25 กฎทองของ Peter Lynch สำหรับการลงทุน
1 การลงทุนเป็นเรื่องสนุกและน่าตื่นเต้น แต่ก็อันตรายถ้าไม่ศึกษาให้ดี
2 ข้อได้เปรียบของคุณไม่ได้มาจากผู้เชี่ยวชาญ แต่มาจากสิ่งที่คุณรู้และเข้าใจอยู่แล้ว ลงทุนในบริษัทหรืออุตสาหกรรมที่คุณคุ้นเคยจะช่วยให้คุณเอาชนะผู้เชี่ยวชาญได้
3 ตลาดหุ้นถูกครอบงำโดยนักลงทุนมืออาชีพ แต่นั่นกลับเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนรายย่อย คุณสามารถเอาชนะตลาดได้โดยไม่ทำตามคนหมู่มาก
4 เบื้องหลังหุ้นทุกตัวคือบริษัท จงศึกษาว่าบริษัทนั้นทำอะไร
5 ความสำเร็จของบริษัทและราคาหุ้นในระยะสั้นอาจไม่สัมพันธ์กัน แต่ในระยะยาวมันสัมพันธ์กัน 100% นี่คือกุญแจสำคัญในการทำเงิน อดทนและลงทุนในบริษัทที่ประสบความสำเร็จ
6 คุณต้องรู้ว่าคุณกำลังถือครองอะไร และเพราะอะไร ไม่ใช่แค่ "หุ้นตัวนี้ต้องขึ้นแน่ๆ"
7 การลงทุนที่มีโอกาสสำเร็จน้อยมักจะพลาดเป้าเสมอ
8 การถือหุ้นก็เหมือนมีลูก อย่ามีมากกว่าที่คุณจะดูแลได้ นักลงทุนรายย่อยอาจมีเวลาติดตาม 8-12 บริษัท และซื้อขายตามสภาพการณ์ ไม่จำเป็นต้องมีหุ้นมากกว่า 5 ตัวในพอร์ตตลอดเวลา
9 ถ้าไม่พบหุ้นที่น่าสนใจ ให้ฝากเงินไว้ในธนาคารจนกว่าจะเจอ
10 อย่าลงทุนในบริษัทที่ไม่เข้าใจฐานะทางการเงิน การขาดทุนครั้งใหญ่ที่สุดมักมาจากบริษัทที่มีงบดุลที่แย่ ตรวจสอบงบดุลก่อนเสมอ
11 หลีกเลี่ยงหุ้นยอดนิยมในอุตสาหกรรมที่กำลังมาแรง บริษัทที่ยอดเยี่ยมในอุตสาหกรรมที่ไม่หวือหวามักจะเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่
12 สำหรับบริษัทขนาดเล็ก รอให้บริษัทมีกำไรก่อนค่อยลงทุน
13 ถ้าคิดจะลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีปัญหา ให้ซื้อบริษัทที่มีความแข็งแกร่ง และรอให้อุตสาหกรรมนั้นฟื้นตัว
14 การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงที่จะขาดทุน แต่ก็มีโอกาสได้กำไรมหาศาล คนทั่วไปสามารถโฟกัสที่บริษัทดีๆ ไม่กี่แห่ง ในขณะที่ผู้จัดการกองทุนต้องกระจายความเสี่ยง การถือหุ้นมากเกินไปจะทำให้เสียโอกาสในการทำกำไร หุ้นที่ชนะไม่กี่ตัวก็เพียงพอต่อการลงทุนที่คุ้มค่าตลอดชีวิต
15 ในทุกอุตสาหกรรมและทุกภูมิภาค นักลงทุนมือสมัครเล่นที่ช่างสังเกตสามารถพบหุ้นเติบโตได้ก่อนที่มืออาชีพจะค้นพบ
16 ภาวะตลาดหุ้นตกต่ำเป็นเรื่องปกติ ถ้าคุณเตรียมพร้อม มันจะไม่ทำร้ายคุณ ภาวะตลาดตกต่ำเป็นโอกาสที่ดีในการซื้อหุ้นราคาถูก
17 ทุกคนมีความสามารถในการทำเงินในตลาดหุ้น แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มีความอดทน ถ้าคุณขายหุ้นเพราะตื่นตระหนก คุณควรหลีกเลี่ยงหุ้นและกองทุนรวมหุ้น
18 มีเรื่องให้กังวลเสมอ หลีกเลี่ยงการคิดมากในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์และเพิกเฉยต่อข่าวร้าย ขายหุ้นเพราะปัจจัยพื้นฐานของบริษัทแย่ลง ไม่ใช่เพราะกลัวว่าตลาดจะล่ม
19 ไม่มีใครสามารถคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย ทิศทางเศรษฐกิจ หรือตลาดหุ้นได้ ละทิ้งการคาดการณ์ทั้งหมดและมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับบริษัทที่คุณลงทุน
20 ถ้าคุณศึกษา 10 บริษัท คุณจะพบ 1 บริษัทที่ดีเกินคาด ถ้าคุณศึกษา 50 บริษัท คุณจะพบ 5 บริษัท ในตลาดหุ้นมีบริษัทที่ประสบความสำเร็จแต่ถูกมองข้ามอยู่เสมอ
21 ถ้าคุณไม่ศึกษาบริษัทใดๆเลย การซื้อหุ้นของคุณก็เหมือนการเล่นโป๊กเกอร์โดยไม่ดูไพ่
22 เวลาเป็นของคุณเมื่อคุณถือหุ้นของบริษัทที่ยอดเยี่ยม คุณสามารถอดทนได้แม้ว่าจะพลาดโอกาสซื้อหุ้น Walmart ในช่วงห้าปีแรก แต่มันก็ยังเป็นหุ้นที่ดีในการถือครองในอีกห้าปีข้างหน้า เวลาเป็นศัตรูของคุณเมื่อคุณถือครองออปชั่น
23 ถ้าคุณรับความเสี่ยงในการลงทุนหุ้นได้ แต่ไม่มีเวลาหรือความสนใจที่จะศึกษา ให้ลงทุนในกองทุนรวมหุ้น การกระจายความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญ คุณควรมีกองทุนหลายประเภทที่มีผู้จัดการลงทุนในรูปแบบที่แตกต่างกัน การลงทุนในกองทุนประเภทเดียวกัน 6 กองไม่ถือว่าเป็นการกระจายความเสี่ยง
24 ในบรรดาตลาดหุ้นทั่วโลก ตลาดหุ้นสหรัฐอยู่ในอันดับที่ 8 ในด้านผลตอบแทนรวมในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา คุณสามารถลงทุนในกองทุนต่างประเทศที่มีผลงานดีเพื่อใช้ประโยชน์จากเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วกว่า
25 ในระยะยาว พอร์ตหุ้นและ/หรือกองทุนรวมหุ้นที่เลือกสรรมาอย่างดีจะให้ผลตอบแทนดีกว่าพอร์ตพันธบัตรหรือบัญชีตลาดเงินเสมอ ในระยะยาว พอร์ตหุ้นที่เลือกมาไม่ดีจะให้ผลตอบแทนไม่ดีไปกว่าเงินสดที่เก็บไว้ใต้ที่นอน
@@@@@@@@@@@@@@
50 ศัพท์ที่นักลงทุนควรรู้
โดย Brian Feroldi
401(k): บัญชีสำหรับเก็บเงินเกษียณที่นายจ้างสนับสนุน มีสิทธิประโยชน์ทางภาษี
Acquisition: การเข้าซื้อบริษัทอื่น
Appreciation: การเพิ่มขึ้นของมูลค่าสินทรัพย์
Asset Allocation: การจัดสรรเงินลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง
Balance Sheet: งบแสดงฐานะทางการเงินของบริษัท ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง
Bear Market: ตลาดขาลง
Bonds: ตราสารหนี้
Bull Market: ตลาดขาขึ้น
Capital Gains: กำไรจากการขายสินทรัพย์
Cash Flow Statement: งบกระแสเงินสด
Compounding: การทบต้นของผลตอบแทน
Convertible Notes: หุ้นกู้แปลงสภาพ
Correction: ภาวะตลาดหุ้นปรับตัวลดลง 10% หรือมากกว่า
Debt: หนี้สิน
Dilution: การเพิ่มจำนวนหุ้น ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นลดลง
Diversification: การกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท
Dividend: เงินปันผล
Dividend Yield: อัตราผลตอบแทนเงินปันผล
Dollar-Cost Averaging: การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน
Dow Jones Industrial Average: ดัชนีตลาดหุ้นดาวโจนส์
Earnings Per Share (EPS): กำไรต่อหุ้น
Exchange Traded Fund (ETF):: กองทุนรวมที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์
Expense Ratio: ค่าธรรมเนียมการจัดการกองทุนรวม
Federal Reserve (Fed): ธนาคารกลางสหรัฐ
Free Cash Flow: กระแสเงินสดอิสระ
Gross Margin: อัตรากำไรขั้นต้น
Individual Retirement Arrangement (IRA): บัญชีเกษียณส่วนบุคคล
Income Statement: งบกำไรขาดทุน
Index Fund: กองทุนรวมดัชนี
Initial Public Offering (IPO): การเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก
Market Capitalization: มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด
Mutual Fund: กองทุนรวม
Net Income: กำไรสุทธิ
NASDAQ Composite Index: ดัชนีแนสแด็ก
Portfolio: กลุ่มสินทรัพย์ที่นักลงทุนถือครอง
Price/Earnings (P/E): อัตราส่วนราคาต่อกำไร
Price/Free Cash Flow (P/FCF): อัตราส่วนราคาตลาดต่อกระแสเงินสดอิสระ
Price/Sales (P/S): อัตราส่วนราคาตลาดต่อยอดขาย
Rebalancing: การปรับพอร์ตการลงทุน
Roth IRA: บัญชีเกษียณแบบ Roth
Roth 401(k): บัญชีเกษียณแบบ Roth ที่นายจ้างสนับสนุน
Securities and Exchange Commission (SEC): สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
Sideways Market: ภาวะตลาดทรงตัว
Stock-Based Compensation: การจ่ายค่าตอบแทนพนักงานด้วยหุ้น
Stock Buybacks: การซื้อหุ้นคืน
Stock Market: ตลาดหลักทรัพย์
Stock Split: การแตกพาร์
Stock Market Index: ดัชนีตลาดหุ้น
Target-Date Retirement Funds: กองทุนรวมเพื่อการเกษียณที่ปรับสัดส่วนสินทรัพย์ตามอายุของผู้ลงทุน
@@@@@@@@@@@
ROCE คืออะไร?
ROCE คืออัตราส่วนที่ใช้วัดว่าบริษัทสามารถใช้เงินทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใดในการสร้างผลกำไร โดยคำนวณจาก
ROCE = EBIT / (Average Total Assets - Average Current Liabilities)
โดยที่:
•EBIT คือ กำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี
•Average Total Assets คือ สินทรัพย์รวมเฉลี่ย
•Average Current Liabilities คือ หนี้สินหมุนเวียนเฉลี่ย
ประโยชน์ของ ROCE
•เป็นการวัดประสิทธิภาพการใช้เงินทุนที่ครอบคลุม
•คำนวณและเข้าใจง่าย
•มีประโยชน์สำหรับอุตสาหกรรมที่ใช้เงินทุนสูง
ข้อจำกัดของ ROCE
•อาจมีการบิดเบือนจากระดับหนี้ที่สูง
•ไม่ได้คำนึงถึงระยะเวลาของกระแสเงินสด
•ไม่น่าเชื่อถือเมื่อเปรียบเทียบบริษัทในอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน
เมื่อใดควรใช้ ROCE
ROCE เหมาะสำหรับการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน
สิ่งที่ควรระวัง
•ความไม่สอดคล้องกันในคำจำกัดความ
•ความอ่อนไหวต่อความผันผวนในระยะสั้น
•ระดับหนี้ที่สูงบิดเบือนผลลัพธ์
สรุป
ROCE เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการประเมินประสิทธิภาพของบริษัทในการใช้เงินทุน แต่ควรใช้ด้วยความระมัดระวังและตระหนักถึงข้อจำกัดของมัน
ROCE (Return on Capital Employed) คือตัวเลขที่บอกว่าบริษัทใช้เงินลงทุนเก่งแค่ไหนในการทำกำไร
คิดง่ายๆ ว่ายิ่ง ROCE เยอะ บริษัทก็ยิ่งบริหารเงินเก่ง ทำกำไรได้เยอะจากเงินที่มีอยู่
ข้อดีของ ROCE คือเข้าใจง่ายและใช้ได้กับทุกธุรกิจ
แต่ข้อเสียคืออาจคลาดเคลื่อนถ้าบริษัทมีหนี้เยอะ และไม่เหมาะเอามาเทียบกับบริษัทต่างอุตสาหกรรมกัน
ROCE (Return on Capital Employed) และ ROIC (Return on Invested Capital) เป็นเครื่องมือวัดผลตอบแทนจากการลงทุนที่คล้ายกัน แต่มีความแตกต่างในรายละเอียดดังนี้
ROCE (Return on Capital Employed)
• ความหมาย: วัดความสามารถของบริษัทในการสร้างผลกำไรจากเงินทุนที่ใช้ในการดำเนินงาน ไม่ว่าจะเป็นเงินทุนจากเจ้าของหรือเงินกู้
• สูตรคำนวณ: EBIT / (สินทรัพย์รวมเฉลี่ย - หนี้สินหมุนเวียนเฉลี่ย)
• จุดเน้น: มองภาพรวมของเงินทุนที่ใช้ในการดำเนินงานทั้งหมด
• ข้อดี: เข้าใจง่าย, คำนวณง่าย, เหมาะสำหรับเปรียบเทียบบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน
• ข้อเสีย: อาจคลาดเคลื่อนได้หากบริษัทมีหนี้สินมาก, ไม่เหมาะสำหรับเปรียบเทียบข้ามอุตสาหกรรม
ROIC (Return on Invested Capital)
• ความหมาย: วัดความสามารถของบริษัทในการสร้างผลกำไรจากเงินลงทุนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเงินทุนจากเจ้าของ, หุ้นบุริมสิทธิ หรือหนี้สินที่มีดอกเบี้ย
• สูตรคำนวณ: NOPAT / (ส่วนของผู้ถือหุ้น + หนี้สินที่มีดอกเบี้ย)
• จุดเน้น: มองเฉพาะเงินลงทุนที่สร้างผลตอบแทน
• ข้อดี: ให้ภาพที่แม่นยำกว่าในการประเมินประสิทธิภาพการใช้เงินทุน, เหมาะสำหรับเปรียบเทียบข้ามอุตสาหกรรม
• ข้อเสีย: คำนวณซับซ้อนกว่า ROCE
สรุป
ROCE และ ROIC เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการประเมินประสิทธิภาพการใช้เงินทุนของบริษัท แต่ ROIC จะให้ภาพที่ละเอียดและแม่นยำกว่าในการวัดผลตอบแทนจากเงินลงทุนทั้งหมด ในขณะที่ ROCE เหมาะสำหรับการเปรียบเทียบบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน
@@@@@@@@@@
ศึกษาหุ้นรายตัวก่อน (Bottom-up) เพราะการวิเคราะห์ภาพใหญ่ก่อนภาพเล็ก (Top-down) อาจทำให้พลาดหุ้นที่ดีที่สุดไป
เนื่องจากราคาหุ้นมักจะขึ้นไปสูงแล้วเมื่อกลุ่มอุตสาหกรรมเป็นที่น่าสนใจ
อย่างไรก็ตาม บางครั้งก็มีการเริ่มจากการดูกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจก่อน แล้วค่อยเลือกหุ้นที่ดีที่สุดในกลุ่มนั้น
การทำตารางหุ้นช่วยให้เห็นภาพรวมว่าหุ้นกลุ่มไหนกำลังเป็นที่นิยม
@@@@@@@@
ดูหนี้สิน ต่อผู้ถือหุ้น
ดูหุ้นซื้อคืนว่ามีหรือเปล่า
ดูสภาพคล่องทางการเงิน
ดูว่ามีกำไรพิเศษหรือเปล่า
ดูระยะเวลาในการขายสินค้า
ดูระยะเวลาในการเก็บหนี้
ดูระยะเวลาในการจ่ายคืนหนี้
ดู factsheet
@@@@@@@
สำหรับผู้ที่กำลังสร้างพอร์ตหุ้นปันผลเพื่อรับผลตอบแทน 4-6% ต่อปี ขอให้พึงระลึกไว้เสมอว่าอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตที่ค้างชำระนั้นสูงถึง 16% ต่อปี
ดังนั้น หากท่านมีภาระหนี้บัตรเครดิต ควรจัดการชำระให้เรียบร้อยก่อนที่จะนำเงินไปลงทุน เพื่อหลีกเลี่ยงภาระดอกเบี้ยที่สูงเกินความจำเป็น
นอกจากนี้ การกู้ยืมเงินนอกระบบนั้นไม่ต่างอะไรกับการทำลายตัวเองและครอบครัว เพราะอัตราดอกเบี้ยที่สูงมากจะยิ่งทำให้สถานะทางการเงินของท่านย่ำแย่ลง ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการกู้ยืมเงินนอกระบบอย่างเด็ดขาด
@@@@@@@
- ค้นหาธุรกิจที่แข็งแกร่ง ธุรกิจที่สามารถสร้างผลกำไรได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยเป็นระยะเวลานาน
- ซื้อหุ้นเมื่อราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
- ถือหุ้นระยะยาวจนกว่าปัจจัยพื้นฐานจะเปลี่ยน
- ทำซ้ำขั้นตอนข้างต้น
@@@@@@@@
ถ้าบริษัทที่คุณลงทุน
- ฐานะการเงินมั่นคงและแข็งแรงดี
- ความสามารถในการทำกำไรระยะยาวอย่างแข็งแรงดีอยู่ นั่นหมายถึงมูลค่ายังเพิ่มขึ้น
- ความสามารถในการทำกำไรระยะสั้นลดลงชั่วคราว นั่นคือราคาหุ้นจะลดลงในระยะสั้นชั่วคราว
นั่นแปลว่าพอร์ตคุณมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในทุกปี ถึงแม้จะแสดงภาพราคาระยะสั้นว่ามีราคาลดลงชั่วคราวก็ตาม