จะหาเงินย่อมต้องทุ่มเทเวลา อย่าคิดว่าเข้ามาในตลาดหุ้นแล้วจะคว้าเงินได้ง่ายง่ายโดยไม่ต้องทุ่มเทอะไรเลย
ถ้าไม่คิดจะทุ่มเท ไม่คิดจะให้เวลากับมัน แต่อยากมี “โอกาส” ได้เงินไวๆ กำเงินเข้าบ่อนซะ นั่นคือทางเดียว แต่โอกาสได้เงินจะมากหรือน้อยนั่นอีกเรื่องนึงนะ
**********
การทบทวน (meta-analysis) และงานวิจัย metabolic ward (ควบคุมอาหารเข้มงวด) พบว่า
หากแทนที่พลังงาน 1% จากคาร์โบไฮเดรตด้วยไขมันอิ่มตัว → LDL จะเพิ่มขึ้นประมาณ 1.2 มก./ดล. โดยเฉลี่ย หรือคิดเป็น ~1–2% เพิ่มขึ้นของ LDL ต่อพลังงาน 1% จากไขมันอิ่มตัว
ถ้าอาหารมีพลังงาน 2,000 kcal → พลังงาน 1% = 20 kcal ≈ ไขมันอิ่มตัว 2.2 กรัม
⇒ การเพิ่มไขมันอิ่มตัว ~2 กรัม/วัน อาจทำให้ LDL-C สูงขึ้น ~1–2%
ถ้าเพิ่มไขมันอิ่มตัว 5% ของพลังงานรวม (≈11 กรัมในอาหาร 2,000 kcal) → LDL อาจเพิ่มขึ้น 5–10%
ถ้าเพิ่มสูงถึง 10% ของพลังงานรวม (≈22 กรัม/วัน) → LDL-C อาจเพิ่มขึ้น 10–20%
ตัวเลขจริงขึ้นอยู่กับ พันธุกรรม, microbiome, สัดส่วนพลังงานรวม และ การออกกำลังกาย
**********
อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะในด้าน กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (MUFA) ซึ่งดีต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งมีใยอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุหลายชนิด
สารอาหารหลักในอะโวคาโด (ข้อมูลจาก USDA, ปริมาณต่อ 100 กรัม เนื้อสด)
• พลังงาน 160 kcal
• โปรตีน 2 กรัม
• คาร์โบไฮเดรต 8.5 กรัม (ใยอาหาร 6.7 กรัม, น้ำตาล 0.7 กรัม)
• ไขมันทั้งหมด 14.7 กรัม
• กรดไขมันอิ่มตัว (SFA) 2.1 กรัม
• กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (MUFA) 9.8 กรัม
• กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (PUFA) 1.8 กรัม
• คอเลสเตอรอล: 0 มก.
วิตามิน
• วิตามิน K 21 µg (26% ของ RDI)
• วิตามิน C 10 มก. (12% ของ RDI)
• วิตามิน E 2.1 มก. (14% ของ RDI)
• วิตามิน B5 (Pantothenic acid) 1.4 มก. (28% ของ RDI)
• วิตามิน B6 0.3 มก. (15% ของ RDI)
• โฟเลต (Folate) 81 µg (20% ของ RDI)
แร่ธาตุ
• โพแทสเซียม 485 มก. (14% ของ RDI) → สูงกว่ากล้วยในปริมาณเท่ากัน
• แมกนีเซียม 29 มก.
• ฟอสฟอรัส 52 มก.
• แคลเซียม 12 มก.
• ธาตุเหล็ก 0.6 มก.
สารพฤกษเคมี
• ลูทีนและซีแซนทีน (Lutein & Zeaxanthin) ดีต่อสุขภาพตา
• ไฟโตสเตอรอล (Phytosterols) ช่วยลดการดูดซึมคอเลสเตอรอล
⸻
สรุป
อะโวคาโดเป็นแหล่งไขมันดี โดยเฉพาะ MUFA (โอเลอิกแอซิด) ที่ช่วยลด LDL และเพิ่ม HDL ได้ มีใยอาหารสูง เหมาะสำหรับการควบคุมไขมันในเลือด และยังมีโพแทสเซียมสูงช่วยควบคุมความดันโลหิต
**********
1. คอเลสเตอรอลคืออะไร?
คอเลสเตอรอล (Cholesterol) เป็นสารไขมันชนิดหนึ่ง (lipid) ที่อยู่ในร่างกายและในอาหารจากสัตว์
ทำหน้าที่สำคัญ เช่น
เป็นส่วนประกอบของ เยื่อหุ้มเซลล์
เป็นวัตถุดิบในการสร้าง ฮอร์โมนสเตอรอยด์ (เช่น เทสโทสเตอโรน เอสโตรเจน คอร์ติโซล)
เป็นสารตั้งต้นของ วิตามิน D และ น้ำดี (bile acids) ที่ช่วยย่อยไขมัน
ร่างกายเราผลิตเองได้ที่ตับ ประมาณ 70–80% ที่เหลือมาจากอาหาร
⸻
2. คอเลสเตอรอลในอาหาร คืออะไร?
พบในอาหารที่มาจากสัตว์ เช่น ไข่แดง เครื่องใน เนื้อสัตว์ อาหารทะเล
เป็นโมเลกุลชนิด “สเตอรอล” ไม่ใช่กรดไขมัน
ต่างจากไขมันอิ่มตัว (saturated fat) และ ไขมันทรานส์ (trans fat) ซึ่งเป็นตัวหลักที่ทำให้ LDL (“ไขมันไม่ดี”) สูงขึ้น
⸻
3. คอเลสเตอรอลมีแคลอรีหรือไม่?
ไม่มี คอเลสเตอรอลเป็นโมเลกุลที่ร่างกายไม่เผาผลาญเป็นพลังงาน
พลังงาน (แคลอรี) มาจาก
คาร์โบไฮเดรต → 4 kcal/กรัม
โปรตีน → 4 kcal/กรัม
ไขมัน (รวมทั้งกรดไขมัน) → 9 kcal/กรัม
แอลกอฮอล์ → 7 kcal/กรัม
ดังนั้น ปริมาณคอเลสเตอรอลในอาหาร ไม่ได้เพิ่มแคลอรีโดยตรง
แต่… อาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง มักมาพร้อมกับ ไขมันอิ่มตัวสูง (เช่น หมูสามชั้น เนย ไข่แดงบางส่วน) → ไขมันพวกนี้ ให้แคลอรีสูง และมีผลต่อ LDL มากกว่าคอเลสเตอรอลเอง
⸻
4. แล้วคอเลสเตอรอลในอาหารส่งผลต่อไขมันในเลือดจริงไหม?
งานวิจัยใหม่ ๆ พบว่า คอเลสเตอรอลจากอาหารมีผลต่อ LDL น้อยกว่าที่เคยเชื่อ
ผลกระทบขึ้นกับแต่ละบุคคล (บางคนเรียกว่า “hyper-responders” ไวต่อคอเลสเตอรอลในอาหารมาก)
ปัจจัยที่ส่งผลมากกว่า คือ ไขมันอิ่มตัว + ไขมันทรานส์ + น้ำหนักตัว + การออกกำลังกาย
⸻
สรุปสั้น ๆ
คอเลสเตอรอล = สารไขมันชนิดสเตอรอล สำคัญต่อร่างกาย
คอเลสเตอรอลในอาหาร = ไม่มีแคลอรี ไม่ได้ทำให้อาหารนั้นพลังงานสูง
แต่…อาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง มักมี ไขมันอิ่มตัว → ซึ่งทำให้พลังงานสูง และเพิ่ม LDL ได้
⸻
คำแนะนำจากองค์กรหลัก
1. องค์การอนามัยโลก (WHO, 2023)
ไม่ได้ระบุ “ตัวเลขจำกัดคอเลสเตอรอล” โดยตรง
แต่เน้นให้ จำกัดไขมันอิ่มตัว <10% ของพลังงานรวม และ เลี่ยงไขมันทรานส์ ซึ่งมีผลต่อ LDL มากกว่า
2. สมาคมหัวใจอเมริกัน (AHA, 2021)
ไม่ตั้งค่าตัวเลขจำกัดคอเลสเตอรอลแล้ว
แต่ยังแนะนำว่า “ควรทานให้น้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ ในขณะที่ยังได้อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ”
เหตุผล คอเลสเตอรอลในอาหารมีผลต่อ LDL น้อยกว่าไขมันอิ่มตัว แต่ถ้ากินมากก็อาจมีผล
3. Dietary Guidelines for Americans (DGA 2020–2025)
ไม่กำหนดเพดานเลขชัดเจนแล้ว (ก่อนหน้านี้ 300 มก./วัน)
แต่ยังใช้ประโยคว่า “ควรทานคอเลสเตอรอลจากอาหารให้น้อยที่สุด”
4. สมาคมหัวใจยุโรป (ESC/EAS 2019)
แนะนำให้ผู้ที่มี ไขมันในเลือดสูง / โรคหัวใจ / เบาหวาน ควรจำกัดคอเลสเตอรอล <300 มก./วัน
⸻
สรุปสำหรับ “คนทั่วไปเพื่อสุขภาพดี”
ปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องเคร่งครัดจำกัดคอเลสเตอรอล ≤300 มก./วัน สำหรับคนสุขภาพปกติ
แต่เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ควรยึดหลัก
คอเลสเตอรอลจากอาหาร <300 มก./วัน (เป็นตัวเลขอ้างอิงที่ยังใช้ได้)
เน้นอาหารที่มี ไขมันไม่อิ่มตัว (ปลา ถั่ว น้ำมันพืช)
ลดอาหารที่มี ไขมันอิ่มตัว/ทรานส์ (เนื้อสัตว์ติดมัน เนย ครีม ของทอด)
⸻
ตัวอย่างปริมาณคอเลสเตอรอลในอาหาร
ไข่ไก่ทั้งฟอง 1 ฟอง (ใหญ่) ≈ 186 มก.
ไข่แดง 1 ฟอง ≈ 170 มก.
กุ้ง 100 กรัม ≈ 150–200 มก.
ตับหมู 100 กรัม ≈ 350 มก.+
หมูสามชั้น 100 กรัม ≈ 70 มก.
⸻
ถ้าเป็นคนทั่วไปที่สุขภาพดี กินคอเลสเตอรอลจากอาหารได้ ไม่เกิน ~300 มก./วัน ถือว่าปลอดภัย
ถ้ามีปัญหาไขมันในเลือดสูง, เบาหวาน, โรคหัวใจ: ยิ่งควรควบคุมให้น้อยกว่า 200–250 มก./วัน
**********
ทานดีต่อสุขภาพ เวทเทรนนิ่ง คาดิโอ เพื่อคุณภาพชีวิตยามชราที่ดี เพื่อลดการเจ็บไข้ได้ป่วย ส่วนอายุยืนยาวเป็นแค่ผลพลอยได้เท่านั้น
ผลพลอยได้นั้น จะได้หรือไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
**********
มื้ออาหารของเราช่วงนี้ที่ลด fat เราทานโปรตีนสูงขึ้นมาก (ประมาณ 1.6-1.8 กรัม ต่อ นน ตัว 1 กก) โดยได้โปรตีนหลักจากปลาทะเล
มีบางวันบางมื้อที่ไม่สะดวก และทานโปรตีนได้น้อยก็ค่อยเสริมด้วยเวย์ แต่จะชงเวย์ 1/2 สคูปกับนมและโยเกิร์ต คือพยายามทานให้เป็นอาหารธรรมชาติมากที่สุด
การผสมเวย์ 1/2 สคูปกับนมและโยเกิร์ต ทำให้ได้โปรตีนจากนมและโยเกิร์ตมาเสริม รวมทั้งใช้เวย์ลดลง
**********
คาร์โบไฮเดรต คือ ข้าว แป้งและน้ำตาล
คาร์โบไฮเดรต น้อยๆ = ดีต่อร่างกาย
แต่คาร์โบไฮเดรตเสมือนยาเสพติด ยิ่งกิน ยิ่งชอบ ยิ่งต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ (แม้จะไม่รุนแรงเท่ายาเสพติดก็ตาม)
ถ้ากินเพลิน แล้วต่อมาหยุดหรือกินน้อยลง จะใจสั่น มือสั่น รู้สึกไม่อิ่ม กินอะไรก็ไม่อิ่มสักที (ความจริงคือ อิ่ม แต่สมองส่งฮอร์โมนมาหลอกว่าหิว เพื่อให้กินคาร์บเพิ่ม เพราะสมองเสพติดน้ำตาลไปแล้ว)
เมื่อลดแป้งลดน้ำตาลและทานอย่างอื่นมากพอแล้ว ต้องฝืนทนใจสั่น มือสั่น สักสาม สี่ วัน ร่างกายจะค่อยๆปรับตัว สมองจะค่อยๆปรับตัวยอมลดน้ำตาลได้เอง อาการมือสั่น หิวตลอดเวลาจะหายไปใน 3-4 วัน
**********
บทความจาก Forbes ปี 1992 เกี่ยวกับปรัชญาการลงทุนของ Warren Buffett โดย Mark Hulbert
“จงเป็นเสือ อย่าเป็นไก่” - ความลับการลงทุนของ Warren Buffett
ปรัชญาเสือ vs ไก่
Buffett เปิดเผยว่า นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จต้องเป็นเหมือน “เสือ” ที่อดทนรอจังหวะ มีสมาธิ และพร้อมที่จะตะครุบเมื่อเห็นโอกาสที่เหมาะสม ไม่ใช่เป็นเหมือน “ไก่” ที่คอยจิกจากที่นั่นที่นี่อยู่ตลอดเวลา
จุดสำคัญ
1. พฤติกรรมนักลงทุน
- นักลงทุนส่วนใหญ่ทำตัวเหมือนไก่ ขยับไปขยับมาและซื้อขายบ่อยๆ
- นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จทำตัวเหมือนเสือ - รอด้วยความอดทนและลงมือเมื่อถึงจังหวะ
- ความสำเร็จในการลงทุนมาจากการตัดสินใจสำคัญๆ ไม่กี่ครั้ง ไม่ใช่จากการเคลื่อนไหวบ่อยๆ
2. ตัวอย่างประวัติศาสตร์
- Benjamin Graham ลงทุนใน Geico ถึง 25% ของพอร์ต และได้ผลตอบแทนมหาศาล
- Martin Zweig มีผลงานยอดเยี่ยม แต่นักลงทุนที่อดทนและมีสมาธิยังเอาชนะได้
3. บริบทตลาด (วิกฤต 1987)
- ตุลาคม 1987 ตลาดตก 23% แต่พอร์ตของ Buffett กำไร 20%
- นี่ไม่ใช่โชค แต่เป็นผลจากการเตรียมตัวและการมีวินัยในการรอจังหวะ
ใจความหลัก
นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงการซื้อขายบ่อยๆ แต่ควรมุ่งเน้นไปที่การหาโอกาสที่ยอดเยี่ยมในระยะยาว ความแตกต่างระหว่างโชคกับฝีมือมักขึ้นอยู่กับการเตรียมตัวและความอดทนที่มีวินัย - การพร้อมรับมือเมื่อจังหวะที่ถูกต้องมาถึง
การนำไปปฏิบัติ
แทนที่จะพยายามจะจับจังหวะตลาดทุกครั้ง นักลงทุนควรเน้นการศึกษาอย่างละเอียดและรอโอกาสที่น่าสนใจ ซึ่งตนเองมีความมั่นใจสูง
**********
LDL ในเลือด ถูกผลิตจากตับ โดย ไขมันอิ่มตัว และคลอเรสเตอรอลมีผลต่อระดับ LDL
ดังนั้นปริมาณไขมันอิ่มตัวที่ทานจึงควรทานในปริมาณต่ำหากต้องการควบคุม LDL
และคลอเรสเตอรอลจากอาหาร มีผลในคนบางกลุ่มที่มีพันธุกรรมที่มีความไวต่อคอลเรสเตอรอล
ดังนั้นในคนที่ต้องการควบคุม LDL ควรทาน ไขมันอิ่มตัวไม่เกิน 5-10% ของพลังงานรวม หรือคิดเป็นประมาณ 16 กรัมต่อวัน
และคลอเรสเตอรอลจากอาหาร คนที่มีปัญหาเรื่อง LDL สูง ควรทานไม่เกิน 200 มก ต่อวัน
ไขมันอิ่มตัว < 16 กรัมต่อวัน
คลอเรสเตอรอล < 200 มกต่อวัน
มาดูอาหารกันบ้าง ว่าอะไรเหมาะสม ไม่เหมาะสม หากมองในมุมของการควบคุม LDL
⸻
ไขมันอิ่มตัว (ต่อ 100 กรัม, มาก → น้อย)
1. ไข่ไก่ต้ม (~3 g)
2. เนื้อวัวสุก (~2.5 g)
3. เนื้อหมูสันนอกสุก (~1.5 g)
4. สะโพกไก่ไม่ติดหนังนึ่ง (~1 g)
5. ปลากระพงนึ่ง (~0.8 g)
6. อกไก่ไม่ติดหนังนึ่ง (~0.3–0.4 g)
7. ไข่ขาวต้ม (~0 g)
ปล. ไขมันอิ่มตัวควรทาน < 16 กรัมต่อวัน
⸻
🥚 คอเลสเตอรอล (ต่อ 100 กรัม, มาก → น้อย)
1. ไข่ไก่ต้ม (~370 mg)🛑
2. เนื้อวัวสุก (~90 mg)
3. เนื้อหมูสันนอกสุก (~75 mg)
4. สะโพกไก่ไม่ติดหนังนึ่ง (~80 mg)
5. อกไก่ไม่ติดหนังนึ่ง (~70 mg)
6. ปลากระพงนึ่ง (~45 mg)
7. ไข่ขาวต้ม (~0 mg)
คลอเรสเตอรอลควรทาน < 200 มกต่อวัน
⸻
สรุปสั้น ๆ ไข่ทั้งฟองครองแชมป์ทั้งสองฝั่ง ส่วน ไข่ขาวปลอดภัยสุด (ศูนย์แทบทั้งคู่) ส่วนเนื้อสัตว์อื่น ๆ อยู่ในโซนกลาง ๆ แตกต่างไม่มากนักเมื่อเทียบกับไข่
สมมติคนที่เล่นเวท ต้องการโปรตีน 1.6 กรัมต่อ นน ตัว 1 กก
ในคนที่ นน ตัว สมมติ 70 กก ต้องการโปรตีน 112 กรัมต่อวัน
หากทานอกไก่เพื่อให้ได้โปรตีน 112 กรัมต่อวัน ต้องทานอกไก่ไม่ติดหนังต้มประมาณ 450 กรัม ซึ่งจะมีไขมันอิ่มตัวประมาณ 1.4–1.8 กรัม และคลอเลสเตอรอลประมาณ 315 มก.🛑
โดยที่ยังไม่นับรวมอาหารอื่นๆที่จะต้องทานและมีไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลเพิ่มอีก
ดังนั้นในกลุ่มคนที่ไวต่อคอเลสเตอรอล (คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับไขมัน LDL) จึงไม่สามารถทานอกไก่ในปริมาณ ที่โปรตีนเพียงพอต่อร่างกายได้ เพราะคลอเลสเตอรอลจะเกิน
นี่จึงเป็นที่มาว่า เห็นนักเพาะกายบางคนที่ทานอกไก่มากๆพอตรวจเลือดกับพบว่าในเลือดมีไขมันสูง มี LDL สูง
แต่การทานอกไก่ สามารถทานได้หากทานในปริมาณที่น้อยลง แล้วเสริมโปรตีนจากอาหารแหล่งอื่น เช่น ทานอกไก่ 50 ถึง 80 กรัม แล้วทานไข่ขาวเพิ่ม เพื่อเพิ่มโปรตีนให้ถึงปริมาณที่ต้องการ
คนไม่น้อย ที่ไม่สามารถบังคับตัวเองได้ ก็จะทานทุกอย่างตามปกติ แล้วไปทานยา statin เพื่อช่วยลด LDL มันก็แปลว่าต้องทานยาไปตลอดชีวิต 
**********
ทำไมเทรดเดอร์ส่วนใหญ่จึงขาดทุน
เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ขาดทุนจริงๆ โซเชียลมีเดียทำให้ดูเหมือนง่ายกว่าที่เป็น เพราะหลายคนโพสต์แต่เทรดที่ชนะ นี่คือ “อคติความพร้อมใช้” - เราเชื่อสิ่งที่เห็นบ่อยที่สุด แต่การเห็นบ่อยไม่ได้หมายความว่าเป็นความจริง คนที่ขาดทุนมักไม่เอามาโพสต์
ผู้เขียนเล่าว่าเมื่อทำงานที่บริษัทเทรดดิ้งเป็นเวลา 7 ปี พบว่าจากผู้สมัครที่ได้รับการฝึกอบรม มีเพียง 4% เท่านั้นที่ทำกำไรได้
เหตุผลที่แท้จริงที่เทรดเดอร์ขาดทุน
1. การเทรดคือลำดับชั้นของทักษะ
ในแต่ละวินาที มีสภาพคล่องจำกัด คุณต้องเร็วกว่าคนอื่นในการเข้าและออก ต้องมีกลยุทธ์ที่ดีกว่าคนอื่น คนที่เก่งจะได้กิน คนที่ไม่เก่งจะถูกกิน เหมือนกีฬา - หากต้องการทำมาหากิน ต้องเก่งกว่าคนส่วนใหญ่
เทรดเดอร์ที่ทำกำไรวันละ 1,000 ดอลลาร์ หมายความว่าเอาเงินนั้นมาจากคนอื่น คนอื่นต้องขาดทุนหรือพลาดโอกาสนั้น
แทบไม่มีที่ไหนในโลกที่คุณต้องเล่นกับมืออาชีพตั้งแต่เริ่มต้น การเป็นมืออาชีพต้องใช้เวลาและการพัฒนาทักษะ คุณจะไปถึงจุดนั้นได้โดยการโดนมืออาชีพเอาชนะไปสักพัก
2. เวลา การวิจัย การฝึกฝน
การเก่งกว่าคนอื่นเพื่อทำเงินต้องใช้ความตั้งใจมากกว่าคนอื่น
- คนส่วนใหญ่เลิกเร็วเกินไป - ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปีในการเทรดได้อย่างมีคุณภาพ ปกติจะนานกว่านั้น
- เทรดเดอร์ที่ขาดทุนเทรดแบบสุ่ม ส่วนเทรดเดอร์ที่สำเร็จฝึกฝนกลยุทธ์เฉพาะเจาะจง 1-2 อย่าง ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่าง แค่รู้ลวดลายสองสามแบบที่ได้ผล แล้วเทรดแบบนั้นซ้ำๆ
- การใช้เวลาต่างจากการฝึกฝน - ต้องทำงานกับกลยุทธ์เฉพาะเจาะจง แล้วแก้ไขข้อผิดพลาดทีละข้อ การทำกิจกรรม “เกี่ยวกับการเทรด” ไม่ใช่การฝึกฝน
3. ความล้มเหลวเกี่ยวกับการเทรด
เทรดเดอร์ล้มเหลวเพราะ ทุนไม่พอ, เสี่ยงมากเกินไปต่อการเทรดหนึ่งครั้ง, รับไม่ได้เมื่อถึงเวลาต้องขาดทุน, ไม่มีกลยุทธ์, ไม่ทำตามกลยุทธ์, วางเดิมพันมากหรือน้อยเกินไป, เทรดเมื่อไม่ควรเทรด, ไม่เทรดเมื่อควรเทรด, ทำตาม “ทิป”, เน้นผลลัพธ์แทนกระบวนการ… และอีกหลายสาเหตุ
4. เหตุผลทางจิตวิทยาที่เทรดเดอร์ล้มเหลว
จิตวิทยาส่งผลต่อทุกสิ่งที่เราทำในฐานะเทรดเดอร์ หากเรากระตือรือร้นเกินไป, มั่นใจเกินไป, วิตกกังวล, โกรธ, หรือติดอยู่กับการเทรดที่ผ่านมา สิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อสิ่งที่เราเห็นและวิธีการเทรด
การเทรดไม่ใช่แค่การฝึกฝนกลยุทธ์ แต่เป็นการเดินทางสำรวจตนเอง - ต้องดูว่าความคิดของเราส่งผลต่อการเทรดอย่างไร คนส่วนใหญ่ไม่เคยทำแบบนี้ หากไม่ปรับปรุงด้านจิตวิทยา กลยุทธ์และหนังสือเทรดดิ้งทั้งหมดในโลกจะไม่มีประโยชน์
-----
โดย Cory Mitchell, CMT
TradeThatSwing.com
**********
**********
**********