วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2567

หลักคิด 45

 


รายได้ขึ้นอยู่กับ 

- การศึกษา 

- IQ และ EQ ของแต่ละบุคคล

- อุปนิสัย ความขยัน ความใส่ใจต่องาน ความมุ่งมั่น 

- โชค เช่น อาจมีจังหวะที่ดีผ่านเข้ามาแล้วสามารถคว้าไว้ได้ 

- การเตรียมความพร้อม การจะคว้าโชคไว้ได้ก็ต้องมีการเตรียมตัวให้พร้อมเสมอ

- หลายคนมีรายได้สูงแต่ใช้จ่ายเกินตัว ก็ไม่เหลือเหมือนกัน 


ไม่ได้แปลว่า ต้องมีแต่ละปัจจัยครบในคนที่ประสบความสำเร็จ แต่ต้องมีแบบลงตัว บางคนมีด้านนึงน้อยแต่อีกด้านนึงมากจนชดเชยกันได้  มันก็ลงตัวได้


@@@@@@


ตรรกะการลงทุน แนวคิดการลงทุนที่เราชอบมากที่สุด คือการมองหาสินทรัพย์ใดก็ตามที่มีการเติบโตต่อเนื่องและมีมูลค่าเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต และระหว่างทางที่รอก็มีดอกเบี้ยหรือเงินปันผล ในปริมาณที่มากพอ หมายถึงอย่างน้อยประมาณซัก 3% ขึ้นไป 


แล้วถือสินทรัพย์นั้นระยะยาวเป็นปีๆ เพื่อรอมูลค่าเพิ่มขึ้น โดยที่ระหว่างทางที่รอก็ได้รับดอกเบี้ยหรือเงินปันผลเป็นผลตอบแทนรายปีไปด้วย ความเครียดมันจะน้อยกว่ามานั่งเทรด 


ซึ่งสินทรัพย์เหล่านั้นจริงๆแล้วก็มีหลายอย่าง  ไม่ว่าจะเป็น บ้านให้เช่า คอนโดให้เช่า เพียงแต่อสังหาให้เช่านั้นค่าเช่าโดยมากมักจะไม่เกิน 3-4% และต้องเสียเวลาในการดูแลและจัดการ แต่มีข้อดีคือ เงินต้นมักจะไม่หาย


แต่ที่เราชอบมากที่สุดก็น่าจะเป็นหุ้นปันผลที่มีการเติบโต   และล่าสุดก็เป็นพวกกองทุนพันธบัตร เพราะจะได้เงินปันผลในอัตราที่น่าพอใจระหว่างที่รอมูลค่ามันเพิ่มขึ้น 


สำหรับกองทุนพันธบัตรนั้นไม่ได้ซื้อได้เสมอไปในทุกช่วงเวลา  ช่วงจังหวะเวลาที่ดีที่สุดในการซื้อกองทุนธนบัตรคือช่วงเวลาที่ ธนาคารกลางสหรัฐกำลังจะเริ่มลดดอกเบี้ย เพราะมันจะเป็นจุดเริ่มต้นของมูลค่าหน่วยลงทุนที่เพิ่มขึ้นได้มากตามการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ  ซึ่งแต่ละรอบกว่าเฟดจะเข้าสู่รอบขึ้นดอกเบี้ยหรือลดดอกเบี้ยนั้นแต่ละรอบจะใช้เวลาสี่ถึงห้าปีเป็นอย่างน้อยตามรอบวัฏจักรเศรษฐกิจ


พูดง่ายๆคือโอกาสดีๆแบบนี้ใช้เวลานานหลายปีกว่าจะมีสักครั้งหนึ่ง 


และโดยมากธนาคารกลางสหรัฐมักจะชอบให้การลดดอกเบี้ยหรือขึ้นดอกเบี้ยเป็นไปในทิศทางเดียวกันต่อเนื่อง  เพราะการลดดอกเบี้ยแล้วกลับลำมาขึ้นดอกเบี้ยแล้วต้องกลับลำมาลดดอกเบี้ยอีกรอบ  มันหมายถึงมุมมองที่ผิดพลาดต่อเศรษฐกิจของตัวธนาคารกลางสหรัฐเอง  คือ ถ้าทำงานพลาดแล้วเสียหน้านั่นเอง


@@@@@@@@@



เราพูดถึงกองทุนพันธบัตร เราชอบยกตัวอย่าง TLT  ซึ่งจริงๆแล้วก็มีกองทุนอื่นๆอีก เช่น BLV TMF แต่ในที่นี้จะยกตัวอย่างเป็น TLT ละกัน

ตามรูปจะเห็นว่ารอบขาขึ้นรอบที่แล้ว ของราคาหน่วยลงทุน TLT ใช้เวลาประมาณ 10 ปีมูลค่าหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้นมาประมาณ 100%  (คิดเป็น IRR ที่ประมาณ 7%)

นี่ยังไม่รวมเงินปันผลระหว่างทางที่ได้ประมาณปีละ 3-4% (ถ้าคำนวนเป็น IRR จะได้มากกว่านี้เพราะเป็นเงินที่ทยอยรับทุกปี)

สรุป คำนวณแบบคร่าวๆ ผลตอบแทนของกองทุนพันธบัตรรอบที่ผ่านมาในอดีต แบบเฉลี่ยอยู่ที่ 13% ต่อปีเป็นระยะเวลาต่อเนื่อง 10ปี (หรือ หากคำนวณแบบ IRR คือประมาณ 10% ต่อปีเป็นเวลาต่อเนื่อง 10ปี)

ส่วนกองทุนอื่นๆก็อาจจะแตกต่างกันไปตามอายุของพันธบัตรที่กองทุนนั้นถือครอง 

เมื่อเทียบความเสี่ยง  ระหว่างกองทุนพันธบัตร กับหุ้น และผลตอบแทนแล้ว ต้องถือว่าผลตอบแทนของกองทุนพันธบัตรต่อความเสี่ยงถือว่าดีกว่าหุ้นหลายตัวเลยทีเดียว ถ้าหากเข้าซื้อกองทุนพันธบัตรได้ถูกจังหวะ

แน่นอนว่ากองทุนพันธบัตรก็มีความผันผวนไม่ต่างจากหุ้น  แต่มันไม่มีทางที่มูลค่าจะกลายเป็นศูนย์ ไม่ต้องกังวลว่าจะเจอผู้บริหารที่ไม่ดียักยอกเงินบริษัท ไม่ต้องคาดเดาทิศทางต่างๆของบริษัท ไม่ต้องกลัวพลาดซื้อหุ้นปั่น โดนรายใหญ่หรือเจ้ามือลากทุบหุ้น ไม่ต้องอ่านงบการเงินของบริษัทอีกด้วย 😄

@@@@@@@@@@

ฟังเรื่องเล่ามา 

ปู่คนนึงหลังเกษียณมีเงินพันกว่าล้าน เอามาเล่นหุ้น อยู่ในตลาดมาไม่น้อยกว่า 20 ปี เล่นแต่หุ้นปั่น หุ้นที่มีข่าววงใน อาศัยว่ามีคอนเน็คชั่นเยอะ  ไม่เคยซื้อหุ้นปันผลเลย แล้วก็คงจะลงทุนหุ้นปันผลไม่เป็น จะกลับแล้วมาลงทุนในหุ้นปันผลก็ทำไม่เป็นแล้ว  ตลาดหมีรอบที่ผ่านมาพอร์ตติดลบหลายร้อยล้าน ประกอบกับอายุมากเครียดจนต้องเข้าโรงพยาบาล 

อาม่าอีกคนนึง หลังเกษียณมีพอร์ตทุนพันกว่าล้านเหมือนกัน ทำงานเกี่ยวข้องกับตลาดหุ้นมาตลอด ซื้อหุ้นปันผลเต็มไปหมด ในพอร์ตมีแต่หุ้นปันผล อายุใกล้เคียงกับคุณปู่คนข้างบน  แต่อาม่าแกไม่ค่อยดูพอร์ตหุ้นแล้ว ดูแค่เงินปันผลที่เข้าบัญชี เฉลี่ยต่อเดือนไม่ต่ำกว่าห้าล้านบาท สิ่งที่แกดูมากที่สุดในตอนนี้ก็คือวันวันจะกินอะไรดี ตลาดหมีที่ผ่านมาหน้าทุเรียนพอดี แกคงจะกินเยอะไปหน่อย น้ำตาลขึ้นไปเกือบ 300 อยู่ รพ เหมือนกัน 

แล้วคุณล่ะอยากสร้างพอร์ตหุ้นแบบไหน ???

@@@@@@&&

หุ้นที่เป็นอัพเทรนด์ที่ดี ที่แข็งแรง ที่นำตลาดตัวจริง มักจะไม่ขอโอกาสจากคุณ มีแต่คุณที่ต้องรีบไปคว้าโอกาสจากมัน 

หุ้นที่ราคาขึ้นมาแล้วย่อลงมาจนหลุด stop จนคุณต้องให้โอกาสมันเพิ่มขึ้น นั่นไม่ใช่หุ้นนำตลาดตัวจริง หรืออาจจะกำลังหมดเทรนด์แล้ว