วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2567

หลักคิด 45

 


รายได้ขึ้นอยู่กับ 

- การศึกษา 

- IQ และ EQ ของแต่ละบุคคล

- อุปนิสัย ความขยัน ความใส่ใจต่องาน ความมุ่งมั่น 

- โชค เช่น อาจมีจังหวะที่ดีผ่านเข้ามาแล้วสามารถคว้าไว้ได้ 

- การเตรียมความพร้อม การจะคว้าโชคไว้ได้ก็ต้องมีการเตรียมตัวให้พร้อมเสมอ

- หลายคนมีรายได้สูงแต่ใช้จ่ายเกินตัว ก็ไม่เหลือเหมือนกัน 


ไม่ได้แปลว่า ต้องมีแต่ละปัจจัยครบในคนที่ประสบความสำเร็จ แต่ต้องมีแบบลงตัว บางคนมีด้านนึงน้อยแต่อีกด้านนึงมากจนชดเชยกันได้  มันก็ลงตัวได้


@@@@@@


ตรรกะการลงทุน แนวคิดการลงทุนที่เราชอบมากที่สุด คือการมองหาสินทรัพย์ใดก็ตามที่มีการเติบโตต่อเนื่องและมีมูลค่าเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต และระหว่างทางที่รอก็มีดอกเบี้ยหรือเงินปันผล ในปริมาณที่มากพอ หมายถึงอย่างน้อยประมาณซัก 3% ขึ้นไป 


แล้วถือสินทรัพย์นั้นระยะยาวเป็นปีๆ เพื่อรอมูลค่าเพิ่มขึ้น โดยที่ระหว่างทางที่รอก็ได้รับดอกเบี้ยหรือเงินปันผลเป็นผลตอบแทนรายปีไปด้วย ความเครียดมันจะน้อยกว่ามานั่งเทรด 


ซึ่งสินทรัพย์เหล่านั้นจริงๆแล้วก็มีหลายอย่าง  ไม่ว่าจะเป็น บ้านให้เช่า คอนโดให้เช่า เพียงแต่อสังหาให้เช่านั้นค่าเช่าโดยมากมักจะไม่เกิน 3-4% และต้องเสียเวลาในการดูแลและจัดการ แต่มีข้อดีคือ เงินต้นมักจะไม่หาย


แต่ที่เราชอบมากที่สุดก็น่าจะเป็นหุ้นปันผลที่มีการเติบโต   และล่าสุดก็เป็นพวกกองทุนพันธบัตร เพราะจะได้เงินปันผลในอัตราที่น่าพอใจระหว่างที่รอมูลค่ามันเพิ่มขึ้น 


สำหรับกองทุนพันธบัตรนั้นไม่ได้ซื้อได้เสมอไปในทุกช่วงเวลา  ช่วงจังหวะเวลาที่ดีที่สุดในการซื้อกองทุนธนบัตรคือช่วงเวลาที่ ธนาคารกลางสหรัฐกำลังจะเริ่มลดดอกเบี้ย เพราะมันจะเป็นจุดเริ่มต้นของมูลค่าหน่วยลงทุนที่เพิ่มขึ้นได้มากตามการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ  ซึ่งแต่ละรอบกว่าเฟดจะเข้าสู่รอบขึ้นดอกเบี้ยหรือลดดอกเบี้ยนั้นแต่ละรอบจะใช้เวลาสี่ถึงห้าปีเป็นอย่างน้อยตามรอบวัฏจักรเศรษฐกิจ


พูดง่ายๆคือโอกาสดีๆแบบนี้ใช้เวลานานหลายปีกว่าจะมีสักครั้งหนึ่ง 


และโดยมากธนาคารกลางสหรัฐมักจะชอบให้การลดดอกเบี้ยหรือขึ้นดอกเบี้ยเป็นไปในทิศทางเดียวกันต่อเนื่อง  เพราะการลดดอกเบี้ยแล้วกลับลำมาขึ้นดอกเบี้ยแล้วต้องกลับลำมาลดดอกเบี้ยอีกรอบ  มันหมายถึงมุมมองที่ผิดพลาดต่อเศรษฐกิจของตัวธนาคารกลางสหรัฐเอง  คือ ถ้าทำงานพลาดแล้วเสียหน้านั่นเอง


@@@@@@@@@



เราพูดถึงกองทุนพันธบัตร เราชอบยกตัวอย่าง TLT  ซึ่งจริงๆแล้วก็มีกองทุนอื่นๆอีก เช่น BLV TMF แต่ในที่นี้จะยกตัวอย่างเป็น TLT ละกัน

ตามรูปจะเห็นว่ารอบขาขึ้นรอบที่แล้ว ของราคาหน่วยลงทุน TLT ใช้เวลาประมาณ 10 ปีมูลค่าหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้นมาประมาณ 100%  (คิดเป็น IRR ที่ประมาณ 7%)

นี่ยังไม่รวมเงินปันผลระหว่างทางที่ได้ประมาณปีละ 3-4% (ถ้าคำนวนเป็น IRR จะได้มากกว่านี้เพราะเป็นเงินที่ทยอยรับทุกปี)

สรุป คำนวณแบบคร่าวๆ ผลตอบแทนของกองทุนพันธบัตรรอบที่ผ่านมาในอดีต แบบเฉลี่ยอยู่ที่ 13% ต่อปีเป็นระยะเวลาต่อเนื่อง 10ปี (หรือ หากคำนวณแบบ IRR คือประมาณ 10% ต่อปีเป็นเวลาต่อเนื่อง 10ปี)

ส่วนกองทุนอื่นๆก็อาจจะแตกต่างกันไปตามอายุของพันธบัตรที่กองทุนนั้นถือครอง 

เมื่อเทียบความเสี่ยง  ระหว่างกองทุนพันธบัตร กับหุ้น และผลตอบแทนแล้ว ต้องถือว่าผลตอบแทนของกองทุนพันธบัตรต่อความเสี่ยงถือว่าดีกว่าหุ้นหลายตัวเลยทีเดียว ถ้าหากเข้าซื้อกองทุนพันธบัตรได้ถูกจังหวะ

แน่นอนว่ากองทุนพันธบัตรก็มีความผันผวนไม่ต่างจากหุ้น  แต่มันไม่มีทางที่มูลค่าจะกลายเป็นศูนย์ ไม่ต้องกังวลว่าจะเจอผู้บริหารที่ไม่ดียักยอกเงินบริษัท ไม่ต้องคาดเดาทิศทางต่างๆของบริษัท ไม่ต้องกลัวพลาดซื้อหุ้นปั่น โดนรายใหญ่หรือเจ้ามือลากทุบหุ้น ไม่ต้องอ่านงบการเงินของบริษัทอีกด้วย 😄

@@@@@@@@@@

ฟังเรื่องเล่ามา 

ปู่คนนึงหลังเกษียณมีเงินพันกว่าล้าน เอามาเล่นหุ้น อยู่ในตลาดมาไม่น้อยกว่า 20 ปี เล่นแต่หุ้นปั่น หุ้นที่มีข่าววงใน อาศัยว่ามีคอนเน็คชั่นเยอะ  ไม่เคยซื้อหุ้นปันผลเลย แล้วก็คงจะลงทุนหุ้นปันผลไม่เป็น จะกลับแล้วมาลงทุนในหุ้นปันผลก็ทำไม่เป็นแล้ว  ตลาดหมีรอบที่ผ่านมาพอร์ตติดลบหลายร้อยล้าน ประกอบกับอายุมากเครียดจนต้องเข้าโรงพยาบาล 

อาม่าอีกคนนึง หลังเกษียณมีพอร์ตทุนพันกว่าล้านเหมือนกัน ทำงานเกี่ยวข้องกับตลาดหุ้นมาตลอด ซื้อหุ้นปันผลเต็มไปหมด ในพอร์ตมีแต่หุ้นปันผล อายุใกล้เคียงกับคุณปู่คนข้างบน  แต่อาม่าแกไม่ค่อยดูพอร์ตหุ้นแล้ว ดูแค่เงินปันผลที่เข้าบัญชี เฉลี่ยต่อเดือนไม่ต่ำกว่าห้าล้านบาท สิ่งที่แกดูมากที่สุดในตอนนี้ก็คือวันวันจะกินอะไรดี ตลาดหมีที่ผ่านมาหน้าทุเรียนพอดี แกคงจะกินเยอะไปหน่อย น้ำตาลขึ้นไปเกือบ 300 อยู่ รพ เหมือนกัน 

แล้วคุณล่ะอยากสร้างพอร์ตหุ้นแบบไหน ???

@@@@@@&&

หุ้นที่เป็นอัพเทรนด์ที่ดี ที่แข็งแรง ที่นำตลาดตัวจริง มักจะไม่ขอโอกาสจากคุณ มีแต่คุณที่ต้องรีบไปคว้าโอกาสจากมัน 

หุ้นที่ราคาขึ้นมาแล้วย่อลงมาจนหลุด stop จนคุณต้องให้โอกาสมันเพิ่มขึ้น นั่นไม่ใช่หุ้นนำตลาดตัวจริง หรืออาจจะกำลังหมดเทรนด์แล้ว













วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2567

หลักคิด 44

 


เรื่องของอนาคตไม่มีใครสามารถรู้ล่วงหน้าได้ ดังนั้นหลักการของคุณต้องสอดคล้องกับความเป็นจริงข้อนี้แล้วทำให้คุณได้เปรียบ


หลักการต้องสอดคล้องกับความจริงที่ว่า  อะไรก็เกิดขึ้นได้  และไม่จำเป็นต้องรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็สามารถที่จะสร้างผลตอบแทนได้


เช่น 


การลงทุน ซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่ามากพอ เป็นธุรกิจที่ดีมีการเติบโต  มีผู้บริหารที่ดี จ่ายเงินเงินปันผลในอัตราที่ดีทุกปีต่อเนื่อง ถ้าแบบนี้ได้เงินปันผลทุกปี บนตลาดที่เหมาะสมแก่การลงทุน ระหว่างรอ ที่เหลือก็แค่รอวันดีๆ ให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างที่ควรจะเป็นตามธุรกิจที่ดีที่เติบโตบนตลาดที่เติบโต


หรือสำหรับเทรดเดอร์ ไม่ใช่เทรดบนการคาดเดา แต่เป็นการเทรดบนหลักการที่มีอัตรากำไรต่อขาดทุนที่มากกว่าหนึ่งเท่า โดยอาศัยตลาดที่เอื้ออำนวย และการเลือกหุ้นของบริษัทที่เอื้ออำนวย เลือกบริษัทที่มีการเติบโตที่ดี


@@@@@@@@@


เวลาตลาดมันลง มันจะลงจนกว่า ผู้แพ้จะยอมศิโรราบทั้งหมด หุ้นจะคืนสู่มือเจ้าของตัวจริงจนครบจำนวน ตลาดหมีถึงจะยอมจากไป ผู้แพ้มักคิดว่าทนได้ ทนไหว แต่เชื่อเถอะ ผู้แพ้จะฝืนใจตัวเองไม่ไหว และจะยอมศิโรราบในที่สุด 


เมื่อผู้แพ้คนสุดท้ายยอมขายหุ้น  เมื่อนั้นแหละตลาดหมีถึงจะยอมจากไป


@@@@@@@@@@


ต้องรู้ว่าตลาดมีความผันผวนเอาแน่เอานอนไม่ได้ ดังนั้นจะต้องมีหลักยึด ไม่ว่าจะการเทรดหรือการลงทุนก็แล้วแต่ 


ต้องค้นหาหลักการ ที่มั่นใจอย่างแท้จริง และต้องเชื่อมั่นในหลักการนั้น  แล้วลงมือให้สอดคล้องกับหลักการนั้นด้วยความมั่นใจ 


อย่าปล่อยให้อารมณ์กลัวจากความไม่แน่นอนของตลาดเอาชนะจิตใจได้ เพราะมันจะส่งผลให้ action อย่างสะเปะสะปะ และทิ้งหลักการไป


จะต้องโฟกัสไปยังข้อมูลที่ช่วยระบุโอกาสในการทำกำไร  ไม่ใช่โฟกัสไปที่ความกลัวการขาดทุนที่ตลาดพยายามจะมอบให้



@@@@@@@@@


ต้องไม่ลืมว่านักลงทุนในตำนานของโลกแทบทุกคน ลงทุนในตลาดที่มีการเติบโตต่อเนื่อง ลงทุนในตลาดที่มีการเติบโตเป็นอย่างดี ไม่ใช่ลงทุนในตลาดที่มีแต่จะหดตัว หรือเติบโตต่ำ


แล้วอะไรใช้ในการดูตลาด  ว่าจะสามารถเติบโตได้ดีเติบโตต่อเนื่องหรือไม่ 


โดยหลักการแล้วก็คงจะเป็นจีดีพีของประเทศ  ถ้าประเทศมีจีดีพีที่เติบโตดี นั่นก็หมายถึงบริษัทต่างๆมีโอกาสเติบโตได้ดีด้วยเช่นกัน



@@@@@@@@@


ในการลงทุน ต้องใช้ความอดทน หากคุณประเมินความอดทนของคุณไว้มากเท่าไหร่ เวลาลงมือจริงให้หารสองไว้เสมอ 


เพราะคนเรามักจะประเมินความอดทนของตัวเองสูงกว่าความเป็นจริงไปมาก


ส่วนรูปนั้นไม่เกี่ยว  แค่เอามาให้ดูเฉยๆว่ามันเข้ากันดี 🤣🤣🤣



@@@@@@@@


ตอบก่อนซื้อหุ้น


1. หุ้นที่จะซื้ออยู่ในรายชื่อเฝ้าดูที่ผ่านการตรวจสอบงบการเงิน ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของ ผบห แล้วหรือไม่


2. จุดซื้อเป็นไปตามหลักการหรือไม่ ถ้าใช่มันคือจุดไหน


3. ถ้าราคาหุ้นวิ่งไปตามที่คาด จะขายเมื่อไร เพราะเหตุผลอะไร


4. ถ้าราคาหุ้นวิ่งในทิศตรงกันข้ามจะทำอย่างไร จุด stop อยู่ตรงไหน เพราะอะไรถึงใช้จุดนั้นในการ stop


5. การซื้อครั้งนั้น คิดเป็นมูลค่าเท่าไรของพอร์ตรวม ทำไมถึงใช้สัดส่วนนั้น


6. จากราคาที่ซื้อ ถึงจุด stop จะขาดทุนกี่ % คิดเป็นเงินเท่าไร คิดเป็นอัตราส่วนต่อพอร์ตรวมเท่าไร



@@@@@@@@@@


เหตุผลในการซื้อหุ้นมีหลายแบบ ขึ้นอยู่กับมายด์เซ็ทของนักลงทุน ว่าเข้ากันได้กับแบบไหน


- ซื้อที่ราคาต่ำกว่ามูลค่า พยามซื้อให้ราคาต่ำที่สุด แบบนี้


ข้อดีคือได้ของต่ำกว่ามูลค่าเวลาราคาหุ้นกลับตัวจะได้กำไรค่อนข้างมาก 


ข้อเสีย ราคาหุ้นอาจจะไหลลงต่อ การพยายามซื้อที่ราคาต่ำสุดนั้นอาจจะเป็นการเข้าไปรับมีด เนื่องจากราคาที่ไหลลงแปลว่าต้องมีเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่ดี ซึ่งหลายครั้งเหตุการณ์นั้นมักยืดเยื้อ กว่าราคาจะกลับตัวขึ้นมามักใช้เวลานานมาก

- ซื้อหุ้นที่ราคาเหมาะสม การซื้อแบบนี้มักจะซื้อเมื่อราคาผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและกลับตัวมาแล้วพอสมควร จนราคาค่อนข้างจะเต็มมูลค่าณเวลาปัจจุบันนั้น แต่ซื้ออนาคต ซื้อการเติบโตในอนาคตเข้ามาชดเชย


- ซื้อโดยไม่สนใจเรื่องมูลค่า แต่พุ่งเป้าไปที่แรงซื้อหลักที่ถาถมเข้ามาในราคาที่แสดงออกในกราฟ การซื้อแบบนี้แม้จะซื้อ ในขาขึ้นของปัจจุบันก็ตามแต่ความเสี่ยงก็คือ มักจะเป็นราคาที่เกินมูลค่าไปพอสมควร หากแหล่งซื้อหดหายหรือมีเหตุการณ์มากระทบให้กลายเป็น Bear  มีโอกาสขาดทุนหนัก ดังนั้นจึงต้องมีสต็อปลอสเป็นสำคัญ


- ซื้อที่ราคา All time high การซื้อที่จุดนี้ว่ากันตามเทคนิคแล้วคือไร้แนวต้าน ราคาจะแพงกว่ามูลค่าค่อนข้างมากๆ แต่มันมีหลักคิดคือ หุ้นทุกตัวที่จะรันเทรนด์ของราคา ขึ้นไปตามการเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่องได้ยาวนานนั้นหุ้นทุกตัวจะต้องทำ All time high เสมอ นั่นหมายถึงหุ้นที่ทำ All Time high ในส่วนที่ไปต่อได้มีโอกาสจะรันได้ยาว ส่วนที่ไปต่อไม่ไหวมีโอกาสขาดทุนอย่างหนัก ดังนั้นการซื้อแบบนี้ต้องมีสต็อปลอสเป็นสิ่งสำคัญมาก 



@@@@@@


เวลาคัดเลือกหุ้นด้วยปัจจัยพื้นฐานได้แล้วเห็นหุ้นในราคาที่มีส่วนลดอย่างมีนัยสำคัญแล้ว


จุดซื้อก็เป็นเรื่องสำคัญเพราะในช่วงที่ราคามีส่วนลดอย่างมีนัยยะนั้นไม่ได้แปลว่า เป็นจุดซื้อที่ดีที่สุดในทุกช่วงราคา


คงไม่มีใครชอบ ที่ซื้อแล้วราคาร่วงต่อไปอีก 15%  20%


ดังนั้นสิ่งสำคัญ คือ

- การบริหารเงิน เช่นการแบ่งไม้ซื้อ 

- การใช้กราฟช่วย เพื่อหาจุดซื้อที่ดีที่สุด ซื้อแล้วราคาจะไม่ลงต่อ หรืออาจจะลงต่อไม่มากแล้ว


การหาจุดซื้อที่ดีปัจจัยพื้นฐานบอกได้แค่โดยประมาณ  แต่บางทีมันไถลลึกลงไปได้ 20 ถึง 50% 


เรื่องนี้กราฟเท่านั้นที่จะช่วยได้


ดังนั้น แม้จะเป็นนักลงทุน แม้จะลงทุนด้วยปัจจัยพื้นฐาน แต่การอ่านกราฟให้เป็น การมองกราฟให้ออก ก็เป็นเรื่องสำคัญ 


กราฟช่วยระบุถึง  แรงซื้อ แรงขาย ปริมาณหุ้น กราฟช่วยระบุถึงความต้องการในตัวหุ้น ไม่ว่าจะต้องการซื้อหรือต้องการขาย ซึ่งปัจจัยพื้นฐานไม่สามารถบ่งบอกได้


ดังนั้นนักลงทุนที่มีความรู้ทั้งการอ่านงบการเงินในแง่ปัจจัยพื้นฐานต่างๆของบริษัท และทั้งมีความรู้ด้านกราฟเทคนิคอล ก็ย่อมจะได้เปรียบ


ไม่ได้หมายถึงการใช้งบการเงินแต่เพียงอย่างเดียวจะลงทุนไม่ได้  แต่การรอบรู้มากขึ้นก็ย่อมจะได้ประโยชน์ที่มากขึ้น


แต่แน่นอนว่าต้องลำดับความสำคัญให้ถูกด้วย หาหุ้นด้วยปัจจัยพื้นฐาน คือหัวใจหลัก 


ส่วนกราฟนั้นเป็นเพียงใช้เพื่อหาจุดซื้อที่ดีเท่านั้น 


หลายหลายครั้งพอใช้กราฟไปนานๆเข้า ก็จะเกิดการไขว้เขวแล้วใช้กราฟเป็นหลัก ซื้อหุ้นทุกตัวแม้กระทั่งหุ้นปั่น  อันนี้คือเริ่มหลงทาง


@@@@@@@@


ช่วง 5 ปีแรก ที่เริ่มเล่นหุ้น ปีที่ซื้อหุ้นแล้วพอร์ตโตปีละ 70% 40% และ 30% มันง่ายมากๆเลย เพราะ


- สมัยนั้นเงินในพอร์ตไม่ใช่ทรัพย์สินทั้งหมดที่มี จริงๆแค่ส่วนน้อย

- ทำให้กล้าลงทุนแบบสุ่มเสี่ยงได้ โดยไม่เคยมองถึงความเสี่ยง 

- ประกอบกับโชคดีที่รอดมาได้ 

- แน่นอนว่าถ้าลงทุนแบบเสี่ยงสูงแล้วรอดมาได้ ผลตอบแทนย่อมมาก

- แต่โชคจะไม่ได้มีอยู่ตลอดไป และยังดีที่มองเห็นความเสี่ยงจึงทำให้ค่อยๆปรับเปลี่ยนวิธีการ

- ถ้าผลตอบแทนได้ระดับนั้นตลอดจริง คงรวยมหาศาล เก่งกว่า ปู่บัฟเฟตต์ หรือ ปีเตอร์ ลินซ์ เป็นนักลงทุนระดับโลกไปแล้ว 


แต่ความจริงคือ เราโง่เขลาเบาปัญญา มืดบอด หลงคิดว่าเพราะฝีมือ แต่ความจริงแค่โชคดี 


เปรียบเสมือน คนตาบอดที่เดินบนสะพานไม้แผ่นเดียว ที่พาดระหว่างตึก แล้วรอดมาได้ แล้วกล้าโอ้อวด 


ยิ่งมองย้อนหลัง ยิ่งเห็นว่า เคยกระจอกทางความคิดมากแค่ไหน 😆

















วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2567

หลักคิด 43

 25 กฎทองของ Peter Lynch สำหรับการลงทุน


1 การลงทุนเป็นเรื่องสนุกและน่าตื่นเต้น แต่ก็อันตรายถ้าไม่ศึกษาให้ดี


2 ข้อได้เปรียบของคุณไม่ได้มาจากผู้เชี่ยวชาญ แต่มาจากสิ่งที่คุณรู้และเข้าใจอยู่แล้ว ลงทุนในบริษัทหรืออุตสาหกรรมที่คุณคุ้นเคยจะช่วยให้คุณเอาชนะผู้เชี่ยวชาญได้


3 ตลาดหุ้นถูกครอบงำโดยนักลงทุนมืออาชีพ แต่นั่นกลับเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนรายย่อย คุณสามารถเอาชนะตลาดได้โดยไม่ทำตามคนหมู่มาก


4 เบื้องหลังหุ้นทุกตัวคือบริษัท จงศึกษาว่าบริษัทนั้นทำอะไร


5 ความสำเร็จของบริษัทและราคาหุ้นในระยะสั้นอาจไม่สัมพันธ์กัน แต่ในระยะยาวมันสัมพันธ์กัน 100% นี่คือกุญแจสำคัญในการทำเงิน อดทนและลงทุนในบริษัทที่ประสบความสำเร็จ


6 คุณต้องรู้ว่าคุณกำลังถือครองอะไร และเพราะอะไร ไม่ใช่แค่ "หุ้นตัวนี้ต้องขึ้นแน่ๆ"


7 การลงทุนที่มีโอกาสสำเร็จน้อยมักจะพลาดเป้าเสมอ


8 การถือหุ้นก็เหมือนมีลูก อย่ามีมากกว่าที่คุณจะดูแลได้ นักลงทุนรายย่อยอาจมีเวลาติดตาม 8-12 บริษัท และซื้อขายตามสภาพการณ์ ไม่จำเป็นต้องมีหุ้นมากกว่า 5 ตัวในพอร์ตตลอดเวลา


9 ถ้าไม่พบหุ้นที่น่าสนใจ ให้ฝากเงินไว้ในธนาคารจนกว่าจะเจอ


10 อย่าลงทุนในบริษัทที่ไม่เข้าใจฐานะทางการเงิน การขาดทุนครั้งใหญ่ที่สุดมักมาจากบริษัทที่มีงบดุลที่แย่ ตรวจสอบงบดุลก่อนเสมอ


11 หลีกเลี่ยงหุ้นยอดนิยมในอุตสาหกรรมที่กำลังมาแรง บริษัทที่ยอดเยี่ยมในอุตสาหกรรมที่ไม่หวือหวามักจะเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่


12 สำหรับบริษัทขนาดเล็ก รอให้บริษัทมีกำไรก่อนค่อยลงทุน


13 ถ้าคิดจะลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีปัญหา ให้ซื้อบริษัทที่มีความแข็งแกร่ง และรอให้อุตสาหกรรมนั้นฟื้นตัว


14 การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงที่จะขาดทุน แต่ก็มีโอกาสได้กำไรมหาศาล คนทั่วไปสามารถโฟกัสที่บริษัทดีๆ ไม่กี่แห่ง ในขณะที่ผู้จัดการกองทุนต้องกระจายความเสี่ยง การถือหุ้นมากเกินไปจะทำให้เสียโอกาสในการทำกำไร หุ้นที่ชนะไม่กี่ตัวก็เพียงพอต่อการลงทุนที่คุ้มค่าตลอดชีวิต


15 ในทุกอุตสาหกรรมและทุกภูมิภาค นักลงทุนมือสมัครเล่นที่ช่างสังเกตสามารถพบหุ้นเติบโตได้ก่อนที่มืออาชีพจะค้นพบ


16 ภาวะตลาดหุ้นตกต่ำเป็นเรื่องปกติ ถ้าคุณเตรียมพร้อม มันจะไม่ทำร้ายคุณ ภาวะตลาดตกต่ำเป็นโอกาสที่ดีในการซื้อหุ้นราคาถูก


17 ทุกคนมีความสามารถในการทำเงินในตลาดหุ้น แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มีความอดทน ถ้าคุณขายหุ้นเพราะตื่นตระหนก คุณควรหลีกเลี่ยงหุ้นและกองทุนรวมหุ้น


18 มีเรื่องให้กังวลเสมอ หลีกเลี่ยงการคิดมากในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์และเพิกเฉยต่อข่าวร้าย ขายหุ้นเพราะปัจจัยพื้นฐานของบริษัทแย่ลง ไม่ใช่เพราะกลัวว่าตลาดจะล่ม


19 ไม่มีใครสามารถคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย ทิศทางเศรษฐกิจ หรือตลาดหุ้นได้ ละทิ้งการคาดการณ์ทั้งหมดและมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับบริษัทที่คุณลงทุน


20 ถ้าคุณศึกษา 10 บริษัท คุณจะพบ 1 บริษัทที่ดีเกินคาด ถ้าคุณศึกษา 50 บริษัท คุณจะพบ 5 บริษัท ในตลาดหุ้นมีบริษัทที่ประสบความสำเร็จแต่ถูกมองข้ามอยู่เสมอ


21 ถ้าคุณไม่ศึกษาบริษัทใดๆเลย การซื้อหุ้นของคุณก็เหมือนการเล่นโป๊กเกอร์โดยไม่ดูไพ่


22 เวลาเป็นของคุณเมื่อคุณถือหุ้นของบริษัทที่ยอดเยี่ยม คุณสามารถอดทนได้แม้ว่าจะพลาดโอกาสซื้อหุ้น Walmart ในช่วงห้าปีแรก แต่มันก็ยังเป็นหุ้นที่ดีในการถือครองในอีกห้าปีข้างหน้า เวลาเป็นศัตรูของคุณเมื่อคุณถือครองออปชั่น


23 ถ้าคุณรับความเสี่ยงในการลงทุนหุ้นได้ แต่ไม่มีเวลาหรือความสนใจที่จะศึกษา ให้ลงทุนในกองทุนรวมหุ้น การกระจายความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญ คุณควรมีกองทุนหลายประเภทที่มีผู้จัดการลงทุนในรูปแบบที่แตกต่างกัน การลงทุนในกองทุนประเภทเดียวกัน 6 กองไม่ถือว่าเป็นการกระจายความเสี่ยง


24 ในบรรดาตลาดหุ้นทั่วโลก ตลาดหุ้นสหรัฐอยู่ในอันดับที่ 8 ในด้านผลตอบแทนรวมในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา คุณสามารถลงทุนในกองทุนต่างประเทศที่มีผลงานดีเพื่อใช้ประโยชน์จากเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วกว่า


25 ในระยะยาว พอร์ตหุ้นและ/หรือกองทุนรวมหุ้นที่เลือกสรรมาอย่างดีจะให้ผลตอบแทนดีกว่าพอร์ตพันธบัตรหรือบัญชีตลาดเงินเสมอ ในระยะยาว พอร์ตหุ้นที่เลือกมาไม่ดีจะให้ผลตอบแทนไม่ดีไปกว่าเงินสดที่เก็บไว้ใต้ที่นอน


@@@@@@@@@@@@@@



50 ศัพท์ที่นักลงทุนควรรู้


โดย Brian Feroldi


401(k): บัญชีสำหรับเก็บเงินเกษียณที่นายจ้างสนับสนุน มีสิทธิประโยชน์ทางภาษี


Acquisition: การเข้าซื้อบริษัทอื่น


Appreciation: การเพิ่มขึ้นของมูลค่าสินทรัพย์


Asset Allocation: การจัดสรรเงินลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง


Balance Sheet: งบแสดงฐานะทางการเงินของบริษัท ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง


Bear Market: ตลาดขาลง


Bonds: ตราสารหนี้


Bull Market: ตลาดขาขึ้น


Capital Gains: กำไรจากการขายสินทรัพย์


Cash Flow Statement: งบกระแสเงินสด


Compounding: การทบต้นของผลตอบแทน


Convertible Notes: หุ้นกู้แปลงสภาพ


Correction: ภาวะตลาดหุ้นปรับตัวลดลง 10% หรือมากกว่า


Debt: หนี้สิน


Dilution: การเพิ่มจำนวนหุ้น ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นลดลง


Diversification: การกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท


Dividend: เงินปันผล


Dividend Yield: อัตราผลตอบแทนเงินปันผล


Dollar-Cost Averaging: การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน


Dow Jones Industrial Average: ดัชนีตลาดหุ้นดาวโจนส์


Earnings Per Share (EPS): กำไรต่อหุ้น


Exchange Traded Fund (ETF):: กองทุนรวมที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์


Expense Ratio: ค่าธรรมเนียมการจัดการกองทุนรวม


Federal Reserve (Fed): ธนาคารกลางสหรัฐ


Free Cash Flow: กระแสเงินสดอิสระ


Gross Margin: อัตรากำไรขั้นต้น


Individual Retirement Arrangement (IRA): บัญชีเกษียณส่วนบุคคล


Income Statement: งบกำไรขาดทุน


Index Fund: กองทุนรวมดัชนี


Initial Public Offering (IPO): การเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก


Market Capitalization: มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด


Mutual Fund: กองทุนรวม


Net Income: กำไรสุทธิ


NASDAQ Composite Index: ดัชนีแนสแด็ก


Portfolio: กลุ่มสินทรัพย์ที่นักลงทุนถือครอง


Price/Earnings (P/E): อัตราส่วนราคาต่อกำไร


Price/Free Cash Flow (P/FCF): อัตราส่วนราคาตลาดต่อกระแสเงินสดอิสระ


Price/Sales (P/S): อัตราส่วนราคาตลาดต่อยอดขาย


Rebalancing: การปรับพอร์ตการลงทุน


Roth IRA: บัญชีเกษียณแบบ Roth


Roth 401(k): บัญชีเกษียณแบบ Roth ที่นายจ้างสนับสนุน


Securities and Exchange Commission (SEC): สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์


Sideways Market: ภาวะตลาดทรงตัว


Stock-Based Compensation: การจ่ายค่าตอบแทนพนักงานด้วยหุ้น


Stock Buybacks: การซื้อหุ้นคืน


Stock Market: ตลาดหลักทรัพย์


Stock Split: การแตกพาร์


Stock Market Index: ดัชนีตลาดหุ้น


Target-Date Retirement Funds: กองทุนรวมเพื่อการเกษียณที่ปรับสัดส่วนสินทรัพย์ตามอายุของผู้ลงทุน


@@@@@@@@@@@



ROCE คืออะไร?


ROCE คืออัตราส่วนที่ใช้วัดว่าบริษัทสามารถใช้เงินทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใดในการสร้างผลกำไร โดยคำนวณจาก


ROCE = EBIT / (Average Total Assets - Average Current Liabilities)


โดยที่:

•EBIT คือ กำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี

•Average Total Assets คือ สินทรัพย์รวมเฉลี่ย

•Average Current Liabilities คือ หนี้สินหมุนเวียนเฉลี่ย

ประโยชน์ของ ROCE


•เป็นการวัดประสิทธิภาพการใช้เงินทุนที่ครอบคลุม

•คำนวณและเข้าใจง่าย

•มีประโยชน์สำหรับอุตสาหกรรมที่ใช้เงินทุนสูง


ข้อจำกัดของ ROCE


•อาจมีการบิดเบือนจากระดับหนี้ที่สูง

•ไม่ได้คำนึงถึงระยะเวลาของกระแสเงินสด

•ไม่น่าเชื่อถือเมื่อเปรียบเทียบบริษัทในอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน


เมื่อใดควรใช้ ROCE


ROCE เหมาะสำหรับการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน

สิ่งที่ควรระวัง

•ความไม่สอดคล้องกันในคำจำกัดความ

•ความอ่อนไหวต่อความผันผวนในระยะสั้น

•ระดับหนี้ที่สูงบิดเบือนผลลัพธ์


สรุป


ROCE เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการประเมินประสิทธิภาพของบริษัทในการใช้เงินทุน แต่ควรใช้ด้วยความระมัดระวังและตระหนักถึงข้อจำกัดของมัน


ROCE (Return on Capital Employed) คือตัวเลขที่บอกว่าบริษัทใช้เงินลงทุนเก่งแค่ไหนในการทำกำไร 


คิดง่ายๆ ว่ายิ่ง ROCE เยอะ บริษัทก็ยิ่งบริหารเงินเก่ง ทำกำไรได้เยอะจากเงินที่มีอยู่


ข้อดีของ ROCE คือเข้าใจง่ายและใช้ได้กับทุกธุรกิจ 


แต่ข้อเสียคืออาจคลาดเคลื่อนถ้าบริษัทมีหนี้เยอะ และไม่เหมาะเอามาเทียบกับบริษัทต่างอุตสาหกรรมกัน






ROCE (Return on Capital Employed) และ ROIC (Return on Invested Capital) เป็นเครื่องมือวัดผลตอบแทนจากการลงทุนที่คล้ายกัน แต่มีความแตกต่างในรายละเอียดดังนี้


ROCE (Return on Capital Employed)

 • ความหมาย: วัดความสามารถของบริษัทในการสร้างผลกำไรจากเงินทุนที่ใช้ในการดำเนินงาน ไม่ว่าจะเป็นเงินทุนจากเจ้าของหรือเงินกู้

 • สูตรคำนวณ: EBIT / (สินทรัพย์รวมเฉลี่ย - หนี้สินหมุนเวียนเฉลี่ย)

 • จุดเน้น: มองภาพรวมของเงินทุนที่ใช้ในการดำเนินงานทั้งหมด

 • ข้อดี: เข้าใจง่าย, คำนวณง่าย, เหมาะสำหรับเปรียบเทียบบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน

 • ข้อเสีย: อาจคลาดเคลื่อนได้หากบริษัทมีหนี้สินมาก, ไม่เหมาะสำหรับเปรียบเทียบข้ามอุตสาหกรรม



ROIC (Return on Invested Capital)

 • ความหมาย: วัดความสามารถของบริษัทในการสร้างผลกำไรจากเงินลงทุนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเงินทุนจากเจ้าของ, หุ้นบุริมสิทธิ หรือหนี้สินที่มีดอกเบี้ย

 • สูตรคำนวณ: NOPAT / (ส่วนของผู้ถือหุ้น + หนี้สินที่มีดอกเบี้ย)

 • จุดเน้น: มองเฉพาะเงินลงทุนที่สร้างผลตอบแทน

 • ข้อดี: ให้ภาพที่แม่นยำกว่าในการประเมินประสิทธิภาพการใช้เงินทุน, เหมาะสำหรับเปรียบเทียบข้ามอุตสาหกรรม

 • ข้อเสีย: คำนวณซับซ้อนกว่า ROCE



สรุป

ROCE และ ROIC เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการประเมินประสิทธิภาพการใช้เงินทุนของบริษัท แต่ ROIC จะให้ภาพที่ละเอียดและแม่นยำกว่าในการวัดผลตอบแทนจากเงินลงทุนทั้งหมด ในขณะที่ ROCE เหมาะสำหรับการเปรียบเทียบบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน



@@@@@@@@@@



ศึกษาหุ้นรายตัวก่อน (Bottom-up) เพราะการวิเคราะห์ภาพใหญ่ก่อนภาพเล็ก (Top-down) อาจทำให้พลาดหุ้นที่ดีที่สุดไป 


เนื่องจากราคาหุ้นมักจะขึ้นไปสูงแล้วเมื่อกลุ่มอุตสาหกรรมเป็นที่น่าสนใจ 


อย่างไรก็ตาม บางครั้งก็มีการเริ่มจากการดูกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจก่อน แล้วค่อยเลือกหุ้นที่ดีที่สุดในกลุ่มนั้น 


การทำตารางหุ้นช่วยให้เห็นภาพรวมว่าหุ้นกลุ่มไหนกำลังเป็นที่นิยม


@@@@@@@@



ดูหนี้สิน ต่อผู้ถือหุ้น

ดูหุ้นซื้อคืนว่ามีหรือเปล่า  

ดูสภาพคล่องทางการเงิน 

ดูว่ามีกำไรพิเศษหรือเปล่า 

ดูระยะเวลาในการขายสินค้า 

ดูระยะเวลาในการเก็บหนี้

ดูระยะเวลาในการจ่ายคืนหนี้  


ดู factsheet


@@@@@@@



สำหรับผู้ที่กำลังสร้างพอร์ตหุ้นปันผลเพื่อรับผลตอบแทน 4-6% ต่อปี ขอให้พึงระลึกไว้เสมอว่าอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตที่ค้างชำระนั้นสูงถึง 16% ต่อปี 


ดังนั้น หากท่านมีภาระหนี้บัตรเครดิต ควรจัดการชำระให้เรียบร้อยก่อนที่จะนำเงินไปลงทุน เพื่อหลีกเลี่ยงภาระดอกเบี้ยที่สูงเกินความจำเป็น


นอกจากนี้ การกู้ยืมเงินนอกระบบนั้นไม่ต่างอะไรกับการทำลายตัวเองและครอบครัว เพราะอัตราดอกเบี้ยที่สูงมากจะยิ่งทำให้สถานะทางการเงินของท่านย่ำแย่ลง ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการกู้ยืมเงินนอกระบบอย่างเด็ดขาด



@@@@@@@


- ค้นหาธุรกิจที่แข็งแกร่ง  ธุรกิจที่สามารถสร้างผลกำไรได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยเป็นระยะเวลานาน


- ซื้อหุ้นเมื่อราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง


- ถือหุ้นระยะยาวจนกว่าปัจจัยพื้นฐานจะเปลี่ยน


- ทำซ้ำขั้นตอนข้างต้น


@@@@@@@@



ถ้าบริษัทที่คุณลงทุน 

- ฐานะการเงินมั่นคงและแข็งแรงดี 

- ความสามารถในการทำกำไรระยะยาวอย่างแข็งแรงดีอยู่ นั่นหมายถึงมูลค่ายังเพิ่มขึ้น 

- ความสามารถในการทำกำไรระยะสั้นลดลงชั่วคราว นั่นคือราคาหุ้นจะลดลงในระยะสั้นชั่วคราว 


นั่นแปลว่าพอร์ตคุณมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในทุกปี  ถึงแม้จะแสดงภาพราคาระยะสั้นว่ามีราคาลดลงชั่วคราวก็ตาม


@@@@@@@


อยากเล่าถึง META 

น่าจะเล่าได้เพราะสำหรับเราคือ เล่นจบแล้วในช่วงนี้ (ส่วนอนาคตไม่มีใครรู้)


ช่วงที่ META มีปัญหาเอาเงินไปทุ่มกับเมต้าเวิร์ส ช่วงนั้นส่วนตัวมองว่า เมต้าเวิร์ส ก็เหมือนกับโลกในเกมออนไลน์ การที่จะนำเงินไปทุ่มากๆดูแล้วไม่น่าจะใช่ ทิศทางที่ถูกต้อง 


เราก็มี ดูราคาหุ้นของเมต้าเป็นระยะ เคยเห็นหลุดไปถึง $90 แต่ด้วยหลายหลายปัจจัยในตอนนั้น ก็เลยยังไม่ได้สนใจ 


ช่วงที่ราคาเริ่มพลิกฟื้น  กลับขึ้นมายืนเหนือ 100 เหรียญได้ เป็นช่วงที่พลิกกลับมาค่อนข้างเร็ว เราได้เริ่มซื้อไม้แรกแถวๆ 110-111 เหรียญ ระหว่างนั้นก็ทยอยซื้อเรื่อยๆ จนกระทั่งงบออก และมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ออกมาประกาศ จะตัดงบการลงทุนในเมต้าเวิร์ส เราทยอยซื้อตั้งแต่ 110 เหรียญ จนถึง 170 กว่าเหรียญ 


ตอนนั้นที่ซื้อเพราะค่าพีอีอยู่ที่ประมาณ 14 ถึง 15 เท่า สำหรับหุ้นระดับโลกที่มีรายได้จากทั่วโลกเป็นหุ้นเทคโนโลยี เป็นแพลตฟอร์มที่มีรายได้โดยไม่ต้องลงทุนในทรัพย์สินถาวรหนักเหมือนธุรกิจแบบเก่า เรามองว่าถูกมากๆจึงได้ทยอยซื้อ 


แล้วก็ประเมินมูลค่า  ตอนนั้นเราประเมินมูลค่าได้ ช่วง 480 เหรียญ ถึง 500 เหรียญ 


หลังจากงบการเงินออกอีกรอบ  ก็ทำการปรับประมาณการใหม่ ประเมินมูลค่า ได้อยู่ที่ประมาณ 500 เหรียญ ถึง 560 เหรียญ


แน่นอนว่าเราถือหุ้นค้างไว้ยาวมาตลอดทาง จนราคามาถึง ประมาณ 530 เหรียญ แล้วก็มีการแกว่งผันผวนอย่างรุนแรง 


ใช่แล้วช่วงนั้นเราค่อนข้างลังเล จนกระทั่งสุดท้ายก็ทยอยขายไปที่แถว 460 เหรียญถึง 480 เหรียญ  ราคาที่ขายไป เรามองว่าขายได้ราคาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ 


หลังจากนั้นราคาก็ฟื้นตัวทะลุ 500 เหรียญ อีกครั้ง รอบนี้ก็เป็นการเทรดแล้วเราก็ซื้อตามแถว 500 ถึง 510 เหรียญ แล้วก็ไปขายช่วง 530 เหรียญถึง 508 เหรียญ 


สำหรับเรา มองว่าปีนี้คงจะจบรอบของ META ไปแล้ว และก็ใช่ตอนนี้เราไม่มีสถานะใน META แล้ว  (ส่วนอนาคตนั้นจะมีเล่นรอบใหม่หรือเปล่ายังตอบอะไรไม่ได้ ต้องรอดูสถานการณ์อย่างเดียว)




@@@@@@@@@@@@@@



หลักการลงทุนเดียวกัน ใช้โดยนักลงทุนที่ต่างกัน บางคนอาจประสบความสำเร็จ บางคนอาจขาดทุนมากมาย  เพราะ จิตใจแค่ละคน มีความอดทนแตกต่างกัน บางคนยึดมั่นในมูลค่า ในขณะที่บางคนยึดติดกับราคา 


ถ้าคุณเป็นเทรดเดอร์แล้วยึดมั่นกับมูลค่า คุณอาจขาดทุนหนัก ในขณะที่ถ้าคุณเป็นนักลงทุนแล้วคุณยึดติดกับราคา คุณอาจทนไม่ไหว จนต้องตัดขาดทุนก้อนโตในที่สุด


อีกทั้งการมองปัจจัยพื้นฐานของกิจการ มองออกหรือไม่ออก ดูธุรกิจด้วยความเข้าใจของตนเองหรือต้องพึ่งพิงคนอื่น เหล่านี้ ก็จะส่งผลต่อความมั่นใจในการถือหุ้น  ซึ่งยังส่งผลต่อการลงทุนอย่างมากด้วยเช่นกัน


@@@@@@@@@@@




เลือกหุ้นที่สามารถลงทุนแล้วราคาหุ้นเติบโตไปพร้อมกับบริษัท บริษัทเติบโตมากขึ้นมีกำไรมากขึ้นมูลค่าเพิ่มขึ้น  ราคาหุ้นรันเทรนด์ไปกับการเติบโตของบริษัท แบบนี้ถึงจะเรียกว่า “งบการเงินคือเจ้ามือตัวจริง”


แต่ถ้าเลือกหุ้นที่เกิดจากการปั่น  จากการลากของจ้าวมือ แบบนี้ “เจ้ามือตัวจริงไม่ใช่งบการเงิน”   จ้าวที่ปั่นหุ้น พร้อมทุบ(Take profit) ทันทีเมื่อกำไรถึงจุดที่พอใจ และหลายครั้งก็ไม่ได้มีผลประกอบการอะไรมารองรับ 


ก็ต้องแยกแยะจุดนี้ให้ออก ก่อนจะเอาหุ้นเข้าพอร์ต



@@@@@@@@




ถึงคุณจะเก่งกราฟแค่ไหน ก็จะแพ้จ้าวมือเสมอ เพราะจ้าวมือสร้างกราฟให้คุณตามและทุบ (take profit) ให้กราฟเสียทรงได้เสมอไม่ว่ากราฟจะสวยแค่ไหน โดนจ้าว take profit กราฟจะกลายเป็นกราฟเสียเสมอ


เทรดหุ้นด้วยกราฟที่ดี คือการเทรดหุ้นบนกราฟที่เกิดจากดีมานด์และซัพพลายด์ในตัวหุ้นอย่างแท้จริง <—- กราฟแบบนี้ จะอิงบนผลประกอบการ การเติบโตในอนาคตของบริษัท และ ฝีมือของผู้บริหาร 


แล้วจะหาหุ้นที่ไม่โดนเจ้ามือสร้างกราฟทุบกราฟได้อย่างไร  ???


มูลค่าตลาดของบริษัท  (Market cap) จะเป็นตัวแยกแยะครับ ยิ่งหุ้นมีขนาดเล็ก ยิ่งมีเจ้ามือทุบลากได้ง่าย เพราะใช้เงินน้อย ยิ่งมีขนาดใหญ่ Market cap สูง ยิ่งทำราคาได้ยาก จนถึงทำไม่ได้เลย


จุดประสงค์ที่แท้จริงของกราฟเทคนิคเคิล ก็คือเพื่อดู ความต้องการของคนที่ต้องการจะซื้อและขายหุ้นจริงๆ 



@@@@@@@@




มาคิดดูดีดีแล้ว การลงทุนด้วยปัจจัยพื้นฐาน มันก็คือการเทรดตามเทรนด์ใหญ่นั่นแหละ แค่ใช้งบการเงินและโมเดลธุรกิจในการหาเทรนด์ ของบริษัท แทนกราฟเท่านั้นเอง 


ใช้ปัจจัยพื้นฐานในการหาบริษัทที่เติบโตต่อเนื่อง  เป็นเทรนด์ใหญ่แล้วเมื่อราคาลงมาสวนเทรนใหญ่ก็ซื้อเพิ่ม 


ก็คล้ายๆกับคนที่เทรดด้วยกราฟเทคนิคเคิลเล่นตามเทรนไทม์เฟรมใหญ่และเมื่อราคาลงมาสวนไทม์เฟรมใหญ่  ก็เป็นจังหวะซื้อเพิ่มแต่ถ้าหลุดไทม์เฟรมใหญ่ก็ต้อง stop 


ซึ่งการลงทุนด้วยปัจจัยพื้นฐานหาเทรนใหญ่ด้วยปัจจัยพื้นฐาน ดังนั้นการสต็อปก็จึงสต็อปเมื่อปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยน



@@@@@@@@@




หลักการเพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งทางจิตใจและความยืดหยุ่น


มุ่งเน้นสิ่งที่คุณควบคุมได้: ทุ่มเทพลังงานและความพยายามไปที่สิ่งที่คุณควบคุมได้ เช่น ความคิด การกระทำ และทัศนคติของคุณ


ฝึกฝนวินัยในตนเองทุกวัน: พัฒนาวินัยในตนเองในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งภายในที่จำเป็นสำหรับความท้าทายที่ใหญ่ขึ้น


มองความยากลำบากเป็นการฝึกฝน: มองความท้าทายเป็นโอกาสในการฝึกฝนคุณธรรมและสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจ


ยอมรับความไม่เที่ยง: ตระหนักว่าทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยง รวมถึงความสุขและความยากลำบาก


เลือกปฏิกิริยาของคุณ: เลือกการตอบสนองของคุณต่อเหตุการณ์ภายนอกอย่างมีสติ แทนที่จะตอบสนองแบบหุนหันพลันแล่น


ฝึกสติ: มีสติอยู่กับปัจจุบันอย่างเต็มที่ ชื่นชมความงามและความอุดมสมบูรณ์ของชีวิต


จินตนาการถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด: พิจารณาถึงความล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้นเพื่อเตรียมตัวคุณทางจิตใจและลดความกลัวสิ่งที่ไม่รู้จัก


รู้สึกขอบคุณ: มุ่งเน้นไปที่สิ่งที่คุณมีมากกว่าสิ่งที่คุณขาด ส่งเสริมความพึงพอใจและความสุข


มองอุปสรรคเป็นโอกาส: ปรับกรอบความท้าทายให้เป็นโอกาสที่จะเติบโต เรียนรู้ และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น


แสวงหาการกระทำที่มีคุณธรรม: ให้ความสำคัญกับพฤติกรรมที่มีคุณธรรมมากกว่าความสุขชั่วคราว ทำให้การกระทำสอดคล้องกับค่านิยมของคุณ


ฝึกการไม่ยึดติด: หลีกเลี่ยงการยึดติดกับทรัพย์สิน ผลลัพธ์ หรือความคิดเห็นของผู้อื่นมากเกินไป


ระลึกถึงความตายของคุณ: ไตร่ตรองถึงความไม่เที่ยงของชีวิตเพื่อชื่นชมความมีค่าของมันและใช้ประโยชน์จากมันให้มากที่สุด


มีเมตตาและเห็นอกเห็นใจ: ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเมตตาและความเข้าใจ ตระหนักถึงการดิ้นรนและความเป็นมนุษย์ของพวกเขา


ควบคุมบทสนทนาภายในของคุณ: ตรวจสอบความคิดของคุณและท้าทายการพูดกับตัวเองในแง่ลบเพื่อปลูกฝังความคิดเชิงบวก


มุ่งเน้นไปที่ปัจจุบัน: หลีกเลี่ยงการจมอยู่กับอดีตหรือกังวลมากเกินไปเกี่ยวกับอนาคต; ค้นหาความพึงพอใจในช่วงเวลาปัจจุบัน


มีส่วนร่วมในการไตร่ตรองตนเอง: ตรวจสอบความคิด การกระทำ และความก้าวหน้าของคุณในการดำเนินชีวิตอย่างมีคุณธรรมเป็นประจำ


เผชิญหน้ากับความกลัว: เผชิญหน้ากับความกลัวและความวิตกกังวลของคุณด้วยเหตุผล ตระหนักว่าบ่อยครั้งพวกเขามีพลังน้อยกว่าที่เห็น


ฝึกความพอประมาณ: หลีกเลี่ยงความตะกละและสร้างสมดุลความปรารถนาของคุณ ส่งเสริมความสามัคคีภายในและการควบคุมตนเอง


เรียนรู้จากแบบอย่าง: ศึกษาชีวิตของบุคคลที่มีคุณธรรมเพื่อเป็นแรงบันดาลใจและคำแนะนำในการดำเนินชีวิตอย่างมีจริยธรรม


อดทนเมื่อเผชิญกับความยากลำบาก: อดทนในการแสวงหาคุณธรรมของคุณ แม้ว่าเส้นทางจะท้าทาย รู้ว่าการเติบโตมาจากการเอาชนะอุปสรรค



@@@@@@@@




ต้องมีระบบเป็นของตัวเองไม่ว่าจะเทรดหรือจะลงทุน และก็ต้องรู้ด้วยว่าจุดอ่อนของระบบ คือตลาดแบบไหน 


ดังนั้นต้องมีจุดแยกแยะตลาดว่าช่วงไหนที่ไม่เข้ากับระบบที่ใช้ ช่วงนั้นก็จะเป็นช่วงที่ควรออกจากตลาด



@@@@@@@@@@



หุ้นที่ควรจับตา 

หุ้นที่กำลังสร้างฐานราคา หรือแกว่งตัวออกข้างอย่างสงบ ในขณะที่ตลาดทำจุดต่ำสุดใหม่ 

แต่ให้ระว้งหุ้นที่มีจ้าวมือคุม



@@@@@@@@@



ถ้าคุณเป็นเทรดเดอร์ สภาพตลาดย่อมมีความสำคัญ จะเทรดได้ง่ายขึ้นเมื่อตลาดเอื้ออำนวย แต่ถ้าไม่ ก็ไม่ต่างอะไรกับปลาที่ว่ายทวนน้ำ 


ถ้าเป็นเทรดเดอร์ที่เก่งระดับเซียนก็คงเทียบได้กับปลาแซลมอนที่พยายามว่ายทวนน้ำ ก็จะมีโอกาสทำกำไรได้โดยอาจยากกว่าช่วงปกติ 


แต่ถ้าคุณเป็นเพียงปลาทองแล้วพยายามว่ายทวนกระแสน้ำแรงๆ เหมือนปลาแซลมอน …..


อย่าเทรดสวนเทรนด์ !!!



@@@@@@@@@



ตัดเรื่องไม่สำคัญออกบ้าง เรื่องรกๆที่ไม่สำคัญ ที่ทำให้ความคิดยุ่งเหยิง ให้เหลือแต่เรื่องหลักๆ เรื่องสำคัญ เพื่อจะตัดสินใจได้ดีขึ้น


@@@@@@@@@




เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเทรดด้วยโอกาสที่ดีที่สุดโดยมีความน่าจะเป็นอยู่ข้างคุณ คุณจะได้รับบางสิ่งบางอย่างจากการเดิมพันครั้งนั้นเสมอ ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ก็ตาม



@@@@@@@@




อยากจะจับปลาตัวใหญ่ก็ต้องไปจับในทะเลทะเล อยากจะจับหุ้นเติบโตก็ต้องไปจับในตลาดที่มีหุ้นเติบโตสูง อยากจะจับหุ้นปันผลก็มาหาในตลาดหุ้นไทยพอไหว


อยากจะจับหุ้นเติบโตแต่มาหาในบ่อน้ำเล็ก  ก็เหมือนไม่มองโลกแห่งความเป็นจริง  แค่หลอกตัวเองไปวันๆ สุดท้ายหุ้นเติบโตที่เขาบอก ก็แค่คำลวง เพื่อกินเงินคุณ และสุดท้ายก็ทำได้แค่  “เจดีย์”   


ถ้าเค้าไม่เชียร์ให้คุณมาเล่น  ถ้าเค้าไม่หลอกคุณว่ามันเป็นหุ้นเติบโต  แล้วเค้าจะกินเงินใครล่ะ  🤣🤣🤣


ถ้ารายย่อยส่วนมากรู้ทันแบบนี้  จ้าวที่ก่อสร้างสร้างเจดีย์มีแต่คำว่า “เจ๊ง” เท่านั้น  เพราะจะไม่เหลือใครให้หลอกกินเงินได้ 🤣



@@@@@@@@