วันจันทร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2567

หลักคิด 42

 ถ้าซื้อหุ้นพีอี 5 เท่า & Growth 8% มันง่ายที่จะหวังเห็น Growth 12% และพีอีกลายเป็น 8 เท่า

(จากGrowth 8% ไป 12% คือเติบโต 50%  , ในขณะที่พี่อีห้าเท่ากลายเป็นพีอีแปดเท่านั้น หมายถึงตลาดให้ค่าเพิ่ม 60% แล้วนะ) 


แต่ถ้าคุณซื้อหุ้นเติบโต 25% ที่พีอี 30 เท่า คุณจะหวังให้การเติบโตมากกว่า 25% ต่อเนื่อง นั้นไม่ง่ายเลย และจะหวังให้ตลาดให้ค่าพีอี เป็น 48-50 เท่า นั้นยิ่งยากเข้าไปใหญ่ 


(แต่ก็มีนะโดยเฉพาะหุ้นปั่น พีอีขึ้นมากๆเพราะต้อนไล่ราคา แต่คุณภาพของกำไรนั้นอีกเรื่องนึง)


@@@@@@@@@@@@@


การดูกำไรสุทธิแต่เพียงอย่างเดียว หรือดูกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเพียงอย่างเดียวนั้น อาจผิดพลาดได้


เช่น การดูกำไรสุทธิแต่เพียงอย่างเดียว อาจพบว่าบริษัท มีรายได้เติบโตดี แต่กำไรลด จากค่าเสื่อมของการลงทุนใหม่เพิ่มขึ้น (ซึ่งการลงทุนใหม่จะส่งผลดีในระยะถัดไป) เช่น รพ สร้างตึกใหม่


ส่วนการดูกระแสเงินสดเพียงอย่างเดียว อาจพบว่าบาง บริษัทกระแสเงินสดติดลบทั้งๆที่ยอดขาย รายได้เพิ่ม เพราะการนำกระแสเงินสดของบริษัทไปขยายสต๊อกสินค้าเพิ่ม (ลงทุนเพิ่มในธุรกิจเดิม) ทำให้เงินสดไปอยู่ในสตอกสินค้าเพื่อขยายธุรกิจแล้วกระแสเงินสดติดลบ เช่น กลุ่มอสังหา


นลท ทั่วไปจะดูแต่กำไรก็จะติดกับดักเรื่องการลวทุนใหม่ทำให้ค่าเสื่อมเพิ่ม ทำให้กำไรลด


นลท ที่คิดว่าตัวเองรู้ลึกดูกระแสเงินสดแทนกำไร ก็จะติดกับดักเรื่องกระแสเงินสดติดลบจากการขยายการลงทุนในธุรกิจเดิม


@@@@@@@@@@@


เป็นนักลงทุนอย่าซื้อหุ้นแพง

เป็นเทรดเดอร์อย่าซื้อหุ้นถูก 


แต่ก่อนอื่น 

ต้องรู้ตัวก่อน

ว่าจะเป็นอะไร 😌


@@@@@@@@@@@@


การหาไอเดียใหม่ๆนั้นยากก็จริง

 แต่การทิ้งไอเดียเก่า การทิ้งความเชื่อเดิมๆนั้นยากกว่า

@@@@@


การลงทุนระยะยาวต้องใช้ความอดทนมากกว่าที่คิด เป็นความอดทนชนิดที่เรียกว่า ต้องทนกับความน่าเบื่อ ทนกับสิ่งเร้ารอบข้าง ทนกับหุ้นอื่นๆ ที่ไม่ได้เข้าเกณฑ์การลงทุนของเรา 


ฟังเหมือนง่าย แต่ถ้าทำได้ง่ายๆ คนส่วนมากคงประสบความสำเร็จกันหมด


@@@@@@@@


ประกันสุขภาพและโรคร้าย จำเป็นมากสำหรับคนที่ไม่ได้เตรียมเงินก้อนไว้เพื่อรักษาสุขภาพ


เงินก้อนที่ว่าคือเท่าไร ?


อย่างน้อยที่สุดก็เท่ากับทุนประกันที่ทำ 


เช่น ถ้าทำทุนประกันไว้  1 ลบ แต่ถ้าไม่อยากทำประกันก็ควรเตรียมเงินก้อนไว้ 1 ลบ 


การเตรียมเงินก้อน ทดแทนการทำประกัน ข้อดีคือไม่ต้องจ่ายเบี้ยประกันหมดไปทุกปี (ถ้าทุนประกันหนึ่งล้านบาท ประกันสุขภาพ + ประกันโรคร้าย เบี้ยจะประมาณ 50,000 บาท)


สมมุติคุณทำประกันไป 8 ปี แล้วคุณป่วย สมมติรักษาเต็มทุนประกันหนึ่งล้านบาท หักจากจ่ายเบี้ย ประกันที่จ่ายไปแปดปีเป็นเงิน 400,000 บาทคุณก็จะประหยัดเงินได้ 600,000 บาท อันนี้คือข้อดีและเป็นสิ่งที่คนที่ไม่มีเงินก้อนเตรียมไว้ ควรจะทำประกัน หรือถ้ามีเงินก้อนก็ทำประกันได้


แต่ในกรณีที่ไม่ทำประกัน โดยใช้เงินก้อนที่เตรียมไว้ดูแลสุขภาพ ไปลงทุนแล้วได้ผลตอบแทน 10% ต่อปี หากคนป่วยในปีที่แปดเหมือนกัน (ดูตามตารางช่องสีเขียวขวามือ) พอร์ตลงทุนทดแทนประกันจะมีมูลค่าประมาณสองล้านบาท 

สมมติรักษาหนึ่งล้านบาท เหมือนตัวอย่างข้างบนที่ทำประกัน คุณจะเหลือเงินครบหนึ่งล้านเหมือนตอนแรกที่มี 


แต่ถ้าคุณไม่ป่วยแบบต้องนอน รพ เลย 20 ปี 


กรณีทำประกัน คุณจ่ายเบี้ยรวม 50,000x 20 = 1 ลบ  (นี่ยังไม่นับค่าเสียโอกาสจากเงินที่ทยอยจ่ายไปก่อน fv pv int.) และคุณยังมีทุนประกันอยู่ที่หนึ่งล้านบาท (ซึ่งในอนาคต 20 ปีข้างหน้าเงินหนึ่งล้านบาท ค่าเงินมันเล็กลงมากแล้ว)  


ส่วนกรณีสร้างพอร์ตทดแทน ผ่านไป 20 ปี คุณจะมีพอร์ตมูลค่าประมาณหกล้านบาท (ตามตาราง) เปรียบเสมือนมีทุนประกัน ประมาณหกล้านบาท ไว้ดูแลสุขภาพ 


ลองคิดดู 20 ปีข้างหน้าฝั่งหนึ่งมีทุนประกันหนึ่งล้านบาท กับอีกฝั่งหนึ่งมีทุนประกันหกล้านบาท  แล้วอายุที่มากขึ้น 20 ปี การดูแลสุขภาพด้วยเงินก้อนไหนถึงจะเหมาะสมกว่ากัน


ก็ยังย้ำว่า การทำประกันเหมาะสมและจำเป็นสำหรับคนส่วนใหญ่ที่ไม่มีเงินก้อนครับ เพราะการที่ไม่มีเงินก้อนเพื่อรักษาพยาบาลเลย แล้วเกิดหากเจ็บป่วยขึ้นมาจะนำเงินที่ไหนมาเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล 


ส่วนคนที่มีเงินก้อนและลงทุนเป็น ก็เลือกได้เลยว่าจะทำประกันหรือจะสร้างพอร์ตทดแทนประกัน อันนั้นเป็นสิทธิ์ส่วนบุคคลอยู่แล้ว


ผมรู้ว่าคนทำประกัน เพื่อปกป้องความเสี่ยง และมองเผื่ออนาคต 


แต่ผมก็มองอนาคตของอนาคตอีกที ว่ายิ่งอายุมากขึ้นทุนประกันควรจะมากขึ้นตาม 


ตอนอายุน้อยที่สุขภาพยังดี และหากมีเงินก้อนพอ ควรรับความเสี่ยงตอนนี้เพื่อไปปกป้องความเสี่ยงตอนอายุมากด้วยเงินก้อนที่มากขึ้นตามอายุ 


แต่ทั้งนี้ต้องมั่นใจว่า “ลงทุนเป็น”  ด้วย เพราะถ้าลงทุนผิดพลาด มันจะแย่ไปกันใหญ่


เงินก้อนสำหรับสร้างพอร์ตทดแทนประกันนั้น จะต้องเป็นเงินที่แยกต่างหากจากพอร์ตลงทุนปกติ และต้องมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับพอร์ตลงทุนปกติ  รวมถึงเมื่อนำมาใช้รักษาสุขภาพแล้วต้องไม่กระทบกับพอร์ตลงทุนปกตินะครับ 


ดังนั้นผมจึงต้องย้ำว่า การทำประกันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนทั่วไป




@@@@@@@@

สำหรับนักลงทุน ที่ไม่ใช่เทรดเดอร์
มองภาพใหญ่ของอุตสาหกรรมต่างๆบ้าง เพื่อได้เห็นภาพรวม

แต่ การหาบริษัทที่เป็นผู้ชนะใช้ Bottom up  ซื้อเมื่อราคาต่ำกว่ามูลค่า ถือให้นานมากพอที่จะเห็นชัยชนะของบริษัท

ราคาตลาดที่ผันผวนมีไว้ให้ซื้อเพิ่มเมื่อราคาคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น 

หุ้นในพอร์ตอาจจะไม่ได้เลือกมาถูกต้องทุกตัว และไม่ได้ชนะทุกตัว แต่ถ้าเลือกอย่างเข้มงวดมากพอ ตัวที่ชนะมีกำไรจะสามารถ cover ตัวที่แพ้ได้ และยังสร้างผลกำไรให้กับพอร์ตรวม 

ลืมดูราคาระหว่างวันบ้างก็ได้ สนใจราคามากขึ้นเฉพาะช่วงที่ราคาลงแรงๆ ลงต่อเนื่องเพื่อหาจังหวะสะสมหุ้นผู้ชนะเข้าพอร์ต  

มันจะดีแค่ไหนถ้าคุณร่วมเป็นหุ้นส่วนกับบริษัทเก่งๆ ที่มีผู้บริหารที่มีความสามารถ และบริษัทเป็นผู้ชนะในระยะยาวได้หลายๆบริษัทแล้วลงทุนยาวๆ

ถ้าคัดบริษัทมาดีพอ การขายแทบไม่ใช่เรื่องจำเป็น

@@@@@@@@@

ส่วนตัวเชื่อว่านักลงทุนแนวเน้นคุณค่า  ที่แท้จริงแล้วมันมาจากนิสัย ในการใช้ชีวิตด้วยส่วนหนึ่ง 

ดูตัวอย่างปู่ Warren Buffett  ขนาดรวยเป็นมหาเศรษฐี ก็ยังอยู่บ้านหลังเดิม ทั้งทั้งที่จะมีคฤหาสน์เป็นของตัวเองก็ยังได้   ใช้รถยนต์อย่างคุ้มค่า  

ปู่ก็เคยมีเครื่องบินนะ แต่เป็นเจ้าของสายการบินด้วยเลย แทนที่จะซื้อเครื่องบินส่วนตัว 

ไม่รู้ไม่รู้ปัจจุบันยังมีอยู่หรือเปล่านะ

อาจารย์นิเวศน์ ก็เช่นกันซื้อรถยนต์ใช้แต่ละคัน อย่างคุ้มค่า บ้านที่อยู่อาศัย ก็อยู่หลังเดิมอย่างคุ้มค่า 

สิ่งเหล่านี้มันเป็นจากนิสัยพื้นฐาน  ที่ไม่ได้เป็นคนฟุ่มเฟือย รู้ค่าของเงิน 

“ทำให้ถูกจริตกับการลงทุนแบบเน้นคุณค่า”  จุดนี้สำคัญมากนะเรื่อง mindset 

คนที่รู้คุณค่าของเงิน กับคนที่ขี้เหนียวไม่เหมือนกันนะ คนที่รู้คุณค่าของเงินกล้าที่จะซื้อสิ่งดีดีใช้ ถ้ามันคุ้มค่า ต่างจากคนขี้เหนียวที่ไม่กล้าใช้จ่ายแม้จำเป็นต้องใช้ก็ตาม 

เงินไม่ได้ทำให้คนฟุ่มเฟือยมากขึ้น  แต่เงินจะช่วยแสดงนิสัยดั้งเดิมของคนให้เห็นอย่างชัดเจนขึ้น 

ทุกคนแม้จะร่ำรวย หรือยากจน  ก็จะมีสไตล์ใช้ชีวิตเหมือนเดิม  

คนที่เน้นความคุ้มค่า ก็ยังคงใช้ชีวิตแบบเน้นคุณค่า ไม่ได้ฟุ่มเฟือยมากขึ้น แม้จะร่ำรวยมากขึ้นก็ตาม 

ในขณะที่คนฟุ่มเฟือย ก็ยังคงใช้ชีวิตแบบฟุ่มเฟือย ไม่ว่าจะมีเงินหรือไม่มีเงินก็ตาม และถ้าหากมีเงินมากขึ้นก็จะยิ่งฟุ่มเฟือยมากขึ้น 

จะเห็นได้ว่าเงินไม่ได้เปลี่ยนนิสัยคน แต่ช่วยให้คนแสดงนิสัยดั้งเดิมของแต่ละบุคคลให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

@@@@@@@@

ถ้าดูจากประวัติของปู่ Jim จะเห็นว่ามันเกินกว่าคนธรรมดาไปมาก  ดังนั้นวิธีการลงทุนของปู่ คนทั่วไปทำตามได้ยาก (แต่ก็ไม่ใช่จะทำตามไม่ได้เลย) 

ต่างจากวิธีการลงทุนแบบพื้นๆ ของปู่ Buffett ที่ใช้วิธีการลงทุนที่เรียบง่ายใครๆก็ทำได้ 

Jim Simons เป็นนักคณิตศาสตร์และนายทุนชาวอเมริกันที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง เขามีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ Renaissance Technologies ซึ่งเป็นหนึ่งในกองทุนที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก

ประวัติโดยสังเขปของ Jim Simons มีดังนี้

- เกิดในปี 1938 ที่เมืองนิวตันแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา

- จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจาก Massachusetts Institute of Technology (MIT) และปริญญาเอกจาก University of California, Berkeley

- ทำงานเป็นศาสตราจารย์ด้านคณิตศาสตร์ที่ Harvard University และ Stony Brook University

- ในปี 1982 ก่อตั้งบริษัท Renaissance Technologies ซึ่งใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ในการซื้อขายหลักทรัพย์

- กองทุน Medallion ของ Renaissance ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลด้วยผลตอบแทนเฉลี่ยกว่า 35% ต่อปีเป็นเวลากว่า 30 ปี

- มีมูลค่าสุทธิประมาณ 25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ติดอันดับหนึ่งในร้อยของบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในสหรัฐอเมริกา

- บริจาคเงินจำนวนมากเพื่อสนับสนุนการศึกษาและงานวิจัยทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์

Jim Simons เป็นที่รู้จักในฐานะนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่จากการประยุกต์ใช้หลักการทางคณิตศาสตร์และการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเชี่ยวชาญในการลงทุน

ความสำเร็จ:
•Renaissance Technologies กลายเป็นหนึ่งในกองทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก
•กองทุน Medallion ของบริษัท สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีมากกว่า 39%
•ปู่ไซมอนส์ ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์

กลยุทธ์:
•ปู่ไซมอนส์ และทีมของเขาใช้โมเดลทางคณิตศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อนเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลตลาด
•พวกเขาใช้กลยุทธ์การซื้อขายแบบอัลกอริทึม ซึ่งช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
•ปู่ไซมอนส์ เน้นย้ำถึงการใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์เชิงปริมาณ แทนที่จะพึ่งพาการคาดเดาและอารมณ์



จอร์จ โซรอส เป็นนักลงทุนและนักเก็งกำไรชื่อดังชาวฮังกาเรียน-อเมริกัน ผู้ก่อตั้งกองทุน Quantum Fund ซึ่งมีประวัติการลงทุนที่โดดเด่นมาก

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกองทุน Quantum Fund เป็นกองทุนเอกชน โซรอสจึงไม่ได้เปิดเผยตัวเลขผลตอบแทนการลงทุนอย่างเป็นทางการ

อย่างไรก็ดี จากข้อมูลบางส่วนที่เปิดเผย สามารถประมาณผลตอบแทนการลงทุนของโซรอสได้ดังนี้

1) ในช่วง 10 ปีแรกของกองทุน Quantum ตั้งแต่ปี 1969-1979 มีรายงานว่าได้รับผลตอบแทนสูงถึง 4,200%

2) ในปี 1992 โซรอสสร้างผลกำไรมหาศาลจากการเก็งกำไรกับค่าเงินปอนด์ได้ประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์

3) รายงานบางแห่งระบุว่าตั้งแต่ก่อตั้ง Quantum ในปี 1973 จนถึงปี 2011 กองทุนนี้มีผลตอบแทนรวมสูงกว่า 30% ต่อปี

4) ในปี 2018 สินทรัพย์สุทธิของโซรอสมีมูลค่ากว่า 8 พันล้านดอลลาร์

แม้จะไม่มีตัวเลขที่ชัดเจน แต่จากกรณีต่างๆที่ยกมาบ่งชี้ได้ว่า โซรอสเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จสูงมากคนหนึ่ง โดยมีผลตอบแทนการลงทุนจากกองทุนเฉลี่ยมากกว่า 30% ต่อปีเป็นระยะเวลายาวนาน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าทึ่งมากสำหรับการลงทุนแบบกองทุน

@@@@@@@@@

สังเกต ถ้าตลาดหุ้นดี ตลาดอสังหา บ้านและคอนโดจะขายดีไปด้วย 

เมื่อบ้านและคอนโดขายดีย่อมส่งผลต่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง  อุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ และแรงงาน

เนื่องจากการก่อสร้างที่อยู่อาศัยต้องอาศัยแรงงานจำนวนมากก่อให้เกิดการจ้างงานจำนวน  ใช้วัสดุก่อสร้าง รวมถึงใช้วัสดุในการตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์ต่างๆต่อเนื่องอีกมากมาย

ส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศให้ดีขึ้น 

แต่ถ้าเมื่อไหร่ตลาดหุ้นแย่หนักๆตลาดอสังหาจะแย่ไปด้วย 

สังเกตได้จากประเทศจีน  ตลาดหุ้นพังแรงมาสองถึงสามปี ตลาดอสังหาที่เคยเฟื่องฟูไม่สามารถ maintain ไว้ได้  สุดท้ายก็พังทลายลงมา ส่วนการจะพังลงมาแรงแค่ไหน มันขึ้นอยู่กับตอนเฟื่องฟูนั้นมีฟองสบู่อสังหาหรือเปล่า

ตลาดหุ้นตลาดการเงิน ส่งผลต่อเศรษฐกิจภาค real sector โดยตรง และอย่างมาก

@@@@@@@@@@@@@

การสร้างพอร์ตหุ้นปันผล จุดประสงค์หลักคือเพื่อสร้างกระแสเงินสดต่อเนื่องระยะยาว โดยเฉพาะ เป็นกระแสเงินสดสำหรับยามเกษียณ


การสร้างพอร์ตหุ้นปันผลนั้นต้องยึดมั่นในหลักการที่ถูกต้องอย่างแน่วแน่  ต้องมีความอดทนสูง สามารถทนถือผ่านความผันผวนของตลาดได้ 


ไม่ว่าจะเป็นปู่วอร์เรนบัฟเฟตต์ หรืออาจารย์นิเวศน์ ก็ล้วนแต่ถือพอร์ตระยะยาวผ่านความผันผวนของตลาดมานานหลาย 10 ปี 


จุดได้เปรียบที่จะสร้างพอร์ตหุ้นปันผลคือต้องซื้อหุ้นได้ในราคาถูก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีอัตราเงินปันผลที่คุ้มค่า 


การที่จะซื้อหุ้นได้ในราคาที่มีอัตรา เงินปันผลที่คุ้มค่านั้นทางหนึ่งก็คือซื้อเมื่อราคาหุ้นตกต่ำ


ราคาหุ้นอยู่ดีดีมันไม่ตกต่ำหรอกนะ  ต้องมีวิกฤติอะไรบางอย่าง มันต้องมีผลประกอบการที่แย่เป็นบาง เวลาชั่วขณะ อาจจะแย่ปีสองปี นั่นก็คือช่วงจังหวะที่ดีในการทยอยซื้อหุ้น สังเกตใช้คำว่าทยอยนะไม่ใช่ซื้อตูมเดียว


เมื่อซื้อหุ้นได้ในราคาถูกที่มีอัตราปันผลสูงในยามที่มีวิกฤตหรือผลประกอบการแย่ชั่วคราว 


พอเศรษฐกิจฟื้นตัวผลประกอบการดีขึ้นมา  อัตราเงินปันผลก็จะยิ่งสูงขึ้น มันคือผลตอบแทนที่หอมหวานสำหรับคนที่มีความอดทนมากเพียงพอ


ใครๆก็รู้ว่าต้องซื้อหุ้นดี ราคาถูก  ใครๆก็รู้ว่า ต้องการเงินปันผลที่สูง แต่มีน้อยคนนักที่จะมีความอดทนได้มากพอ


เวลาตลาดมีวิกฤติส่วนใหญ่ก็จะลืมหลักการกันหมดสิ้น โยนหลักการทิ้ง ตีโพยตีพาย  พอตลาดกลับมาดี กลับมาเป็นปกติ ก็แย่งกลับมาซื้อของแพงกันใหม่ 🤣🤣🤣


#เตือนสติ













วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2567

หลักคิด 41

 อย่าซื้อหุ้นของบริษัทที่ผู้บริหาร มองเห็นรายย่อยเป็นแหล่งหาเงิน มากกว่าการทำธุรกิจ




เวลาพูดถึงหุ้นขนาดขนาดใหญ่ขนาดกลางและขนาดขนาดเล็ก หลายหลายคนอาจจะสงสัยว่าแบ่งกันอย่างไร ปกติจะดูที่ขนาดมาร์เก็ตแคป โดย

Large Cap

Market Cap > 50,000 ล้านบาท

Mid Cap

10,000 ล้านบาท < Market Cap. < 50,000 ล้านบาท

Small Cap

Market Cap < 10,000 MB



#############################



Gold 

นับจากต้มยำกุ้งเป็นต้นมา ปี 2009-2024 ทองมี max drawdown -45% โดยกินช่วงระยะเวลานานประมาณ 1552 วัน (ประมาณ 5 ปี)

และกว่าราคาทองจะกลับมาที่เดิมได้ กินเวลายาวนานประมาณ 3226 วัน (ประมาณ 10 ปี)

แต่ผลตอบแทนตั้งแต่ ต้มยำกุ้งถึงปัจจุบัน 2019-2024 คิดเป็นอัตราทบต้นต่อปี ปีละ 6.19%

MDD และระยะเวลาเวลาต่างๆพอๆกับหุ้น แต่ผลตอบแทนทบต่อปีน้อยกว่าหุ้นค่อนข้างมากทีเดียว 

“”“”“”“”“”“”“”“”“”“”“”“”“”“”“”

แต่ถ้าย้อนไปดูช่วง ทศวรรษ 70-80 (1970-1980) จะพบว่ามี MDD สูงถึง -67%

โดยหลังจากที่ ราคาย่อลงมา -67% กว่าจะกลับมาทำราคาเท่าเดิมได้นั้น ต้องใช้เวลาถึงประมาณ หนึ่งหมื่นวัน (ประมาณเกือบ 30 ปี)

ทอง

#############################


ถามตัวเองว่าถ้ามีคนมาชวนคุณร่วมทุนทำธุรกิจ จากพฤติกรรมของเขา และผลตอบแทนจากธุรกิจ คุณอยากร่วมทำธุรกิจด้วยหรือไม่ 


ถ้าตอบว่าใช่ก็แสดงว่าพฤติกรรมของผู้บริหารน่าจะมุ่งไปในทางทำธุรกิจ 


แต่ถ้าตอบว่าไม่ก็ไม่ควรที่จะซื้อหุ้นแม้แต่หุ้นเดียว 


ใส่ใจพฤติกรรมของผู้บริหารให้มากกว่าราคาหุ้น


แล้วหลังจากนั้นก็อย่าลืมพิจรณา ราคาที่จ่ายกับผลตอบแทนที่จะได้จากธุรกิจด้วย ไม่ใช่มองแค่ราคาหุ้นแต่เพียงอย่างเดียว

#############################


คนที่ไม่มีความคิดที่แจ่มชัด ในการเปรียบเทียบรายได้แต่ละทาง จะเป็นคนที่มองไม่ออก ว่าควรจะนำเงินไปลงทุนทางไหน เพื่อจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า

#############################


ระหว่างเส้นทางการลงทุน จะเต็มไปด้วยจุดต่างๆ ที่พร้อมให้นักลงทุนทำผิดพลาดด้วยความเต็มใจของนักลงทุนเองเต็มไปหมด


เปรียบเสมือนการเดินในซอยที่เต็มไปด้วย “อึสุนัข” ถ้าสุ่มสี่สุ่มห้าเดิน โดยไม่ดูตาม้าตาเรือ โอกาสเหยียบอึหมาก็จะมีสูงมาก 


โดยเฉพาะคนที่ใจร้อนอยากรีบเดินไวๆหรือวิ่งเร็วๆ ในซอยที่เต็มไปด้วยอึหมาท่ามกลางเวลาโพล้เพล้ จะยิ่งมีโอกาสสูงมากที่จะเหยียบอึหมา


(คำว่าเวลาโพล้เพล้ในที่นี้ หมายถึงไม่สามารถมองเห็นข้อมูลที่สำคัญต่อการประกอบการตัดสินใจอย่างเด่นชัด)


############################


ใครๆก็ต้องการหุ้นของบริษัทที่มีการเติบโตสูงๆ แต่จริงๆแล้ว การเติบโตปานกลางแบบต่อเนื่อง “สำคัญกว่าการเติบโตสูงๆแบบประเดี๋ยว ประด๋าว”


#####################


ซื้อหุ้นที่มีการเติบโต ในราคาที่เหมาะสม มีผู้บริหารที่เก่ง แล้วเกาะติดกับบริษัทไว้ให้นานที่สุด


###############


ทำไมบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ถึงมีรายได้และกำไรสุทธิที่สม่ำเสมอตลอดช่วง เป็นสิบปีได้ ???


เพราะ

- มีการเปิดโครงการหลายระดับราคา เช่น จับกลุ่มลูกค้า ตั้งแต่ราคาเกือบสองล้านบาทไปจนถึงหลาย 10 ล้านบาท ทำให้มีกลุ่มลูกค้ากว้างอยู่ในมือ


- มีการเปิดโครงการในหลายทำเล เรียกว่าถ้าลูกค้าต้องการทำเลไหนก็จะจะมีโครงการไว้รองรับ นั่นทำให้ฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้นมาก 


- มีการกระจายการลงทุนไปเปิดโครงการตามต่างจังหวัดทั้งหัวเมืองใหญ่และหัวเมืองรอง คนที่อยู่ต่างจังหวัดที่ต้องการหมู่บ้านที่มีความปลอดภัยสูงก็มีอยู่ไม่น้อย 


- เมื่อจำนวนเปิดโครงการ มีจำนวนมากพอทั้งการกระจายแนวกว้าง (หมายถึงจำนวนโครงการที่มาก) และแนวดิ่ง (หมายถึงหลายระดับราคา) นั่นส่งผลให้ เกิด การประหยัดก่อขนาดมากขึ้นมาก 


ทำให้สามารถคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ได้คุ้มค่าขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรมนุษย์ หรือทรัพยากรวัตถุดิบรวมไปถึงการทำโฆษณาต่างๆก็จะได้ความคุ้มค่าที่มากขึ้น


AP ตอนนี้เป็นเจ้าตลาดอสังหา จุดแข็งคือ เน้นเจาะกลุ่ม real demand และเป็นบริษัทที่มีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำ สินค้าส่วนใหญ่จะเน้นที่ราคา 3 ลบ ขึ้นไป


SC เป็นเจ้าตลาด ในสินค้าที่ราคา ตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป และเนื่องด้วยลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มบน ทำให้ยอดปฏิเสธสินเชื่อจากธนาคารมีค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับ ค่าเฉลี่ยของกลุ่ม มีการใช้ Leverage เพื่อช่วยในการสร้างผลตอบแทนให้สูงขึ้น และผู้บริหารก็มีคุม ตัวเลขหนี้สินไม่ให้เกินสัดส่วนที่ตั้งไว้ มีการกระจายไปทำ Hotels Warehouse เพื่อสร้างรายได้ประจำ 


ORI เน้นคอนโดเป็นหลักมีการกระจายไปทำ Hotels Warehouse และธุรกิจอื่นๆอีกหลายอย่าง เพื่อสร้างรายได้ประจำ ในด้านการใช้ leverage นับว่าเป็นบริษัทที่ใช้ leverage สูงที่สุดเท่าที่เกณฑ์ส่วนตัวของเราจะยอมรับได้ (ยังอยู่ในเกณฑ์แต่เต็มลิมิต)


ซึ่งจะเป็นบริษัทที่น่าจะได้ประโยชน์สูงที่สุดในกลุ่มหากมีการลดดอกเบี้ย หมายถึงภาระดอกเบี้ยจ่าย “จะลดลงมาก” ตามปริมาณหนี้สิน นั่นหมายถึง จะส่งผลลงไปยังบรรทัดกำไรสุทธิโดยตรง


Spali เป็นบริษัทที่มีความมั่นคงสูง เนื่องจากหนี้สินมีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนผู้ถือหุ้นนั้นอยู่ในระดับต่ำมาก มีการกระจายการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ (ออสเตรเลีย) สัดส่วนสินค้าทั้งบ้านและคอนโด ต่างกันไม่มากนัก 


ส่วนอสังหาตัวอื่นที่เราไม่ได้พูดถึงนั้น จะมีจุดอ่อนแต่ละด้านแตกต่างกันไป ที่ทำให้ไม่ได้เอา

เข้าอยู่ใน list ของเรา


😀😀😀😀😀😀😀😀😀😀😀


อย่าต้อนตัวเองเข้ามุมอับของชีวิต ด้วยการเล่นพนัน 


พอเล่นเสียหนึ่งครั้งก็อยากจะเอาคืน พอเล่นต่อก็เสียหนัก


พอเสียหนักก็ทำให้ต้องไปกู้หนี้ยืมสิน เอามาเล่นต่อเพื่อที่จะเอาคืน 


สุดท้ายชีวิตก็จะพัง 


ตัดวงจรความพังแต่ต้น ด้วยการไม่เล่นพนันตั้งแต่ต้น


คนที่เสียบอลอย่างหนัก ก็เริ่มต้นด้วยเล่นสนุกสนุกกันทุกคน 


พอเสียครั้งแรกก็อยากจะได้คืน ยิ่งเล่นก็ยิ่งหนัก สุดท้ายก็หมดตัว เป็นหนี้เป็นสิน


ความฝันอันสวยหรูที่จะสร้างอนาคตจะพังทะลายลงหมดทุกอย่าง เมื่อเข้าไปยุ่งกับการพนัน


😀😀😀😀😀😀😀😀😀


บริษัทที่เติบโตได้อย่างต่อเนื่องต่อเนื่อง ต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญ คือ ความสามารถในการจัดสรรเงินทุนของผู้บริหาร หากผู้บริหารนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ได้ผลตอบแทนต่ำ มันคือการทำลายมูลค่าของบริษัท


เช่น หากนำเงินทุน ไปลงทุน ไปซื้อหุ้น ของบริษัทที่หนี้สินล้นพ้นตัวและผลประกอบการขาดทุน นั่นคือ ผบห กำลังทำลายผลตอบแทนของเงินทุนนั้น


😀😀😀😀😀😀😀😀😀😀😀


การลงทุนระยะยาว เป็นการลดความเสี่ยงในการลงทุนที่ดีที่สุด


😀😀😀😀😀😀😀😀


คนที่ค้าขายล้วนมองหาทำเลที่มีโอกาสที่จะขายของได้มาก 


คนทำธุรกิจล้วนมองหาโอกาสในการทำธุรกิจที่ดีที่สามารถทำเงินได้ 


โอกาสที่มองหากันเหล่านี้ เรียกว่า ”อัตราต่อรอง“ (odds) ถ้าไปอยู่ในจุดที่มีอัตราต่อรองที่ได้เปรียบก็มีโอกาสทำเงินได้มากกว่า จะไปอยู่ในจุดที่มีอัตราต่อรองที่เสียเปรียบ


การลงทุน ในตลาดหุ้นก็เช่นกัน ก่อนที่จะทำดีล (ก่อนที่จะตกลงซื้อขาย) จะต้องมองหาอัตราต่อรองที่ได้เปรียบ ซึ่งอาจจะใช้วิธีที่แตกต่างกันในการหา บางคนใช้ เทคนิคเคิล บางคนใช้งบการเงินใช้ปัจจัยพื้นฐาน บางคนใช้ภาพใหญ่ของเศรษฐกิจ Macro economic บางคนใช้ข่าววงใน บางคนใช้ charisma


ถ้าลงทุนในจุดที่มีอัตราต่อรองที่ได้เปรียบซ้ำๆ ซ้ำๆเป็นระยะเวลาที่นานพอ แม้ว่าบางดีล จะขาดทุนบ้างแต่ภาพรวมแล้วคุณจะได้กำไร


ทุกดีลในตลาดหุ้น ทุกการซื้อขายล้วนแต่แย่งชิงกัน มองหา odds ที่ได้เปรียบ ทั้ง buyer และ seller 


แต่เนื่องจากผู้ซื้อและผู้ขายต้องมาดีลกัน 


ดังนั้น หากบน Time frame เดียวกันแปลว่าจะต้องมีคนหนึ่งถูกและคนหนึ่งผิด ดังนั้นคนที่คิดน้อยกว่า คนที่เผลอเรอมากกว่า คนที่ใช้อารมณ์ ในการตัดสินใจมากกว่า เป็นคนที่เสียเปรียบเสมอ


ส่วนคนที่เห็นตลาดหุ้นเป็นบ่อน เข้ามาในตลาดหุ้นเพื่อการพนัน ก็จะไม่หาข้อมูลอะไรที่ ทำให้ได้ไปยืนอยู่ในจุดที่ Odds มีโอกาสที่ดี แต่จะพึ่งดวง พึ่งโชคเป็นหลัก


###########################


คนส่วนใหญ่ที่ไม่ซื้อบ้าน ลืมคิดไปว่า แท้จริงแล้วการซื้อที่อยู่อาศัย & การทยอยผ่อนที่อยู่อาศัย 


มันคือการเก็บออมอย่างหนึ่ง  


ในคนที่ไม่ได้มุ่งเน้นไปกับการลงทุนมากนัก ในคนทั่วๆไปที่ทำงานมีรายได้จากการทำงาน หากผ่อนบ้าน สุดท้ายแล้วก็คือได้เป็นทรัพย์สินเป็นเงินก้อนขึ้นมา


แต่หากไม่ได้ซื้อบ้านหรือผ่อนบ้าน หลายคนคิดว่าจะมีเงินเหลือ แต่จริงๆแล้วเงินก้อนนั้นก็มักจะไม่เหลือ 


มันก็เหมือนกับเวลาคุณซื้อกาแฟสตาร์บัคส์ทุกวัน ถ้าคุณไม่ซื้อ โดยการคำนวณแล้วน่าจะมีเงินเหลือ แต่จริงๆแล้วก็มักจะไม่เหลือเพราะนำไปใช้จ่ายอย่างอื่นอยู่ดี 


แต่กาแฟสตาร์บัคส์กินหลายหลายปีแล้ว มันสะสมเป็นเงินก้อนกลับคืนมาไม่ได้ ไม่เหมือนบ้าน


ไม่ได้บอกว่าวิธีคิดแบบนี้จะเหมาะสมกับทุกๆคน  


แต่ มันดีกับคนส่วนมาก


สำหรับนักลงทุนที่มีทางเลือกในการลงทุนอื่นที่ดีกว่า และเก็บออมเงินได้เก่ง ก็อาจจะมีช่องทางอื่นที่เหนือกว่า ซึ่งผมก็คงไม่ต้องพูดถึงเพราะ คนที่เก็บออมเก่งและเป็นนักลงทุน จะรู้ดีอยู่แล้ว ว่าอะไรดีสำหรับเขา เหมาะสมสำหรับเขาแบบเฉพาะรายบุคคล


##############

หลักในการขายหุ้น

1. เมื่อพื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวร จากที่ได้คาดการณ์ไว้แต่ต้น

2. เมื่อเจอหุ้นของบริษัทอื่นที่มีโอกาสมากกว่า และความเสี่ยงต่ำกว่า


ถ้าไม่เข้าทั้ง 2 ข้อนี้ก็ถือไปก่อน ไม่รีบร้อนขายหุ้น


การขายหุ้นเพราะได้กำไรมาก ไม่ใช่เหตุผลที่ดีในการขาย


##############

หุ้นเล็กมาร์เก็ตแคปเล็กโตง่ายก็จริง แต่ต้องไม่ลืมว่าบริษัทเล็กต้นทุนทางการเงินต่ำพอที่จะสู้กับบริษัทใหญ่ได้หรือไม่ มีเงินพอที่จะวิจัยพัฒนาสินค้าสู้กับบริษัทใหญ่ได้หรือไม่ และหากโดนบริษัทใหญ่ใช้สงครามราคา ใช้การตัดราคา บริษัทเล็กจะเอาตัวรอดได้หรือไม่ 


ถ้าทำได้หมดอย่างที่ว่าบริษัทเล็กย่อมดีกว่าแต่ถ้าไม่ แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าบริษัทจะอยู่รอดได้ในระยะยาว 

@@@@@@@@@@@


ที่ต้องทำคือ เตรียมพอร์ตการลงทุนให้พร้อมรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆให้ดีที่สุด

@@@@@@@@@@


เห็นคนพูดถึงพอร์ตปันผลพอร์ตแตกอะไรทำนองนี้ ใน ทวต อ่านละ ขำมากๆ


อย่าว่าแต่การลงทุนที่วางแผนแบบเซฟที่สุดอย่างหุ้นปันผลเลย ต่อให้เทรด forex ถ้ามีมายด์เซ็ทที่คอนเซอร์เวทีฟ ที่คิดอย่างละเอียดรอบคอบ เทรดให้ตายพอร์ตก็ไม่แตก 


Mindset แบบไหน เทรดยังไงพอร์ตไม่แตก 😊


- เลือก asset ที่ไม่มีวันที่มูลค่าจะเป็น 0 หรือ โอกาสเป็นศูนย์ต่ำมากๆๆๆๆ เช่น สกุลเงินหลักๆ Gold Silver 


- ใช้ Leverage เท่าไร เงินสำรองแบบเต็ม 100% เช่น ใช้แบบ 1:1000 ต้องมีเงินสดสำรอง 1000 เอาไว้จริงๆแม้จะเทรดแค่ 1 ก็ตาม 


- เทรดแบบวางโซน แบ่งไม้ซื้อ แบ่งเงินพร้อมซื้อ เมื่อราคาไหลลง วางโซนซื้อจนถึง 0 


- วางโซนขาย ตามไม้ที่ได้กำไร เพื่อสร้างกระแสเงินสดออกมา


- แกว่งลงซื้อ แกว่งขึ้นขาย 


- โดนเรียกมาร์จิ้นเพิ่ม มีเงินเติมตลอด เพราะสำรองเงินครบทั้ง 100%


- วางออเดอร์ แล้วปล่อยให้ราคาแกว่งไป กินกำไรทุกไม้ที่ราคาแกว่งขึ้น ซื้อคืนทุกไม้ที่ราคาแกว่งลง


- อย่าลืมดูเรื่อง swap ว่าได้เปรียบหรือเสียเปรียบ เลือกคู่สกุลเงินที่มี swap ที่ได้เปรียบ ที่เป็นบวก


- เลือกโบรกที่ยอมให้วางออเดอร์จำนวนมากๆได้ เพราะมีบางโบรกไม่ยอมให้วางออเดอร์จำนวนมาก เพราะกลัว Player วางโซน


รายละเอียดต่างๆเพิ่มเติม ต้องสังเกตและปรับปรุงกันเอง ความจำเรื่องนี้ของผม มันเลือนลางเหลือเกิน เล่าฟังกันสนุกๆเท่านั้น


คนเป็นนักลงทุน เป็นวีไอ จะมารู้อะไรกับการเทรด กับ forex 🤣🤣🤣



@@@@@@@@@@


เลือกเลยครับชีวิตคุณคุณอยากได้แบบไหน เลือกได้ตามสบาย ชีวิตของคุณ เงินของคุณ ความสุขสบาย หรือความลำบากตอนแก่ ก็เป็นของคุณเช่นกัน


วงจรแห่งความรุ่งเรือง


ทำงานประหยัดอดออม สะสมหุ้นปันผลที่มั่นคงและมีการเติบโต ต่อมา รับปันผล+ เงินจากการเก็บออมจากรายได้ นำมาสะสมหุ้นปันผลเพิ่ม  


ส่งผลให้ได้เงินปันผลเพิ่มมากขึ้น+ เงินเก็บออมจากรายได้ รวมกันมากขึ้นไปอีก แล้ว นำมาสะสมหุ้นปันผลเพิ่มอีก 


วนลูบ ซ้ำๆไปเรื่อยๆ สุดท้ายคือ กระแสเงินสดไหลเข้าจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นวงจรแห่งความรุ่งเรือง 


*********************


วงจรแห่งความตกต่ำ


มีรายได้เท่าไหร่ใช้ให้หมด มีความสุขในวันนี้ อนาคตช่างหัวมัน  


พอเจ็บป่วยต้องใช้เงินเงินก้อนใหญ่ เงินไม่พอ ก็ไปกู้ยืม ทำยังไงได้ของมันต้องกินต้องใช้ 


มีเงินเหลือนิดหน่อยก็เอามาซื้อหวย แทงบอล เล่นพนัน ปั่นสล็อต หาความสุขชั่วคราว แล้วกลับไปจนกว่าเดิม


เพราะเป็นหนี้หัวโต ยิ่งเวลาผ่านไปยิ่งหัวโตเพราะโดนดอกเบี้ยเงินกู้ฟาดหัวทุกวัน


@@@@@@@@@


ถ้าคุณเป็นนักลงทุน ไม่ใช่นักเก็งกำไร คุณแทบไม่ต้องสนใจเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการลงทุน แล้วทำให้คาดว่าราคาจะขึ้นหรือจะลงเลย 


สิ่งที่คุณต้องรู้ไว้ก็คือ  หลายหลายครั้งกองทุนต้องขายหุ้นออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่ได้เกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานเลย เช่น ขายเมื่อกราฟราคาดูไม่ดี  ขายเมื่อลูกค้ามาขายคืนหน่วยลงทุนเยอะทำให้ต้องการเงินสดไปคืนลูกค้า 


กองทุนต้องรักษาระดับผลงานให้ดูดีแทบจะ  ”ตลอดเวลา“ เพื่อป้องกันลูกค้าถอนหน่วยลงทุน 


ซึ่งการที่ลูกค้าถอนหน่วยลงทุนนั้น ลูกค้าไม่เคยมารู้เลยว่าหุ้นตัวไหนดีไม่ดี  แค่เหตุผลจำเป็นส่วนตัวในการใช้เงิน และลูกค้าก็ไม่เคยรู้เลยว่าเมื่อถอนเงินแล้วกองทุนจะไปขายหุ้นตัวไหน


ดังนั้นราคาที่แกว่งขึ้นลงบ่อยบ่อย หลายๆครั้งเกิดจากกองทุนซื้อซื้อขายขาย  ซึ่งคุณแทบไม่ต้องไปสนใจเลย


ถ้าคุณเป็นนักลงทุน คุณสนใจเฉพาะเหตุผลที่มากระทบกับยอดขายของบริษัท กระทบกับพื้นฐานของบริษัทเท่านั้นก็พอ  


@@@@@@@@


ทุกคนสามารถมีความมุ่งมั่นได้

บางคนมุ่งมั่นได้หลายชั่วโมง  

บางคนมุ่งมั่นได้หลายวัน 

บางคนมุ่งมั่นได้หลายสัปดาห์ 


แต่คนที่ประสบความสำเร็จ 

มุ่งมั่นได้หลายสิบปี

@@@@@@@@@@@


ในระยะยาว มูลค่าเป็นตัวกำหนดราคาหุ้น 


การเก็งกำไรระยะสั้นทำให้ราคาหุ้นผันผวนและมีราคาสูงขึ้นได้ แต่มันก็เป็นเพียงการเก็งกำไรเท่านั้น ไม่ได้มีมูลค่าพื้นฐานรองรับ  นั่นหมายถึงว่าถ้าคุณติดดอยคุณเก่งกำไรที่ไม่มีมูลค่าพื้นฐานรองรับแล้วแล้วก็ โอกาสที่จะได้เงินคืนมานั้นริบหรี่เหลือเกิน 


@@@@@@@


นักลงทุนไม่น้อย ไม่สามารถนั่งทับมืออยู่นิ่งๆได้  พยายามไล่ล่าหาผลตอบแทนเพราะรู้สึกต้องทำอะไรสักอย่าง และเพราะความเบื่อหน่ายถ้าต้องอยู่นิ่งๆ

@@@@@@@


ไม่ต้องไปสนใจว่าคนอื่นจะทำเงินได้เท่าไหร่ แต่ให้สนใจไปที่หลักการในการทำกำไร


และให้สนใจว่าตัวเองจะทำเงินได้เท่าไหร่ โดยวิธีไหน จากหลักการอะไร