เงินต้นคือชีวิตของนักลงทุน อย่าให้มันหาย ไม่มีเงินต้นก็เป็นนักลงทุนไม่ได้
กฎข้อแรก อย่าเสียเงินต้น กฎข้อสอง อย่าลืมกฎข้อแรก”
ฟังดูเหมือนง่าย แต่นี่คือหัวใจสำคัญที่สุดของการลงทุน
ลองคิดดูนะ ถ้ามีเงิน 100,000 บาท แล้วขาดทุนไป 50% จะเหลือเพียง 50,000 บาท แต่ถ้าอยากได้เงินคืนเป็น 100,000 บาท ต้องทำกำไร 100% จาก 50,000 บาท ซึ่งยากกว่ามาก!
สิ่งที่ควรทำ
เลือกลงทุนในสิ่งที่มีความเสี่ยงต่ำ มั่นคง
อย่าเสี่ยงเงินทั้งหมดในที่เดียว
ถามตัวเองก่อนลงทุนทุกครั้งว่า “ถ้าขาดทุน จะรับได้ไหม?”
**********
“Don’t marry your trades. Marry your discipline.”
อย่ายึดติดกับสินทรัพย์ที่เทรด แต่ให้ยึดติดกับการมีวินัย 
*********
ขึ้นก็ถือต่อ ลงถึงจุดนึงก็ขาย
ทำตามหลักการอย่างมีวินัย
ก็เท่านั้นเอง 
ไม่ใช่นอสตร้าดามุส
ไม่ใช่แม่หมอ
ไม่สามารถรู้อนาคตได้
จึงทำได้แค่เกาะเทรนด์
😊😊😊
*********
ความมั่งคั่งเกิดจากวินัย ไม่ใช่โชค
เรื่องนี่ไม่ได้ซับซ้อน แต่ต้องใช้วินัย ความอดทน และความมุ่งมั่น ในการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
ความมั่งคั่งที่แท้จริงไม่ได้สร้างข้ามคืน แต่สร้างทีละนิดทุกวัน ด้วยการตัดสินใจที่ดี ด้วยความรู้ที่สะสม และด้วยเวลาที่ให้มันเติบโตไปเรื่อยๆ
เริ่มต้นวันนี้ เพราะวันที่ดีที่สุดในการปลูกต้นไม้คือ 20 ปีที่แล้ว แต่วันที่ดีที่สุดอันดับสองคือวันนี้
***********
ปู่บัฟเฟตต์อ่านหนังสือวันละ 500 หน้า ปู่บอกว่า “ความรู้สะสมได้เหมือนดอกเบี้ยทบต้น”
ยิ่งคุณรู้มาก คุณก็ตัดสินใจได้ดีขึ้น ยิ่งตัดสินใจดี ผลลัพธ์ก็ดีตาม และที่สำคัญ ไม่มีใครแย่งความรู้จากคุณไปได้
- อ่านหนังสือเกี่ยวกับการเงิน การลงทุน เศรษฐศาสตร์
- ติดตามข่าวสารและเทรนด์ใหม่ๆ
- เรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเองและคนอื่น
******
ถ้าไม่หาทางให้เงินทำงานแทนคุณ คุณจะต้องทำงานไปตลอดชีวิต
รายได้แบบพาสซีฟ หมายถึง เงินที่ไหลเข้าเป็นประจำต่อเนื่อง เช่น
- ผลกำไรจากกิจการส่วนตัวที่อยู่ตัวแล้ว
- เงินปันผลจากหุ้น
- ค่าเช่าจากอสังหาริมทรัพย์
- ดอกเบี้ยจากเงินออม
เริ่มสร้างกระแสเงินสดที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ
เพิ่มช่องทางรายได้มากกว่า 1 ช่องทาง
*********
สำหรับการลงทุน ซื้อเมื่อคนอื่นกลัว ขายเมื่อคนอื่นโลภ
ตอนที่ตลาดหุ้นตก ทุกคนตื่นตระหนก ขายหุ้นทิ้งหมด แต่ปู่บัฟเฟตต์กลับซื้อเพิ่ม
ทำไม? เพราะในช่วงวิกฤต หุ้นดีๆ ถูกขายในราคาถูกลง เหมือนไปซื้อของแบรนด์เนมลดราคา 50% นั่นเอง (เรื่องนี้สาวๆจะเข้าใจดี😆)
อย่าตื่นตระหนกเมื่อตลาดตก
ใช้โอกาสนี้เก็บหุ้นดีๆ ในราคาที่ถูกลง
มองระยะยาว ไม่ใช่ระยะสั้น
*********
“ดอกเบี้ยทบต้น” หรือพลังแห่งการเติบโตแบบทวีคูณ
สมมติคุณลงทุน 10,000 บาท ได้ผลตอบแทน 10% ต่อปี
ปีที่หนึ่ง 11,000 บาท
ปีที่สิบ 25,937 บาท
ปีที่สามสิบ 174,494 บาท
จากเงินต้นแค่ หมื่นเดียว
เห็นไหมว่าเวลาคือเพื่อนที่ดีที่สุดของนักลงทุน
เริ่มลงทุนตั้งแต่วันนี้ ไม่ต้องรอให้มีเงินเยอะ
อย่าถอนเงินกลางทาง ปล่อยให้มันทำงานต่อเนื่อง
มีวินัยและความอดทน
*********
ลงทุนในสิ่งที่เข้าใจจริงๆ เท่านั้น
ปู่บัฟเฟตต์เคยปฏิเสธการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง ไม่ใช่เพราะมองว่าไม่ดี แต่เพราะเขาไม่เข้าใจธุรกิจพวกนั้นจริงๆ
การลงทุนไม่ใช่การเดาหรือทายผล ถ้าคุณไม่สามารถอธิบายได้ว่าบริษัทนี้ทำเงินได้ยังไง ขายอะไร หรือมีจุดแข็งอะไร แสดงว่าคุณกำลังเสี่ยงโดยไม่จำเป็น
เริ่มจากธุรกิจที่คุณคุ้นเคย เช่น ร้านอาหาร ค้าปลีก สินค้าอุปโภคบริโภค
ศึกษาให้เข้าใจก่อนลงทุนทุกครั้ง
อย่าไหลตามกระแสหรือคำแนะนำของคนอื่นโดยไม่คิด
********
เงินต้นคือชีวิตของนักลงทุน อย่าให้มันหาย ไม่มีเงินต้นก็เป็นนักลงทุนไม่ได้
กฎข้อแรก อย่าเสียเงินต้น กฎข้อสอง อย่าลืมกฎข้อแรก”
ฟังดูเหมือนง่าย แต่นี่คือหัวใจสำคัญที่สุดของการลงทุน
ลองคิดดูนะ ถ้ามีเงิน 100,000 บาท แล้วขาดทุนไป 50% จะเหลือเพียง 50,000 บาท แต่ถ้าอยากได้เงินคืนเป็น 100,000 บาท ต้องทำกำไร 100% จาก 50,000 บาท ซึ่งยากกว่ามาก!
สิ่งที่ควรทำ
เลือกลงทุนในสิ่งที่มีความเสี่ยงต่ำ มั่นคง
อย่าเสี่ยงเงินทั้งหมดในที่เดียว
ถามตัวเองก่อนลงทุนทุกครั้งว่า “ถ้าขาดทุน จะรับได้ไหม?”
*********
อย่าพยายามซื้อที่ “จุดต่ำสุด” หรือขายที่ “จุดสูงสุด”
ไม่มีใครจับจังหวะตลาดได้เพอร์เฟค คนที่อ้างว่าทำได้ มักไม่พูดความจริง
ควรพอใจเมื่อได้ผลตอบแทนที่ดีในระดับเหมาะสม มากกว่าการไล่ล่าความสมบูรณ์แบบ
********
เงินจำนวนมากมาจากการนั่งรอผ่านการเคลื่อนไหวระยะยาว ไม่ใช่การเทรดตลอดเวลา เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ถูกเขย่าออกเร็วเกินไป
*******
ความสำเร็จไม่ได้มาจากพรสวรรค์ แต่มาจากความพยายามที่คนอื่นมองไม่เห็น
********
ทุกครั้งที่เราตอบ “ตกลง” กับบางสิ่ง เรากำลังบอก “ไม่” กับสิ่งอื่นโดยอัตโนมัติตัวอย่างถ้าคุณใช้เวลา 2 ชั่วโมงดูซีรีส์คืนนี้ นั่นหมายความว่าคุณเสียโอกาสที่จะใช้เวลานั้นไปออกกำลังกาย หรืออ่านหนังสือเพิ่มความรู้
******************
คนที่เป็นเทรดเดอร์จะรู้ดี ว่าเวลากำลังเทรดต้องใช้สมาธิขนาดไหน ในการตัดสินใจ ในการโฟกัส ถ้ายังไม่ถึงเวลาเทรดจะสบายๆ ชิวๆ แต่พอถึงช่วงเวลาที่จะต้องเทรด ต้องใช้พลังในการโฟกัสสูง แทบจะลืมรอบข้างไปหมด
การที่ใครจะมาบอกว่า ขายเมื่อไรบอกด้วย ซื้อเมื่อไรบอกด้วย คือ งี่เง่าสิ้นดี แต่อย่างว่าคนไม่เคยเทรดจริงจังเค้าไม่รู้หรอกว่ามันโฟกัสขนาดไหน
*************
มือใหม่ส่วนมากใจร้อน ขี้เกียจเรียนรู้เพราะมันเสียเวลา อยากรีบเข้าตลาดเพื่อคว้าเงินไวๆ หารู้ไม่ ว่าส่วนมากมาไวๆเพื่อเสียไวๆมากกว่า
**********
รู้ว่าเรารู้อะไร และยอมรับอย่างไม่อายว่าเรา “ยังไม่รู้” อะไร
ตัวอย่าง
คุณอาจเก่งเรื่องหุ้นเทคโนโลยี แต่ไม่เข้าใจหุ้นสุขภาพ ก็อย่ารีบลงทุนในสิ่งที่ไม่รู้จักดีพอ
*****************
เวลาส่วนใหญ่ของตลาดหุ้นไม่ได้ถูกควบคุมด้วยเหตุผล แต่ถูกควบคุมด้วยพฤติกรรม
ทุกครั้งที่ราคาพุ่ง ทุกครั้งที่ทะลุแนวต้าน
มันไม่ได้สะท้อนถึงมูลค่าตัวบริษัท
แต่มันสะท้อนความต้องการซื้อ
มีบ้างที่ตลาดถูกควบคุมด้วยเหตุผล แต่มักจะเป็นระยะเวลาสั้นๆ
*************
คนส่วนใหญ่คิดแค่ผลระยะสั้น แต่คนที่ชนะจะถามว่า “แล้วหลังจากนั้นล่ะ?”
ตัวอย่าง
เริ่มออกกำลังกาย ตอนแรกเหนื่อย (ผลลบระยะสั้น) แต่ระยะยาวสุขภาพดี (ผลบวกระยะยาว)
*************
สิ่งที่ขับเคลื่อนราคาจริงๆ
ไม่ใช่มูลค่าที่ทำให้หุ้นขึ้น
แต่คือ “คน”
บริษัทอาจจะราคาถูก
ถูกประเมินค่าต่ำกว่าความเป็นจริง หรือดูเยี่ยมมากในกระดาษ
แต่ถ้าไม่มีใครเข้ามาซื้อจริงๆ
ราคามันก็ไม่ขยับ
******************
ข้อมูลดีแค่ไหนก็มีอคติ
นักลงทุนต้องมีกรอบความคิด และระบบของตัวเอง
***************
ข่าวส่วนใหญ่เกิดหลังราคาไปแล้ว มืออาชีพมักจะ “ซื้อก่อนข่าวดี” และ “ขายก่อนข่าวร้าย”
***************
อย่าตัดสินใจตอนมีความผันผวนสูง เพราะอารมณ์จะนำเหตุผล คิดวางแผนไว้ก่อนตอนตลาดสงบ
***********
การกระจายช่วยลดความเสี่ยง แต่ถ้ากระจายมากเกินไปจะกลายเป็นไม่มีจุดแข็ง ควรโฟกัสในสินทรัพย์ที่เข้าใจจริง
*************
แบ่งความเสี่ยงต่อไม้เทรด (เช่น ไม่เกิน 2% ของพอร์ตต่อครั้ง) เพื่อให้พอร์ตอยู่รอดได้แม้แพ้หลายครั้งติดกัน
*************
วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด คือ “คิดแบบย้อนกลับ”
ลองคิดว่า “ถ้าอยากล้มเหลว ต้องทำยังไง?” แล้วทำตรงข้ามกับสิ่งนั้น
The best way to solve a problem? Think backwards.
**********
การมีแผนไม่พอ ต้อง “มีวินัยทำตามแผน” ด้วย ความต่างของมือใหม่กับมืออาชีพอยู่ตรงนี้
**************
ทุกการเข้าออกต้องมีเหตุผล มีแผนรองรับ ไม่ใช่เพราะ “รู้สึกว่า” มันจะขึ้นหรือลง
********
Stop loss คือเครื่องมือสำคัญที่สุดของเทรดเดอร์ที่อยู่รอด ไม่ว่าจะเทรดเก่งแค่ไหน ถ้าไม่มี stop สุดท้ายพอร์ตจะพัง
*********
คิดอย่างนักยุทธศาสตร์ มองโลกทั้งใบเป็นระบบ เชื่อมโยงเศรษฐกิจ การเมือง และพฤติกรรมมนุษย์เข้าด้วยกัน
เพราะการลงทุนที่แท้จริง ไม่ใช่แค่รู้ว่าหุ้นตัวไหนจะขึ้น แต่คือการเข้าใจว่า “โลกทั้งใบกำลังเคลื่อนไปทางไหน”
***************
ถอยออกจากหน้าจอชั่วคราว อย่าฝืนเทรดต่อในอารมณ์พังๆ
ในช่วงที่ขาดทุนหนัก สมองมักเข้าสู่โหมด “ต้องเอาคืน” ซึ่งจะยิ่งทำให้แย่ลง หยุดก่อนเพื่อให้จิตใจกลับมาเป็นกลาง
*********
การฟื้นตัวจาก drawdown ไม่ใช่การ “เอาเงินคืน” แต่คือการ “ฟื้นจิตวินัย”
********
เทรดมากไม่ได้หมายความว่าจะได้กำไรมากเสมอไป หลายคนติดกับดักที่คิดว่า “เทรดบ่อยๆ = โอกาสรวยเร็วขึ้น” แต่จริงๆ แล้ว ยิ่งเทรดบ่อย ยิ่งเสียค่าคอมมิชชั่นเยอะ และยิ่งเปิดโอกาสให้ทำผิดพลาดได้บ่อยขึ้น
เทรดเดอร์ที่ดีรู้จักรอจังหวะ รอให้โอกาสที่ดีจริงๆ มาถึงค่อยลงมือ ไม่ใช่เทรดเพราะ “มันเบื่อ” หรือ “อยากทำอะไรสักอย่าง” คุณภาพของการเทรดสำคัญกว่าปริมาณเสมอ
**********
เทรดเดอร์และนักลงทุนแต่ละคนจะมีแนวทางการเทรด การลงทุน การตัดสินใจ การบริหารความเสี่ยง การบริหารเงินหน้าตัก และการบริหารเงินทุนเป็นของตนเองเสมอ
ไม่มีสูตรสำเร็จที่จะเลียนแบบกันได้ เพราะแต่ละคนจะมีประสบการณ์และ mindset ที่แตกต่างกันไป นั่นส่งผลต่อวิธีคิด วิธีการตัดสินใจ และระดับการยอมรับความเสี่ยงที่แตกต่างกันไป
**********
การกระทำเล็กๆ แต่ทำต่อเนื่อง จะสร้างผลลัพธ์มหาศาล
ตัวอย่าง
อ่านวันละ 20 หน้า → หนึ่งปีได้กว่า 7,000 หน้า
ฝึกทักษะวันละ 20 นาที → 1 ปีเก่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
พัฒนา 1% ต่อวัน → หนึ่งปีเก่งขึ้นถึง 37 เท่า (เพราะพลังทบต้น)
Compounding ไม่ได้มีแค่ในเงิน แต่ใช้ได้ในทุกด้านของชีวิต ความรู้ ทักษะ ความสัมพันธ์ สุขภาพ
สิ่งสำคัญคือ “ความสม่ำเสมอ” ไม่ใช่ “ความสุดโต่ง”
ทำเล็กน้อยทุกวัน ดีกว่าทำเยอะแค่บางครั้ง
************
ถ้าวนเวียนอยู่ในตลาดหุ้นความรู้ที่ควรมี คือ
การวิเคราะห์ทางเทคนิค vs การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
Technical Analysis มองที่กราฟราคา รูปแบบ และอินดิเคเตอร์ เหมาะกับเทรดระยะสั้น เชื่อว่าราคาสะท้อนข้อมูลทั้งหมดแล้ว
Fundamental Analysis มองที่งบการเงิน รายได้ กำไร อุตสาหกรรม และเศรษฐกิจมหภาค เหมาะกับการลงทุนระยะยาว
เทรดเดอร์มืออาชีพมักใช้ทั้งสองวิธีร่วมกัน
*********
คนที่ประสบความสำเร็จมักถูกมองว่าชีวิตราบรื่น แต่ความจริงแล้ว ทุกคนล้วนมีอุปสรรคและความท้าทายของตัวเอง เพียงแต่บางคนอาจไม่ได้เล่าหรือแสดงออกมา ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่เคยเจออุปสรรค
หากเรามองว่าคนอื่นประสบความสำเร็จเพราะชีวิตเขาง่ายกว่า โอกาสที่เราจะก้าวหน้าก็อาจจะยาก เพราะเรามัวแต่มองหาข้อแก้ตัวและโยนความรับผิดชอบ แทนที่จะลงมือทำในสิ่งที่ควรทำ เมื่อมีเรื่องสำคัญก็มักอ้างว่าไม่มีเวลา งานเยอะ ธุระมาก คนที่ประสบความสำเร็จก็เคยเผชิญกับสิ่งเหล่านี้เช่นกัน แต่สิ่งที่ต่างคือ พวกเขามีความมุ่งมั่น รับผิดชอบตัวเอง และไม่ใช้อุปสรรคเป็นข้ออ้างในการยอมแพ้
คนที่มีข้ออ้างเยอะ มักจะพบกับความล้มเหลวได้ง่ายกว่า
การบ่นหาความยากลำบากต่างๆ ไม่ได้ทำให้ใครเห็นใจ บางทีอาจทำให้คนอื่นมองว่าเราไม่มีความพยายามพอ
ความจริงที่ต้องเผชิญก็คือ โลกนี้ไม่มีใครคอยห่วงใยความล้มเหลวของเรา เราต้องรับผิดชอบตัวเองและอนาคตของตัวเอง ไม่สามารถมอบความรับผิดชอบนั้นให้คนอื่นได้ ที่สุดแล้ว คนที่อยากให้คุณประสบความสำเร็จมากที่สุดก็คือตัวคุณเอง
ชีวิตมีความท้าทายมากมาย และคนที่ประสบความสำเร็จก็คือคนที่ผ่านความท้าทายเหล่านั้นมาได้
***********
ราคาจะเคลื่อนไหว ก็ต่อเมื่อผู้คนตัดสินใจลงมือ
*********
ทุกครั้งที่เราตอบ “ตกลง” กับบางสิ่ง เรากำลังบอก “ไม่” กับสิ่งอื่นโดยอัตโนมัติ
ตัวอย่าง
ถ้าคุณใช้เวลา 2 ชั่วโมงดูซีรีส์คืนนี้ นั่นหมายความว่าคุณเสียโอกาสที่จะใช้เวลานั้นไปออกกำลังกาย หรืออ่านหนังสือเพิ่มความรู้
********
คนที่เป็นเทรดเดอร์จะรู้ดี ว่าเวลากำลังเทรดต้องใช้สมาธิขนาดไหน ในการตัดสินใจ ในการโฟกัส ถ้ายังไม่ถึงเวลาเทรดจะสบายๆ ชิวๆ แต่พอถึงช่วงเวลาที่จะต้องเทรด ต้องใช้พลังในการโฟกัสสูง แทบจะลืมรอบข้างไปหมด
การที่ใครจะมาบอกว่า ขายเมื่อไรบอกด้วย ซื้อเมื่อไรบอกด้วย คือ งี่เง่าสิ้นดี แต่อย่างว่าคนไม่เคยเทรดจริงจังเค้าไม่รู้หรอกว่ามันโฟกัสขนาดไหน
**********
มือใหม่ส่วนมากใจร้อน ขี้เกียจเรียนรู้เพราะมันเสียเวลา อยากรีบเข้าตลาดเพื่อคว้าเงินไวๆ หารู้ไม่ ว่าส่วนมากมาไวๆเพื่อเสียไวๆมากกว่า
*********
รู้ว่าเรารู้อะไร และยอมรับอย่างไม่อายว่าเรา “ยังไม่รู้” อะไร
ตัวอย่าง
คุณอาจเก่งเรื่องหุ้นเทคโนโลยี แต่ไม่เข้าใจหุ้นสุขภาพ ก็อย่ารีบลงทุนในสิ่งที่ไม่รู้จักดีพอ
**********
เวลาส่วนใหญ่ของตลาดหุ้นไม่ได้ถูกควบคุมด้วยเหตุผล แต่ถูกควบคุมด้วยพฤติกรรม
ทุกครั้งที่ราคาพุ่ง ทุกครั้งที่ทะลุแนวต้าน
มันไม่ได้สะท้อนถึงมูลค่าตัวบริษัท
แต่มันสะท้อนความต้องการซื้อ
มีบ้างที่ตลาดถูกควบคุมด้วยเหตุผล แต่มักจะเป็นระยะเวลาสั้นๆ 
**********
คนส่วนใหญ่คิดแค่ผลระยะสั้น แต่คนที่ชนะจะถามว่า “แล้วหลังจากนั้นล่ะ?”
ตัวอย่าง
เริ่มออกกำลังกาย ตอนแรกเหนื่อย (ผลลบระยะสั้น) แต่ระยะยาวสุขภาพดี (ผลบวกระยะยาว)
********
สิ่งที่ขับเคลื่อนราคาจริงๆ
ไม่ใช่มูลค่าที่ทำให้หุ้นขึ้น
แต่คือ “คน”
บริษัทอาจจะราคาถูก
ถูกประเมินค่าต่ำกว่าความเป็นจริง หรือดูเยี่ยมมากในกระดาษ
แต่ถ้าไม่มีใครเข้ามาซื้อจริงๆ
ราคามันก็ไม่ขยับ
*********
ข้อมูลดีแค่ไหนก็มีอคติ
นักลงทุนต้องมีกรอบความคิด และระบบของตัวเอง
******^^
อย่าตัดสินใจตอนมีความผันผวนสูง เพราะอารมณ์จะนำเหตุผล คิดวางแผนไว้ก่อนตอนตลาดสงบ
*******^^
การกระจายช่วยลดความเสี่ยง แต่ถ้ากระจายมากเกินไปจะกลายเป็นไม่มีจุดแข็ง ควรโฟกัสในสินทรัพย์ที่เข้าใจจริง
*******
แบ่งความเสี่ยงต่อไม้เทรด (เช่น ไม่เกิน 2% ของพอร์ตต่อครั้ง) เพื่อให้พอร์ตอยู่รอดได้แม้แพ้หลายครั้งติดกัน
*******
วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด คือ “คิดแบบย้อนกลับ”
ลองคิดว่า “ถ้าอยากล้มเหลว ต้องทำยังไง?” แล้วทำตรงข้ามกับสิ่งนั้น
The best way to solve a problem? Think backwards.
********
การมีแผนไม่พอ ต้อง “มีวินัยทำตามแผน” ด้วย ความต่างของมือใหม่กับมืออาชีพอยู่ตรงนี้
*******
ทุกการเข้าออกต้องมีเหตุผล มีแผนรองรับ ไม่ใช่เพราะ “รู้สึกว่า” มันจะขึ้นหรือลง
********
Stop loss คือเครื่องมือสำคัญที่สุดของเทรดเดอร์ที่อยู่รอด ไม่ว่าจะเทรดเก่งแค่ไหน ถ้าไม่มี stop สุดท้ายพอร์ตจะพัง
