วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2568

หลักคิด 51

บทที่ 11: เมื่อไหร่ควรขายและเก็บกำไรที่คุ้มค่า

**คำคมจากนักลงทุนชื่อดัง:**

**นาธาน รอธชิลด์** (นายธนาคารระหว่างประเทศที่ประสบความสำเร็จ):

“แน่นอนว่ามี ผมไม่เคยซื้อที่จุดต่ำสุด และผมขายเร็วเสมอ”

**โจ เคนเนดี้** (นักเก็งกำไรในวอลล์สตรีท และพ่อของประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี้):

“มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ยึดมั่นเพื่อรอดอลลาร์สูงสุด” วัตถุประสงค์คือ “ออกไปขณะที่หุ้นกำลังขึ้น ก่อนที่มันจะมีโอกาสแตกหักและลงมา”

**เจอรัลด์ เอ็ม. โลเอบ** (นักการเงินที่ประสบความสำเร็จสูง):

เน้นว่า “เมื่อราคาขึ้นสู่พื้นที่ปกติหรือแพงเกินไป จำนวนหุ้นที่ถือควรลดลงอย่างต่อเนื่องตามที่ราคาเพิ่มขึ้น”

**หลักการสำคัญ:**

สิ่งที่นักลงทุนระดับตำนานเหล่านี้เชื่อคือ: คุณต้องออกไปขณะที่การขึ้นยังดีอยู่ เคล็ดลับคือ “กระโดดออกจากลิฟต์ที่ชั้นหนึ่งระหว่างทางขึ้น และไม่ใช่นั่งมันกลับลงมาอีกครั้ง”

**คุณต้องพัฒนาแผนกำไร-ขาดทุน**

เพื่อจะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในตลาดหุ้น **คุณต้องมีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนและแผนกำไร-ขาดทุน** ผู้เขียนพัฒนากฎการซื้อและขายที่อธิบายในหนังสือเล่มนี้ในช่วงต้นทศวรรษ 1960

**กลยุทธ์การขาย:**

- ขายหุ้นของคุณขณะที่มันกำลังขึ้นและดูแข็งแกร่ง

- อย่ารอจุดสูงสุดสัมบูรณ์

- เป้าหมายคือกำไรที่สม่ำเสมอ ไม่ใช่กำไรสูงสุด

- จำคำพังเก่าที่ว่า “วัวทำเงิน หมีทำเงิน แต่หมูถูกฆ่า”


**ข้อคิดหลัก:**

“หากคุณไม่ขายเร็ว คุณจะสาย วัตถุประสงค์ของคุณคือทำกำไรที่สำคัญ ไม่ใช่ตื่นเต้น มองโลกในแง่ดี โลภ หรือหลงใหลทางอารมณ์เมื่อหุ้นของคุณขึ้นแรงขึ้น”


เนื้อหานี้เป็นภูมิปัญญาการลงทุนแบบคลาสสิก เน้นการเก็บกำไรอย่างมีระเบียบแทนการโลภและถือนานเกินไป​​​​​​​​​​​​​​​​


************


ตลาดเคลื่อนไหวก่อน จากนั้นจึงมีการหาเหตุผลมาอธิบายทีหลัง  การพยายามหาเหตุผลให้กับทุกการเคลื่อนไหวของตลาดมักจะผิดพลาด


บางครั้งการพลาดโอกาส ดีกว่าการเสี่ยงสวนเทรนด์


************


- เมื่ออยู่ในอารมณ์โกรธ ให้เงียบ

- เมื่อคุณยังไม่มีข้อมูลครบถ้วน ให้เงียบ

- เมื่อคุณยังไม่ได้ตรวจสอบความจริงของเรื่องราวให้เงียบ

- เมื่ออยากล้อเลียนผู้อื่น ให้เงียบ

- เมื่อจะละอายในคำพูดของตัวเองภายหลัง ให้เงียบ

- หากเรื่องนั้นไม่ใช่ธุระของคุณ ให้เงียบ

***********

"คุณจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณได้ จนกว่าคุณจะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่คุณทำทุกวัน เคล็ดลับความสำเร็จ อยู่ที่กิจวัตรประจำวันของคุณ" - จอห์น ซี. แม็กซ์เวลล์

************


คนเราสามารถสร้างกล้ามเนื้อได้ ตลอดชีวิต ไม่มีอายุที่หยุดเด็ดขาด เพียงแต่ความเร็วและปริมาณที่สร้างได้จะลดลงตามอายุ โดยเฉพาะหลัง 40–50 ปีขึ้นไป 


คนที่คิดว่าเดวอายุมากอีกหน่อยค่อยสร้างกล้ามเนื้อ 

1. ขนาดอายุน้อยยัง “ไม่อยาก” ยกของหนัก (เวทเทรนนิ่ง) เลย แล้วทำไมคิดว่าอายุมากจะอยาก


2. อายุน้อยกล้ามเนื้อขึ้นได้ไวกว่า ทำให้มีกำลังใจในการฝึกมากกว่า แต่พออายุมากกล้ามเนื้อเพิ่มได้ช้า เมื่อรวมกับความไม่อยากเทรน เป็นทุนเดิม ยิ่งไม่มีกำลังใจในการฝึก


เมื่อเป็นเช่นนี้ พออายุมากขึ้นหลายคนกลายเป็นโรคกระดูกพรุน


กล้ามเนื้อที่มากพอจะช่วยพยุงการเคลื่อนไหวลดภาระของเส้นเอ็นและข้อต่อ แต่พอกล้ามเนื้อน้อย เส้นเอ็นต่างๆบาดเจ็บได้ง่ายขึ้น ข้อต่างๆอักเสบได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้ข้อต่างๆสึกหรอง่ายขึ้น สุดท้ายทำให้หลายคน มีปัญหาเรื่องการเคลื่อนไหวในการใช้ชีวิตประจำวันยามอายุมากขึ้น 


บางคนข้อเข่าสึกจนต้องผ่าตัด เดินลำบาก บางคนกระดูกพรุน แตกหักง่าย ล้มทีเดียวสะโพกแตก สุดท้ายของอาการเหล่านี้ คือการนอนติดเตียง คุณภาพชีวิตยามอายุมากตกต่ำ ซึ่งเป็นผลมาจากกล้ามเนื้อน้อยและลดลงตามวัย


ดังนั้นการเวทเทรนนิ่งเพื่อสร้าง เพื่อรักษากล้ามเนื้อจึงสำคัญ ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตเมื่ออายุมากขึ้นอย่างชัดเจน


ประกอบกับคนที่ฝึกเวทเทรนนิ่งมักจะชอบให้รูปร่างดูดี จึงมักจะมีผลพลอยได้ด้านสุขภาพ คือ ไม่ค่อยมีภาวะ อ้วนมากซึ่งเป็นที่มาของสารพัดโรค


************


เมื่อไหร่ควรขายและเก็บกำไรอย่างคุ้มค่า


คำคมจากนักลงทุนชื่อดัง


นาธาน รอธชิลด์ (นายธนาคารระหว่างประเทศที่ประสบความสำเร็จ)

“แน่นอนว่ามี ผมไม่เคยซื้อที่จุดต่ำสุด และผมขายเร็วเสมอ”


โจ เคนเนดี้ (นักเก็งกำไรในวอลล์สตรีท และพ่อของประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี้)

“มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ยึดมั่นเพื่อรอกำไรสูงสุด” วัตถุประสงค์คือ “ออกไปขณะที่หุ้นกำลังขึ้น ก่อนที่มันจะมีโอกาสแตกหักและลงมา”


เจอรัลด์ เอ็ม. โลเอบ (นักการเงินที่ประสบความสำเร็จสูง) เน้นว่า “เมื่อราคาขึ้นสู่พื้นที่ปกติหรือแพงเกินไป จำนวนหุ้นที่ถือควรลดลงอย่างต่อเนื่องตามที่ราคาเพิ่มขึ้น”


************


บทความจาก Forbes ปี 1992 เกี่ยวกับปรัชญาการลงทุนของ Warren Buffett โดย Mark Hulbert


“จงเป็นเสือ อย่าเป็นไก่” - ความลับการลงทุนของ Warren Buffett


ปรัชญาเสือ vs ไก่

Buffett เปิดเผยว่า นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จต้องเป็นเหมือน “เสือ” ที่อดทนรอจังหวะ มีสมาธิ และพร้อมที่จะตะครุบเมื่อเห็นโอกาสที่เหมาะสม ไม่ใช่เป็นเหมือน “ไก่” ที่คอยจิกจากที่นั่นที่นี่อยู่ตลอดเวลา


จุดสำคัญ


1. พฤติกรรมนักลงทุน

- นักลงทุนส่วนใหญ่ทำตัวเหมือนไก่ ขยับไปขยับมาและซื้อขายบ่อยๆ

- นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จทำตัวเหมือนเสือ - รอด้วยความอดทนและลงมือเมื่อถึงจังหวะ

- ความสำเร็จในการลงทุนมาจากการตัดสินใจสำคัญๆ ไม่กี่ครั้ง ไม่ใช่จากการเคลื่อนไหวบ่อยๆ


2. ตัวอย่างประวัติศาสตร์

- Benjamin Graham ลงทุนใน Geico ถึง 25% ของพอร์ต และได้ผลตอบแทนมหาศาล

- Martin Zweig มีผลงานยอดเยี่ยม แต่นักลงทุนที่อดทนและมีสมาธิยังเอาชนะได้


3. บริบทตลาด (วิกฤต 1987)

- ตุลาคม 1987 ตลาดตก 23% แต่พอร์ตของ Buffett กำไร 20%

- นี่ไม่ใช่โชค แต่เป็นผลจากการเตรียมตัวและการมีวินัยในการรอจังหวะ


ใจความหลัก

นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงการซื้อขายบ่อยๆ แต่ควรมุ่งเน้นไปที่การหาโอกาสที่ยอดเยี่ยมในระยะยาว ความแตกต่างระหว่างโชคกับฝีมือมักขึ้นอยู่กับการเตรียมตัวและความอดทนที่มีวินัย - การพร้อมรับมือเมื่อจังหวะที่ถูกต้องมาถึง


การนำไปปฏิบัติ

แทนที่จะพยายามจะจับจังหวะตลาดทุกครั้ง นักลงทุนควรเน้นการศึกษาอย่างละเอียดและรอโอกาสที่น่าสนใจ ซึ่งตนเองมีความมั่นใจสูง


************


LDL ในเลือด ถูกผลิตจากตับ โดย ไขมันอิ่มตัว และคลอเรสเตอรอลมีผลต่อระดับ LDL 


ดังนั้นปริมาณไขมันอิ่มตัวที่ทานจึงควรทานในปริมาณต่ำหากต้องการควบคุม LDL


และคลอเรสเตอรอลจากอาหาร มีผลในคนบางกลุ่มที่มีพันธุกรรมที่มีความไวต่อคอลเรสเตอรอล


ดังนั้นในคนที่ต้องการควบคุม LDL ควรทาน ไขมันอิ่มตัวไม่เกิน 5-10% ของพลังงานรวม หรือคิดเป็นประมาณ 16 กรัมต่อวัน


และคลอเรสเตอรอลจากอาหาร คนที่มีปัญหาเรื่อง LDL สูง ควรทานไม่เกิน 200 มก ต่อวัน


ไขมันอิ่มตัว < 16 กรัมต่อวัน

คลอเรสเตอรอล < 200 มกต่อวัน


มาดูอาหารกันบ้าง ว่าอะไรเหมาะสม ไม่เหมาะสม หากมองในมุมของการควบคุม LDL


ไขมันอิ่มตัว (ต่อ 100 กรัม, มาก → น้อย)

 1. ไข่ไก่ต้ม (~3 g)

 2. เนื้อวัวสุก (~2.5 g)

 3. เนื้อหมูสันนอกสุก (~1.5 g)

 4. สะโพกไก่ไม่ติดหนังนึ่ง (~1 g)

 5. ปลากระพงนึ่ง (~0.8 g)

 6. อกไก่ไม่ติดหนังนึ่ง (~0.3–0.4 g)

 7. ไข่ขาวต้ม (~0 g)


ปล. ไขมันอิ่มตัวควรทาน < 16 กรัมต่อวัน


🥚 คอเลสเตอรอล (ต่อ 100 กรัม, มาก → น้อย)

 1. ไข่ไก่ต้ม (~370 mg)🛑

 2. เนื้อวัวสุก (~90 mg)

 3. เนื้อหมูสันนอกสุก (~75 mg)

 4. สะโพกไก่ไม่ติดหนังนึ่ง (~80 mg)

 5. อกไก่ไม่ติดหนังนึ่ง (~70 mg)

 6. ปลากระพงนึ่ง (~45 mg)

 7. ไข่ขาวต้ม (~0 mg)


คลอเรสเตอรอลควรทาน < 200 มกต่อวัน


สรุปสั้น ๆ  ไข่ทั้งฟองครองแชมป์ทั้งสองฝั่ง ส่วน ไข่ขาวปลอดภัยสุด (ศูนย์แทบทั้งคู่) ส่วนเนื้อสัตว์อื่น ๆ อยู่ในโซนกลาง ๆ แตกต่างไม่มากนักเมื่อเทียบกับไข่


สมมติคนที่เล่นเวท ต้องการโปรตีน 1.6 กรัมต่อ นน ตัว 1 กก


ในคนที่ นน ตัว สมมติ 70 กก ต้องการโปรตีน 112 กรัมต่อวัน


หากทานอกไก่เพื่อให้ได้โปรตีน 112 กรัมต่อวัน ต้องทานอกไก่ไม่ติดหนังต้มประมาณ 450 กรัม ซึ่งจะมีไขมันอิ่มตัวประมาณ 1.4–1.8 กรัม และคลอเลสเตอรอลประมาณ 315 มก.🛑

โดยที่ยังไม่นับรวมอาหารอื่นๆที่จะต้องทานและมีไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลเพิ่มอีก


ดังนั้นในกลุ่มคนที่ไวต่อคอเลสเตอรอล (คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับไขมัน LDL) จึงไม่สามารถทานอกไก่ในปริมาณ ที่โปรตีนเพียงพอต่อร่างกายได้ เพราะคลอเลสเตอรอลจะเกิน


นี่จึงเป็นที่มาว่า เห็นนักเพาะกายบางคนที่ทานอกไก่มากๆพอตรวจเลือดกับพบว่าในเลือดมีไขมันสูง มี LDL สูง 


แต่การทานอกไก่ สามารถทานได้หากทานในปริมาณที่น้อยลง แล้วเสริมโปรตีนจากอาหารแหล่งอื่น เช่น ทานอกไก่ 50 ถึง 80 กรัม แล้วทานไข่ขาวเพิ่ม เพื่อเพิ่มโปรตีนให้ถึงปริมาณที่ต้องการ


คนไม่น้อย ที่ไม่สามารถบังคับตัวเองได้  ก็จะทานทุกอย่างตามปกติ แล้วไปทานยา statin เพื่อช่วยลด LDL  มันก็แปลว่าต้องทานยาไปตลอดชีวิต 


************


ทำไมคนที่วิ่งมากๆ เช่น วิ่งวันละ 10 km ทุกวัน ผอม แต่กลับ LDL พุ่งสูง ???


“อย่างแรกเลย คนที่ออกกำลังกายมาก คาร์ดิโอมาก วิ่งมาก มักจะมีรูปร่างผอม และมีความเชื่อว่าตัวเองออกกำลังกายมาก เลยมักจะทานอาหารตามใจปากแบบไม่กังวล เช่น ทานหมูปิ้งติดมัน ทานคอหมูย่าง ทานหมูทอด ทานของทอดอย่างสบายใจ และมักจะคิดว่า เดี๋ยวไปวิ่งก็เบิร์นหมดแล้ว วิ่งเยอะแล้วจะกินอะไรก็ได้”


หลายคนที่ออกกำลังกายหนักก็เลยเจอปัญหา “LDL สูง” ทั้งที่รูปร่างผอมและเผาผลาญพลังงานเยอะ


สรุปเป็นประเด็นให้ชัด ๆ 



1. การเบิร์นแคลอรี่ ≠ การเผาผลาญไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอล


 • การวิ่งหรือการคุมแคลอรี่ “เผาผลาญพลังงาน” (กลูโคส ไขมันอิสระ ไตรกลีเซอไรด์)


 • 🛑 แต่ คอเลสเตอรอลและ LDL ไม่ได้ถูกเผาผลาญออกเหมือนพลังงาน ร่างกายยังคงต้องจัดการผ่านตับและกระบวนการขับถ่ายน้ำดี


 • 🛑 ถ้าทานไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลมาก → ตับจะสร้าง LDL มากขึ้นเพื่อลำเลียงไขมันในเลือด แม้พลังงานรวมจะขาดดุล



2. การออกกำลังกายช่วย HDL มากกว่า LDL

 • งานวิจัยพบว่า แอโรบิค เช่น วิ่ง ช่วยเพิ่ม HDL (ไขมันดี) และลดไตรกลีเซอไรด์


 • 🛑 แต่ผลต่อ LDL มักไม่ชัดเจน หรือบางครั้งแทบไม่ลดเลย


 • 🛑 ถ้านิสัยการกินยังเต็มไปด้วย SFA (saturated fat) และคอเลสเตอรอลสูง → LDL ก็ยังพุ่งได้



3. พันธุกรรมและ “Hyper-responders”

 • บางคนเป็น hyper-responder ต่อคอเลสเตอรอลในอาหาร → ทานอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง LDL จะพุ่งแรงกว่าคนทั่วไป


 • แม้จะผอม ออกกำลังกายหนัก หรือแคลอรี่ติดลบก็ตาม


 • 🛑 คนกลุ่มนี้พบได้ 20–30% ของประชากร (ไม่น้อยเลยนะประมาณห้าคนจะเจอหนึ่งคน)



4. ความเครียดจากการวิ่งหนักและการอักเสบ

 • การวิ่งระยะไกลทุกวัน 10 km เป็นภาระทางกายภาพ → อาจทำให้ร่างกายเกิด oxidative stress และการอักเสบ 🛑


 • หากไม่พักฟื้นและไม่ทานอาหารที่สมดุล (เช่น ผัก ผลไม้ ไฟเบอร์สูง) LDL จะถูกออกซิไดซ์ง่ายขึ้น และเสี่ยงสะสมในหลอดเลือด🛑



5. บทบาทของไฟเบอร์และพืชผัก

 • แม้เบิร์นพลังงานเยอะ แต่หากขาด ใยอาหารละลายน้ำ (soluble fiber) เช่น ข้าวโอ๊ต ถั่ว แอปเปิล → ตับจะรีไซเคิลคอเลสเตอรอลกลับมาใช้มากขึ้น → LDL ไม่ลด 🛑


 • ดังนั้นการกิน “แบบไม่ระวัง” โดยไม่ใส่ผัก ผลไม้ ธัญพืช อาจยิ่งทำให้ LDL สูง แม้จะวิ่งทุกวัน🛑



✅ สรุป

การ “เบิร์นพลังงาน” ไม่ได้เท่ากับ “ลด LDL” เพราะ LDL ถูกกำหนดหลัก ๆ โดย ชนิดไขมันที่กิน + พันธุกรรม + สมดุลของตับและการขับถ่ายน้ำดี ไม่ใช่แค่พลังงานเข้าออก การวิ่งช่วยสุขภาพหัวใจและเพิ่ม HDL แต่ไม่ชดเชยผลเสียของการทานไขมันอิ่มตัวสูงได้


 ได้พูดถึงการออกกำลังกายอย่างมากเช่นวิ่งวันละ 10 กิโล แต่ LDL กลับพุ่งสูงขึ้น ด้วยสาเหตุมาจากการทานไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอล (อ่านซ้ำได้ลิ้งในคอมเม้นท์) 


จากนี้ก็คงจะมีความสงสัยว่าอาหารประเภทไหนมีคอเลสเตอรอลสูง อาหารประเภทไหนมีไขมันอิ่มตัวสูง เพื่อที่จะได้ ทานลดลง หรือเลี่ยงได้ก็ได้เลี่ยง 


จัดให้ครับ ผมทำ 2 ตาราง แยกกัน

 1. Top 10 แหล่งไขมันอิ่มตัว (SFA) ที่คนไทย/คนทั่วไปกินบ่อย

 2. Top 10 แหล่งคอเลสเตอรอล ที่กินบ่อย


โดยอ้างอิงจากค่าเฉลี่ย ต่อ 100 กรัม หรือ 1 หน่วยบริโภคทั่วไป (USDA + TFD)



คนที่มี LDL สูง โดยเฉลี่ยไม่ควรทานไขมันอิ่มตัวเกิน 5-10% ของพลังงานรวมที่ทาน คำนวนแบบเฉลี่ย  ไขมันอิ่มตัว < 16 กรัมต่อวัน


และคลอเลสเตอรอล 

prefer < 200 โดย max < 300


—————


 Top 10 อาหาร/ส่วนประกอบที่มีไขมันอิ่มตัวสูง (SFA) 


น้ำมันมะพร้าว ไขมันอิ่มตัว 82 g จากปริมาณ 100 g  คือสูงสุด  เกือบทั้งหมดเป็น SFA


น้ำมันปาล์ม ~50 g/100 g ใช้ทอดอาหารบ่อยในไทย


เนย ~50 g/100 g  มีทั้ง SFA และมีคลอเลสเตอรอลสูง


กะทิข้น (กระป๋อง) ~21 g/100 g พบมากในแกงไทย


เนื้อหมูสามชั้นสุก ~15 g/100 g กินบ่อยในขาหมู/หมูกระทะ


เบคอนทอด ~14 g/100 g อาหารเช้า/ท็อปปิ้ง


ชีสเชดดาร์ ~19 g/100 g ใส่แซนด์วิช/พิซซ่า


ไอศกรีม (นมเต็มมันเนย) ~10 g/100 g


 ขนมยอดนิยม

เค้ก/คุกกี้เนย ~8–12 g/100 g  ใช้เนย/มาการีนเยอะ


ไส้กรอกหมู/ไก่ ~8–10 g/100 g   มีทั้งไขมันอิ่มตัวและโซเดียมสูง



Top 10 อาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง


ไข่แดง (1 ฟอง ~18 g) มีคลอเลสเตอรอลประมาณ 185–200 mg 


ตับหมู/วัว มีคอเลสเตอรอลประมาณ 350–400 mg ต่อ 100 g กินบ่อยในต้มเลือดหมู


กุ้ง (สด) ~180–200 mg/100 g พบในอาหารไทยบ่อย


ปลาหมึก ~230 mg/100 g ย่าง/ผัดบ่อย


หอยนางรม ~150 mg/100 g หอยทอด/ยำหอย


เนย ~220 mg/100 g (30 mg/ช้อนโต๊ะ) ใช้ในเบเกอรี


เนื้อสัตว์ติดมัน (หมู, วัว) ~70–100 mg/100 g กินประจำในอาหารไทย


ไส้กรอก/เบคอน ~70–80 mg/100 g อาหารเช้า/แซนด์วิช


ปู ~120 mg/100 g นึ่ง/ผัด

ชีส ~90–100 mg/100 g พิซซ่า/เบเกอรี



✅ ภาพรวม

 • แหล่งไขมันอิ่มตัว หลักๆในไทย → น้ำมันปาล์ม, กะทิ, เนื้อหมูติดมัน, ขนม/เบเกอรี


 • แหล่งคอเลสเตอรอลหลักๆ → ไข่แดง, เครื่องใน, อาหารทะเล (กุ้ง, ปลาหมึก), เนื้อสัตว์แปรรูป


ไม่ได้บอกว่าต้องงดทั้งหมด แต่ บางอย่างเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยงบางอย่างเลี่ยงไม่ได้ก็ทานลดลง และทานอย่างอื่นทดแทน 


************


พอร์ตหุ้นต่างประเทศของเรา จัดสรรสัดส่วนโดยมี  

- Stock/ETF ประมาณ 65% 

- Gold ETF ประมาณ 15%

- Cash & Bond ETF 20%


เหตุผล

- Stock/ETF เราเลือกลงทุนในตัวที่เป็น Leader วิ่งแรงกว่าดัชนี

- Gold ETF เผื่อกรณีเกิด Black Swan

- Cash/ Bond ETF พร้อมโยกเข้าซื้อหุ้นหรือทองเสมอหามีจังหวะ ระหว่างรอจังหวะก็รับปันผลจากดอกเบี้ยปีละประมาณ 4.xx % 


ผลลัพธ์ ถึงแม้ว่ากองทุนพันธบัตรจะได้ผลตอบแทนต่ำ แต่พอรวมกับทองและหุ้น เป็นพอร์ตรวมแล้ว ผลตอบแทนรวมก็มากกว่าผลตอบแทนของดัชนี 


ที่เราคาดการณ์ คือ

หากเกิด Black Swan จริง

สมมติ หุ้นตลาดลดลง 40-45% หุ้นในพอร์ตจะลดจาก 65% เหลือ 35-40%


ในขณะเดียวกันเวลาเกิดเหตุการณ์รุนแรงราคาทองจะพุ่งขึ้น  สมมติขึ้นจากสัดส่วน 15% กลายเป็น 22%


กองทุนพันธบัตรมักจะราคาขึ้นในข่วง Black Swan เพราะเงินจะย้ายออกจากทรัพย์สินเสี่ยงไปสู่ทรัพย์สินที่ สมมติ จากสัดส่วน 20% ขึ้นเป็น 24%


เท่ากับว่าในช่วงที่เป็น Black Swan เช่น สงครามโลก พอร์ตรวมจะเสียหายประมาณ 15%-18% เท่านั้น ซึ่งเป็นตัวเลขที่เราโอเค 


นี่พูดถึงกรณีที่เราไม่ป้องกันความเสี่ยง หรือป้องกันความเสี่ยงไม่ทัน แต่โดยปกติแล้ว เราจะมีการ Hedge เสมอ


แต่หากไม่เกิดเหตุร้าย พอร์ตรวมก็จะเติบโตมากกว่าดัชนีไปเรื่อยๆ


อันนี้คือแนวทางจัดพอร์ตของเรา  


************


โดปามีน (Dopamine) คือสารสื่อประสาทชนิดหนึ่งในสมอง ซึ่งทำหน้าที่สำคัญหลายอย่าง


หน้าที่หลัก

ระบบรางวัลและแรงจูงใจ - โดปามีนถูกหลั่งออกมาเมื่อเราทำสิ่งที่ให้ความพอใจหรือบรรลุเป้าหมาย ทำให้รู้สึกดีและอยากทำสิ่งนั้นอีก


การเคลื่อนไหว - ช่วยควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย (คนที่ขาดโดปามีนอาจเป็นโรคพาร์กินสัน) ❇️


การเรียนรู้และความจำ - ช่วยให้จดจำประสบการณ์ที่ดีและเรียนรู้พฤติกรรมใหม่ๆ ❇️


อารมณ์และสมาธิ - มีผลต่อความรู้สึกมีความสุข พลังงาน และความสามารถในการมีสมาธิ ❇️


เมื่อระดับโดปามีนสมดุล เราจะรู้สึกมีแรงจูงใจ มีพลัง มีสมาธิ และมีความสุข 


แต่ถ้าระดับโดปามีนต่ำเกินไป อาจทำให้เกิดอาการซึมเศร้า เบื่อหน่าย ขาดแรงจูงใจ หรือเคลื่อนไหวลำบาก 🟠


ในทางกลับกัน ถ้ามีโดปามีนสูงเกินไปหรือระบบโดปามีนทำงานผิดปกติ อาจเกิดอาการหลงผิด ประสาทหลอน หรือพฤติกรรมเสพติด 🔴


วิธีเพิ่มโดปามีน

โดปามีน คือสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกมีแรงจูงใจ ความพอใจ และการให้รางวัลตัวเอง นี่คือวิธีธรรมชาติในการเพิ่มระดับโดปามีน


1. วิ่ง - การออกกำลังกายแบบแอโรบิกช่วยกระตุ้นการหลั่งโดปามีนและเอนดอร์ฟิน


2. เต้นรำ - การเคลื่อนไหวร่างกายตามจังหวะดนตรีช่วยสร้างความสุขและกระตุ้นสมอง


3. แสงแดด - แสงธรรมชาติช่วยเพิ่มการผลิตโดปามีนและเซโรโทนิน


4. ทำสมาธิ - การฝึกสติช่วยปรับสมดุลระบบสารเคมีในสมอง


5. ทำงานอย่างตั้งใจ - การจดจ่อกับงานอย่างเต็มที่ (Deep work) ช่วยเพิ่มความรู้สึกสำเร็จ


6. ยกน้ำหนัก - การออกกำลังกายด้วยแรงต้านช่วยเพิ่มโดปามีนและฮอร์โมนการเจริญเติบโต


7. อาบน้ำเย็น - ช่วยกระตุ้นระบบประสาทและเพิ่มระดับโดปามีน


8. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ - การนอนหลับที่มีคุณภาพช่วยฟื้นฟูการทำงานของสมอง


9. รู้จักดื่มด่ำกับช่วงเวลาปัจจุบัน - การมีสติอยู่กับปัจจุบันช่วยให้รู้สึกมีความสุข


10. ตั้งเป้าหมายและทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมาย - ความก้าวหน้าช่วยกระตุ้นระบบรางวัลในสมอง


11. ยอมรับความเบื่อ - การปล่อยให้จิตใจพักผ่อนช่วยเพิ่มความคิดสร้างสรรค์


12. ลองสิ่งใหม่ๆ - ประสบการณ์ใหม่กระตุ้นการเรียนรู้และการหลั่งโดปามีน


13. ลดการใช้โทรศัพท์ - การหลีกเลี่ยงการกระตุ้นโดปามีนแบบผิวเผินช่วยฟื้นฟูความไวต่อการตอบสนอง


14. ทำงานอย่างชอบและภูมิใจในตัวเอง - ความรู้สึกมีคุณค่าและความภาคภูมิใจช่วยเสริมสร้างความมีแรงจูงใจ


การทำอย่างสม่ำเสมอจะช่วยสร้างสมดุลของโดปามีนในสมองอย่างยั่งยืน และมีประโยชน์ต่อสุขภาพจิตในระยะยาว


************


แก่นแท้ของชีวิต คือคุณภาพชีวิตที่ตัวเราเองสัมผัส การกำหนดคุณค่าชีวิต กำหนดจากตัวเอง ด้วยตัวเอง






วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2568

หลักคิด 50

 จะหาเงินย่อมต้องทุ่มเทเวลา อย่าคิดว่าเข้ามาในตลาดหุ้นแล้วจะคว้าเงินได้ง่ายง่ายโดยไม่ต้องทุ่มเทอะไรเลย 


ถ้าไม่คิดจะทุ่มเท  ไม่คิดจะให้เวลากับมัน แต่อยากมี “โอกาส” ได้เงินไวๆ  กำเงินเข้าบ่อนซะ นั่นคือทางเดียว  แต่โอกาสได้เงินจะมากหรือน้อยนั่นอีกเรื่องนึงนะ

**********


การทบทวน (meta-analysis) และงานวิจัย metabolic ward (ควบคุมอาหารเข้มงวด) พบว่า


หากแทนที่พลังงาน 1% จากคาร์โบไฮเดรตด้วยไขมันอิ่มตัว → LDL จะเพิ่มขึ้นประมาณ 1.2 มก./ดล. โดยเฉลี่ย หรือคิดเป็น ~1–2% เพิ่มขึ้นของ LDL ต่อพลังงาน 1% จากไขมันอิ่มตัว


ถ้าอาหารมีพลังงาน 2,000 kcal → พลังงาน 1% = 20 kcal ≈ ไขมันอิ่มตัว 2.2 กรัม

⇒ การเพิ่มไขมันอิ่มตัว ~2 กรัม/วัน อาจทำให้ LDL-C สูงขึ้น ~1–2%


ถ้าเพิ่มไขมันอิ่มตัว 5% ของพลังงานรวม (≈11 กรัมในอาหาร 2,000 kcal) → LDL อาจเพิ่มขึ้น 5–10%


ถ้าเพิ่มสูงถึง 10% ของพลังงานรวม (≈22 กรัม/วัน) → LDL-C อาจเพิ่มขึ้น 10–20%


ตัวเลขจริงขึ้นอยู่กับ พันธุกรรม, microbiome, สัดส่วนพลังงานรวม และ การออกกำลังกาย


**********


อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะในด้าน กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (MUFA) ซึ่งดีต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งมีใยอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุหลายชนิด


สารอาหารหลักในอะโวคาโด (ข้อมูลจาก USDA, ปริมาณต่อ 100 กรัม เนื้อสด)

 • พลังงาน 160 kcal

 • โปรตีน 2 กรัม

 • คาร์โบไฮเดรต 8.5 กรัม (ใยอาหาร 6.7 กรัม, น้ำตาล 0.7 กรัม)

 • ไขมันทั้งหมด 14.7 กรัม

 • กรดไขมันอิ่มตัว (SFA) 2.1 กรัม

 • กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (MUFA) 9.8 กรัม

 • กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (PUFA) 1.8 กรัม

 • คอเลสเตอรอล: 0 มก.


วิตามิน

 • วิตามิน K 21 µg (26% ของ RDI)

 • วิตามิน C 10 มก. (12% ของ RDI)

 • วิตามิน E 2.1 มก. (14% ของ RDI)

 • วิตามิน B5 (Pantothenic acid) 1.4 มก. (28% ของ RDI)

 • วิตามิน B6 0.3 มก. (15% ของ RDI)

 • โฟเลต (Folate) 81 µg (20% ของ RDI)


แร่ธาตุ

 • โพแทสเซียม 485 มก. (14% ของ RDI) → สูงกว่ากล้วยในปริมาณเท่ากัน

 • แมกนีเซียม 29 มก.

 • ฟอสฟอรัส 52 มก.

 • แคลเซียม 12 มก.

 • ธาตุเหล็ก 0.6 มก.


สารพฤกษเคมี

 • ลูทีนและซีแซนทีน (Lutein & Zeaxanthin) ดีต่อสุขภาพตา

 • ไฟโตสเตอรอล (Phytosterols) ช่วยลดการดูดซึมคอเลสเตอรอล



สรุป

อะโวคาโดเป็นแหล่งไขมันดี โดยเฉพาะ MUFA (โอเลอิกแอซิด) ที่ช่วยลด LDL และเพิ่ม HDL ได้ มีใยอาหารสูง เหมาะสำหรับการควบคุมไขมันในเลือด และยังมีโพแทสเซียมสูงช่วยควบคุมความดันโลหิต


**********


1. คอเลสเตอรอลคืออะไร?

คอเลสเตอรอล (Cholesterol) เป็นสารไขมันชนิดหนึ่ง (lipid) ที่อยู่ในร่างกายและในอาหารจากสัตว์


 ทำหน้าที่สำคัญ เช่น

 เป็นส่วนประกอบของ เยื่อหุ้มเซลล์


 เป็นวัตถุดิบในการสร้าง ฮอร์โมนสเตอรอยด์ (เช่น เทสโทสเตอโรน เอสโตรเจน คอร์ติโซล)


 เป็นสารตั้งต้นของ วิตามิน D และ น้ำดี (bile acids) ที่ช่วยย่อยไขมัน

 ร่างกายเราผลิตเองได้ที่ตับ ประมาณ 70–80% ที่เหลือมาจากอาหาร



2. คอเลสเตอรอลในอาหาร คืออะไร?

 พบในอาหารที่มาจากสัตว์ เช่น ไข่แดง เครื่องใน เนื้อสัตว์ อาหารทะเล


 เป็นโมเลกุลชนิด “สเตอรอล” ไม่ใช่กรดไขมัน


 ต่างจากไขมันอิ่มตัว (saturated fat) และ ไขมันทรานส์ (trans fat) ซึ่งเป็นตัวหลักที่ทำให้ LDL (“ไขมันไม่ดี”) สูงขึ้น



3. คอเลสเตอรอลมีแคลอรีหรือไม่?

 ไม่มี คอเลสเตอรอลเป็นโมเลกุลที่ร่างกายไม่เผาผลาญเป็นพลังงาน


 พลังงาน (แคลอรี) มาจาก

 คาร์โบไฮเดรต → 4 kcal/กรัม

 โปรตีน → 4 kcal/กรัม

 ไขมัน (รวมทั้งกรดไขมัน) → 9 kcal/กรัม

 แอลกอฮอล์ → 7 kcal/กรัม


 ดังนั้น ปริมาณคอเลสเตอรอลในอาหาร ไม่ได้เพิ่มแคลอรีโดยตรง


แต่… อาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง มักมาพร้อมกับ ไขมันอิ่มตัวสูง (เช่น หมูสามชั้น เนย ไข่แดงบางส่วน) → ไขมันพวกนี้ ให้แคลอรีสูง และมีผลต่อ LDL มากกว่าคอเลสเตอรอลเอง



4. แล้วคอเลสเตอรอลในอาหารส่งผลต่อไขมันในเลือดจริงไหม?


 งานวิจัยใหม่ ๆ พบว่า คอเลสเตอรอลจากอาหารมีผลต่อ LDL น้อยกว่าที่เคยเชื่อ


 ผลกระทบขึ้นกับแต่ละบุคคล (บางคนเรียกว่า “hyper-responders” ไวต่อคอเลสเตอรอลในอาหารมาก)


 ปัจจัยที่ส่งผลมากกว่า คือ ไขมันอิ่มตัว + ไขมันทรานส์ + น้ำหนักตัว + การออกกำลังกาย



สรุปสั้น ๆ

 คอเลสเตอรอล = สารไขมันชนิดสเตอรอล สำคัญต่อร่างกาย


 คอเลสเตอรอลในอาหาร = ไม่มีแคลอรี ไม่ได้ทำให้อาหารนั้นพลังงานสูง


 แต่…อาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง มักมี ไขมันอิ่มตัว → ซึ่งทำให้พลังงานสูง และเพิ่ม LDL ได้



คำแนะนำจากองค์กรหลัก

 1. องค์การอนามัยโลก (WHO, 2023)

 

ไม่ได้ระบุ “ตัวเลขจำกัดคอเลสเตอรอล” โดยตรง


แต่เน้นให้ จำกัดไขมันอิ่มตัว <10% ของพลังงานรวม และ เลี่ยงไขมันทรานส์ ซึ่งมีผลต่อ LDL มากกว่า


 2. สมาคมหัวใจอเมริกัน (AHA, 2021)


ไม่ตั้งค่าตัวเลขจำกัดคอเลสเตอรอลแล้ว


แต่ยังแนะนำว่า “ควรทานให้น้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ ในขณะที่ยังได้อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ”


เหตุผล คอเลสเตอรอลในอาหารมีผลต่อ LDL น้อยกว่าไขมันอิ่มตัว แต่ถ้ากินมากก็อาจมีผล


 3. Dietary Guidelines for Americans (DGA 2020–2025)


ไม่กำหนดเพดานเลขชัดเจนแล้ว (ก่อนหน้านี้ 300 มก./วัน)


แต่ยังใช้ประโยคว่า “ควรทานคอเลสเตอรอลจากอาหารให้น้อยที่สุด”


 4. สมาคมหัวใจยุโรป (ESC/EAS 2019)

แนะนำให้ผู้ที่มี ไขมันในเลือดสูง / โรคหัวใจ / เบาหวาน ควรจำกัดคอเลสเตอรอล <300 มก./วัน



สรุปสำหรับ “คนทั่วไปเพื่อสุขภาพดี”


ปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องเคร่งครัดจำกัดคอเลสเตอรอล ≤300 มก./วัน สำหรับคนสุขภาพปกติ


แต่เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ควรยึดหลัก


คอเลสเตอรอลจากอาหาร <300 มก./วัน (เป็นตัวเลขอ้างอิงที่ยังใช้ได้)


เน้นอาหารที่มี ไขมันไม่อิ่มตัว (ปลา ถั่ว น้ำมันพืช)


ลดอาหารที่มี ไขมันอิ่มตัว/ทรานส์ (เนื้อสัตว์ติดมัน เนย ครีม ของทอด)



ตัวอย่างปริมาณคอเลสเตอรอลในอาหาร


ไข่ไก่ทั้งฟอง 1 ฟอง (ใหญ่) ≈ 186 มก.


ไข่แดง 1 ฟอง ≈ 170 มก.


กุ้ง 100 กรัม ≈ 150–200 มก.


ตับหมู 100 กรัม ≈ 350 มก.+


หมูสามชั้น 100 กรัม ≈ 70 มก.



ถ้าเป็นคนทั่วไปที่สุขภาพดี กินคอเลสเตอรอลจากอาหารได้ ไม่เกิน ~300 มก./วัน ถือว่าปลอดภัย


ถ้ามีปัญหาไขมันในเลือดสูง, เบาหวาน, โรคหัวใจ: ยิ่งควรควบคุมให้น้อยกว่า 200–250 มก./วัน


**********


ทานดีต่อสุขภาพ เวทเทรนนิ่ง คาดิโอ เพื่อคุณภาพชีวิตยามชราที่ดี เพื่อลดการเจ็บไข้ได้ป่วย ส่วนอายุยืนยาวเป็นแค่ผลพลอยได้เท่านั้น 

ผลพลอยได้นั้น จะได้หรือไม่ได้ก็ไม่เป็นไร 

**********

มื้ออาหารของเราช่วงนี้ที่ลด fat เราทานโปรตีนสูงขึ้นมาก (ประมาณ 1.6-1.8 กรัม ต่อ นน ตัว 1 กก) โดยได้โปรตีนหลักจากปลาทะเล


มีบางวันบางมื้อที่ไม่สะดวก และทานโปรตีนได้น้อยก็ค่อยเสริมด้วยเวย์ แต่จะชงเวย์ 1/2 สคูปกับนมและโยเกิร์ต คือพยายามทานให้เป็นอาหารธรรมชาติมากที่สุด

การผสมเวย์ 1/2 สคูปกับนมและโยเกิร์ต ทำให้ได้โปรตีนจากนมและโยเกิร์ตมาเสริม รวมทั้งใช้เวย์ลดลง


**********


คาร์โบไฮเดรต คือ ข้าว แป้งและน้ำตาล 


คาร์โบไฮเดรต น้อยๆ = ดีต่อร่างกาย


แต่คาร์โบไฮเดรตเสมือนยาเสพติด ยิ่งกิน ยิ่งชอบ ยิ่งต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ (แม้จะไม่รุนแรงเท่ายาเสพติดก็ตาม)


ถ้ากินเพลิน แล้วต่อมาหยุดหรือกินน้อยลง จะใจสั่น มือสั่น รู้สึกไม่อิ่ม กินอะไรก็ไม่อิ่มสักที (ความจริงคือ อิ่ม แต่สมองส่งฮอร์โมนมาหลอกว่าหิว เพื่อให้กินคาร์บเพิ่ม  เพราะสมองเสพติดน้ำตาลไปแล้ว) 


เมื่อลดแป้งลดน้ำตาลและทานอย่างอื่นมากพอแล้ว ต้องฝืนทนใจสั่น มือสั่น สักสาม สี่ วัน ร่างกายจะค่อยๆปรับตัว สมองจะค่อยๆปรับตัวยอมลดน้ำตาลได้เอง อาการมือสั่น หิวตลอดเวลาจะหายไปใน  3-4 วัน

**********


บทความจาก Forbes ปี 1992 เกี่ยวกับปรัชญาการลงทุนของ Warren Buffett โดย Mark Hulbert


“จงเป็นเสือ อย่าเป็นไก่” - ความลับการลงทุนของ Warren Buffett


ปรัชญาเสือ vs ไก่

Buffett เปิดเผยว่า นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จต้องเป็นเหมือน “เสือ” ที่อดทนรอจังหวะ มีสมาธิ และพร้อมที่จะตะครุบเมื่อเห็นโอกาสที่เหมาะสม ไม่ใช่เป็นเหมือน “ไก่” ที่คอยจิกจากที่นั่นที่นี่อยู่ตลอดเวลา


จุดสำคัญ


1. พฤติกรรมนักลงทุน

- นักลงทุนส่วนใหญ่ทำตัวเหมือนไก่ ขยับไปขยับมาและซื้อขายบ่อยๆ

- นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จทำตัวเหมือนเสือ - รอด้วยความอดทนและลงมือเมื่อถึงจังหวะ

- ความสำเร็จในการลงทุนมาจากการตัดสินใจสำคัญๆ ไม่กี่ครั้ง ไม่ใช่จากการเคลื่อนไหวบ่อยๆ


2. ตัวอย่างประวัติศาสตร์

- Benjamin Graham ลงทุนใน Geico ถึง 25% ของพอร์ต และได้ผลตอบแทนมหาศาล

- Martin Zweig มีผลงานยอดเยี่ยม แต่นักลงทุนที่อดทนและมีสมาธิยังเอาชนะได้


3. บริบทตลาด (วิกฤต 1987)

- ตุลาคม 1987 ตลาดตก 23% แต่พอร์ตของ Buffett กำไร 20%

- นี่ไม่ใช่โชค แต่เป็นผลจากการเตรียมตัวและการมีวินัยในการรอจังหวะ


ใจความหลัก

นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงการซื้อขายบ่อยๆ แต่ควรมุ่งเน้นไปที่การหาโอกาสที่ยอดเยี่ยมในระยะยาว ความแตกต่างระหว่างโชคกับฝีมือมักขึ้นอยู่กับการเตรียมตัวและความอดทนที่มีวินัย - การพร้อมรับมือเมื่อจังหวะที่ถูกต้องมาถึง


การนำไปปฏิบัติ

แทนที่จะพยายามจะจับจังหวะตลาดทุกครั้ง นักลงทุนควรเน้นการศึกษาอย่างละเอียดและรอโอกาสที่น่าสนใจ ซึ่งตนเองมีความมั่นใจสูง


**********


LDL ในเลือด ถูกผลิตจากตับ โดย ไขมันอิ่มตัว และคลอเรสเตอรอลมีผลต่อระดับ LDL 


ดังนั้นปริมาณไขมันอิ่มตัวที่ทานจึงควรทานในปริมาณต่ำหากต้องการควบคุม LDL


และคลอเรสเตอรอลจากอาหาร มีผลในคนบางกลุ่มที่มีพันธุกรรมที่มีความไวต่อคอลเรสเตอรอล


ดังนั้นในคนที่ต้องการควบคุม LDL ควรทาน ไขมันอิ่มตัวไม่เกิน 5-10% ของพลังงานรวม หรือคิดเป็นประมาณ 16 กรัมต่อวัน


และคลอเรสเตอรอลจากอาหาร คนที่มีปัญหาเรื่อง LDL สูง ควรทานไม่เกิน 200 มก ต่อวัน


ไขมันอิ่มตัว < 16 กรัมต่อวัน

คลอเรสเตอรอล < 200 มกต่อวัน


มาดูอาหารกันบ้าง ว่าอะไรเหมาะสม ไม่เหมาะสม หากมองในมุมของการควบคุม LDL


ไขมันอิ่มตัว (ต่อ 100 กรัม, มาก → น้อย)

 1. ไข่ไก่ต้ม (~3 g)

 2. เนื้อวัวสุก (~2.5 g)

 3. เนื้อหมูสันนอกสุก (~1.5 g)

 4. สะโพกไก่ไม่ติดหนังนึ่ง (~1 g)

 5. ปลากระพงนึ่ง (~0.8 g)

 6. อกไก่ไม่ติดหนังนึ่ง (~0.3–0.4 g)

 7. ไข่ขาวต้ม (~0 g)


ปล. ไขมันอิ่มตัวควรทาน < 16 กรัมต่อวัน


🥚 คอเลสเตอรอล (ต่อ 100 กรัม, มาก → น้อย)

 1. ไข่ไก่ต้ม (~370 mg)🛑

 2. เนื้อวัวสุก (~90 mg)

 3. เนื้อหมูสันนอกสุก (~75 mg)

 4. สะโพกไก่ไม่ติดหนังนึ่ง (~80 mg)

 5. อกไก่ไม่ติดหนังนึ่ง (~70 mg)

 6. ปลากระพงนึ่ง (~45 mg)

 7. ไข่ขาวต้ม (~0 mg)


คลอเรสเตอรอลควรทาน < 200 มกต่อวัน


สรุปสั้น ๆ  ไข่ทั้งฟองครองแชมป์ทั้งสองฝั่ง ส่วน ไข่ขาวปลอดภัยสุด (ศูนย์แทบทั้งคู่) ส่วนเนื้อสัตว์อื่น ๆ อยู่ในโซนกลาง ๆ แตกต่างไม่มากนักเมื่อเทียบกับไข่


สมมติคนที่เล่นเวท ต้องการโปรตีน 1.6 กรัมต่อ นน ตัว 1 กก


ในคนที่ นน ตัว สมมติ 70 กก ต้องการโปรตีน 112 กรัมต่อวัน


หากทานอกไก่เพื่อให้ได้โปรตีน 112 กรัมต่อวัน ต้องทานอกไก่ไม่ติดหนังต้มประมาณ 450 กรัม ซึ่งจะมีไขมันอิ่มตัวประมาณ 1.4–1.8 กรัม และคลอเลสเตอรอลประมาณ 315 มก.🛑

โดยที่ยังไม่นับรวมอาหารอื่นๆที่จะต้องทานและมีไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลเพิ่มอีก


ดังนั้นในกลุ่มคนที่ไวต่อคอเลสเตอรอล (คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับไขมัน LDL) จึงไม่สามารถทานอกไก่ในปริมาณ ที่โปรตีนเพียงพอต่อร่างกายได้ เพราะคลอเลสเตอรอลจะเกิน


นี่จึงเป็นที่มาว่า เห็นนักเพาะกายบางคนที่ทานอกไก่มากๆพอตรวจเลือดกับพบว่าในเลือดมีไขมันสูง มี LDL สูง 


แต่การทานอกไก่ สามารถทานได้หากทานในปริมาณที่น้อยลง แล้วเสริมโปรตีนจากอาหารแหล่งอื่น เช่น ทานอกไก่ 50 ถึง 80 กรัม แล้วทานไข่ขาวเพิ่ม เพื่อเพิ่มโปรตีนให้ถึงปริมาณที่ต้องการ


คนไม่น้อย ที่ไม่สามารถบังคับตัวเองได้  ก็จะทานทุกอย่างตามปกติ แล้วไปทานยา statin เพื่อช่วยลด LDL  มันก็แปลว่าต้องทานยาไปตลอดชีวิต 


**********


ทำไมเทรดเดอร์ส่วนใหญ่จึงขาดทุน


เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ขาดทุนจริงๆ โซเชียลมีเดียทำให้ดูเหมือนง่ายกว่าที่เป็น เพราะหลายคนโพสต์แต่เทรดที่ชนะ นี่คือ “อคติความพร้อมใช้” - เราเชื่อสิ่งที่เห็นบ่อยที่สุด แต่การเห็นบ่อยไม่ได้หมายความว่าเป็นความจริง คนที่ขาดทุนมักไม่เอามาโพสต์


ผู้เขียนเล่าว่าเมื่อทำงานที่บริษัทเทรดดิ้งเป็นเวลา 7 ปี พบว่าจากผู้สมัครที่ได้รับการฝึกอบรม มีเพียง 4% เท่านั้นที่ทำกำไรได้


เหตุผลที่แท้จริงที่เทรดเดอร์ขาดทุน


1. การเทรดคือลำดับชั้นของทักษะ


ในแต่ละวินาที มีสภาพคล่องจำกัด คุณต้องเร็วกว่าคนอื่นในการเข้าและออก ต้องมีกลยุทธ์ที่ดีกว่าคนอื่น คนที่เก่งจะได้กิน คนที่ไม่เก่งจะถูกกิน เหมือนกีฬา - หากต้องการทำมาหากิน ต้องเก่งกว่าคนส่วนใหญ่


เทรดเดอร์ที่ทำกำไรวันละ 1,000 ดอลลาร์ หมายความว่าเอาเงินนั้นมาจากคนอื่น คนอื่นต้องขาดทุนหรือพลาดโอกาสนั้น


แทบไม่มีที่ไหนในโลกที่คุณต้องเล่นกับมืออาชีพตั้งแต่เริ่มต้น การเป็นมืออาชีพต้องใช้เวลาและการพัฒนาทักษะ คุณจะไปถึงจุดนั้นได้โดยการโดนมืออาชีพเอาชนะไปสักพัก


2. เวลา การวิจัย การฝึกฝน


การเก่งกว่าคนอื่นเพื่อทำเงินต้องใช้ความตั้งใจมากกว่าคนอื่น


- คนส่วนใหญ่เลิกเร็วเกินไป - ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปีในการเทรดได้อย่างมีคุณภาพ ปกติจะนานกว่านั้น

- เทรดเดอร์ที่ขาดทุนเทรดแบบสุ่ม ส่วนเทรดเดอร์ที่สำเร็จฝึกฝนกลยุทธ์เฉพาะเจาะจง 1-2 อย่าง ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่าง แค่รู้ลวดลายสองสามแบบที่ได้ผล แล้วเทรดแบบนั้นซ้ำๆ

- การใช้เวลาต่างจากการฝึกฝน - ต้องทำงานกับกลยุทธ์เฉพาะเจาะจง แล้วแก้ไขข้อผิดพลาดทีละข้อ การทำกิจกรรม “เกี่ยวกับการเทรด” ไม่ใช่การฝึกฝน


3. ความล้มเหลวเกี่ยวกับการเทรด


เทรดเดอร์ล้มเหลวเพราะ ทุนไม่พอ, เสี่ยงมากเกินไปต่อการเทรดหนึ่งครั้ง, รับไม่ได้เมื่อถึงเวลาต้องขาดทุน, ไม่มีกลยุทธ์, ไม่ทำตามกลยุทธ์, วางเดิมพันมากหรือน้อยเกินไป, เทรดเมื่อไม่ควรเทรด, ไม่เทรดเมื่อควรเทรด, ทำตาม “ทิป”, เน้นผลลัพธ์แทนกระบวนการ… และอีกหลายสาเหตุ


4. เหตุผลทางจิตวิทยาที่เทรดเดอร์ล้มเหลว


จิตวิทยาส่งผลต่อทุกสิ่งที่เราทำในฐานะเทรดเดอร์ หากเรากระตือรือร้นเกินไป, มั่นใจเกินไป, วิตกกังวล, โกรธ, หรือติดอยู่กับการเทรดที่ผ่านมา สิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อสิ่งที่เราเห็นและวิธีการเทรด


การเทรดไม่ใช่แค่การฝึกฝนกลยุทธ์ แต่เป็นการเดินทางสำรวจตนเอง - ต้องดูว่าความคิดของเราส่งผลต่อการเทรดอย่างไร คนส่วนใหญ่ไม่เคยทำแบบนี้ หากไม่ปรับปรุงด้านจิตวิทยา กลยุทธ์และหนังสือเทรดดิ้งทั้งหมดในโลกจะไม่มีประโยชน์


-----


โดย Cory Mitchell, CMT

TradeThatSwing.com


**********


กฎการเทรดที่สำคัญและเรียบง่าย ตัดขาดทุนที่ 7% เสมอ
โดย Vidya Ramakrishnan จาก Investor’s Business Daily

การนั่งทิ้งขาดทุนไว้ไม่ใช่กลยุทธ์ที่ดี เพราะขาดทุนสามารถสะสมได้อย่างรวดเร็ว

แม้ว่าหุ้นจะสามารถฟื้นตัวได้และให้ผลกำไร แต่การวิเคราะห์กราฟให้เบาะแสชัดเจนว่าเมื่อไหร่ควรขาย กฎเหล็กที่เรียบง่ายและมีประสิทธิภาพในการตัดขาดทุน คือ:

เมื่อหุ้นหลุดออกจากฐาน (base) และราคาตกต่ำกว่าจุดซื้อ 7-8% ให้ขายทันที หากรอเกิน 7% ก่อนจะตัดสินใจขาย อาจส่งผลเสียหายเพิ่มเติม

ตัวอย่างจากหุ้น Meta Platforms (META)

- จุดซื้อ (1) ราคา $377.55 เมื่อ 30 สิงหาคม 2021 เมื่อหุ้นหลุดออกจากฐานแบบ flat base พร้อมจุด buy point
- การดำเนินราคา หุ้นร่วงลงต่ำกว่า moving average ใน 60 วัน และเริ่มขาดทุน 7% ในวันเดียวกับที่ซื้อ
- จุดซื้อ (2) ราคา $351.12 เมื่อ 20 กันยายน หลังจากราคาดีดตัว แต่ต่อมาราคาก็ร่วงลงอีกครั้ง และขาดทุน 7% ค่อนข้างรวดเร็ว

ผลลัพธ์  หุ้น Meta ร่วงลง 77% จากจุดสูงสุดในเดือนพฤศจิกายน 2022 หากนักลงทุนไม่ปฏิบัติตามกฎ 7% อาจขาดทุนรุนแรง

ข้อดีของกฎ 7%

- ในตลาด Bull Market กฎนี้ใช้ได้ผลดี แต่ในตลาด Bear Market อาจต้องระมัดระวังมากขึ้น
- การจำกัดความเสี่ยง การตัดขาดทุนที่ 7% ช่วยป้องกันการขาดทุนใหญ่
- โอกาสใหม่ เงินที่ได้จากการขายสามารถนำไปลงทุนในโอกาสใหม่ที่ดีกว่า

ตัวอย่างการคำนวณ

หากซื้อหุ้นที่ราคา $50

- จุดตัดขาดทุน = $50 - (7% × $50) = $46.50
- เมื่อราคาลงมาถึง $46.50 ให้ขายทันที

สรุป กฎ 7% เป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการความเสี่ยง ช่วยป้องกันขาดทุนใหญ่และรักษาเงินทุนไว้สำหรับโอกาสการลงทุนที่ดีกว่าในอนาคต​​​​​​​​​​​​​​​​

แปลจากบทความตามรูป 

ความเห็นของเรา 
มันเป็นกฎที่ง่ายต่อการปฎิบัติสำหรับการป้องกันพอร์ต แต่ไม่ได้หมายความว่า เมื่อขายที่ 7% แล้วราคาหุ้นจะต้องไหลลงต่อทุกครั้ง  บางครั้งราคาลงมาให้เราขายแล้วเด้งกลับขึ้นไปอย่างรวดเร็วก็มี  แต่อย่างที่บอกว่ากฎนี้มีไว้เพื่อปกป้องพอร์ตไม่ให้เสียหายหนัก กรณีที่ราคาหุ้นไหลลงอย่างต่อเนื่อง 

**********



**********