วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2568

หลักคิด 53

 เงินต้นคือชีวิตของนักลงทุน อย่าให้มันหาย ไม่มีเงินต้นก็เป็นนักลงทุนไม่ได้


กฎข้อแรก อย่าเสียเงินต้น กฎข้อสอง อย่าลืมกฎข้อแรก”

ฟังดูเหมือนง่าย แต่นี่คือหัวใจสำคัญที่สุดของการลงทุน


ลองคิดดูนะ ถ้ามีเงิน 100,000 บาท แล้วขาดทุนไป 50% จะเหลือเพียง 50,000 บาท แต่ถ้าอยากได้เงินคืนเป็น 100,000 บาท ต้องทำกำไร 100% จาก 50,000 บาท  ซึ่งยากกว่ามาก!


สิ่งที่ควรทำ

 เลือกลงทุนในสิ่งที่มีความเสี่ยงต่ำ มั่นคง

 อย่าเสี่ยงเงินทั้งหมดในที่เดียว

 ถามตัวเองก่อนลงทุนทุกครั้งว่า “ถ้าขาดทุน จะรับได้ไหม?”


**********


“Don’t marry your trades. Marry your discipline.”


อย่ายึดติดกับสินทรัพย์ที่เทรด แต่ให้ยึดติดกับการมีวินัย 


*********


ขึ้นก็ถือต่อ ลงถึงจุดนึงก็ขาย 

ทำตามหลักการอย่างมีวินัย 

ก็เท่านั้นเอง 


ไม่ใช่นอสตร้าดามุส

ไม่ใช่แม่หมอ 

ไม่สามารถรู้อนาคตได้ 

จึงทำได้แค่เกาะเทรนด์ 

😊😊😊


*********


ความมั่งคั่งเกิดจากวินัย ไม่ใช่โชค

เรื่องนี่ไม่ได้ซับซ้อน แต่ต้องใช้วินัย ความอดทน และความมุ่งมั่น ในการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง


ความมั่งคั่งที่แท้จริงไม่ได้สร้างข้ามคืน แต่สร้างทีละนิดทุกวัน ด้วยการตัดสินใจที่ดี ด้วยความรู้ที่สะสม และด้วยเวลาที่ให้มันเติบโตไปเรื่อยๆ


เริ่มต้นวันนี้ เพราะวันที่ดีที่สุดในการปลูกต้นไม้คือ 20 ปีที่แล้ว แต่วันที่ดีที่สุดอันดับสองคือวันนี้


***********



ปู่บัฟเฟตต์อ่านหนังสือวันละ 500 หน้า ปู่บอกว่า “ความรู้สะสมได้เหมือนดอกเบี้ยทบต้น”


ยิ่งคุณรู้มาก คุณก็ตัดสินใจได้ดีขึ้น ยิ่งตัดสินใจดี ผลลัพธ์ก็ดีตาม และที่สำคัญ ไม่มีใครแย่งความรู้จากคุณไปได้


- อ่านหนังสือเกี่ยวกับการเงิน การลงทุน เศรษฐศาสตร์


- ติดตามข่าวสารและเทรนด์ใหม่ๆ


- เรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเองและคนอื่น


******



ถ้าไม่หาทางให้เงินทำงานแทนคุณ คุณจะต้องทำงานไปตลอดชีวิต


รายได้แบบพาสซีฟ หมายถึง เงินที่ไหลเข้าเป็นประจำต่อเนื่อง เช่น

- ผลกำไรจากกิจการส่วนตัวที่อยู่ตัวแล้ว

- เงินปันผลจากหุ้น

- ค่าเช่าจากอสังหาริมทรัพย์

- ดอกเบี้ยจากเงินออม


เริ่มสร้างกระแสเงินสดที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง


ลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ


เพิ่มช่องทางรายได้มากกว่า 1 ช่องทาง



*********




สำหรับการลงทุน  ซื้อเมื่อคนอื่นกลัว ขายเมื่อคนอื่นโลภ

ตอนที่ตลาดหุ้นตก ทุกคนตื่นตระหนก ขายหุ้นทิ้งหมด แต่ปู่บัฟเฟตต์กลับซื้อเพิ่ม


ทำไม? เพราะในช่วงวิกฤต หุ้นดีๆ ถูกขายในราคาถูกลง เหมือนไปซื้อของแบรนด์เนมลดราคา 50% นั่นเอง (เรื่องนี้สาวๆจะเข้าใจดี😆)


อย่าตื่นตระหนกเมื่อตลาดตก

ใช้โอกาสนี้เก็บหุ้นดีๆ ในราคาที่ถูกลง

มองระยะยาว ไม่ใช่ระยะสั้น



*********



“ดอกเบี้ยทบต้น” หรือพลังแห่งการเติบโตแบบทวีคูณ


สมมติคุณลงทุน 10,000 บาท ได้ผลตอบแทน 10% ต่อปี

ปีที่หนึ่ง 11,000 บาท

ปีที่สิบ  25,937 บาท

ปีที่สามสิบ 174,494 บาท

จากเงินต้นแค่ หมื่นเดียว 


เห็นไหมว่าเวลาคือเพื่อนที่ดีที่สุดของนักลงทุน


เริ่มลงทุนตั้งแต่วันนี้ ไม่ต้องรอให้มีเงินเยอะ


อย่าถอนเงินกลางทาง ปล่อยให้มันทำงานต่อเนื่อง


มีวินัยและความอดทน



*********



ลงทุนในสิ่งที่เข้าใจจริงๆ เท่านั้น


ปู่บัฟเฟตต์เคยปฏิเสธการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง ไม่ใช่เพราะมองว่าไม่ดี แต่เพราะเขาไม่เข้าใจธุรกิจพวกนั้นจริงๆ


การลงทุนไม่ใช่การเดาหรือทายผล ถ้าคุณไม่สามารถอธิบายได้ว่าบริษัทนี้ทำเงินได้ยังไง ขายอะไร หรือมีจุดแข็งอะไร แสดงว่าคุณกำลังเสี่ยงโดยไม่จำเป็น


เริ่มจากธุรกิจที่คุณคุ้นเคย เช่น ร้านอาหาร ค้าปลีก สินค้าอุปโภคบริโภค


ศึกษาให้เข้าใจก่อนลงทุนทุกครั้ง


อย่าไหลตามกระแสหรือคำแนะนำของคนอื่นโดยไม่คิด



********



เงินต้นคือชีวิตของนักลงทุน อย่าให้มันหาย ไม่มีเงินต้นก็เป็นนักลงทุนไม่ได้


กฎข้อแรก อย่าเสียเงินต้น กฎข้อสอง อย่าลืมกฎข้อแรก”

ฟังดูเหมือนง่าย แต่นี่คือหัวใจสำคัญที่สุดของการลงทุน


ลองคิดดูนะ ถ้ามีเงิน 100,000 บาท แล้วขาดทุนไป 50% จะเหลือเพียง 50,000 บาท แต่ถ้าอยากได้เงินคืนเป็น 100,000 บาท ต้องทำกำไร 100% จาก 50,000 บาท  ซึ่งยากกว่ามาก!


สิ่งที่ควรทำ

 เลือกลงทุนในสิ่งที่มีความเสี่ยงต่ำ มั่นคง

 อย่าเสี่ยงเงินทั้งหมดในที่เดียว

 ถามตัวเองก่อนลงทุนทุกครั้งว่า “ถ้าขาดทุน จะรับได้ไหม?”



*********



อย่าพยายามซื้อที่ “จุดต่ำสุด” หรือขายที่ “จุดสูงสุด”


ไม่มีใครจับจังหวะตลาดได้เพอร์เฟค คนที่อ้างว่าทำได้ มักไม่พูดความจริง 


ควรพอใจเมื่อได้ผลตอบแทนที่ดีในระดับเหมาะสม มากกว่าการไล่ล่าความสมบูรณ์แบบ



********



เงินจำนวนมากมาจากการนั่งรอผ่านการเคลื่อนไหวระยะยาว ไม่ใช่การเทรดตลอดเวลา เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ถูกเขย่าออกเร็วเกินไป



*******



ความสำเร็จไม่ได้มาจากพรสวรรค์ แต่มาจากความพยายามที่คนอื่นมองไม่เห็น



********

วันเสาร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2568

หลักคิด 52

 ทำไมเก๋ากี้ถึงบำรุงสายตาได้ 

เหมาะกับยุค มือถือและคอมพิวเตอร์



เก๋ากี้(แดง) 15 กรัม หนึ่งช้อนโต๊ะพูนเล็กน้อย

สารอาหารหลัก

พลังงานประมาณ 52 kcal

โปรตีนประมาณ 2.1 กรัม

ไขมันรวมประมาณ 0.1 กรัม

คาร์โบไฮเดรตประมาณ 11.5 กรัม

ใยอาหารประมาณ 2 กรัม

น้ำตาลธรรมชาติประมาณ  6–7 กรัม



วิตามินและแร่ธาตุเด่น

 • วิตามิน A (จากเบต้าแคโรทีนและซีแซนทิน): ~3,900 IU ✅

 • วิตามิน C: ~7 มก.

 • ธาตุเหล็ก: ~1.3 มก.

 • แคลเซียม: ~29 มก.

 • โพแทสเซียม: ~170 มก.

 • ฟอสฟอรัส: ~45 มก.



จุดเด่น – วิตามินเอ


วิตามินเอจากเก๋ากี้ถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับอาหารทั่วไป

 • เก๋ากี้ 15 กรัม → ~3,900 IU

 • แครอทสด 100 กรัม → ~16,700 IU

 • ไข่ไก่ 1 ฟอง (50 กรัม) → ~240 IU

 • มะม่วงสุก 100 กรัม → ~1,100 IU


ดังนั้น เก๋ากี้เพียง 15 กรัม ให้วิตามินเอมากกว่า ไข่ 1 ฟองถึง 16 เท่า และยังมากกว่ามะม่วงสุก 100 กรัมถึง 3.5 เท่า



สรุป

แค่ทาน 15 กรัม (ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะพูน) ก็ได้วิตามินเอปริมาณสูงมาก เหมาะกับการบำรุงสายตาและผิว


ปริมาณนี้ยังให้ไฟเบอร์และธาตุเหล็กพอสมควร โดยไม่ให้พลังงานสูงเกินไป


***********


ถ้าจะมีอะไรที่ทำให้สามารถออกจากสถานการณ์ที่ยากลำบาก ได้เกือบทุกสถานการณ์ 


อะไรสิ่งนั้นน่าจะเป็น “เงิน”


เงินซื้อชีวิตไม่ได้แต่ซื้อความไม่ทุกข์ทรมาณจากการเจ็บป่วยได้


เงินซื้อความสบายใจไม่ได้ทั้งหมด  แต่สามารถบรรเทาความเดือดร้อนส่วนมากได้


คุณจะไม่อดอยากถ้าคุณมีเงิน


คุณจะมีที่อยู่อาศัยที่สุขสบายถ้าคุณมีเงินมากพอ 


คุณจะไม่ขาดแคลนยารักษาโรคดีๆแพงๆ ถ้าคุณมีเงิน


คุณสามารถที่จะแต่งตัวดี  เป็นที่พึงพอใจของผู้ที่พบเห็น และให้เกียรติคุณ ถ้าคุณมีเงิน


และเงินจะอยู่กับคนที่เห็นคุณค่าของมันเท่านั้น


การเก็บออมจึงเป็นสิ่งสำคัญ และที่สำคัญกว่า คือ เมื่อเก็บออมแล้วต้องลงทุนเป็น


คนที่บอกว่าเงินไม่สำคัญ คือคนที่ไม่เห็นคุณค่าของเงิน และเงินก็จะอยู่กับเขาได้ไม่นาน มันเป็นเช่นนั้นเสมอ

*************


ฟักทอง เป็นอาหารที่ให้พลังงานต่ำแต่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เหมาะกับการควบคุมน้ำหนักและดูแลสุขภาพ


สารอาหารหลัก (ต่อฟักทองดิบ 100 กรัม)

(อ้างอิง USDA และฐานข้อมูลโภชนาการไทย TFD)

 • พลังงาน: ~26 kcal (พลังงานต่ำมาก)

 • โปรตีน: ~1.0 g

 • คาร์โบไฮเดรต: ~6.5 g

 • น้ำตาล: ~2.8 g

 • ใยอาหาร: ~0.5–0.9 g

 • ไขมัน: ~0.1 g (ต่ำมาก)


วิตามิน

 • วิตามิน A (จากเบต้าแคโรทีน): สูงมาก (~8513 IU หรือ ~426 µg RAE) → ช่วยบำรุงสายตา

 • วิตามิน C: ~9 mg

 • วิตามิน E: ~1.1 mg

 • วิตามิน K: ~1 µg

 • วิตามินบีรวม: B2, B6 และโฟเลตในปริมาณเล็กน้อย


แร่ธาตุ

 • โพแทสเซียม: ~340 mg

 • ฟอสฟอรัส: ~44 mg

 • แคลเซียม: ~21 mg

 • แมกนีเซียม: ~12 mg

 • สังกะสี: ~0.3 mg

 • เหล็ก: ~0.8 mg


จุดเด่น

 • พลังงานต่ำ เหมาะกับการลดน้ำหนัก

 • เบต้าแคโรทีนสูง → สารต้านอนุมูลอิสระและเปลี่ยนเป็นวิตามิน A ได้

 • โพแทสเซียมช่วยควบคุมความดันโลหิต

 • ใยอาหารช่วยระบบย่อยอาหาร


สรุป ฟักทองเป็นอาหารที่ไขมันต่ำ พลังงานต่ำ แต่ให้วิตามิน A สูงมาก เหมาะทั้งกับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก และดูแลสุขภาพสายตา/หัวใจ


**********


นักลงทุนไม่น้อย ลงทุนแบบตอบไม่ได้ ว่าหากเจอเหตุการณ์ black swan จะทำอย่างไร ไม่มีแผนป้องกันอะไรเลย แค่ปล่อยตามยถากรรม รับความเสี่ยงเต็มที่ ถือแบบไม่สนใจอะไรเลย


สาเหตุเพราะ 

- ยังไม่เคยผ่าน black swan ของจริง 

- ขาดความรู้ ความเข้าใจที่มากพอ

- ขี้เกียจ อ้างแค่  “ไม่มีเวลาศึกษา” 

- คิดว่าตลาดหุ้นหมู แค่ “ลอกการบ้าน” ก็รวยได้

- ประสบการณ์น้อย ทำให้มั่นใจเกินเหตุ

- ได้กำไรแล้ว ทำให้ ego พองตัวสูง จนมองข้าม black swan คิดว่าตนเองเอาชนะได้แม้ไม่ต้องใส่ใจ


การลงทุนให้รอดในทุกสถานการณ์สำคัญมาก


***********


ยุคปัจจุบันดูเหมือนจะมีคนที่มี LDL สูง ค่อนข้างมาก การควบคุม LDL ที่ได้ผลที่สุด คือการควบคุมอาหาร การคาร์ดิโอช่วยได้บ้างแต่น้อย


อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาดสำหรับผู้ที่มี ค่า LDL (ไขมันเลว) สูง คืออาหารที่มีไขมันอิ่มตัว (Saturated fat) และคอเลสเตอรอลสูง ซึ่งจะกระตุ้นให้ LDL เพิ่มและลดประสิทธิภาพของ HDL (ไขมันดี)


ด้านล่างคือ 10 อาหารยอดนิยมที่ “ต้องห้าม” หรือควรจำกัดอย่างเข้มงวดที่สุด 


1. หมูสามชั้น / เนื้อวัวติดมัน

 • เหตุผล: มีไขมันอิ่มตัวสูงมาก (~35–40 g ต่อ 100 g)

 • ผล: เพิ่ม LDL โดยตรง และกระตุ้นตับให้สร้างคอเลสเตอรอลเพิ่ม

 • ✅ ทางเลือก: เนื้อปลา ดอลลี่, จาระเม็ด, แซลมอน, ปลาซาบะในปริมาณพอดี



2. ไข่แดง

 • เหตุผล: คอเลสเตอรอลสูงมาก (~200–250 mg/ฟอง)

 • ผล: แม้ไขมันอิ่มตัวไม่สูง แต่คอเลสเตอรอลส่งผลต่อ LDL โดยเฉพาะในคนที่มี LDL สูงอยู่แล้ว

 • ✅ ทางเลือก: ใช้เฉพาะไข่ขาว



3. เนยสด, เนยเทียม (บางชนิด), มาการีนเก่าแบบแข็ง

 • เหตุผล: เนยสดมีไขมันอิ่มตัวสูง ส่วนมาการีนรุ่นเก่ามีไขมันทรานส์

 • ผล: เพิ่ม LDL และลด HDL

 • ✅ ทางเลือก: น้ำมันคาโนล่า หรือมะกอกแบบ light ใช้แต่น้อย



4. หนังไก่ / หนังเป็ด

 • เหตุผล: ไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลสูงมาก (~90 mg/100 g)

 • ✅ ทางเลือก: เนื้ออกไก่ล้วนไม่ติดหนัง



5. ของทอดในน้ำมันเก่า / ฟาสต์ฟู้ด

 • เหตุผล: น้ำมันที่ใช้ซ้ำเกิดไขมันทรานส์

 • ผล: เพิ่ม LDL และลด HDL อย่างมีนัยสำคัญ

 • ✅ ทางเลือก: ปรุงด้วยสเปรย์น้ำมันคาโนล่า, อบหรือนึ่งแทนทอด



6. ชีสแข็ง (เช่น เชดดาร์, พาร์เมซาน)

 • เหตุผล: ไขมันอิ่มตัวสูง (~18–22 g/100 g)

 • ✅ ทางเลือก: คอทเทจชีสไขมันต่ำ หรือโยเกิร์ตไขมัน 0%



7. เบเกอรี่, ขนมอบ, พาย, ครัวซองต์

 • เหตุผล: ใช้เนย, ไข่แดง และบางสูตรมีครีมเทียม → ไขมันอิ่มตัวสูง

 • ✅ ทางเลือก: ขนมปังโฮลวีตไม่ใส่ไขมัน



8. ไส้กรอก, แฮม, เบคอน, หมูกรอบ

 • เหตุผล: มีทั้งไขมันอิ่มตัว, โซเดียมสูง, และไนเตรต/ไนไตรต์

 • ✅ ทางเลือก: โปรตีนลีน เช่น ปลา เต้าหู้ หรือหมูสับไขมัน 10–15%



9. นมเต็มมันเนย / ครีม / วิปปิ้งครีม

 • เหตุผล: ไขมันอิ่มตัวสูง (~4–7 g/100 mL)

 • ✅ ทางเลือก: นมพร่องมันเนย หรือโยเกิร์ต 0%



10. อาหารกะทิ (แกงกะทิ, ขนมหวานกะทิ)

 • เหตุผล: กะทิมีไขมันอิ่มตัวสูง (~18–20 g/100 g)

 • ✅ ทางเลือก: ใช้นมถั่วเหลืองหรือนมไขมันต่ำแทน



สรุปกลุ่มสารอาหารที่ควรจำกัด


ประเภท จำกัดต่อวัน (สำหรับผู้มี LDL สูง)

ไขมันอิ่มตัว (Saturated fat) < 15 g/วัน

คอเลสเตอรอลรวม < 200 mg/วัน



✅ อาหารที่ช่วยลด LDL (ควรเพิ่ม)

 • ปลาไขมันดี (แซลมอน, ซาร์ดีน, ดอลลี่)

 • ถั่วเปลือกแข็ง (อัลมอนด์, วอลนัท – ปริมาณพอเหมาะ)

 • ข้าวกล้อง, ข้าวโอ๊ต, บักวีต

 • ผักสีเขียวเข้ม, อะโวคาโด, ผลไม้ที่มีกากใยสูง (เช่น แอปเปิล, มะละกอ, ส้มโอ)


*********


สิ่งที่มักได้ยินจากมือใหม่

- แค่ประเมินมูลค่าหุ้น ง่ายว่ะ

- แค่ทำ fv pv dcf เองหรอ ง่ายหว่ะ

- แค่ทนถือ สบายมาก ก็ถือแบบลืมๆมันไป ง่ายว่ะ 


ง่ายทุกอย่าง แต่ไม่เห็นมันรวยขึ้นเลย 

🤣🤣🤣


คนที่ประสบความสำเร็จ ทุกอย่างที่ว่ามา ไม่ง่ายเลย ไม่ทำลวกลวก กว่าจะได้ตัวเลขแต่ละบรรทัด ค้นข้อมูลกันเหนื่อยมาก อ่านกันเยอะมาก วิเคราะห์กันหนักมาก คิดกันหนักมาก เพื่อได้ตัวเลขแค่บรรทัดเดียว  ส่วนพวกที่บอกว่าง่าย ก็ง่ายจริงแหละแค่มโนตัวเลขขึ้นมา จบใน 5 นาที คนที่มักง่ายได้ผลงานแบบมักง่าย แถมยังดูถูกคนที่ประสบความสำเร็จอีกด้วยว่า วิธีเหล่านั้นเป็นวิธีที่ ง่ายง่าย !!!

คู่ควรแล้ว ที่จะได้ผลงานแบบง่ายง่าย 🤣

***********


ถ้าตลาดหุ้นปิดช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ แล้วมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น 


เหตุการณ์ที่ทำให้คุณกังวลใจ กังวลกับพอร์ตหุ้น เครียด จนนอนหลับไม่สนิท 


คุณควรรู้ไว้ว่า การจัดพอร์ต หรือหลักการลงทุนของคุณกำลังมีอะไรบางอย่างที่ผิดพลาดอยู่


คุณต้องหามันให้เจอไม่ว่ามันจะเป็นการ over trade , การไม่ได้วางแผนรับมือกับความเสี่ยงที่ไม่คาดคิด หรืออะไรก็แล้วแต่


คุณต้องหาจุดอ่อนของตัวเองให้เจอแล้วก็แก้ไขมันซะ


********^^^^


ดื่มน้ำเป็นยา

ทานปลาเป็นหลัก

ทานผักเกินครึ่ง

ไข่ไก่ฟองหนึ่ง

อย่าพึ่งกาแฟ

อย่าแก่ของเค็ม

อย่าเข้มของหวาน

อย่าทานของทอด

อย่ากอดแต่เหล้า

อย่าเฝ้าสูดควัน 

เมามันออกกำลังกาย

ยืดเส้นยืดสายเป็นนิจ

และสุดท้าย ปล่อยวางให้เป็น

…………………………………


เงินต้นคือชีวิตของนักลงทุน อย่าให้มันหาย ไม่มีเงินต้นก็เป็นนักลงทุนไม่ได้


กฎข้อแรก อย่าเสียเงินต้น กฎข้อสอง อย่าลืมกฎข้อแรก”

ฟังดูเหมือนง่าย แต่นี่คือหัวใจสำคัญที่สุดของการลงทุน


ลองคิดดูนะ ถ้ามีเงิน 100,000 บาท แล้วขาดทุนไป 50% จะเหลือเพียง 50,000 บาท แต่ถ้าอยากได้เงินคืนเป็น 100,000 บาท ต้องทำกำไร 100% จาก 50,000 บาท  ซึ่งยากกว่ามาก!


สิ่งที่ควรทำ

 เลือกลงทุนในสิ่งที่มีความเสี่ยงต่ำ มั่นคง

 อย่าเสี่ยงเงินทั้งหมดในที่เดียว

 ถามตัวเองก่อนลงทุนทุกครั้งว่า “ถ้าขาดทุน จะรับได้ไหม?”


………………………


นักลงทุนที่ไม่ศึกษาข้อมูลด้วยตัวเอง สังเกตง่าย


มักจะถามหาหุ้นตัวใหม่เสมอ เพราะว่าหุ้นตัวเก่าไม่กล้าซื้อเต็มที่ ที่ไม่กล้าซื้อเต็มที่เพราะไม่มั่นใจ ที่ไม่มั่นใจเพราะขาดซึ่งความรู้ ความเข้าใจต่อบริษัท


พอได้หุ้นตัวใหม่ก็จะถามหาแต่หุ้นตัวใหม่ไปเรื่อย เพราะว่าเมื่อได้หุ้นตัวใหม่มาก็ไม่กล้าซื้อเต็มที่เหมือนเดิม


ก็จะวนเวียนอยู่แค่การถามหาหุ้นไปเรื่อยเรื่อย


คนที่ศึกษาบริษัทมาดี ก็กล้าที่จะโฟกัส กล้าที่จะลงทุนอย่างมีน้ำหนัก 


การหาหุ้นตัวใหม่สำหรับลงทุนไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าเจอแล้วควรลงทุนให้มีน้ำหนักที่สมควร


…………………


เป็นนักลงทุน อย่ายึดติดกับต้นทุนของคนอื่น ในบริษัทที่มีการเติบโตมูลค่าของหุ้นย่อมขยับสูงขึ้นตามกาลเวลาที่ผ่านไป 


นักลงทุนหลายคนยึดติดกับต้นทุนที่คนอื่นซื้อได้ แต่ลืมไปเมื่อเวลาผ่านไป แม้ราคาจะขยับขึ้นมา แต่ส่วนต่างระหว่างราคากับมูลค่าอาจมากขึ้นกว่าตอนที่คนอื่นซื้อก็เป็นไปได้ 


เราลงทุนเพื่อหวังผลกำไร ไม่ใช่ลงทุนเพื่อจะเอาชนะคนอื่น มันตลกเกินไปหากต้องคอยกังวลกับต้นทุนของคนอื่น



………………………






วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2568

หลักคิด 51

บทที่ 11: เมื่อไหร่ควรขายและเก็บกำไรที่คุ้มค่า

**คำคมจากนักลงทุนชื่อดัง:**

**นาธาน รอธชิลด์** (นายธนาคารระหว่างประเทศที่ประสบความสำเร็จ):

“แน่นอนว่ามี ผมไม่เคยซื้อที่จุดต่ำสุด และผมขายเร็วเสมอ”

**โจ เคนเนดี้** (นักเก็งกำไรในวอลล์สตรีท และพ่อของประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี้):

“มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ยึดมั่นเพื่อรอดอลลาร์สูงสุด” วัตถุประสงค์คือ “ออกไปขณะที่หุ้นกำลังขึ้น ก่อนที่มันจะมีโอกาสแตกหักและลงมา”

**เจอรัลด์ เอ็ม. โลเอบ** (นักการเงินที่ประสบความสำเร็จสูง):

เน้นว่า “เมื่อราคาขึ้นสู่พื้นที่ปกติหรือแพงเกินไป จำนวนหุ้นที่ถือควรลดลงอย่างต่อเนื่องตามที่ราคาเพิ่มขึ้น”

**หลักการสำคัญ:**

สิ่งที่นักลงทุนระดับตำนานเหล่านี้เชื่อคือ: คุณต้องออกไปขณะที่การขึ้นยังดีอยู่ เคล็ดลับคือ “กระโดดออกจากลิฟต์ที่ชั้นหนึ่งระหว่างทางขึ้น และไม่ใช่นั่งมันกลับลงมาอีกครั้ง”

**คุณต้องพัฒนาแผนกำไร-ขาดทุน**

เพื่อจะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในตลาดหุ้น **คุณต้องมีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนและแผนกำไร-ขาดทุน** ผู้เขียนพัฒนากฎการซื้อและขายที่อธิบายในหนังสือเล่มนี้ในช่วงต้นทศวรรษ 1960

**กลยุทธ์การขาย:**

- ขายหุ้นของคุณขณะที่มันกำลังขึ้นและดูแข็งแกร่ง

- อย่ารอจุดสูงสุดสัมบูรณ์

- เป้าหมายคือกำไรที่สม่ำเสมอ ไม่ใช่กำไรสูงสุด

- จำคำพังเก่าที่ว่า “วัวทำเงิน หมีทำเงิน แต่หมูถูกฆ่า”


**ข้อคิดหลัก:**

“หากคุณไม่ขายเร็ว คุณจะสาย วัตถุประสงค์ของคุณคือทำกำไรที่สำคัญ ไม่ใช่ตื่นเต้น มองโลกในแง่ดี โลภ หรือหลงใหลทางอารมณ์เมื่อหุ้นของคุณขึ้นแรงขึ้น”


เนื้อหานี้เป็นภูมิปัญญาการลงทุนแบบคลาสสิก เน้นการเก็บกำไรอย่างมีระเบียบแทนการโลภและถือนานเกินไป​​​​​​​​​​​​​​​​


************


ตลาดเคลื่อนไหวก่อน จากนั้นจึงมีการหาเหตุผลมาอธิบายทีหลัง  การพยายามหาเหตุผลให้กับทุกการเคลื่อนไหวของตลาดมักจะผิดพลาด


บางครั้งการพลาดโอกาส ดีกว่าการเสี่ยงสวนเทรนด์


************


- เมื่ออยู่ในอารมณ์โกรธ ให้เงียบ

- เมื่อคุณยังไม่มีข้อมูลครบถ้วน ให้เงียบ

- เมื่อคุณยังไม่ได้ตรวจสอบความจริงของเรื่องราวให้เงียบ

- เมื่ออยากล้อเลียนผู้อื่น ให้เงียบ

- เมื่อจะละอายในคำพูดของตัวเองภายหลัง ให้เงียบ

- หากเรื่องนั้นไม่ใช่ธุระของคุณ ให้เงียบ

***********

"คุณจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณได้ จนกว่าคุณจะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่คุณทำทุกวัน เคล็ดลับความสำเร็จ อยู่ที่กิจวัตรประจำวันของคุณ" - จอห์น ซี. แม็กซ์เวลล์

************


คนเราสามารถสร้างกล้ามเนื้อได้ ตลอดชีวิต ไม่มีอายุที่หยุดเด็ดขาด เพียงแต่ความเร็วและปริมาณที่สร้างได้จะลดลงตามอายุ โดยเฉพาะหลัง 40–50 ปีขึ้นไป 


คนที่คิดว่าเดวอายุมากอีกหน่อยค่อยสร้างกล้ามเนื้อ 

1. ขนาดอายุน้อยยัง “ไม่อยาก” ยกของหนัก (เวทเทรนนิ่ง) เลย แล้วทำไมคิดว่าอายุมากจะอยาก


2. อายุน้อยกล้ามเนื้อขึ้นได้ไวกว่า ทำให้มีกำลังใจในการฝึกมากกว่า แต่พออายุมากกล้ามเนื้อเพิ่มได้ช้า เมื่อรวมกับความไม่อยากเทรน เป็นทุนเดิม ยิ่งไม่มีกำลังใจในการฝึก


เมื่อเป็นเช่นนี้ พออายุมากขึ้นหลายคนกลายเป็นโรคกระดูกพรุน


กล้ามเนื้อที่มากพอจะช่วยพยุงการเคลื่อนไหวลดภาระของเส้นเอ็นและข้อต่อ แต่พอกล้ามเนื้อน้อย เส้นเอ็นต่างๆบาดเจ็บได้ง่ายขึ้น ข้อต่างๆอักเสบได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้ข้อต่างๆสึกหรอง่ายขึ้น สุดท้ายทำให้หลายคน มีปัญหาเรื่องการเคลื่อนไหวในการใช้ชีวิตประจำวันยามอายุมากขึ้น 


บางคนข้อเข่าสึกจนต้องผ่าตัด เดินลำบาก บางคนกระดูกพรุน แตกหักง่าย ล้มทีเดียวสะโพกแตก สุดท้ายของอาการเหล่านี้ คือการนอนติดเตียง คุณภาพชีวิตยามอายุมากตกต่ำ ซึ่งเป็นผลมาจากกล้ามเนื้อน้อยและลดลงตามวัย


ดังนั้นการเวทเทรนนิ่งเพื่อสร้าง เพื่อรักษากล้ามเนื้อจึงสำคัญ ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตเมื่ออายุมากขึ้นอย่างชัดเจน


ประกอบกับคนที่ฝึกเวทเทรนนิ่งมักจะชอบให้รูปร่างดูดี จึงมักจะมีผลพลอยได้ด้านสุขภาพ คือ ไม่ค่อยมีภาวะ อ้วนมากซึ่งเป็นที่มาของสารพัดโรค


************


เมื่อไหร่ควรขายและเก็บกำไรอย่างคุ้มค่า


คำคมจากนักลงทุนชื่อดัง


นาธาน รอธชิลด์ (นายธนาคารระหว่างประเทศที่ประสบความสำเร็จ)

“แน่นอนว่ามี ผมไม่เคยซื้อที่จุดต่ำสุด และผมขายเร็วเสมอ”


โจ เคนเนดี้ (นักเก็งกำไรในวอลล์สตรีท และพ่อของประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี้)

“มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ยึดมั่นเพื่อรอกำไรสูงสุด” วัตถุประสงค์คือ “ออกไปขณะที่หุ้นกำลังขึ้น ก่อนที่มันจะมีโอกาสแตกหักและลงมา”


เจอรัลด์ เอ็ม. โลเอบ (นักการเงินที่ประสบความสำเร็จสูง) เน้นว่า “เมื่อราคาขึ้นสู่พื้นที่ปกติหรือแพงเกินไป จำนวนหุ้นที่ถือควรลดลงอย่างต่อเนื่องตามที่ราคาเพิ่มขึ้น”


************


บทความจาก Forbes ปี 1992 เกี่ยวกับปรัชญาการลงทุนของ Warren Buffett โดย Mark Hulbert


“จงเป็นเสือ อย่าเป็นไก่” - ความลับการลงทุนของ Warren Buffett


ปรัชญาเสือ vs ไก่

Buffett เปิดเผยว่า นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จต้องเป็นเหมือน “เสือ” ที่อดทนรอจังหวะ มีสมาธิ และพร้อมที่จะตะครุบเมื่อเห็นโอกาสที่เหมาะสม ไม่ใช่เป็นเหมือน “ไก่” ที่คอยจิกจากที่นั่นที่นี่อยู่ตลอดเวลา


จุดสำคัญ


1. พฤติกรรมนักลงทุน

- นักลงทุนส่วนใหญ่ทำตัวเหมือนไก่ ขยับไปขยับมาและซื้อขายบ่อยๆ

- นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จทำตัวเหมือนเสือ - รอด้วยความอดทนและลงมือเมื่อถึงจังหวะ

- ความสำเร็จในการลงทุนมาจากการตัดสินใจสำคัญๆ ไม่กี่ครั้ง ไม่ใช่จากการเคลื่อนไหวบ่อยๆ


2. ตัวอย่างประวัติศาสตร์

- Benjamin Graham ลงทุนใน Geico ถึง 25% ของพอร์ต และได้ผลตอบแทนมหาศาล

- Martin Zweig มีผลงานยอดเยี่ยม แต่นักลงทุนที่อดทนและมีสมาธิยังเอาชนะได้


3. บริบทตลาด (วิกฤต 1987)

- ตุลาคม 1987 ตลาดตก 23% แต่พอร์ตของ Buffett กำไร 20%

- นี่ไม่ใช่โชค แต่เป็นผลจากการเตรียมตัวและการมีวินัยในการรอจังหวะ


ใจความหลัก

นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงการซื้อขายบ่อยๆ แต่ควรมุ่งเน้นไปที่การหาโอกาสที่ยอดเยี่ยมในระยะยาว ความแตกต่างระหว่างโชคกับฝีมือมักขึ้นอยู่กับการเตรียมตัวและความอดทนที่มีวินัย - การพร้อมรับมือเมื่อจังหวะที่ถูกต้องมาถึง


การนำไปปฏิบัติ

แทนที่จะพยายามจะจับจังหวะตลาดทุกครั้ง นักลงทุนควรเน้นการศึกษาอย่างละเอียดและรอโอกาสที่น่าสนใจ ซึ่งตนเองมีความมั่นใจสูง


************


LDL ในเลือด ถูกผลิตจากตับ โดย ไขมันอิ่มตัว และคลอเรสเตอรอลมีผลต่อระดับ LDL 


ดังนั้นปริมาณไขมันอิ่มตัวที่ทานจึงควรทานในปริมาณต่ำหากต้องการควบคุม LDL


และคลอเรสเตอรอลจากอาหาร มีผลในคนบางกลุ่มที่มีพันธุกรรมที่มีความไวต่อคอลเรสเตอรอล


ดังนั้นในคนที่ต้องการควบคุม LDL ควรทาน ไขมันอิ่มตัวไม่เกิน 5-10% ของพลังงานรวม หรือคิดเป็นประมาณ 16 กรัมต่อวัน


และคลอเรสเตอรอลจากอาหาร คนที่มีปัญหาเรื่อง LDL สูง ควรทานไม่เกิน 200 มก ต่อวัน


ไขมันอิ่มตัว < 16 กรัมต่อวัน

คลอเรสเตอรอล < 200 มกต่อวัน


มาดูอาหารกันบ้าง ว่าอะไรเหมาะสม ไม่เหมาะสม หากมองในมุมของการควบคุม LDL


ไขมันอิ่มตัว (ต่อ 100 กรัม, มาก → น้อย)

 1. ไข่ไก่ต้ม (~3 g)

 2. เนื้อวัวสุก (~2.5 g)

 3. เนื้อหมูสันนอกสุก (~1.5 g)

 4. สะโพกไก่ไม่ติดหนังนึ่ง (~1 g)

 5. ปลากระพงนึ่ง (~0.8 g)

 6. อกไก่ไม่ติดหนังนึ่ง (~0.3–0.4 g)

 7. ไข่ขาวต้ม (~0 g)


ปล. ไขมันอิ่มตัวควรทาน < 16 กรัมต่อวัน


🥚 คอเลสเตอรอล (ต่อ 100 กรัม, มาก → น้อย)

 1. ไข่ไก่ต้ม (~370 mg)🛑

 2. เนื้อวัวสุก (~90 mg)

 3. เนื้อหมูสันนอกสุก (~75 mg)

 4. สะโพกไก่ไม่ติดหนังนึ่ง (~80 mg)

 5. อกไก่ไม่ติดหนังนึ่ง (~70 mg)

 6. ปลากระพงนึ่ง (~45 mg)

 7. ไข่ขาวต้ม (~0 mg)


คลอเรสเตอรอลควรทาน < 200 มกต่อวัน


สรุปสั้น ๆ  ไข่ทั้งฟองครองแชมป์ทั้งสองฝั่ง ส่วน ไข่ขาวปลอดภัยสุด (ศูนย์แทบทั้งคู่) ส่วนเนื้อสัตว์อื่น ๆ อยู่ในโซนกลาง ๆ แตกต่างไม่มากนักเมื่อเทียบกับไข่


สมมติคนที่เล่นเวท ต้องการโปรตีน 1.6 กรัมต่อ นน ตัว 1 กก


ในคนที่ นน ตัว สมมติ 70 กก ต้องการโปรตีน 112 กรัมต่อวัน


หากทานอกไก่เพื่อให้ได้โปรตีน 112 กรัมต่อวัน ต้องทานอกไก่ไม่ติดหนังต้มประมาณ 450 กรัม ซึ่งจะมีไขมันอิ่มตัวประมาณ 1.4–1.8 กรัม และคลอเลสเตอรอลประมาณ 315 มก.🛑

โดยที่ยังไม่นับรวมอาหารอื่นๆที่จะต้องทานและมีไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลเพิ่มอีก


ดังนั้นในกลุ่มคนที่ไวต่อคอเลสเตอรอล (คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับไขมัน LDL) จึงไม่สามารถทานอกไก่ในปริมาณ ที่โปรตีนเพียงพอต่อร่างกายได้ เพราะคลอเลสเตอรอลจะเกิน


นี่จึงเป็นที่มาว่า เห็นนักเพาะกายบางคนที่ทานอกไก่มากๆพอตรวจเลือดกับพบว่าในเลือดมีไขมันสูง มี LDL สูง 


แต่การทานอกไก่ สามารถทานได้หากทานในปริมาณที่น้อยลง แล้วเสริมโปรตีนจากอาหารแหล่งอื่น เช่น ทานอกไก่ 50 ถึง 80 กรัม แล้วทานไข่ขาวเพิ่ม เพื่อเพิ่มโปรตีนให้ถึงปริมาณที่ต้องการ


คนไม่น้อย ที่ไม่สามารถบังคับตัวเองได้  ก็จะทานทุกอย่างตามปกติ แล้วไปทานยา statin เพื่อช่วยลด LDL  มันก็แปลว่าต้องทานยาไปตลอดชีวิต 


************


ทำไมคนที่วิ่งมากๆ เช่น วิ่งวันละ 10 km ทุกวัน ผอม แต่กลับ LDL พุ่งสูง ???


“อย่างแรกเลย คนที่ออกกำลังกายมาก คาร์ดิโอมาก วิ่งมาก มักจะมีรูปร่างผอม และมีความเชื่อว่าตัวเองออกกำลังกายมาก เลยมักจะทานอาหารตามใจปากแบบไม่กังวล เช่น ทานหมูปิ้งติดมัน ทานคอหมูย่าง ทานหมูทอด ทานของทอดอย่างสบายใจ และมักจะคิดว่า เดี๋ยวไปวิ่งก็เบิร์นหมดแล้ว วิ่งเยอะแล้วจะกินอะไรก็ได้”


หลายคนที่ออกกำลังกายหนักก็เลยเจอปัญหา “LDL สูง” ทั้งที่รูปร่างผอมและเผาผลาญพลังงานเยอะ


สรุปเป็นประเด็นให้ชัด ๆ 



1. การเบิร์นแคลอรี่ ≠ การเผาผลาญไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอล


 • การวิ่งหรือการคุมแคลอรี่ “เผาผลาญพลังงาน” (กลูโคส ไขมันอิสระ ไตรกลีเซอไรด์)


 • 🛑 แต่ คอเลสเตอรอลและ LDL ไม่ได้ถูกเผาผลาญออกเหมือนพลังงาน ร่างกายยังคงต้องจัดการผ่านตับและกระบวนการขับถ่ายน้ำดี


 • 🛑 ถ้าทานไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลมาก → ตับจะสร้าง LDL มากขึ้นเพื่อลำเลียงไขมันในเลือด แม้พลังงานรวมจะขาดดุล



2. การออกกำลังกายช่วย HDL มากกว่า LDL

 • งานวิจัยพบว่า แอโรบิค เช่น วิ่ง ช่วยเพิ่ม HDL (ไขมันดี) และลดไตรกลีเซอไรด์


 • 🛑 แต่ผลต่อ LDL มักไม่ชัดเจน หรือบางครั้งแทบไม่ลดเลย


 • 🛑 ถ้านิสัยการกินยังเต็มไปด้วย SFA (saturated fat) และคอเลสเตอรอลสูง → LDL ก็ยังพุ่งได้



3. พันธุกรรมและ “Hyper-responders”

 • บางคนเป็น hyper-responder ต่อคอเลสเตอรอลในอาหาร → ทานอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง LDL จะพุ่งแรงกว่าคนทั่วไป


 • แม้จะผอม ออกกำลังกายหนัก หรือแคลอรี่ติดลบก็ตาม


 • 🛑 คนกลุ่มนี้พบได้ 20–30% ของประชากร (ไม่น้อยเลยนะประมาณห้าคนจะเจอหนึ่งคน)



4. ความเครียดจากการวิ่งหนักและการอักเสบ

 • การวิ่งระยะไกลทุกวัน 10 km เป็นภาระทางกายภาพ → อาจทำให้ร่างกายเกิด oxidative stress และการอักเสบ 🛑


 • หากไม่พักฟื้นและไม่ทานอาหารที่สมดุล (เช่น ผัก ผลไม้ ไฟเบอร์สูง) LDL จะถูกออกซิไดซ์ง่ายขึ้น และเสี่ยงสะสมในหลอดเลือด🛑



5. บทบาทของไฟเบอร์และพืชผัก

 • แม้เบิร์นพลังงานเยอะ แต่หากขาด ใยอาหารละลายน้ำ (soluble fiber) เช่น ข้าวโอ๊ต ถั่ว แอปเปิล → ตับจะรีไซเคิลคอเลสเตอรอลกลับมาใช้มากขึ้น → LDL ไม่ลด 🛑


 • ดังนั้นการกิน “แบบไม่ระวัง” โดยไม่ใส่ผัก ผลไม้ ธัญพืช อาจยิ่งทำให้ LDL สูง แม้จะวิ่งทุกวัน🛑



✅ สรุป

การ “เบิร์นพลังงาน” ไม่ได้เท่ากับ “ลด LDL” เพราะ LDL ถูกกำหนดหลัก ๆ โดย ชนิดไขมันที่กิน + พันธุกรรม + สมดุลของตับและการขับถ่ายน้ำดี ไม่ใช่แค่พลังงานเข้าออก การวิ่งช่วยสุขภาพหัวใจและเพิ่ม HDL แต่ไม่ชดเชยผลเสียของการทานไขมันอิ่มตัวสูงได้


 ได้พูดถึงการออกกำลังกายอย่างมากเช่นวิ่งวันละ 10 กิโล แต่ LDL กลับพุ่งสูงขึ้น ด้วยสาเหตุมาจากการทานไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอล (อ่านซ้ำได้ลิ้งในคอมเม้นท์) 


จากนี้ก็คงจะมีความสงสัยว่าอาหารประเภทไหนมีคอเลสเตอรอลสูง อาหารประเภทไหนมีไขมันอิ่มตัวสูง เพื่อที่จะได้ ทานลดลง หรือเลี่ยงได้ก็ได้เลี่ยง 


จัดให้ครับ ผมทำ 2 ตาราง แยกกัน

 1. Top 10 แหล่งไขมันอิ่มตัว (SFA) ที่คนไทย/คนทั่วไปกินบ่อย

 2. Top 10 แหล่งคอเลสเตอรอล ที่กินบ่อย


โดยอ้างอิงจากค่าเฉลี่ย ต่อ 100 กรัม หรือ 1 หน่วยบริโภคทั่วไป (USDA + TFD)



คนที่มี LDL สูง โดยเฉลี่ยไม่ควรทานไขมันอิ่มตัวเกิน 5-10% ของพลังงานรวมที่ทาน คำนวนแบบเฉลี่ย  ไขมันอิ่มตัว < 16 กรัมต่อวัน


และคลอเลสเตอรอล 

prefer < 200 โดย max < 300


—————


 Top 10 อาหาร/ส่วนประกอบที่มีไขมันอิ่มตัวสูง (SFA) 


น้ำมันมะพร้าว ไขมันอิ่มตัว 82 g จากปริมาณ 100 g  คือสูงสุด  เกือบทั้งหมดเป็น SFA


น้ำมันปาล์ม ~50 g/100 g ใช้ทอดอาหารบ่อยในไทย


เนย ~50 g/100 g  มีทั้ง SFA และมีคลอเลสเตอรอลสูง


กะทิข้น (กระป๋อง) ~21 g/100 g พบมากในแกงไทย


เนื้อหมูสามชั้นสุก ~15 g/100 g กินบ่อยในขาหมู/หมูกระทะ


เบคอนทอด ~14 g/100 g อาหารเช้า/ท็อปปิ้ง


ชีสเชดดาร์ ~19 g/100 g ใส่แซนด์วิช/พิซซ่า


ไอศกรีม (นมเต็มมันเนย) ~10 g/100 g


 ขนมยอดนิยม

เค้ก/คุกกี้เนย ~8–12 g/100 g  ใช้เนย/มาการีนเยอะ


ไส้กรอกหมู/ไก่ ~8–10 g/100 g   มีทั้งไขมันอิ่มตัวและโซเดียมสูง



Top 10 อาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง


ไข่แดง (1 ฟอง ~18 g) มีคลอเลสเตอรอลประมาณ 185–200 mg 


ตับหมู/วัว มีคอเลสเตอรอลประมาณ 350–400 mg ต่อ 100 g กินบ่อยในต้มเลือดหมู


กุ้ง (สด) ~180–200 mg/100 g พบในอาหารไทยบ่อย


ปลาหมึก ~230 mg/100 g ย่าง/ผัดบ่อย


หอยนางรม ~150 mg/100 g หอยทอด/ยำหอย


เนย ~220 mg/100 g (30 mg/ช้อนโต๊ะ) ใช้ในเบเกอรี


เนื้อสัตว์ติดมัน (หมู, วัว) ~70–100 mg/100 g กินประจำในอาหารไทย


ไส้กรอก/เบคอน ~70–80 mg/100 g อาหารเช้า/แซนด์วิช


ปู ~120 mg/100 g นึ่ง/ผัด

ชีส ~90–100 mg/100 g พิซซ่า/เบเกอรี



✅ ภาพรวม

 • แหล่งไขมันอิ่มตัว หลักๆในไทย → น้ำมันปาล์ม, กะทิ, เนื้อหมูติดมัน, ขนม/เบเกอรี


 • แหล่งคอเลสเตอรอลหลักๆ → ไข่แดง, เครื่องใน, อาหารทะเล (กุ้ง, ปลาหมึก), เนื้อสัตว์แปรรูป


ไม่ได้บอกว่าต้องงดทั้งหมด แต่ บางอย่างเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยงบางอย่างเลี่ยงไม่ได้ก็ทานลดลง และทานอย่างอื่นทดแทน 


************


พอร์ตหุ้นต่างประเทศของเรา จัดสรรสัดส่วนโดยมี  

- Stock/ETF ประมาณ 65% 

- Gold ETF ประมาณ 15%

- Cash & Bond ETF 20%


เหตุผล

- Stock/ETF เราเลือกลงทุนในตัวที่เป็น Leader วิ่งแรงกว่าดัชนี

- Gold ETF เผื่อกรณีเกิด Black Swan

- Cash/ Bond ETF พร้อมโยกเข้าซื้อหุ้นหรือทองเสมอหามีจังหวะ ระหว่างรอจังหวะก็รับปันผลจากดอกเบี้ยปีละประมาณ 4.xx % 


ผลลัพธ์ ถึงแม้ว่ากองทุนพันธบัตรจะได้ผลตอบแทนต่ำ แต่พอรวมกับทองและหุ้น เป็นพอร์ตรวมแล้ว ผลตอบแทนรวมก็มากกว่าผลตอบแทนของดัชนี 


ที่เราคาดการณ์ คือ

หากเกิด Black Swan จริง

สมมติ หุ้นตลาดลดลง 40-45% หุ้นในพอร์ตจะลดจาก 65% เหลือ 35-40%


ในขณะเดียวกันเวลาเกิดเหตุการณ์รุนแรงราคาทองจะพุ่งขึ้น  สมมติขึ้นจากสัดส่วน 15% กลายเป็น 22%


กองทุนพันธบัตรมักจะราคาขึ้นในข่วง Black Swan เพราะเงินจะย้ายออกจากทรัพย์สินเสี่ยงไปสู่ทรัพย์สินที่ สมมติ จากสัดส่วน 20% ขึ้นเป็น 24%


เท่ากับว่าในช่วงที่เป็น Black Swan เช่น สงครามโลก พอร์ตรวมจะเสียหายประมาณ 15%-18% เท่านั้น ซึ่งเป็นตัวเลขที่เราโอเค 


นี่พูดถึงกรณีที่เราไม่ป้องกันความเสี่ยง หรือป้องกันความเสี่ยงไม่ทัน แต่โดยปกติแล้ว เราจะมีการ Hedge เสมอ


แต่หากไม่เกิดเหตุร้าย พอร์ตรวมก็จะเติบโตมากกว่าดัชนีไปเรื่อยๆ


อันนี้คือแนวทางจัดพอร์ตของเรา  


************


โดปามีน (Dopamine) คือสารสื่อประสาทชนิดหนึ่งในสมอง ซึ่งทำหน้าที่สำคัญหลายอย่าง


หน้าที่หลัก

ระบบรางวัลและแรงจูงใจ - โดปามีนถูกหลั่งออกมาเมื่อเราทำสิ่งที่ให้ความพอใจหรือบรรลุเป้าหมาย ทำให้รู้สึกดีและอยากทำสิ่งนั้นอีก


การเคลื่อนไหว - ช่วยควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย (คนที่ขาดโดปามีนอาจเป็นโรคพาร์กินสัน) ❇️


การเรียนรู้และความจำ - ช่วยให้จดจำประสบการณ์ที่ดีและเรียนรู้พฤติกรรมใหม่ๆ ❇️


อารมณ์และสมาธิ - มีผลต่อความรู้สึกมีความสุข พลังงาน และความสามารถในการมีสมาธิ ❇️


เมื่อระดับโดปามีนสมดุล เราจะรู้สึกมีแรงจูงใจ มีพลัง มีสมาธิ และมีความสุข 


แต่ถ้าระดับโดปามีนต่ำเกินไป อาจทำให้เกิดอาการซึมเศร้า เบื่อหน่าย ขาดแรงจูงใจ หรือเคลื่อนไหวลำบาก 🟠


ในทางกลับกัน ถ้ามีโดปามีนสูงเกินไปหรือระบบโดปามีนทำงานผิดปกติ อาจเกิดอาการหลงผิด ประสาทหลอน หรือพฤติกรรมเสพติด 🔴


วิธีเพิ่มโดปามีน

โดปามีน คือสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกมีแรงจูงใจ ความพอใจ และการให้รางวัลตัวเอง นี่คือวิธีธรรมชาติในการเพิ่มระดับโดปามีน


1. วิ่ง - การออกกำลังกายแบบแอโรบิกช่วยกระตุ้นการหลั่งโดปามีนและเอนดอร์ฟิน


2. เต้นรำ - การเคลื่อนไหวร่างกายตามจังหวะดนตรีช่วยสร้างความสุขและกระตุ้นสมอง


3. แสงแดด - แสงธรรมชาติช่วยเพิ่มการผลิตโดปามีนและเซโรโทนิน


4. ทำสมาธิ - การฝึกสติช่วยปรับสมดุลระบบสารเคมีในสมอง


5. ทำงานอย่างตั้งใจ - การจดจ่อกับงานอย่างเต็มที่ (Deep work) ช่วยเพิ่มความรู้สึกสำเร็จ


6. ยกน้ำหนัก - การออกกำลังกายด้วยแรงต้านช่วยเพิ่มโดปามีนและฮอร์โมนการเจริญเติบโต


7. อาบน้ำเย็น - ช่วยกระตุ้นระบบประสาทและเพิ่มระดับโดปามีน


8. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ - การนอนหลับที่มีคุณภาพช่วยฟื้นฟูการทำงานของสมอง


9. รู้จักดื่มด่ำกับช่วงเวลาปัจจุบัน - การมีสติอยู่กับปัจจุบันช่วยให้รู้สึกมีความสุข


10. ตั้งเป้าหมายและทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมาย - ความก้าวหน้าช่วยกระตุ้นระบบรางวัลในสมอง


11. ยอมรับความเบื่อ - การปล่อยให้จิตใจพักผ่อนช่วยเพิ่มความคิดสร้างสรรค์


12. ลองสิ่งใหม่ๆ - ประสบการณ์ใหม่กระตุ้นการเรียนรู้และการหลั่งโดปามีน


13. ลดการใช้โทรศัพท์ - การหลีกเลี่ยงการกระตุ้นโดปามีนแบบผิวเผินช่วยฟื้นฟูความไวต่อการตอบสนอง


14. ทำงานอย่างชอบและภูมิใจในตัวเอง - ความรู้สึกมีคุณค่าและความภาคภูมิใจช่วยเสริมสร้างความมีแรงจูงใจ


การทำอย่างสม่ำเสมอจะช่วยสร้างสมดุลของโดปามีนในสมองอย่างยั่งยืน และมีประโยชน์ต่อสุขภาพจิตในระยะยาว


************


แก่นแท้ของชีวิต คือคุณภาพชีวิตที่ตัวเราเองสัมผัส การกำหนดคุณค่าชีวิต กำหนดจากตัวเอง ด้วยตัวเอง