เรื่องของอนาคตไม่มีใครสามารถรู้ล่วงหน้าได้ ดังนั้นหลักการของคุณต้องสอดคล้องกับความเป็นจริงข้อนี้แล้วทำให้คุณได้เปรียบ
หลักการต้องสอดคล้องกับความจริงที่ว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้ และไม่จำเป็นต้องรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็สามารถที่จะสร้างผลตอบแทนได้
เช่น
การลงทุน ซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่ามากพอ เป็นธุรกิจที่ดีมีการเติบโต มีผู้บริหารที่ดี จ่ายเงินเงินปันผลในอัตราที่ดีทุกปีต่อเนื่อง ถ้าแบบนี้ได้เงินปันผลทุกปี บนตลาดที่เหมาะสมแก่การลงทุน ระหว่างรอ ที่เหลือก็แค่รอวันดีๆ ให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างที่ควรจะเป็นตามธุรกิจที่ดีที่เติบโตบนตลาดที่เติบโต
หรือสำหรับเทรดเดอร์ ไม่ใช่เทรดบนการคาดเดา แต่เป็นการเทรดบนหลักการที่มีอัตรากำไรต่อขาดทุนที่มากกว่าหนึ่งเท่า โดยอาศัยตลาดที่เอื้ออำนวย และการเลือกหุ้นของบริษัทที่เอื้ออำนวย เลือกบริษัทที่มีการเติบโตที่ดี
@@@@@@@@@
เวลาตลาดมันลง มันจะลงจนกว่า ผู้แพ้จะยอมศิโรราบทั้งหมด หุ้นจะคืนสู่มือเจ้าของตัวจริงจนครบจำนวน ตลาดหมีถึงจะยอมจากไป ผู้แพ้มักคิดว่าทนได้ ทนไหว แต่เชื่อเถอะ ผู้แพ้จะฝืนใจตัวเองไม่ไหว และจะยอมศิโรราบในที่สุด
เมื่อผู้แพ้คนสุดท้ายยอมขายหุ้น เมื่อนั้นแหละตลาดหมีถึงจะยอมจากไป
@@@@@@@@@@
ต้องรู้ว่าตลาดมีความผันผวนเอาแน่เอานอนไม่ได้ ดังนั้นจะต้องมีหลักยึด ไม่ว่าจะการเทรดหรือการลงทุนก็แล้วแต่
ต้องค้นหาหลักการ ที่มั่นใจอย่างแท้จริง และต้องเชื่อมั่นในหลักการนั้น แล้วลงมือให้สอดคล้องกับหลักการนั้นด้วยความมั่นใจ
อย่าปล่อยให้อารมณ์กลัวจากความไม่แน่นอนของตลาดเอาชนะจิตใจได้ เพราะมันจะส่งผลให้ action อย่างสะเปะสะปะ และทิ้งหลักการไป
จะต้องโฟกัสไปยังข้อมูลที่ช่วยระบุโอกาสในการทำกำไร ไม่ใช่โฟกัสไปที่ความกลัวการขาดทุนที่ตลาดพยายามจะมอบให้
@@@@@@@@@
ต้องไม่ลืมว่านักลงทุนในตำนานของโลกแทบทุกคน ลงทุนในตลาดที่มีการเติบโตต่อเนื่อง ลงทุนในตลาดที่มีการเติบโตเป็นอย่างดี ไม่ใช่ลงทุนในตลาดที่มีแต่จะหดตัว หรือเติบโตต่ำ
แล้วอะไรใช้ในการดูตลาด ว่าจะสามารถเติบโตได้ดีเติบโตต่อเนื่องหรือไม่
โดยหลักการแล้วก็คงจะเป็นจีดีพีของประเทศ ถ้าประเทศมีจีดีพีที่เติบโตดี นั่นก็หมายถึงบริษัทต่างๆมีโอกาสเติบโตได้ดีด้วยเช่นกัน
@@@@@@@@@
ในการลงทุน ต้องใช้ความอดทน หากคุณประเมินความอดทนของคุณไว้มากเท่าไหร่ เวลาลงมือจริงให้หารสองไว้เสมอ
เพราะคนเรามักจะประเมินความอดทนของตัวเองสูงกว่าความเป็นจริงไปมาก
ส่วนรูปนั้นไม่เกี่ยว แค่เอามาให้ดูเฉยๆว่ามันเข้ากันดี 🤣🤣🤣
@@@@@@@@
ตอบก่อนซื้อหุ้น
1. หุ้นที่จะซื้ออยู่ในรายชื่อเฝ้าดูที่ผ่านการตรวจสอบงบการเงิน ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของ ผบห แล้วหรือไม่
2. จุดซื้อเป็นไปตามหลักการหรือไม่ ถ้าใช่มันคือจุดไหน
3. ถ้าราคาหุ้นวิ่งไปตามที่คาด จะขายเมื่อไร เพราะเหตุผลอะไร
4. ถ้าราคาหุ้นวิ่งในทิศตรงกันข้ามจะทำอย่างไร จุด stop อยู่ตรงไหน เพราะอะไรถึงใช้จุดนั้นในการ stop
5. การซื้อครั้งนั้น คิดเป็นมูลค่าเท่าไรของพอร์ตรวม ทำไมถึงใช้สัดส่วนนั้น
6. จากราคาที่ซื้อ ถึงจุด stop จะขาดทุนกี่ % คิดเป็นเงินเท่าไร คิดเป็นอัตราส่วนต่อพอร์ตรวมเท่าไร
@@@@@@@@@@
เหตุผลในการซื้อหุ้นมีหลายแบบ ขึ้นอยู่กับมายด์เซ็ทของนักลงทุน ว่าเข้ากันได้กับแบบไหน
- ซื้อที่ราคาต่ำกว่ามูลค่า พยามซื้อให้ราคาต่ำที่สุด แบบนี้
ข้อดีคือได้ของต่ำกว่ามูลค่าเวลาราคาหุ้นกลับตัวจะได้กำไรค่อนข้างมาก
ข้อเสีย ราคาหุ้นอาจจะไหลลงต่อ การพยายามซื้อที่ราคาต่ำสุดนั้นอาจจะเป็นการเข้าไปรับมีด เนื่องจากราคาที่ไหลลงแปลว่าต้องมีเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่ดี ซึ่งหลายครั้งเหตุการณ์นั้นมักยืดเยื้อ กว่าราคาจะกลับตัวขึ้นมามักใช้เวลานานมาก

- ซื้อหุ้นที่ราคาเหมาะสม การซื้อแบบนี้มักจะซื้อเมื่อราคาผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและกลับตัวมาแล้วพอสมควร จนราคาค่อนข้างจะเต็มมูลค่าณเวลาปัจจุบันนั้น แต่ซื้ออนาคต ซื้อการเติบโตในอนาคตเข้ามาชดเชย
- ซื้อโดยไม่สนใจเรื่องมูลค่า แต่พุ่งเป้าไปที่แรงซื้อหลักที่ถาถมเข้ามาในราคาที่แสดงออกในกราฟ การซื้อแบบนี้แม้จะซื้อ ในขาขึ้นของปัจจุบันก็ตามแต่ความเสี่ยงก็คือ มักจะเป็นราคาที่เกินมูลค่าไปพอสมควร หากแหล่งซื้อหดหายหรือมีเหตุการณ์มากระทบให้กลายเป็น Bear มีโอกาสขาดทุนหนัก ดังนั้นจึงต้องมีสต็อปลอสเป็นสำคัญ
- ซื้อที่ราคา All time high การซื้อที่จุดนี้ว่ากันตามเทคนิคแล้วคือไร้แนวต้าน ราคาจะแพงกว่ามูลค่าค่อนข้างมากๆ แต่มันมีหลักคิดคือ หุ้นทุกตัวที่จะรันเทรนด์ของราคา ขึ้นไปตามการเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่องได้ยาวนานนั้นหุ้นทุกตัวจะต้องทำ All time high เสมอ นั่นหมายถึงหุ้นที่ทำ All Time high ในส่วนที่ไปต่อได้มีโอกาสจะรันได้ยาว ส่วนที่ไปต่อไม่ไหวมีโอกาสขาดทุนอย่างหนัก ดังนั้นการซื้อแบบนี้ต้องมีสต็อปลอสเป็นสิ่งสำคัญมาก 
@@@@@@
เวลาคัดเลือกหุ้นด้วยปัจจัยพื้นฐานได้แล้วเห็นหุ้นในราคาที่มีส่วนลดอย่างมีนัยสำคัญแล้ว
จุดซื้อก็เป็นเรื่องสำคัญเพราะในช่วงที่ราคามีส่วนลดอย่างมีนัยยะนั้นไม่ได้แปลว่า เป็นจุดซื้อที่ดีที่สุดในทุกช่วงราคา
คงไม่มีใครชอบ ที่ซื้อแล้วราคาร่วงต่อไปอีก 15% 20%
ดังนั้นสิ่งสำคัญ คือ
- การบริหารเงิน เช่นการแบ่งไม้ซื้อ
- การใช้กราฟช่วย เพื่อหาจุดซื้อที่ดีที่สุด ซื้อแล้วราคาจะไม่ลงต่อ หรืออาจจะลงต่อไม่มากแล้ว
การหาจุดซื้อที่ดีปัจจัยพื้นฐานบอกได้แค่โดยประมาณ แต่บางทีมันไถลลึกลงไปได้ 20 ถึง 50%
เรื่องนี้กราฟเท่านั้นที่จะช่วยได้
ดังนั้น แม้จะเป็นนักลงทุน แม้จะลงทุนด้วยปัจจัยพื้นฐาน แต่การอ่านกราฟให้เป็น การมองกราฟให้ออก ก็เป็นเรื่องสำคัญ
กราฟช่วยระบุถึง แรงซื้อ แรงขาย ปริมาณหุ้น กราฟช่วยระบุถึงความต้องการในตัวหุ้น ไม่ว่าจะต้องการซื้อหรือต้องการขาย ซึ่งปัจจัยพื้นฐานไม่สามารถบ่งบอกได้
ดังนั้นนักลงทุนที่มีความรู้ทั้งการอ่านงบการเงินในแง่ปัจจัยพื้นฐานต่างๆของบริษัท และทั้งมีความรู้ด้านกราฟเทคนิคอล ก็ย่อมจะได้เปรียบ
ไม่ได้หมายถึงการใช้งบการเงินแต่เพียงอย่างเดียวจะลงทุนไม่ได้ แต่การรอบรู้มากขึ้นก็ย่อมจะได้ประโยชน์ที่มากขึ้น
แต่แน่นอนว่าต้องลำดับความสำคัญให้ถูกด้วย หาหุ้นด้วยปัจจัยพื้นฐาน คือหัวใจหลัก
ส่วนกราฟนั้นเป็นเพียงใช้เพื่อหาจุดซื้อที่ดีเท่านั้น
หลายหลายครั้งพอใช้กราฟไปนานๆเข้า ก็จะเกิดการไขว้เขวแล้วใช้กราฟเป็นหลัก ซื้อหุ้นทุกตัวแม้กระทั่งหุ้นปั่น อันนี้คือเริ่มหลงทาง
@@@@@@@@
ช่วง 5 ปีแรก ที่เริ่มเล่นหุ้น ปีที่ซื้อหุ้นแล้วพอร์ตโตปีละ 70% 40% และ 30% มันง่ายมากๆเลย เพราะ
- สมัยนั้นเงินในพอร์ตไม่ใช่ทรัพย์สินทั้งหมดที่มี จริงๆแค่ส่วนน้อย
- ทำให้กล้าลงทุนแบบสุ่มเสี่ยงได้ โดยไม่เคยมองถึงความเสี่ยง
- ประกอบกับโชคดีที่รอดมาได้
- แน่นอนว่าถ้าลงทุนแบบเสี่ยงสูงแล้วรอดมาได้ ผลตอบแทนย่อมมาก
- แต่โชคจะไม่ได้มีอยู่ตลอดไป และยังดีที่มองเห็นความเสี่ยงจึงทำให้ค่อยๆปรับเปลี่ยนวิธีการ
- ถ้าผลตอบแทนได้ระดับนั้นตลอดจริง คงรวยมหาศาล เก่งกว่า ปู่บัฟเฟตต์ หรือ ปีเตอร์ ลินซ์ เป็นนักลงทุนระดับโลกไปแล้ว
แต่ความจริงคือ เราโง่เขลาเบาปัญญา มืดบอด หลงคิดว่าเพราะฝีมือ แต่ความจริงแค่โชคดี
เปรียบเสมือน คนตาบอดที่เดินบนสะพานไม้แผ่นเดียว ที่พาดระหว่างตึก แล้วรอดมาได้ แล้วกล้าโอ้อวด
ยิ่งมองย้อนหลัง ยิ่งเห็นว่า เคยกระจอกทางความคิดมากแค่ไหน 😆