรสัดส่วนโดยมี
- Stock/ETF ประมาณ 65%
- Gold ETF ประมาณ 15%
- Cash & Bond ETF 20%
เหตุผล
- Stock/ETF เราเลือกลงทุนในตัวที่เป็น Leader วิ่งแรงกว่าดัชนี
- Gold ETF เผื่อกรณีเกิด Black Swan
- Cash/ Bond ETF พร้อมโยกเข้าซื้อหุ้นหรือทองเสมอหามีจังหวะ ระหว่างรอจังหวะก็รับปันผลจากดอกเบี้ยปีละประมาณ 4.xx %
ผลลัพธ์ ถึงแม้ว่ากองทุนพันธบัตรจะได้ผลตอบแทนต่ำ แต่พอรวมกับทองและหุ้น เป็นพอร์ตรวมแล้ว ผลตอบแทนรวมก็มากกว่าผลตอบแทนของดัชนี 
ที่เราคาดการณ์ คือ
หากเกิด Black Swan จริง
สมมติ หุ้นตลาดลดลง 40-45% หุ้นในพอร์ตจะลดจาก 65% เหลือ 35-40%
ในขณะเดียวกันเวลาเกิดเหตุการณ์รุนแรงราคาทองจะพุ่งขึ้น สมมติขึ้นจากสัดส่วน 15% กลายเป็น 22%
กองทุนพันธบัตรมักจะราคาขึ้นในข่วง Black Swan เพราะเงินจะย้ายออกจากทรัพย์สินเสี่ยงไปสู่ทรัพย์สินที่ สมมติ จากสัดส่วน 20% ขึ้นเป็น 24%
เท่ากับว่าในช่วงที่เป็น Black Swan เช่น สงครามโลก พอร์ตรวมจะเสียหายประมาณ 15%-18% เท่านั้น ซึ่งเป็นตัวเลขที่เราโอเค
นี่พูดถึงกรณีที่เราไม่ป้องกันความเสี่ยง หรือป้องกันความเสี่ยงไม่ทัน แต่โดยปกติแล้ว เราจะมีการ Hedge เสมอ
แต่หากไม่เกิดเหตุร้าย พอร์ตรวมก็จะเติบโตมากกว่าดัชนีไปเรื่อยๆ
อันนี้คือแนวทางจัดพอร์ตของเรา
************
โดปามีน (Dopamine) คือสารสื่อประสาทชนิดหนึ่งในสมอง ซึ่งทำหน้าที่สำคัญหลายอย่าง
หน้าที่หลัก
ระบบรางวัลและแรงจูงใจ - โดปามีนถูกหลั่งออกมาเมื่อเราทำสิ่งที่ให้ความพอใจหรือบรรลุเป้าหมาย ทำให้รู้สึกดีและอยากทำสิ่งนั้นอีก
การเคลื่อนไหว - ช่วยควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย (คนที่ขาดโดปามีนอาจเป็นโรคพาร์กินสัน) ❇️
การเรียนรู้และความจำ - ช่วยให้จดจำประสบการณ์ที่ดีและเรียนรู้พฤติกรรมใหม่ๆ ❇️
อารมณ์และสมาธิ - มีผลต่อความรู้สึกมีความสุข พลังงาน และความสามารถในการมีสมาธิ ❇️
เมื่อระดับโดปามีนสมดุล เราจะรู้สึกมีแรงจูงใจ มีพลัง มีสมาธิ และมีความสุข
แต่ถ้าระดับโดปามีนต่ำเกินไป อาจทำให้เกิดอาการซึมเศร้า เบื่อหน่าย ขาดแรงจูงใจ หรือเคลื่อนไหวลำบาก 🟠
ในทางกลับกัน ถ้ามีโดปามีนสูงเกินไปหรือระบบโดปามีนทำงานผิดปกติ อาจเกิดอาการหลงผิด ประสาทหลอน หรือพฤติกรรมเสพติด 🔴
วิธีเพิ่มโดปามีน
โดปามีน คือสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกมีแรงจูงใจ ความพอใจ และการให้รางวัลตัวเอง นี่คือวิธีธรรมชาติในการเพิ่มระดับโดปามีน
1. วิ่ง - การออกกำลังกายแบบแอโรบิกช่วยกระตุ้นการหลั่งโดปามีนและเอนดอร์ฟิน
2. เต้นรำ - การเคลื่อนไหวร่างกายตามจังหวะดนตรีช่วยสร้างความสุขและกระตุ้นสมอง
3. แสงแดด - แสงธรรมชาติช่วยเพิ่มการผลิตโดปามีนและเซโรโทนิน
4. ทำสมาธิ - การฝึกสติช่วยปรับสมดุลระบบสารเคมีในสมอง
5. ทำงานอย่างตั้งใจ - การจดจ่อกับงานอย่างเต็มที่ (Deep work) ช่วยเพิ่มความรู้สึกสำเร็จ
6. ยกน้ำหนัก - การออกกำลังกายด้วยแรงต้านช่วยเพิ่มโดปามีนและฮอร์โมนการเจริญเติบโต
7. อาบน้ำเย็น - ช่วยกระตุ้นระบบประสาทและเพิ่มระดับโดปามีน
8. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ - การนอนหลับที่มีคุณภาพช่วยฟื้นฟูการทำงานของสมอง
9. รู้จักดื่มด่ำกับช่วงเวลาปัจจุบัน - การมีสติอยู่กับปัจจุบันช่วยให้รู้สึกมีความสุข
10. ตั้งเป้าหมายและทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมาย - ความก้าวหน้าช่วยกระตุ้นระบบรางวัลในสมอง
11. ยอมรับความเบื่อ - การปล่อยให้จิตใจพักผ่อนช่วยเพิ่มความคิดสร้างสรรค์
12. ลองสิ่งใหม่ๆ - ประสบการณ์ใหม่กระตุ้นการเรียนรู้และการหลั่งโดปามีน
13. ลดการใช้โทรศัพท์ - การหลีกเลี่ยงการกระตุ้นโดปามีนแบบผิวเผินช่วยฟื้นฟูความไวต่อการตอบสนอง
14. ทำงานอย่างชอบและภูมิใจในตัวเอง - ความรู้สึกมีคุณค่าและความภาคภูมิใจช่วยเสริมสร้างความมีแรงจูงใจ
การทำอย่างสม่ำเสมอจะช่วยสร้างสมดุลของโดปามีนในสมองอย่างยั่งยืน และมีประโยชน์ต่อสุขภาพจิตในระยะยาว
************
แก่นแท้ของชีวิต คือคุณภาพชีวิตที่ตัวเราเองสัมผัส การกำหนดคุณค่าชีวิต กำหนดจากตัวเอง ด้วยตัวเอง