วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

หลักคิด 28

คนไม่น้อยเก็งกำไร เพราะอ้างว่าไม่เชื่องบการเงินแต่เชื่อกลับไปเชื่อกราฟ (กราฟที่จ้าวมือสร้างขึ้นมาล่อ ให้คนที่ต้องการแทงสูงแทงต่ำมาเข้าบ่อนของเขา)

*******

Current P/E ใช้กำไรของปีล่าสุดในการคำนวน

Trailing P/E ใช้กำไรสี่ไตรมาสล่าสุดในการคำนวณ

Forward P/E ใช้กำไรใน 4 ไตรมาสถัดไปในการคำนวณ

*********

ยิ่งลงทุนนาน ยิ่งรู้สึกว่าชอบพอร์ตแบยโฟกัสมากขึ้นเรื่อยๆ น่าจะเป็นเพราะขี้เกียจติดตามหุ้นเยอะๆมั้ง

แต่เวลาจัดพอร์ตให้คนใกล้ชิด จะจัดให้แบบสมดุล

เพราะพอร์ตแบบโฟกัส
- มีความผันผวนสูงกว่าพอร์ตแบบสมดุลมาก กลัวคนใกล้ชิดจะทนกับแรงกดดันได้ไม่เท่าเรา
- พอร์ตแบบโฟกัสต้องการการติดตามที่ใกล้ชิดมากกว่ามากๆ เพื่อจะได้เข้าใจ ทำให้ทนต่อความผันผวนได้สูง ซึ่งคนใกล้ชิดเราส่วนมากไม่ค่อยได้ติดตามหุ้นมากเหมือนเรา การกระจายความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก

พอร์ตแบบสมดุลในความคิดเราคือมีหุ้น 8-15 ตัวน่าจะกำลังดี

พอร์ตแบบโฟกัสจะมีหุ้นไม่เกิน 5 ตัว และอาจมีบางตัวที่มีสัดส่วนสูง 25-50% ของพอร์ต

********

เห็น นลท บางคนทำทุกทาง ขยันทุกอย่าง เพื่อเป็นผู้ชนะในตลาดหุ้น ยกเว้นอย่างเดียว "อ่านงบการเงิน"


******

เราควรต้องวางเป้าหมายเสียก่อนว่าแท้จริงแล้วเราต้องการอะไรกันแน่ 

หากเป้าหมายของการลงทุนคือการมีอิสรภาพทางการเงิน ก็ต้องมากำหนดว่ามี factor ไหนบ้างที่จะให้เราประสบความสำเร็จตามเป้าหมายได้

ก็ต้องมาดูนิยามคำว่าอิสรภาพทางการเงินมันคืออะไร

จะมีอิสรภาพทางการเงินได้ปัจจัยหลักน่าจะเป็นเรื่องของกระแสเงินสดที่ไหลเข้ามาตลอดชีวิตเรามีให้เราได้ใช้จ่ายอย่างพอเพียงเป็นขั้นต่ำ (ไม่ใช่อย่างฟุ่มเฟือย) คือ มี passive income นั่นเอง

ผลข้างเคียงของการมีกระแสเงินสดที่ไหลเข้ามาตลอดอาจจะส่งผลให้เราร่ำรวยก็ได้หรือไม่ร่ำรวยก็ได้ จุดนี้ไม่ใช่ประเด็นหลัก

เราก็ต้องมาดูว่าแฟกเตอร์ที่จะทำให้เราไปถึงเป้าหมายได้มีอะไรบ้าง

รายได้จากค่าเช่า จริงๆตัวนี้ถ้าเราไม่ได้จ้างเอเจนซี่ช่วยดูแลเสมือนเราก็ยังต้องทำงานอยู่

รายได้จากดอกเบี้ย อันนี้ต้องมีเงินมากพอสมควรดอกเบี้ยถึงจะเป็นกอบเป็นกำเพียงพอที่จะนำมาเป็นค่าใช้จ่ายโดยที่ไม่เดือดร้อน หากเป็นดอกเบี้ยจากสถาบัรการเงิน โดยมากมักจะน้อยกว่าอัตราเงินเฟ้อ หรือดอกเบี้ยจากการปล่อยกู้มักจะต้องยังทำงานอยู่ เช่น ติดตามทวงหนี้

รายได้จากเงินปันผลจริงๆแล้วมันคือรายได้จากธุรกิจที่เราลงทุนผ่านตลาดหุ้น ซึ่งถ้าเราเลือกธุรกิจที่ดีพอ รายได้จากเงินปันผลจะมากกว่ารายได้ดอกเบี้ยหลายเท่าตัวทีเดียว และมีโอกาสเพิ่มมากขึ้น

จึงเป็นช่องทางที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด ที่จะมี passive income เอาไว้ใช้จ่ายอย่างพอเพียง

******
ภาพในใจเรา ที่มีต่อหุ้นแต่ละประเภทโดยประมาณ
ชาร์ตในรูปยังไม่รวม ผลตอบแทนจากเงินปันผล

หุ้นเติบโต และหุ้นวัฏจักร จึงมี Player แห่เข้าไปเล่นรอบกันมาก เพราะมีความผันผวนที่สูงถึงสูงมาก

เมื่อคนแห่เข้าไปเล่นรอบ ยิ่งทำให้มีความผันผวนสูงมากขึ้นไปอีก

จะมีคนได้ และจะมีคนเสีย เป็น zero sum game เป็น adder เพิ่มเติมบนราคาหุ้นที่ขึ้นลงตามธุรกิจอีกที
*********

หุ้นของ บ.ที่ควรค้นหา คือหุ้นที่มีโอกาสการเติบโตในอนาคตตั้งแต่ปานกลางขึ้นไป ราคาปัจจุบันสมเหตุสมผลและมี Tangible asset รองรับพอสมควร

การไม่มี Tangible asset มารองรับมันหมายถึงการไขว่คว้าความฝัน หากคว้าได้อาจเป็นฝันที่ยิ่งใหญ่ แต่หากฝันสลาย ความเสียหายจะมากมายทีเดียว

หุ้นที่เราพยายามหาคือหุ้นที่มีโอกาสการเติบโตในอนาคตตั้งแต่ปานกลางขึ้นไป+ปัจจุบันมีราคาถูก+มี Tangible asset รองรับพอสมควร

*********

อินไซด์ทั้งหลาย ถ้ามันอินไซด์จริง มันไม่หลุดมาถึงคุณหรอก 

ข่าวที่ทำเงินได้ มันไม่หลุดมาถึงแน่ๆ มีแต่ข่าวลวงให้ไป "จ่าย" เท่านั้น ที่หลุดมาถึง 

คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร สำคัญแค่ไหน ข่าวอินไซด์ที่ทำเงินได้ถึงจะมาถึงคุณ ?
ไม่พูดแบบนี้ มันไม่ซึ้งถึงหัวอกหัวใจ แบบนี้จะทำให้จำได้แม่น

********

บริษัทขนาดเล็กที่มีสภาพคล่องในการซื้อขายต่ำ หากงบการเงินผิดคาดในทางลบ ผลลัพธ์ที่เกิดกับราคาหุ้นนั้นจะเลวร้ายมากทีเดียว

ดังนั้นก่อนที่จะซื้อหุ้นตัวเล็ก ให้มองทางลบเผื่อไว้บ้าง อย่าคิดแต่ว่าจะกำไรได้มากจากหุ้นตัวเล็กแต่เพียงอย่างเดียว

********

ุนักลงทุนควรมีการวางแผนเป้าหมายชีวิต เป้าหมายของ portfolio เช่น

- ปีพศนี้ 
- อายุเท่านี้
- ปัจจุบันพอร์ตเท่านี้  
- คาดว่าพอร์ตเติบโตปีละเท่านี้ 
- เงินปันผลที่ได้ปีละเท่านี้
- รวมที่ได้จากพอร์ตหุ้นปีละเท่านี้
- เงินปันผลนำมาใช้จ่ายปีละเท่านี้
- เหลือสะสมอยู่ในพอร์ตปีละเท่านี้
- รวมแล้วพอจะโตปีละเท่านี้

ทำต่อเนื่อง 5-10 ปี หรือตลอดช่วงอายุจนถึงอายุสัก 75 ปี 

list ข้างบนนั้น นำไปเป็น Head ของคอลัมน์ใน excel ได้  

มันทำให้เราเห็นเป้าหมายที่ชัดเจนว่าแต่ละปีที่ผ่านไปเราทำได้ตามเป้าหมาย และเติบโตได้ตามเป้าหมายจริงหรือไม่

********

การลงทุนระยะยาว ควรให้เวลาอยู่ข้างเรา อย่าทำอะไรที่เป็นปรปักษ์กับเวลา เช่น สะสมฟิวเจอร์ (เพราะมีการหมดอายุ) , DW (เพราะมี time decay) , การใช้มาร์จิ้น (เพราะยิ่งนานยิ่งโดนดอกเบี้ยบานตะไท)

******

วิธีการคำนวณค่า PE ของพอร์ตหุ้น
(สัดส่วนหุ้นตัวที่ 1 × พีอีของหุ้นตัวที่ 1) 
+ (สัดส่วนหุ้นตัวที่ 2 × พีอีของหุ้นตัวที่ 2)
+ (สัดส่วนหุ้นตัวที่ 3 × พีอีของหุ้นตัวที่ 3) 
+ (สัดส่วนหุ้นตัวที่ X × พีอีของหุ้นตัวที่ X) 

โดย สัดส่วนหุ้น หมายถึง (มูลค่าหุ้นตัวที่ X หารด้วยมูลค่าพอร์ต X 100)

เมื่อวานหลังจากปรับพอร์ตเสร็จ Trailing P/E พอร์ตเรา อยู่ที่ 6.99 เท่า

*******

ในการลงทุน ไม่จำเป็นต้องซื้อหรือขายหุ้นอยู่ตลอดเวลา

บางช่วงไม่มีหุ้นราคาถูกให้ซื้อ ก็ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนที่จะซื้อ 

การรอเป็น เป็นสิ่งสำคัญ 
อย่าดิ้นรนที่จะซื้อ จะขาย อยู่ตลอดเวลา

แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่โอกาสมาถึงต้องลงมืออย่างว่องไวรวดเร็ว

******
การสับเปลี่ยนหุ้น

- เหมือนการนั่งรถม้า มีม้าฝูงนึงลากรถม้า คัดตัวที่แข็งแรง(มั่นคง)ไว้ใน watch list พอมีวิกฤติ ตัวแข็งแรงราคาลงมาจนมีอัพไซด์มากกว่าก็เปลี่ยนตัวเดิมบางตัวออก เอาตัวใหม่ที่กำลังดีกว่า(มีอัพไซด์มากกว่า) เข้ามาแทน ทำให้ม้าทั้งฝูงมีกำลังดีขึ้น สดใหม่ขึ้น ลากพอร์ต(รถนั่งเทียมม้า) ไปต่อได้ด้วยกำลังที่ดี

- การสับเปลี่ยนหุ้นดูจากส่วนเผื่อความปลอดภัย+อัพไซด์เป็นหลักไม่ได้ดูกราฟ

- ลืมเรื่อง sunk cost หรืออดีตที่ตัวไหนเคยทำกำไรใด้มากเท่าไร ไปได้เลยเมื่อยามสับเปลี่ยนตัว โฟกัสไปที่ MOS+UPSIDE เท่านั้น (เพราะคัดจากตัวที่แข็งแรง งบมั่นคงใน watch list ที่ผ่านการคัดกรองความแข็งแรงมาแล้ว)

ดังนั้นต้องทำการบ้านมาล่วงหน้า ถึงจะรู้ได้ว่าตัวไหนที่ราคาไหนมีอัพไซด์หรือmos เท่าไร เฝ้ารออย่างใจเย็น แต่เมื่อโอกาสมาถึง ลงมืออย่างรวดเร็ว

********

การตัดสินใจลงทุนท่ามกลางวิกฤติที่ราคาหุ้นลงแรงและมีความสั่นไหวของบรรยากาศการลงทุนที่น่ากลัวนั้น ทางทฤษฎีใครๆก็รู้ว่าให้ซื้อของราคาถูก แต่ในทางปฏิบัตินั้น จะมีแต่คนออกมาสาปแช่ง ตื่นกลัว และเทขาย

โอกาสจึงเป็นของคนที่ทำการบ้านมาเป็นอย่างดีที่มีความมั่นใจสูง ซึ่งเป็นคนกลุ่มน้อย

*******

การประเมินความเสี่ยงผิดพลาด ทำให้

1 ลงทุนผิดพลาดเกิดความเสียหายเนื่องจากเข้ารับความเสี่ยงมากเกินไป 

2 พลาดโอกาสการลงทุนที่ดีไป เสียโอกาส เนื่องจากไม่กล้าเข้ารับความเสี่ยง

*****

นักลงทุน/เทรดเดอร์ คือ Risk taker 
ถ้าไม่กล้าเข้ารับความเสี่ยง ก็เท่ากับเป็นคนวงนอก แต่ถ้ารับความเสี่ยงมากเกินไปก็จะโดนบังคับให้เป็นคนวงนอก เช่นกัน

*******

กรณีศึกษา

SIVB บ.แม่ของ SVB ยื่นล้มละลาย

ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า SIVB เป็นคนละบริษัทกันกับ Silicon Valley Bank 

เทียบง่ายๆ คือ สมมติว่า JMART ถือหุ้น JMT แล้วสมมติ JMART ขอยื่นล้มละลาย งบการเงินของ JMT แยกออกจาก JMART โดยหาก JMART ยื่นล้มละลายก็อาจจะขายหุ้นของ JMT ออกมาเพื่อนำเงินไปใช้หนี้ ส่วน JMT ก็ดำเนินธุรกิจต่อไปไม่เกี่ยวกัน 

ในกรณีของ SIVB กับ SVB ก็เช่นกัน

*********
บริษัท A ที่ลงทุน ในบริษัท B โดยบ. A ถือหุ้นของ บ. B มากกว่า 50% ขึ้นไป เราเรียก บ. B ว่า บ.ย่อย (หรือ บ.ลูก) 

งบการเงินและทรัพย์สินของ บ.A และ บ.B ก็แยกจากกันอยู่แล้ว

บ.แม่ ที่ถือหุ้นใน บ.ลูกมากกว่า 50% ทำให้มีอำนาจออกเสียง มีอำนาจครอบงำ

แต่ ในแง่ของทรัพย์สิน บริษัทแม่ ก็เหมือนนักลงทุนทั่วไปที่ซื้อหุ้นของบริษัทอื่น หากนักลงทุนทั่วไปต้องการจะใช้เงินก็แค่ขายหุ้นออก 

บริษัทแม่ก็ทำได้เช่นเดียวกัน

คือสมมุติว่า บริษัทแม่ยื่นล้มละลายต่อศาล สุดท้ายแล้วทางออกก็คือขายทรัพย์สินออกเพื่อใช้หนี้ 

และหุ้น บ. B ที่บริษัทแม่ (A) ถือ ก็นับว่าเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งที่สามารถขายออกมาใช้หนี้ได้

ให้นึกถึงว่านักลงทุนรายย่อยขายหุ้นที่ซื้อไว้ออกไป บริษัทที่โดนนักลงทุนขายหุ้นเขาก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เขาก็ยังดำเนินธุรกิจตามปกติของเขาไป

บริษัทแม่ที่ล้มละลาย แล้วต้องขายหุ้นของบริษัทลูกก็เช่นกัน 

คืองบการเงินและทรัพย์สินมันแยกจากกันอยู่แล้ว การที่บริษัทแม่ขายหุ้นของบริษัทลูกเพราะต้องการใช้เงิน ก็ไม่ได้กระทบอะไรกับบริษัทลูก 

บริษัทลูกก็ยังดำเนินธุรกิจตามปกติต่อไป

*********

เปรียบเทียบความสามารถในการทำกำไรของ CS ที่มีปัญหา กับ ความสามารถของแบงค์ไทย จะเห็นภาพได้ชัดทีเดียว 

ตัวอย่างการดูอัตราส่วน ROE ROA ROIC

*********

ในระยะยาวแล้ว การจะมีอิสรภาพทางการเงินนั้น มันหมายถึงการมีกระแสเงินสดไหลเข้ามากพอที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายต่างๆตลอดปีได้ หนึ่งในกระแสเงินสดไหลเข้าคือเงิน ปันผล ดังนั้นการสร้างพอร์ตหุ้นปันผล ก็เป็นอีกหนทางหนึ่งสู่ความมีอิสรภาพทางการเงิน 

การสร้างพอร์ตหุ้นปันผล 

- เลือก บ. ที่มีการเติบโต 
- เลือก บ.ที่ไม่ล้มหายตายจากในอีก 10 ปีข้างหน้า
- เลือก บ.ที่มีหนี้สินต่ำ
- มี Div yield บนราคาที่ซื้ออย่างน้อย 3% ขึ้นไป 
- ที่สำคัญ ผบห ซื่อสัตย์ มีคุณธรรม ไม่เอาเปรียบ นลท รายย่อย

บ.ที่เติบโตสูง แต่ปันผลต่ำเมื่อเทียบกับราคาที่เราจ่ายนั้น ไม่ค่อยเหมาะกับพอร์ตปันผล เพราะนอกจากราคามักจะสูงแล้วเงินปันผลยังได้น้อย เช่น

สมมติ หุ้นเติบโตสูง
บ.A จ่ายปันผลคิดเป็น yield 1% และมีการเติบโตปีละ 20% ราคาหุ้น 100 บาท 

ปีที่ 1 ได้ปันผล 1 บาท
ปีที่ 2 ได้ปันผล 1.20 บาท
ปีที่ 3 ได้ปันผล 1.44 บาท
ปีที่ 4 ได้ปันผล 1.72 บาท
ปีที่ 5 ได้ปันผล 2.07 บาท

เทียบกับอีกบริษัท สมมติ บ.มั่นคง
บ. B จ่ายปันผล 3% และมีการเติบโตปีละ 5% ราคาหุ้น 100 บาท 

ปีที่ 1 ได้ปันผล 3 บาท
ปีที่ 2 ได้ปันผล 3.15 บาท
ปีที่ 3 ได้ปันผล 3.30 บาท
ปีที่ 4 ได้ปันผล 3.47 บาท
ปีที่ 5 ได้ปันผล 3.64 บาท

เห็นถึงความแตกต่างไหม

การถือหุ้นบริษัทมั่นคง ที่มีปันผลดี และมีการเติบโต เปรียบเสมือนกับการถือพันธบัตรที่จ่ายดอกเบี้ยสูง และดอกเบี้ยที่จ่ายให้นั้นเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งเป็นอะไรที่หาไม่ได้ในพันธบัตร

อย่าลืม sum เงินปันผลของหุ้นทั้งคู่ตลอดหลายๆปี และเงินก้อนที่ได้นั้นเอาไปลงทุนต่อหรือหากนำมาใช้จ่าย โดยตลอด 10 ปีของหุ้นเติบโตเงินปันผลจะเพียงพอให้ใช้จ่ายหรือเปล่า ถ้าไม่แสดงว่าต้องขายหุ้นเติบโตลดพอร์ตลงมาเพื่อใช้จ่ายหรือเปล่า

รวมถึงต้องคิดเผื่อไว้ด้วยว่าในปีที่ห่างไกลออกไปมากๆ อัตราการเติบโตอาจจะไม่สามารถรักษาไว้ในระดับสูงได้ในหุ้นเติบโต

ขณะที่หุ้นมั่นคงการเติบโตเพียง 5-6% นั้น โอกาสที่จะรักษาอัตราการเติบโตระดับนั้นไปได้อย่างยาวนานนั้นมีมากกว่า

*******

สำหรับเทรดเดอร์ หุ้นที่มีความผันผวนสูง คือหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงตามเนื่องจากเทรดเดอร์จะต้อง stop loss นั่นหมายความว่าหุ้นที่มีค่าเบต้าสูง คือหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงในความหมายของเทรดเดอร์ 

ในขณะที่นักลงทุน จะ stop loss ก็ต่อเมื่อ พื้นฐานกิจการของบริษัทเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยยะในทางที่ไม่ดีและถาวร ดังนั้นค่า beta ที่สูง ไม่ได้แปลว่ามีความเสี่ยงสูงสำหรับนักลงทุน

เมื่อค่า beta ไม่ใช่ความเสี่ยงสำหรับนักลงทุน ก็พูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า ความผันผวนไม่ใช่ความเสี่ยงสำหรับนักลงทุน

*******

สำหรับเทรดเดอร์ หุ้นที่มีความผันผวนสูง คือหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงตามเนื่องจากเทรดเดอร์จะต้อง stop loss นั่นหมายความว่าหุ้นที่มีค่าเบต้าสูง คือหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงในความหมายของเทรดเดอร์ 

ในขณะที่นักลงทุน จะ stop loss ก็ต่อเมื่อ พื้นฐานกิจการของบริษัทเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยยะในทางที่ไม่ดีและถาวร ดังนั้นค่า beta ที่สูง ไม่ได้แปลว่ามีความเสี่ยงสูงสำหรับนักลงทุน

เมื่อค่า beta ไม่ใช่ความเสี่ยงสำหรับนักลงทุน ก็พูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า ความผันผวนไม่ใช่ความเสี่ยงสำหรับนักลงทุน

ในเมื่อค่า beta ไม่ใช่ความเสี่ยงสำหรับนักลงทุน ดังนั้นต้นทุนเงินทุน wacc ที่ใช้ค่า beta ในการคำนวณ เพื่อการประเมินมูลค่า ตัวเลขมูลค่าที่ได้นั้น ย่อมผิดเพี้ยนสำหรับนักลงทุนด้วยเช่นกัน

ซึ่งเรื่องนี้มันส่งผลกระทบในวงกว้าง เพราะนักวิเคราะห์จากทุกค่าย ล้วนเรียนมาแค่ตำราเดียว คือการหาต้นทุนเงินทุน(WACC) ด้วยค่า beta

ดังนั้นถ้าค่าเบต้าไม่ใช่ตัวเลขสำหรับนักลงทุนแล้วแล้วก็ ตัวเลขจากการประเมินมูลค่าของนักวิเคราะห์ทุกค่าย ย่อมไม่ใช่ตัวเลขที่ใช้ได้สำหรับนักลงทุน

ค่า beta ใช้สำหรับ เทรดเดอร์ เนื่องจากความผันผวนอาจส่งผลให้เกิดการ stop loss ดังนั้นตัวเลขประเมินมูลค่าของบทวิเคราะห์ต่างๆ จึงเป็นตัวเลขสำหรับเทรดเดอร์ไม่ใช่นักลงทุน

********
ฃเคยมีคนถามว่า อยากเทรดหุ้นหาค่ากับข้าว ไม่เอามากแค่วันละ 1,000-1,500 มีทางทำได้ไหม

ฟังคำถามแล้ว เหนื่อยใจ ผิดตั้งแต่วิธีคิด, ผิดทั้ง mindset

ถ้าจะตอบคงบอกว่าให้ลองหาหนังสืออ่านให้มากๆก่อน การจะทำกำไรทุกวัน ทุกครั้งที่เทรด แค่วิธีคิดตั้งต้นก็ผิดแล้ว

ทำไมวิธีคิดแบบนี้ถึงผิด เพราะไม่มีทางทำกำไรได้ทุกวัน ไม่มีทางถูกทุกครั้งที่เทรด เพราะการเทรดบนระยะเวลาสั้นๆที่จะ take profit รายวันนั้นสิ่งที่ใช้เทรดคือ

1.เทรดตามกราฟ ซึ่งกราฟคือการใช้สถิติ และหาโอกาสความน่าจะเป็น คำว่าโอกาสความน่าจะเป็นแปลว่าไม่ใช่ 100% ดังนั้น ถูกทุกการเทรดจึงเป็นไปไม่ได้  

2.เทรดตามข่าวลือ อันนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่จะถูกทุกการเทรด

3.เทรดตามความรู้สึกอันนี้ไม่ต่างกับการพนัน ไม่มีหลักการอะไรเลย

4.เทรดโดยใช้ระบบเทรด การใช้ระบบจะเป็นการเทรดที่ใช้หลักการคือ เวลาผิดต้องเสียให้น้อยและถูกต้องได้ให้มาก ซึ่งเรื่องระบบเทรดก็ต้องใช้เวลาเช่นกัน อาจใช้เวลาพอๆกับการลงทุนด้วยซ้ำไป

อย่าเทรดเพื่อหาค่ากับข้าว เพราะมันไม่ช่วยให้เปลี่ยนฐานะ แถมบางครั้งนอกจากไม่ได้ค่ากับข้าวแล้วยังเสียค่าโต๊ะจีนอีกด้วย

*****

คนไม่น้อยพยายามทำธุรกิจโดยที่รู้อยู่ว่าเมื่อลงทุนไปแล้วเงินทุนจะไปติดอยู่ในสินค้าและอุปกรณ์และรู้ว่าต้องใช้เวลาพอสมควรในการทำธุรกิจ

แต่พอลงทุนในหุ้นกลับรีบร้อนต้องการใช้เวลาน้อยๆ ทนรอนานๆแบบการลงทุนทำธุรกิจไม่ค่อยได้ นี่คือ mindset การลงทุนที่ผิด (มันคือ mindset ของการเก็งกำไร)

*****

โฟกัสไปที่ตัวธุรกิจของบริษัทดีกว่าที่จะเสียเวลาจับจังหวะซื้อขาย

นักลงทุนไม่น้อยชอบจับจังหวะซื้อขายมากกว่าชอบศึกษาธุรกิจของบริษัท เพราะว่าการได้ซื้อขายมันตื่นเต้นกว่า มันเร้าใจกว่า มันตอบสนองอีโก้ว่าข้าเก่งได้มากกว่า

ส่วนการศึกษาธุรกิจของบริษัทนั้น มันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่าย ไม่เร้าใจ เหมือนการโดนบังคับให้อ่านตำราเรียน

คนใหม่ๆที่เข้ามาในตลาดหุ้นจึงชอบการได้ซื้อๆขายๆมากกว่าที่จะศึกษาธุรกิจของบริษัท