คิดว่ากองทุนต่างๆในไทยกองไหน
มี ผจก กองทุนไหนใส่เงินส่วนตัวมากกว่า 60% ของความมั่งคั่งที่ตนเองมี เข้าไปลงทุนในกองทุนที่ตัวเองบริหารบ้างไหมนะ ???
ถ้ามีไม่มาก หรือไม่มีเลย เพราะอะไรถึงเป็นแบบนั้น ???
ผจก กองทุนมั่นใจในฝีมือตัวเองมากแค่ไหน ???
กองทุนส่วนมากมักจะบอกว่ามีการกระจายความเสี่ยงเป็นอย่างดี ลงทุนในหุ้นจำนวนมากหลายสิบอาจจะเป็นร้อยตัว
แล้วทำไมผู้จัดการกองทุนส่วนมากถึงไม่กล้าเอาความมั่งคั่งของตัวเองมาใส่ลงในกองทุนที่ตัวเองบริหารให้มากพอ ???
ปล.ก่อนจะซื้อกองทุนเป็นจำนวนมากอย่าลืมถามว่าผู้จัดการกองทุนได้ใส่เงินของตัวเองลงไปมากน้อยแค่ไหน
*********
หุ้นหลายตัวที่นักลงทุนได้ซื้อไว้จะมีกำไรอย่างมาก แค่เพียงแต่นักลงทุนไม่ใส่ใจกับคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับทิศทางของตลาดและเศรษฐกิจ
เพราะคำแนะนำเหล่านั้นจะทำให้คุณกลัวจนไม่กล้าซื้อหรือแม้กระทั่งยอมขายหุ้นที่ควรจะได้กำไรหากถือไว้นานพอ
หากได้ซื้อกิจการที่ยอดเยี่ยมเข้าพอร์ตหุ้นในราคาที่เหมาะสม จริงๆแล้วเราควรจะลงทุนตลอดเวลา เพราะหากตลาดหมีมาเยือน มันก็ไม่ใช่เวลาที่จะขายกิจการที่ยอดเยี่ยมออกไป
*****
ถ้าคุณเชื่อว่ากำไรมากๆมาจากการเทรดที่มีความเสี่ยงสูงๆแล้วล่ะก็ โอกาสที่คุณต้องออกจากตลาดก็จะสูงตามไปด้วย
********
ถ้าคุณซื้อหุ้นของบริษัทยอดเยี่ยม ในราคาต่ำกว่ามูลค่า แม้ราคาระยะสั้นจะเป็นขาลง แต่ในระยะยาวไม่มีบริษัทไหนที่ราคาจะไม่ขยับขึ้นไปตามมูลค่าที่เติบโตขึ้นทุกปี
ส่วนหุ้นที่ราคาดำดิ่งแล้วไม่กลับฟื้นขึ้นมาเลยนั้น หุ้นเหล่านั้นไร้ซึ่งการเติบโต หรือราคาที่ซื้อนั้นแพงกว่ามูลค่าเป็นอย่างมาก ซึ่งการซื้อหุ้นเหล่านี้ มันผิดตั้งแต่ตอนซื้อแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาผิดตอนที่ราคาไหลลง ดังนั้นถึงแม้หุ้นเหล่านี้ราคาจะไม่ลงก็ควรจะขายทิ้งอยู่ดี
คนที่ไม่แยกแยะ ชอบเอาบริษัทห่วยๆ ที่ราคาดำดิ่ง มาเหมารวมกับหุ้นของบริษัทยอดเยี่ยมที่ราคาถูกขายเพราะความแตกตื่นชั่วคราว คนที่ไม่แยกแยะเหล่านั้นที่แท้ก็คือมิสเตอร์มาร์เก็ต ของอาจารย์เกรแฮมนั่นเอง
**********
ถ้าลงทุนในหุ้นรายตัว ไม่ได้ลงทุนในกองทุนอิงดัชนี ไม่ต้องกังวลใจเรื่องดัชนีขึ้นๆลงๆให้มากนัก เพราะดัชนีมันรวมเอาหุ้นอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งไม่ได้ส่งผลต่อปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่เราซื้อ จะมีเพียงแต่ sentiment ด้านราคาระยะสั้นชั่วคราวเท่านั้น ที่อาจได้รับผลกระทบ
ต้องอย่าลืมถามตัวเอง ว่าซื้อหุ้นเพื่อหวังราคาระยะสั้น ให้ราคาหุ้นขึ้นทันทีที่ซื้อ หรือซื้อหุ้นเพื่อลงทุนบนการเติบโตระยะยาวของบริษัท
หากซื้อหุ้นเพื่อหวังให้ราคาระยะสั้นปรับตัวขึ้นทันทีที่ซื้อเสร็จ คุณมาผิดทางแล้ว นั่นไม่ใช่การลงทุน คุณต้องไปใช้หลักการเก็งกำไร หลักการในการเทรด
*************
อย่าซื้อหุ้นเพียงเพราะหวังว่าราคาหุ้นจะขึ้นทันทีที่คุณซื้อ
แต่ให้ซื้อหุ้น เพราะเข้าหลักเกณฑ์การซื้อของคุณ เพราะเข้าหลักเกณฑ์การลงทุนที่เมื่อทำตามอย่างมีวินัยแล้วจะเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในการลงทุน
************
ค้นหาเหตุการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้สูง และถ้าเหตุการณ์นั้นเกี่ยวข้องกับการเติบโตต่อเนื่องของบริษัท ก็สามารถที่จะลงทุนได้บนราคาที่สมเหตุสมผล
*********
อีโก้มันทำให้พัง มันทำให้เสียหาย ยิ่งอีโก้ใหญ่ยิ่งพังมาก ทุกคนล้วนมีอีโก้
แต่พยายามรู้ตัวให้ไว พอมันเริ่มใหญ่ ต้องรู้ตัว ต้องถอยออกจากอีโก้ เรื่องแบบนี้ประสบการณ์จะสอนเอง ยิ่งอายุมากขึ้นประสบการณ์จะมากขึ้น ก็จะรู้ตัวได้ไวขึ้น
แต่ในบางคน ยิ่งแก่ตัวอีโก้ยิ่งใหญ่มากขึ้น สุดท้ายจะพังหนักมาก
อีโก้มันทำให้พังเสมอไม่ว่าการใช้ชีวิตหรือการลงทุนก็ตาม
**********
“Read 500 pages every day. That’s how knowledge works. It builds up, like compound interest. All of you can do it, but I guarantee not many of you will do it.” - Warren Buffett
นี่สินะคือเคล็ดลับ สมองดีของสองปู่
เราสงสัยมาตลอดว่าปู่บัฟเฟตต์อายุ 92 ปี ส่วนปู่ชาร์ลีอายุ 98 ปี ทำไมสมอง ความคิดอ่านและความจำ ถึงยังดีอยู่มากๆ เมื่อเทียบกับคนสวนใหญ่แล้วอายุขนาดนี้ ความจำมักจะไปไม่ค่อยรอดแล้ว
การอ่านหนังสือจำนวนมากทุกวัน นอกจากจะได้ความรู้แล้ว ความรู้ที่กว้างและลึกช่วยเสริมระบบความคิด และเมื่อสมองได้คิดอ่านทุกวันอย่างต่อเนื่อง (ก็คงจะเหมือนกับคนที่ออกกำลังกาย) สมองก็ยังแข็งแรง ความจำก็ยังดี ระบบวิธีคิด หลักการคิด ก็หนักแน่นขึ้นทุกวันทุกวัน คงจะเป็นเคล็ดลับที่ทำให้ 2 ปู่ สมองดีความจำดีแม้จะอายุมากแล้วก็ตาม
เชื่อว่าช่วงอายุน้อยของปู่ก็คงยังไม่ได้อ่านหนังสือวันละ 500 หน้าแบบนี้ แต่เมื่ออ่านทุกวันทุกวัน ก็จะสามารถอ่านได้เร็วขึ้น สมองก็จะมีความคล่องแคล่วมากขึ้น
**********
สำหรับเทรดเดอร์การเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด การเกิดความผิดพลาด สิ่งที่ควรทำคือ หนีให้เร็วที่สุด ปิดสถานะที่ผิดพลาดนั้นให้เร็วที่สุด คล้ายกันกับนักลงทุนที่เมื่อลงทุนไปแล้วแต่ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงอย่างถาวรในทางที่แย่ลงแบบผิดคาด นักลงทุนก็ต้องรีบตัดขายออกอย่างรวดเร็วเช่นกัน
*****
หากไม่เจอกันลงทุนที่เข้ากับหลักเกณฑ์ของตนก็ไม่ต้องลงทุน ที่ต้องทำคือ รู้จักรอ
********
นักลงทุนที่ดีจะมองระยะเวลาของการลงทุนในหลักเดือนหรือปี
นักลงทุนยอดเยี่ยม มองระยะเวลาของการลงทุนเป็นทศวรรษ
**********
การซื้อขายหุ้นแต่ละครั้ง คุณซื้อขายบนความเชื่อที่คุณมีต่อหุ้นตัวนั้น ดังนั้นอย่าลืม สำรวจ พิสูจน์ ว่าความเชื่อนั้นสามารถใช้ได้จริง/เป็นจริง
*******
มองหาโอกาสและความน่าจะเป็นก่อนที่จะเข้าลงทุน
******
นักลงทุนแต่ละคนจะมีหลักการลงทุนที่แตกต่างกันในรายละเอียดเสมอ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความจำเป็นส่วนตัว ประสบการณ์การลงทุนที่ผ่านมา ความสบายใจในหลักการบางอย่างเป็นพิเศษ หรือความหนักใจเมื่อต้องใช้หลักการบางอย่าง รวมถึงความรู้และทักษะของแต่ละบุคคล
ดังนั้นการจะ copy หลักการลงทุนของใครมาใช้ ก็จะต้องมีการปรับปรุงรายละเอียดด้วย เพื่อให้มีความเหมาะสมกับตนเอง
*********
ระวังการให้ค่าที่มากเกินไปในหุ้นที่งั้นๆ ตอนที่กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ดีของธุรกิจ
******
นายตลาดมีนิสัยที่ดีอยู่อย่างนึง คือ เวลาเขามาเสนอขาย หรือเสนอซื้ออะไร เขาไม่เคยงอน ไม่เคยน้อยใจเวลา ที่ไม่ทำธุรกรรมด้วย
เขาจะมาหาใหม่ในวันรุ่งขึ้นเสมอ หลายครั้งที่ข้อเสนอของเขาก็ดูเหมือนคนโกง และหลายครั้งที่ข้อเสนอของเขาดูเหมือนคนโง่
ทั้งหมดคือแล้วแต่เราว่าอยากรับข้อเสนอแบบไหน และไม่รับข้อเสนอไหน
Mr. Market
*****
บางทีคำถามง่ายๆก็ทรงพลัง
แต่คนส่วนมากมักมองข้าม
"ผมอยากซื้อหุ้นของบริษัทนี้หรือไม่ ถ้ามีผู้บริหารชุดนี้" - ปู่ BFT
*****
ในธุรกิจ Commodity เป็นเรื่องยากที่จะเหนือกว่าคู่แข่งมากๆ และเป็นเรื่องง่ายที่จะโดน copy
**********
ในตลาดหุ้น เชื่อเถอะว่าการอดทนรอคอยเป็นเรื่องที่น่าเบื่อมากและเป็นอะไรที่ยาก เพราะถ้ามันง่าย คนที่ประสบความสำเร็จก็คงจะมีมากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะมันยากนี่แหละมันจึงคัดกรองคนได้
การรอคอยนานๆ มันจะทำให้ความคิดของเราเองนี่แหลฟุ้งซ่าน เป็นศัตรูกับการลงทุนของเราเอง มันจะทำให้เราเริ่มลังเล สงสัย จนไม่แน่ใจ และสุดท้ายยอมตัดใจออกมาจากสถานการณ์นั้นเอง ด้วยความเต็มใจของตัวเองที่จะยอมรับความพ่ายแพ้
**********
การเน้นเลือกหุ้นที่มั่นคงมากๆ ผู้บริหารที่มีความ conservative มากเกินไป สิ่งที่คุณจะเจอก็คือ ผู้บริหารให้ความสำคัญกับความมั่นคงจนมองข้ามการเติบโต
ในบริษัทที่ผู้บริหารมุ่งแต่จะเติบโตมากเกินไป จนใจกล้าที่จะก่อหนี้มากๆ หรือกล้าลุยในธุรกิจใหม่ๆที่ตนเองไม่มีความชำนาญ คุณก็จะพบว่า บริษัทมักจะมีความเสี่ยง ด้านการเงินสูงหรือด้านโมเดลธุรกิจสูง
หากสามารถพบเจอผู้บริหารที่ให้ความสำคัญกับทั้งสองด้าน คือความมั่นคงของงบการเงิน และมีความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะให้บริษัทเติบโตในธุรกิจที่บริษัทมีความชำนาญ และซื้อหุ้นได้ในราคาที่เหมาะสมแล้วละก็ ถือหุ้นนั้นไว้ให้มั่น อย่าปล่อยให้หลุดมือไปเชียว
********มีเพียง 3 สถานการณ์เท่านั้นที่คุณควรจะขายหุ้น
- เมื่อพบว่าคุณได้ทำพลาดไปโดยบริษัทนั้นไม่ได้เข้าเกณฑ์การลงทุนของคุณ
- บริษัทที่เคยดีกลับไม่ผ่านเกณฑ์การลงทุนของคุณอีกต่อไป
- คุณพบโอกาสที่ดีมากๆและทางเดียวที่จะมีเงินไปลงทุนก็คือต้องขายบางอย่างทิ้งไปก่อน
- ฟิลลิป ฟิชเชอร์
**********
การประเมินมูลค่าหุ้น เป็นเสมือนศิลปะไม่มีถูกไม่มีผิดอย่างแท้จริง สิ่งสำคัญคือการพยายามพัฒนาความรู้ ความเข้าใจ เพื่อสร้างสรรค์งานศิลปะนั้น
ดังนั้นอย่าพยายามขีดเส้น ว่าแบบนี้ถูกหรือยัง แบบนี้ใช่ไหม สองปู่ใช้เรื่องมูลค่าหุ้นเหมือนกัน แต่ก็ยังคำนวนมูลค่าหุ้นตัวเดียวกันได้ต่างกัน แต่จะเห็นพ้องต้องกันเมื่อมันต่ำกว่ามูลค่ามากพอ
******
ถ้าเปรียบเทียบระหว่างหุ้น กับ ตราสารหนี้ (การฝากเงิน/พันธบัตร/หุ้นกู้)
เงินปันผล เทียบได้กับดอกเบี้ย
เงินที่จ่ายเพื่อซื้อหุ้น เทียบได้กับ เงินต้นที่ซื้อตราสารหนี้
โดยปกติแล้วบริษัทที่มีการดำเนินงานเติบโตอย่างมั่นคง มักจะมีการจ่ายเงินปันผลสูงขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป แต่ดอกเบี้ยเงินฝาก หุ้นกู้หรือพันธบัตรนั้น เช่นหากซื้อตราสารหนี้อายุ 10 ปี ดอกเบี้ยจะคงที่ตลอดสิบปี
และถ้าหากบริษัทที่ออกตราสารหนี้ สามารถสร้างผลกำไรที่ยอดเยี่ยม สิ่งที่ผู้ถือตราสารหนี้คาดหวังได้มากสุดคือการได้รับคืนเงินต้น เงินต้นที่ถูกเงินเฟ้อกัดกินมูลค่าไปเรียบร้อยแล้ว
ในขณะที่บริษัทที่มีผลกำไรที่ยอดเยี่ยมนั้นก็มักจะจ่ายเงินปันผลเพิ่มมากขึ้นตามผลกำไร และราคาหุ้นเป็นเงินต้นก็จะมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นอีกต่างหากด้วย
สำหรับนักลงทุนแล้ว สามารถที่จะสร้างพอร์ตลงทุนโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีตราสารหนี้เป็นองค์ประกอบของพอร์ตเลยก็ยังได้
โดยมากที่พบ คือผู้สูงอายุ ที่ไม่มีความรู้ในการลงทุน ทางเลือกที่เหลือ จึงเหลือเพียงการซื้อตราสารหนี้เท่านั้น (การฝากเงินเปรียบเสมือนกับการซื้อตราสารหนี้ที่มีลูกหนี้เป็นธนาคาร)
ดังนั้น อย่าปล่อยให้แก่ตัวลงโดยที่ไม่มีความรู้ด้านการลงทุน มันจะเสมือนการตัดช่อง บีบทางตัวเองให้แคบลง จนไม่เหลือทางเลือก ทำได้เพียงซื้อตราสารหนี้ยามแก่ตัว
******
ควรจะประเมินมูลค่าแบบคร่าวได้อย่างเป็นอัตโนมัติ แม้จะไม่ exactly ซะทีเดียวก็ตาม (คล้ายกับที่มองรู้ว่าคนนั้นท้วม คนนี้ผอม แม้ว่าจะไม่ได้รู้น้ำหนักอย่างแน่ชัดก็ตาม)
แม่บ้านซื้อของในซุปเปอร์สามารถที่จะเลือกหยิบสินค้าที่ดี ที่กำลังลดราคา ได้อย่างคล่องแคล่ว จริงๆแล้วแม่บ้านที่กำลังเลือกซื้อของในซุปเปอร์ก็กำลังใช้การประเมินมูลค่าแทบตลอดเวลาและอย่างคล่องแคล่วด้วย
*******
การอ่าน หนังสือดีๆ บทความดีๆ เป็นประจำ จะค่อยๆปรับ mindset ให้เข้าที่เข้าทาง ให้คิดมากขึ้น วิเคราะห์มากขึ้น มันช่วยให้แผนการลงทุนมีความละเอียดขึ้นได้
ดังนั้นการเลือกบทความมาอ่านจึงมีความสำคัญ เสมือนค่อยๆสะสม ปรับเปลี่ยน ความคิดที่มีต่อการลงทุนให้เข้าที่เข้าทางในระยะยาว
*******
หากเจอหุ้นที่คิดว่าโอเคแล้วแต่ยังต้องการเวลาเพิ่มเติมในการศึกษารายละเอียด หลายๆครั้งการซื้อหุ้นนั้นเข้าพอร์ตไว้ก่อนในสัดส่วนที่น้อย ช่วยให้มีแรงขับในการติดตามบริษัทได้มากขึ้น ช่วยเพิ่มความสนใจในบริษัทได้
**********
การกระจายความเสี่ยง ต้องคิดให้ละเอียดว่าที่ทำอยู่เป็นการกระจายความเสี่ยง หรือเป็นการกระจายความมั่งคั่ง และต้องอย่าลืมคิดถึงปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นด้วย
พอร์ตที่มีหุ้น 30 ตัวหากหุ้นตัวใดตัวหนึ่งในพอร์ตราคาเพิ่มขึ้น 100% กำไรนั้นจะส่งผลต่อพอร์ตรวมให้เพิ่มขึ้น 3.3%
พอร์ตที่มีหุ้น 4 ตัว หากมีหุ้น 1 ตัวที่ราคาขึ้น 100% กำไรนั้นจะส่งผลต่อพอร์ตรวมให้เพิ่มขึ้น 25%
และปริมาณงานในการติดตามหุ้น 30 ตัวกับหุ้น 4 ตัวนั้น จะต่างกันอย่างมาก หุ้นจำนวนน้อยตัว คุณจะสามารถโฟกัสและติดตามได้ดีกว่า
**********
หลายคนไม่เข้าใจ ทำไมบริษัทที่ยอดเยี่ยมถึงกลายเป็นการลงทุนที่ยอดแย่ได้ถ้าหากว่าคุณซื้อมาแพงเกินไป
ยกตัวอย่างเช่น
บริษัทเอ มี margin ดีมาก มีกำไรสูงถึง 50%
สมมุติเจ้าของเดิมเขาใส่เงินลงทุนไป 1 ล้านเขาได้กำไรปีละ 500,000 บาท ถือว่ามีอัตราการกำไรสูงถึง 50% เป็นธุรกิจที่ดีมากๆ (อัตรากำไร 50% ของเงินลงทุน)
ต่อมาเขาขายหุ้นให้คุณครึ่งนึง แต่เขาตั้งราคาธุรกิจรวมของเขา ที่ 10 ล้าน คุณซื้อหุ้นมาครึ่งนึง คือคุณถือหุ้นอยู่ 50% โดยจ่ายเงินไป 5 ล้าน เพื่อร่วมลงทุน
ธุรกิจเดิมมีกำไรปีละ 5 แสน เมื่อคุณถือหุ้นครึ่งหนึ่งคุณก็จะได้กำไร 250,000 บาทตามสัดส่วนการถือหุ้น
คุณลงทุน 5 ล้านได้กำไร 250,000 บาท คิดเป็น อัตรากำไร 5% ของเงินลงทุน
เฮ้ย คุณเก่งนะ คุณทำให้ธุรกิจที่มีอัตรากำไร 50% กลายเป็นธุรกิจที่มีอัตรากำไร 5% ได้ด้วยการร่วมลงทุน ซื้อหุ้นในราคาแพง
คุณทำให้บริษัทยอดเยี่ยม กลายเป็นบริษัทยอดแย่ในการลงทุนได้
คุณยังสามารถวาดฝันต่อได้อีกว่าที่คุณจ่ายเงินลงทุนไป 5 ล้านอาจจะมีคนที่โง่กว่าคุณมาซื้อต่อจากคุณในราคา 10 ล้านก็ได้ แค่ฝันก็มีความสุขแล้ว
*************
ความรู้ที่กว้างขึ้นและลึกขึ้น + การฝึกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้เกิดความชำนาญมากขึ้น ความสามารถเหล่านั้นจะค่อยๆซึมซับลงสู่ระบบอัตโนมัติ คือสามารถทำซ้ำกระบวนการนั้นได้เป็นอัตโนมัติ ความเคยชินความคุ้นเคย
การยึดมั่นกับหลักการลงทุนหรือหลักการเทรดจนมันกลายเป็นอัตโนมัติเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในการลงทุน
ดังนั้นการใช้หลักการ 2 อย่างที่ขัดแย้งกัน พร้อมๆกันในช่วงเวลาเดียวกัน จึงเป็นสิ่งที่จะสร้างความขัดแย้งทางความคิดในภายหลัง รวมถึงขัดแย้งกับกระบวนการอัตโนมัติ
ตัวอย่างเช่น การลงทุนที่เน้นซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่ามูลค่าก็จะพยายามมองหาหุ้นที่มีราคาถูก ในขณะที่การเทรดแบบโมเมนตัมก็จะต้องพยายามหาหุ้นที่ทำ new high
เมื่อความคิดทั้งสองอย่างที่ขัดแย้งกัน ฝึกซ้ำๆใช้ซ้ำๆ จนลงสู่ระดับจิตใต้สำนึก มันจะเกิดการขัดแย้งกันเองในภายหลัง
นักลงทุนหรือเทรดเดอร์ที่เก่งมากๆ จะลงทุนหรือเทรดอย่างชัดเจนราบรื่นราวกับไม่ต้องใช้ความพยายามมากเพราะทุกอย่างเป็นไปโดยอัตโนมัติ ตามกระบวนการตามหลักการในการลงทุน ในการเทรด
แต่หากมีหลักการที่ขัดแย้งกันอยู่ในจิตใต้สำนึก ขบวนการที่เป็นอัตโนมัตินั้น จะเป็นอุปสรรคในภายหลัง
เช่น ช่วงที่เป็นตลาดกระทิง การเทรดแบบโมเมนตัมอาจจะสร้างผลงานได้ดีกว่า คุณก็จะเกิดความคิดที่ขัดแย้งว่า มัวเอาเงินมาจมอยู่กับการลงทุนทำไมตั้งเยอะ ทำให้เสียโอกาสอย่างมาก
หรือบางช่วงที่เป็นตลาดหมี คุณขาดทุนจากการเทรดมาก แต่การลงทุนกลับรักษาพอร์ตของคุณเอาไว้ได้ คุณก็จะเกิดความคิดว่าไม่น่าหาเรื่องเทรดเลย น่าจะลงทุนทั้งหมดก็จะไม่เจ็บตัวแบบนี้
***********
ฃถ้าคุณเป็นเทรดเดอร์คุณต้องให้ความสำคัญกับสภาพคล่อง แต่ถ้าคุณเป็นนักลงทุน สภาพคล่องแม้จะสำคัญแต่ก็อาจจะไม่สำคัญมากเท่ากับราคาที่มีส่วนต่างความปลอดภัยที่มากเพียงพอ
**********
KLINIQ
ราคา ipo 24.50 บาทต่อหุ้น
จำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดหลัง ipo 220 ล้านหุ้น
คิดเป็นมูลค่าบริษัทที่ราคา ipo 5,390 ล้านบาท
มีสาขาทั้งสิ้น 39 สาขา
เป็นคลินิกเวชกรรม 35 สาขา
ศูนย์ศัลยกรรม 1 สาขา
ร้านทำเล็บ 3 สาขา
(ศูนย์ศัลยกรรมน่าจะลงทุนมากกว่าคลินิกแต่ร้านทำเล็บน่าจะลงทุนน้อยกว่าคลินิกเยอะมาก)
ราคาที่ขาย ipo นำมาหารเฉลี่ยเพื่อดูราคาต่อสาขาไปเลย เท่ากับ 1 สาขาจะมีมูลค่า 138.20 ล้านบาท (ราคานี้รวมฐานลูกค้าทั้งหมดและการเติบโตในอนาคต)
2562 รายได้สุทธิ 975.84 ล้านบาท
2563 รายได้สุทธิ 1,000.55 ล้านบาท
2564 รายได้สุทธิ 949.93 ล้านบาท
1H64 รายได้สุทธิ 451.58 ล้านบาท
1H65 รายได้สุทธิ 714.72 ล้านบาท
2562 กำไรสุทธิ 115.47 ล้านบาท
2563 กำไรสุทธิ 144.69 ล้านบาท
2564 กำไรสุทธิ 129.25 ล้านบาท
1H64 กำไรสุทธิ 60 ล้านบาท
1H65 กำไรสุทธิ 100.22 ล้านบาท
ถ้าให้ 3 สาขาเล็กเท่ากับ 1 สาขาปกติ ปัจจุบันมี 36 สาขา ให้ขยายสาขาปีละ 7-8 แห่ง ครบ 11 ปีจะมีสาขาได้ 120 สาขา สมมุติให้มีกำไรเฉลี่ยสาขาละ 4.5 ล้านบาท ปีที่ 11 กำไรจะเป็น 540 ล้าน คูณด้วย P/E 25 เท่า อาจจะได้มูลค่า 13,500 ล้าน
มูลค่าปัจจุบันที่ประมาณ 5,400 ล้าน ใช้เวลา 11 ปีเป็นมูลค่า 13,500 ล้าน คิดเป็น IRR 8.69%
โดยมีความเสี่ยงดังนี้
- จะขยายได้ครบ 120 สาขาภายใน 11 ปีหรือเปล่า
- จะมีกำไรเฉลี่ยสาขาละ 4.5 ล้านบาทได้จริงหรือเปล่า
- ปีที่ 11 การเติบโตน่าจะลดลงมากแล้วเพราะมีสาขามาก(ถ้าทำได้ ) ตลาดจะยังคงให้ PE ที่ 25 หรือเปล่า
- การขยายสาขาจำนวนมากจะทำให้คุณภาพลดลงหรือเปล่า จะหาบุคลากรเพียงพอไหม หากคุณภาพลดลงคนไข้ก็จะหนีหายส่งผลต่อกำไรเฉลี่ยที่อาจจะไม่ถึง 4.5 ล้านได้
- เป็นประมาณการที่ดูแล้วค่อนข้าง Aggressive (หรืออย่างน้อยที่สุดก็ไม่คอนเซอร์เวทีฟแน่ๆ)
- ถ้าทำได้ตามนี้ IRR ก็เพียงแค่ 8.69% ต่อปีเท่านั้น
หากทุกอย่างสอดคล้องกัน ก็น่าจะทำได้ แต่หากมีเพียงสิ่งใดสิ่งหนึ่งตุกติกไม่เป็นไปตามแผนหล่ะ ???
#KLINIQ
************
หุ้นมั่นคงเติบโตต่ำ ปันผลสูง ซื้อเมื่อราคาต่ำกว่ามูลค่ามากพอสมควร มีส่วนเผื่อความปลอดภัยสูง
- ขายเมื่อราคาเต็มมูลค่า
- ขายทันทีที่พื้นฐานกิจการเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลงอย่างถาวร
- ขายเมื่อพบโอกาสอื่นที่ดีกว่า
หุ้นมั่นคงที่มีการเติบโตพอประมาณ ซื้อเมื่อราคาต่ำกว่ามูลค่า มีส่วนเผื่อความปลอดภัยพอสมควร
- ขายเมื่อราคาสูงกว่ามูลค่า
- ขายเมื่อพื้นฐานกิจการเปลี่ยนในทางแย่ลงอย่างถาวร
- ขายเมื่อพบเจอโอกาสอื่นที่ดีกว่ามาก
หุ้นเติบโต ซื้อที่ราคาเหมาะสม การเติบโตจะเป็นส่วนเพื่อความปลอดภัยให้เอง
- ขายเมื่อการเติบโตลดลงอย่างชัดเจนต่อเนื่องถาวร
- ขายเมื่อพบเจอโอกาสอื่นที่ดีกว่ามาก
*************
เหนื่อยหน่ายไหม กับการเดาตลาด
เดวเมกามี recession เดวไม่มี
เดี๋ยวเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าที่คาด เดี๋ยวจะขึ้นน้อยกว่าที่คาด
เดี๋ยวเงินเฟ้อจะสูง เดี๋ยวเงินเฟ้อจะต่ำ
เดี๋ยวตลาดจะตอบรับทางบวก ตลาดจะเขียว
เดี๋ยวตลาดผิดหวังตลาดจะแดง
สังเกตไหมว่าทุกอย่างอยู่บนความคิด ความคาดหวัง ในสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ทั้งนั้นเลย ทำได้เพียงแค่คอยวิ่งไล่ตาม "ความคาดหวัง" ไปเรื่อยๆ
จะดีกว่าไหมถ้าลงทุนในสิ่งที่เราเลือกได้ ควบคุมการเลือกของตัวเองได้ ลงทุนในบริษัทที่มีความมั่นคง ฝ่าฟันทุกสถานการณ์ของเศรษฐกิจไปได้ สร้างผลกำไรได้ต่อเนื่องในระยะยาว
ถ้าเราเลือกปัจจัยที่เป็นสาเหตุให้ดีเพียงพอ หลังจากนั้นก็เพียงแค่ไว้วางใจ แล้วรอผลงานให้บริษัทเติบโตไปเรื่อยๆ จะเหนื่อยใจน้อยกว่าไหม จะเป็นการลงทุนที่ดีและมีความสุขกว่าไหม
**********
ถ้าคุณสามารถรู้ทุกข้อมูลของธุรกิจนั้นได้ รู้ได้ในทุกแง่ทุกมุม ทำการบ้านมาละเอียดมาก รู้ไม่น้อยกว่าผู้บริหาร เผลอๆอาจรู้มากกว่า ผบห ด้วย เนื่องจากทำการบ้านมาครอบคลุมอุตสาหกรรมต่างๆมากกว่า
และมีประสบการณ์จากการทำการบ้านมาหลากหลายอุตสาหกรรมกว่าผู้บริหาร
แบบรู้จริงนะไม่ใช่คิดว่ารู้ ไม่ใช่คิดไปเอง (มีคนเก่งแบบนี้จริงๆนะ เก่งมากๆ แต่มีน้อยคนมากๆที่จะไปถึงจุดนั้นได้) ส่วนเผื่อความปลอดภัยก็อาจไม่จำเป็น มุ่งหา บ.ที่เน้นความก้าวหน้ามากๆ ยอมจ่ายสูงขึ้นได้ มองไปข้างหน้าแบบไม่ต้องพะวงหลัง
แต่ ถ้าคุณไม่สามารถที่จะรู้ทุกอย่าง ทุกแง่ทุกมุม ในธุรกิจนั้นได้ คุณก็ต้องรู้ว่ามีโอกาสที่คุณจะผิดพลาดสูงขึ้น
สิ่งที่จะมารองรับความผิดพลาดนั้นได้ สิ่งที่จะมาเป็นบัฟเฟอร์ คือ ส่วนเผื่อความปลอดภัย (MOS) ซึ่งจะได้มาจากการซื้อ ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าพอสมควร
ประเด็นคือ คนไม่น้อยที่คิดว่าตัวเองรู้ลึก คิดว่าตัวเองรู้จริง แต่ไม่รู้ว่าตนเองไม่รู้อะไรบ้าง
แล้ววางตำแหน่งการลงทุนโดยโฟกัสที่จะพุ่งไปข้างหน้าแต่เพียงอย่างเดียว ไม่มองเผื่อทางถอยหรือความเสียหายความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นไว้บ้างเลย เวลาเกิดความผิดพลาดขึ้นมามันจะเสียหายหนัก
**********
รายการหุ้นส่วนมากมักจะวนเวียนอยู่กับการพยายามทำนายตลาด
*********
หากคุณเลือกลงทุนในบริษัทที่จ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นตลอดระยะเวลา 10-20 ปีติดต่อกันแล้ว คุณจะมีโอกาสขาดทุนน้อยมากๆ
ยกเว้นเสียแต่ว่าคุณจะซื้อหุ้นนั้นมาแพงมากๆ หรือไปเลือกหุ้นที่มีกำหนดระยะเวลา เช่น สัมปทาน สัญญาระยะยาวที่ค่อยๆหมดไป
*********
ถ้าหากต้องการมีอิสรภาพทางการเงินที่แท้จริง มันหมายถึงว่าในแต่ละปีคุณจะต้องมีกระแสเงินสดไหลเข้าให้เพียงพอใช้ตลอดทั้งปีรวมถึงเพียงพอที่จะสะสมสำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน
ซึ่งกระแสเงินสดที่จะไหลเข้ามาทุกปีเพื่อไว้ใช้จ่าย สำหรับนักลงทุนแล้ว คือเงินปันผล
หรือพูดง่ายๆก็คือถ้าหากอยากจะมีอิสรภาพทางการเงินต้องทยอยสะสมหุ้นปันผลเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
หากไม่เช่นนั้นแล้ว คุณก็จะไม่มีวันมีอิสรภาพทางการเงิน
สมมุติว่าคุณชอบเทรด คุณเป็นเทรดเดอร์ วันหนึ่งที่คุณหยุดเทรด วันหนึ่งที่คุณเจ็บป่วยหรือเกิดอุบัติเหตุแล้วต้องเข้าโรงพยาบาลสัก 2-3 เดือน หรืออยากจะไปเที่ยวต่างประเทศสักเดือนนึง คุณต้องหยุดเทรด กระแสเงินสดไหลเข้านั้นหยุดไป แต่ค่าใช้จ่ายไม่เคยหยุด
หากคุณเทรดฟิวเจอร์ หรือ ออปชั่น เปิดสถานะไว้แล้วบังเอิญมีเหตุให้ไม่สามารถดูพอร์ต หรือไม่สามารถเทรดได้สัก 3-4 วัน (เช่นมีอุบัติเหตุ สลบไป) พอเปิดมาดูอีกที พอร์ตคุณอาจเสียหายหนักมากได้
คุณจะเห็นว่าการเป็นเทรดเดอร์มันจะกินเวลามันจะผูกพันกับเวลาและการทำงานของคุณอย่างมาก คุณแทบจะหยุดงานไม่ได้ ถ้ามันเป็นเช่นนั้นย่อมจะไม่ใช่หนทางสู่อิสรภาพทางการเงิน
หลายคนบอกว่าต้องการจะเทรดเพื่อที่จะหาเงินไปซื้อหุ้นปันผล แต่เชื่อเถอะมีน้อยคนที่จะทำได้ เพราะในช่วงเวลาที่คุณเทรดได้คุณก็จะอยากได้มากขึ้นไปอีก คุณก็จะอยากถอนเงินจากหุ้นปันผลมาเทรด เพราะเงินที่ใส่อยู่ในหุ้นปันผลนั้นมันงอกเงยช้า
และเมื่อความโลภมาถึงเมื่อคุณพังพอร์ตการลงทุนของคุณเอง นำเงินไปเพิ่ม position ในการเทรดพอเวลาเทรดเสียขนาดของ position ที่เทรดเสียก็จะมีขนาดใหญ่กว่าตอนที่ได้ นี่คือการเสีย 2 ต่อทั้งพอร์ตที่หวังจะสร้างอิสรภาพทางการเงิน และพังเสียหายจากการเทรดด้วย
พอร์ตหุ้นปันผลที่จะสร้างอิสรภาพทางการเงินนั้นมันต้องใช้ระยะเวลายาวในการสะสมเมื่อคุณพังมันไปแล้ว พอมีสติก็อยากจะกลับมาสร้างใหม่ วนเวียนอยู่อย่างนี้ไปเรื่อย
แต่ไม่เคยได้พอร์ตที่สามารถสร้างอิสรภาพทางการเงินได้จริงๆ เพราะคุณทำลายมันกับมือคุณเอง รวมถึงระยะเวลาในการลงทุนของคนเรานั้นมีจำกัด ระยะเวลาหดสั้นลงเรื่อยๆเรียกกลับคืนมาไม่ได้